เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
30/05/2023 |
สถิติผู้เข้าชม |
13,647,517 |
Page Views |
19,668,011 |
|
«
| May 2023 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | | | |
|
|
27/03/2023
View: 55,230

ต้นไม้ใหญ่2
For information only-the plant is not for sale
32 |
กันเกรา/Fagraea fragrans |
41 |
แคนา/Dolichandrone serrulata |
33 |
กุ่มน้ำ/Crateva religiosa |
42 |
แคหัวหมู/Markhamia stipulata |
34 |
กุ่มบก/Crateva adansonii subsp. trifoliata |
43 |
งิ้ว/Bombax ceiba |
35 |
กระทุ่ม/Breonia chinensis |
44 |
สัก/Tectona grandis |
36 |
กระทิง/Calophyllum inophyllum. |
45 |
แสลงพัน/Bauhinia bracteata |
37 |
กระบก/Irvingia malayana |
46 |
สารภี/Mammea siamensis |
38 |
กระเบา/Hydnocarpus anthelminticus |
47 |
สาธร/Millettia leucantha |
39 |
กระเบากลัก/Hydnocarpus ilicifolia |
48 |
คงคาเดือด/Arfeuillea Arborescens |
40 |
กระโดน/Careya arborea |
49 |
อุโลก/Hymenodictyon orixense |
|
32 กันเกรา/Fagraea fragrans

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cyrtophyllum fragrans (Roxb.) DC.(1845) ชื่อพ้อง ---Has 8 Synonyms. See allhttps://www.gbif.org/species/4019249 ---Basionym:Fagraea fragrans Roxb.(1824) ---Fagraea ridleyi Gand.(1924) ---Fagraea peregrina (Reinw. ex Blume) Blume (1839) ชื่อสามัญ --- Ironwood, Tembusu ชื่ออื่น ---กันเกรา (ภาคกลาง); ตะมะซู, ตำมูซู (มาเลย์-ภาคใต้); ตาเตรา (เขมร-ภาคตะวันออก); ตำเสา, ทำเสา (ภาคใต้); มันปลา (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[CAMBODIA: Tatrao.];[FIJI: Buabua];[GERMAN: Sumatra-Eisenholzbaum.];[HAWAII: Pua Keni Keni.];[INDONESIA: Kayu kacang-kacang; Kayu Tammusu, Ki Badak (Bahasa Indonesia).];[KHMER: Ta trao.];[LAOS: Man pa.];[MALAYSIA: Tembusu hutan (General); Ombinaton, Tambiaton, Tambinaton (Dusun); Tembusu padang, Tembusu Tembaga (Malay, Peninsular); Banati (Murut).];[MYANMAR: Anan, Anama, Ahnyim.];[PHILIPPINES: Urung (General), Dolo (Tagbanua), Susulin (Tagalog).];[SWEDISH: Tembesu.];[THAI: Kankrao (Central), Man pIa (Northern), Thamsao (Peninsular)];[VIETNAM: Trai, Trai lý, Trai Nam Bộ, Tatrao.] EPPO Code--- FARFR (Preferred name: Cyrtophyllum fragrans) ชื่อวงศ์ ---GENTIANACEAE ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย ไทย พม่า เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลFagraeaเป็นเกียรติแก่Jonas Theodor Fagraeus (1729-1797)นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ; ชื่อของสายพันธุ์'fragrans'เป็นคำภาษาละติน "fragrans" = หอม มีกลิ่นหอม อ้างอิงถึงดอกไม้มีกลิ่นหอม Fagraea fragrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยAugustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2388

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์, กัมพูชา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทยและเวียดนาม เติบโตในพื้นที่เปิดโล่งตามแนวชายฝั่งของ แม่น้ำและที่ขอบของหนองน้ำท่วมเป็นระยะ เป็นพืชในเขตร้อนชื้นและที่ราบลุ่มซึ่งพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร ในประเทศไทยพบทั่วไปในป่าเบญจพรรณในทุกภาค พบมากบริเวณลุ่มที่ชื้น ใกล้แหล่งน้ำ รวมถึงพบได้ในป่าดิบชื้น และป่าพรุทางภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ยืนขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบต้นสูงประมาณ 20-30 เมตร ลำต้นอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 130 ซม.เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ขนาดใบ กว้างประมาณ 4-6 ซ.ม.ยาวประมาณ 8-12 ซ.ม ออกเรียงตรงข้าม แผ่นใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างเหนียว สีเขียวเข้มเป็นมัน ปลายใบ โคนใบ แหลม ขอบใบเรียบ.ก้านใบยาว 1-2 ซม.ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก เริ่มบานเป็นสีขาว บานเต็มที่เป็นสีเหลืองอมแสด ดอกมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลเดี่ยวรูปกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม.มีติ่งแหลมสั้นอยู่ปลายสุด ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมากสีน้ำตาลเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัดถึงแสงแดดรำไร ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ดินที่ขาดธาตุอาหารหรือเสื่อมโทรม ที่มีการระบายน้ำดีและ มีค่า pH ในช่วง 5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.5 อุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 20 - 30°c แต่ทนได้ 10 - 36°c ทนทานต่อความแห้งแล้งในระดับปานกลาง อัตราการเจริญเติบโต ช้า การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาต้มจากเปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้เพื่อรักษาสภาพเช่นมาลาเรีย ใช้บำรุงโลหิต ผิวหนัง ยาต้มกิ่งและใบใช้ในการควบคุมโรคบิดและท้องร่วงอย่างรุนแรง แก่นมีรสฝาด ใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก -วนเกษตร ต้นไม้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการปลูกป่าอย่างน้อยส่วนหนึ่งเนื่องจากความสามารถในการปราบปราม การปกคลุมวัชพืช บางภูมิภาคปลูกเพื่อควบคุมการพังทลายของดิน -ใช้ปลูกประดับ มักจะปลูกเป็นไม้ประดับและต้นไม้ให้ร่มเงาในสวนสาธารณะ -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้มีสีเหลืองอ่อนมีเสี้ยนตรง มีความละเอียด ตกแต่งได้ง่าย ลวดลายของเปลือกและเนื้อไม้มีความสวยงามเป็นพิเศษ และเหนียวทนทานแข็งแรงทนปลวกได้ดี ไม้สามารถอยู่ได้นานกว่าร้อยปี เหมาะแก่การนำมาใช้ก่อสร้าง เช่น การทำเสาเรือน เสาสะพาน กระดานปูพื้น และเฟอร์นิเจอร์ ความเชื่อ/พิธีกรรม--- กันเกราเป็น 1 ในไม้มงคล 9 ชนิด ที่นำมาใช้ประกอบพิธีในการปลูกสร้างบ้านเพื่อความเป็นมงคล คนโบราณเชื่อว่าปลูกกันเกราไว้ภายในบ้านช่วยป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วยคุ้มภัยให้แก่คนในบ้าน และขับไล่สิ่งอัปมงคล สำคัญ---ต้นไม้ประจำจังหวัดจังหวัดสุรินทร์และเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดนครพนม ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-มิถุนายน/มิถุนายน - กรกฎาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ชำราก เมล็ดสดจะมีชีวิต 65 - 80% และงอกใน 15 - 60 วันหรือมากกว่า
|
33 กุ่มน้ำ/Crateva religiosa
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Crateva religiosa G.Forst.(1786) ชื่่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2742384 ชื่อสามัญ---Crateva, Three leaved Caper, Sacred barma, Sacred garlic-pear, Three-leaved caper, Temple plant, Spider plant, March dalur. ชื่ออื่น---กุ่ม (เลย), อำเภอ (สุพรรณบุรี), ผักกุ่ม ก่าม(ตะวันออกเฉียงเหนือ); [BANGLADESH: Bannay, Barum, Baruna, Bonna, Pithagola, Tiktoshak.];[CAMBODIA: Tonliem];[CHINESE: Yu mu, Yiu tu chih.];[HINDI: Barna, Bila, Bilasi, Cinnavulimidi, Maredu];[INDIA: Barna, Baruna, Bidasi, Varvunna.];[INDONESIA: Jaranan, Barunday, Sibaluak.];[JAPAN: Gyo-boku]; [LAOS: Kumz.];[MALAYSIA: Kepayang Air (Malay).];[MYANMAR: Lè-seik-shin, Ka-tat.];[PHILIPPINES: Salingbobog (Bis., Tag.); Mokalbot, Kalaluñgau (Tag.), Banugan (Bis.); Duliñgaok (Pamp.); Balai-lamok, Balai-namok (Ilk.).];[PORTUGUESE: Alho-sagrado, Pé-de-morto, Tapiá, Arvore-aranha.];[SANSKRIT: Varuna, Ashmarighna, Ashmaghna];[TAMIL: Navala.];[THAILAND: Kum-nam, Aum phur, phak kum.];[VIETNAM: Bún thiêu, Bún lợ]. EPPO Code--- CVARE (Preferred name: Crateva religiosa) ชื่อวงศ์---CAPPRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิก Crateva religiosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Georg Adam Forster (1754 –1794)นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน (พฤกษศาสตร์ กีฏวิทยาและมานุษยวิทยา) ในปี พ.ศ.2329

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา“ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์” - https://www.queplantaeessa.com.br/tapia-crateva-religiosa/ - https://ayurwiki.org/Ayurwiki/Crateva_religiosa_-_Varuna ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย (กัมพูชา, อินเดีย, อินโดจีน, ญี่ปุ่น, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, ไทยและเวียดนาม) และแปซิฟิก (เฟรนช์โปลิเซีย, ไมโครนีเซีย, หมู่เกาะโซโลมอน) เปิดตัวในอเมริกาใต้ (เวเนซุเอลา) เติบโตในป่า ตามแนวชายฝั่งของลำธารน้ำจากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงประมาณ 700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 5-12 เมตร เปลือกต้นสีเทาอ่อน มีรูอากาศสีขาวขนาดใหญ่ กระจายและมีรอยย่นตามแนวขวาง เรือนยอดแผ่กระจายหรือรูปทรงกลม ใบประกอบแบบนิ้วมือเป็นกระจุกที่ปลายสุดของกิ่งมีก้านใบยาว 5- 10 ซม. ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ (trifoliate) รูปไข่หรือรูปหอก ยาว 7.5-12 ซม.กว้าง 4-6 ซม.ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอกดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 ซม.ดอกเริ่มบานแรกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล-ส้มตามอายุ เกสรเพศผู้มีความยาวประมาณ 6-8 ซม. มีสีแดงหรือสีม่วง ผลค่อนข้างกลมมีขนาดใหญ่ประมาณ 6-15 x 5.5-9.5 ซม.ก้านผลยาวประมาณ 12 ซม.เปลือกแข็ง สุกสีเทา มีเเมล็ดค่อนข้างใหญ่รูปไต 6-17 มม.ฝังอยู่ในเนื้อสีเหลือง ผลสุกมีกลิ่นฉุน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---กุ่มน้ำเป็นไม้กลางแจ้งชอบแดดเต็มวัน ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด ทนทานต่อความแห้งแล้งในระดับปานกลาง ใช้ประโยชน์ ---มักจะรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ -ใช้เป็นอาหาร ใบและยอดอ่อน - ปรุงและกินเป็นผัก นำมาดองและกินกับน้ำพริก ผลไม้กินเป็นครั้งคราวมักคั่ว ใช้เป็นเครื่องเทศเนื่องจากมีรสชาติและกลิ่นของกระเทียม -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือก ราก พืชถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายในการแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียสำหรับโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคของทางเดินปัสสาวะและในรูมาติก ในอินเดียใช้สำหรับเงื่อนไขการอักเสบและนิ่วในไต;- ในบังคลาเทศใช้เป็นยาแก้พิษ ใช้สำหรับความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ (หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ปอดบวม, ต่อมทอนซิลอักเสบและเจ็บคอ), โรคผิวหนัง (กลาก, ฝี, สิว, หิด, แผลเป็น, หูด),โรคระบบทางเดินอาหาร (บิด, ท้องผูก, ปวดท้อง, ขาดความอยากอาหาร) ปวดฟัน ;- ในเซเนกัลราก ใช้รักษาโรคซิฟิลิส ดีซ่านและไข้เหลือง -ใช้ปลูกประดับ มักใช้เป็นไม้ประดับสมุนไพรและอยู่ใกล้กับวัดและสุสาน -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้มีสีขาวเหลืองเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเมื่ออายุมาก เรียบและสนิทใช้งานง่าย ใช้ในท้องถิ่นเพื่อทำกลองและสิ่งประดิษฐ์ -ผลของกุ่มน้ำที่แก่บดผสมกับซีเมนต์ทำให้โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างแข็งแรงขึ้น เนื้อผลใช้เป็นสารกันบูดในการย้อมสี ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีความเชื่อว่าต้นไม้มีพลังลึกลับ จึงได้ปลูกไว้รอบๆ วัด -; ความเชื่อที่เป็นมงคล หากบ้านเรือนใดปลูกกุ่มน้ำนี้ไซร้ จะทำให้ครอบครัวและคนในบ้านมีฐานะ มีเงินมีทองเป็นกอบเป็นกำเป็นกลุ่มเป็นก้อน แนบแน่นมั่นคงเป็นหลักเป็นฐาน ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์-มิถุนายน ขยายพันธุ์--- ด้วยเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
34 กุ่มบก/Crateva adansonii subsp. trifoliata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Crateva adansonii subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs.(1964) ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2742340 ---Crateva erythrocarpa Gagnep.(1908) ชื่อสามัญ ---Sacred barnar, Sacred garlic pear, Temple plant, Caper tree ชื่ออื่น ---กุ่มบก (ภาคกลาง), ผักกุ่ม (ศรีสะเกษ);[CHINESE: Dun ye yu mu.];[INDIA: Sacred barna.];[MALAYALAM: Mavalingam.];[THAI: Kum bok (Central); Phak kum (Si Sa Ket).];[VIETNAM: Bún trái đỏ (Mắt núi).]. ชื่อวงศ์---CAPPARACEAE EPPO Code--- 1CVAG (Preferred name: Crateva) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---ประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตามเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ แอฟริกา Crateva adansonii subsp. trifoliata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hans J. Jacobs นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2507

ที่อยู่อาศัย แพร่กระจายใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -อินเดีย พม่า จีน (ไหหลำ ไต้หวัน ยูนนาน) กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย โพลินีเซีย หมู่เกาะโซไอเอตี จีนใต้ ; เขตร้อนแอฟริกา - มอริเตเนีย ไปยังเอธิโอเปียทางใต้ สู่แทนซาเนีย ซิมบับเวและมาดากัสการ์ พบที่ระดับความสูงใกล้ระดับน้ำทะเลถึง 300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง 5-12 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เปลือกต้นเรียบสีเทาเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ก้านใบยาว 7-9 ซม.ประกอบด้วยใบย่อย3ใบ ใบย่อยรูปรีกว้างประมาณ 4-6 ซม.ยาว 7.5-11ซม. โคนใบมน ปลายใบย้อยป้าน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมัน ขณะมีดอกใบจะร่วงหมดต้น ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะออกดอกตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ดอกสีขาวอมเขียวแล้วค่อยเปลี่ยนเป็น สีเหลือง เกสรสีม่วงแดงยาวกว่ากลีบดอก ผลรูปกลมรี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3.5 ซม.เปลือกมีจุดสีน้ำตาลอมแดง ผลแก่เปลือกเรียบ เมล็ดแข็งรูปคล้ายเกือกม้าจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินทรายลึกและดินร่วนปน แต่ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ดินชื้นสม่ำเสมอ ทนน้ำท่วมตามฤดูกาล

การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค -ใช้เป็นอาหาร-ใบอ่อน ยอดอ่อน ดอกอ่อน ของกุ่มน้ำและกุ่มบก นำมาดองกับน้ำเกลือรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกกระปิ น้ำพริกปลาร้า น้ำพิกตาแดง -ใช้เป็นยา เปลือกต้นใช้เป็นยาระงับประสาทและยาบำรุง ใบและเปลือกรากใช้ทาถูนวดให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากๆ ผล ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก ใบ บำรุงหัวใจ ขับลม ใบสด รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ราก บำรุงธาตุ เปลือกต้น เป็นยาขับลม แก่น รักษาริดสีดวงทวาร และอาการผอมเหลือง เจริญอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ -ใช้อื่น ๆไม้เนื้ออ่อนและสีเหลืองและมีกลิ่นแรงเมื่อตัด ใช้งานไม่ทนใช้ทำของเล่นชิ้นเล็กๆ อุปกรณ์เครื่องดนตรี งานแกะสลัก ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ในประเทศอินเดีย และโพลินีเซีย จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้รอบๆวัด และมีความเชื่อว่ามีพลังลึกลับแอบแฝง ต้นที่อยู่ในรูป2รูปข้างบนก็ถ่ายมาจากวัดเหมือนกัน คนไทยก็น่าจะเชื่อตามด้วย แต่น่าจะไม่เชื่อหมดเพราะรูปบนสุด ถ่ายที่ปั๊มป.ต.ท.หน้า outlet ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-กรกฎาคม-ผลแก่ พฤษภาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์ --- เมล็ด
|
|
35 กระทุ่ม/Neonauclea purpurea

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Neonauclea purpurea (Roxb.) Merr.(1917.) ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-133994 --- Anthocephalus chinensis (Lamk) A. Rich. ex Walp ชื่อสามัญ ---Purple neo-cheesewood, Wild cinchona.(1843 ) ชื่ออื่น ---ตะกู (จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, สุโขทัย), ตะโกใหญ่ (ตราด), ตุ้มพราย, ทุ่มพราย (ขอนแก่น), กระทุ่มบก กระทุ่มก้านยาว (กรุงเทพ), ตะโกส้ม (ชัยภูมิ, ชลบุรี), แคแสง (ชลบุรี), โกหว่า (ตรัง), กรองประหยัน (ยะลา), ตุ้มก้านซ้วง ตุ้มก้านยาว ตุ้มเนี่ยง ตุ้มหลวง (ภาคเหนือ), กระทุ่ม (ภาคกลาง, ภาคเหนือ), ตุ้มขี้หมู (ภาคใต้) ;[KANNADA: Ahnan.];[MALAYALAM: Manjanirkadambu.];[THAI: Krathùm.];[VIETNAMESE: Cây Gáo đỏ, Vàng kiền.] [TRADE NAME: Labula]; EPPO Code--- 1NOKG (Preferred name: Neonauclea) ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้-เนปาล บังกลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย พม่า จีน ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี Neonauclea purpurea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยElmer Drew Merrill (1876–1956)นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2460

ที่อยู่อาศัย เป็นพืชเฉพาะถิ่นในมาดากัสการ์ มีถิ่นกำเนิดในเอเซีย พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง ตามหุบเขาหรือริมลำธารที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500-1,500 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ลักษณะ กระทุ่มเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ สูงประมาณ 15-30 เมตร ต้นอ่อนมีลำต้นตรงยาวกิ่งด้านข้างกางออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอดและขนานกับพื้นดิน ต้นแก่โตเต็มที่ บางครั้งมีพูพอน เรือนยอดเป็นรูปไข่ ทรงพุ่มกลมแน่นเปลือกต้นสีน้ำตาลเทาอ่อน ผิวเรียบ ต้นแก่ผิวหยาบและหลุดลอกเป็นแผ่น เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อน ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ฐานใบไม่สมมาตร กว้าง 5-14 ซม. ยาว10-30 ซม.ใบอ่อนสีเขียวอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสีขาวปนเหลืองหรือสีส้ม มีกลิ่นหอมกรุ่นอ่อนๆออกเป็นช่อกระจุกแน่นลักษณะกลมเดี่ยวไม่เกิน2ช่อเมื่อ แก่จะกลายเป็นสีเหลืองเข้ม ผลกลุ่มรูปกลมขนาด3.5-5ซม.ผลอ่อนสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อ แตกออกได้เป็นสี่เสี้ยว มีเมล็ดแบนมีปีกจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ดินร่วนระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---กระทุ่ม หรือ "ตะกู"เป็นไม้โตเร็วจัดอยู่ในประเภท "ไม้โตเร็วมาก" ต้นสูง เปลาตรงง่ายต่อการแปรรูป ได้ปริมาณเนื้อไม้ต่อต้นสูง ได้ขนาดและความยาวตามต้องการ ทนน้ำท่วมขัง และสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้หลังน้ำลด และเมื่อตัดโค่นแล้วสามารถงอกขึ้นใหม่ได้อีก ทำให้ไม่ต้องปลูกต้นกล้าหลายรอบ อีกอย่างหากมีอายุ 2 ปีขึ้นไปจะทนต่อสภาวะน้ำท่วมและโดนไฟป่าไม่ตาย นิยมปลูกเป็นสวนป่าเพื่อการใช้สอยและปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจและไม้เศรษฐกิจ -ใช้เป็นยา ใบและเปลือกลดความดัน ผลใช้เป็นยาฝาดสมานแก้โรคท้องร่วง ใบและเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ รักษาโรคในลำไส้ แก้อาการปวดมดลูก น้ำต้มจากใบและเปลือกต้น ใช้อมกลั้วคอแก้อาการอักเสบในปาก -ใช้อื่นๆ เนื้อไม้ที่ละเอียด สีเหลืองหรือสีขาว ใช้ในงานทั่วไปงานก่อสร้างเล็กๆสามารถนำมาใช้ทำพื้นและฝาที่ใช้งานร่ม หรือนำมาใช้ทำกล่อง ทำอุปกรณ์หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มีน้ำหนักเบา และยัง นำมาใช้ทำเป็นเยื่อกระดาษได้ ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นสัญลักษณ์ของพระวิษณุ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล ---มิถุนายน-กันยายน/ ขยายพันธุ์ ---เมล็ด
|
|
36 กระทิง/Calophyllum inophyllum.

ชื่อวิทยาศาสตร์---Calophyllum inophyllum L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2693350 ---Balsamaria inophyllum (L.) Lour.(1790) ---Calophyllum bintagor Roxb.(1824) ---Calophyllum blumei Wight.(1840 ) ---Calophyllum wakamatsui Kanehira,(1934) ชื่อสามัญ---Alexandrian Laurel, Bornero mahogany, Indian laurel, Beautiful-leaf, Indian doomba oiltree, Satin touriga, Tacamahac-tree, Sweet-scented calophyllum, Beach mahogany. ชื่ออื่น---กระทิง, สารภีทะเล, สารภีแนน; [AYURVEDA: Punnaaga, Tunga, Sultaan champaa, Naagchampaa, Raajchampaa.];[BANGLADESH: Ponyal.];[BENGALI: Kathchampa, Punnang, Sultanachampa.];[CHINESE: Hu tong.];[DUTCH: Zee-bintangor-boom.];[FIJI: Dilo.];[FRENCH: Loureiro de Alexandria, Takamaka, Takamaka bord de mer, Tamanou.];[GERMAN: Alexandrinischer Lorbeer, Ostindischer Takamahakbaum, Rosenholz, Wohlriechendes Schönblatt.];[HAWAII: Kamani, Kamanu, Foraha, Tamanu.];[HINDI: Sultan-champa, Surpunka, Undi.];[INDONESIA: Bintangor laut; Nyamplung (Javanese and Sundanese); Dingkaran (Sulawesi); Punaga, Penago (Sumatra).];[KANNADA: Hona, Hone, Honne kaayi mara, Mara, Surahonne ponne, Voma, Uma.];[MALAYALAM: Betan, Cerupunna, Pine, Ponna.];[MALAYSIA: Penaga laut, Bentagor bunga, Bintagor, Bintangor laut, Enaga, Penaga air (Malay); Pudek, Senaga.];[MARATHI: Nagchampa, Pumag, Surangi, Undag, Undi.];[MYANMAR: Ponnyet, Ph'ong.];[PAPUA NEW GUINEA: Beach calophyllum.];[PHILIPPINES: Bitaog, Bitok, Bitong, Butulau, Dagkalan, Palo maria de la playa (Tagalog); Pamitaogen (Iloko); Vutalau (Ivatan).];[PORTUGUESE: Loureiro-de-Alexandria, Pau-de-Santa-Maria, Pau-Maria, Tamanu.];[SANSKRIT: Namaeruak, Panchakaeshera, Punnaman, Tunga.];[SEYCHELLES: Takamaka.];[SIDDHA/TAMIL: Punnai, Punnagam.];[SINHALA: Domba.];[SPANISH: Palo maría, Palo de Santa María, Tamanou.];[TAMIL: Arttakecam, Cayantakam, Koppika, Pinnai, Punnakam, Tevali.];[TELUGU: Naameru, Puna, Pumagamu.];[THAI: Kating, Kra ting (General); Saraphee naen (Northern); Naowakan (Nan).];[VIETNAM: Cong, mù.];[TRADE NAME: Beach calophyllum, Poon.]. EPPO Code--- CMUIN (Preferred name: Calophyllum inophyllum) ชื่อวงศ์---CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---ทุกภูมิภาคเขตร้อนของโลก Calophyllum inophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด(Clusiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัยถิ่นกำเนิด-แอฟริกาใน คอโมโรส ; เคนยา ; มาดากัสการ์ ; มอริเชียส ; โมซัมบิก ; เซเชลส์ ; แทนซาเนีย-เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกใน: บังคลาเทศ ; กัมพูชา ; จีน (บนไหหลำ ); อินเดียตอนใต้ หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์อินโดนีเซีย ; ญี่ปุ่น ( หมู่เกาะริวกิว ); มาเลเซีย ; พม่า; ปาปัวนิวกินี ; ฟิลิปปินส์ ; ศรีลังกา ; ไต้หวัน ; ประเทศไทย ; เวียดนาม ;-โอเชียเนีย หมู่เกาะคุก ; ฟิจิ ; เฟรนช์โปลินีเซีย; กวม ; หมู่เกาะมาร์แชลล์ ; ไมโครนีเซีย ; หมู่เกาะมาเรียนาเหนือ ; ปาเลา ; และซามัว ; และออสเตรเลียใน: นอร์เทิร์นเทร์ริทอรีและควีนส์แลนด์. ตอนนี้ได้รับการปลูกอย่าง กว้างขวางในทุกภูมิภาคเขตร้อนของโลก มักพบตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดหินและทรายที่ระดับความสูงถึง 200 เมตร ลักษณะ กระทิง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบอาจสูงถึง 20-35 เมตร เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มหนาทึบไม่เป็นระเบียบ ลำต้นค่อนข้างสั้นและกิ่งก้านมักคดงอ เปลือกของลำต้นค่อนข้างเรียบเกลี้ยงไม่ตกสะเก็ดเหมือนสารภี นี่เป็นข้อแตกต่างข้อหนึ่ง เนื่องจากเป็นไม้วงศ์เดียวกัน ดูผิวเผินจะคล้ายกันมาก เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มปนเทาหรือค่อนข้างดำ ทุกส่วนของพืชมีน้ำยางข้นสีเหลืองเหนียว ใบ หนาค่อนข้างแข็งเหนียวเป็นสีเขียวเข้มเป็นมันวาวเรียบเกลี้ยง ขนาดของใบกว้าง5-8ซม.ยาว10-17ซม. ใบรูปไข่มนกว้าง เส้นใบเป็นเส้นตรงขนานกันถี่มากและเกือบทำแนวขวางกับใบ ดอก ออกเป็นช่อ แบบช่อกระจะออกตามปลายกิ่ง โคนก้านใบ มีดอกย่อย5-7 ดอก ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม กลีบดอก5กลีบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ผลขนาด2-2.5ซม.ทรงกลม เปลือกเหนียวและหนา ข้างในมีเนื้อ ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ดินร่วนปนทรายและมีการระบายน้ำดี อย่างไรก็ตามมันทนต่อดินเหนียว ปูน และหิน ค่า pH ในช่วง 5.5 - 7 ทนได้ 5 - 8 ศัตรูพืช/โรคพืช---ได้รับผลกระทบจากโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อราLeptographium calophylliซึ่งทำให้ต้นตาย ด้วงCryphalus trypanus เป็นพาหะของเชื้อโรค

การใช้ประโยชน์--- พืชเอนกประสงค์ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งวัสดุ น้ำมันจากเมล็ดมีการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในฐานะน้ำมัน tamanu oil หรือ foraha oil -ใช้เป็นยา ทุกส่วนของพืชทั้งหมดมีคุณสมบัติเป็นยา ใช้ในการแพทย์แผนโบราณในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น การใช้งานจำนวนมากเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนโดยการวิจัยสมัยใหม่ น้ำมันเมล็ดใช้ภายนอกเป็นยาแก้ปวดกับโรคไขข้อและปวดตะโพกและเป็นยาแก้บวม, แผล, หิด, กลาก, ฝีและอาการคัน-ใช้ผสมทำเครื่องสำอางในพื้นถิ่นเรียกว่าTamanu Oilน้ำมันนี้ถูกใช้โดยชาวตาฮิติและประชากรอื่น ๆ ในแปซิฟิกใต้ ในฐานะที่เป็นครีมกันแดดและรักษาผิวตามธรรมชาติจากสภาพผิวที่เสียหายเช่น ผิวแห้งขาดน้ำ โรคผิวหนัง กลาก ผื่น สิว ป้องกันรังสี UVA และ UVB ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อใหม่จะช่วยฟื้นฟูไขมันในผิวหนังซึ่งช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก ส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติทางชีวภาพของน้ำมันทามานูนั้นได้ถูกนำเสนอโดยมุ่งเน้นการใช้งานแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการประเมินมูลค่าสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง Coumarins ที่แยกได้จากใบและเมล็ดแสดงให้เห็นว่าเป็นสารยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีชนิดที่ 1 พวกเขาอาจมีค่าในฐานะสารป้องกันมะเร็งเคมีบำบัด -วนเกษตร ปลูกเป็นต้นไม้ให้ร่มเงา ป้องกันลมและปลูกประดับใช้จัดสวนทั่วไปและ ยังใช้ในการเลี้ยงผึ้ง -ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีชมพูถึงน้ำตาลแดง ทนต่อเชื้อราและปลวกได้พอสมควร เนื้อไม้แห้งช้าเสี่ยงกับการบิด เมื่อแห้งแล้วจะเสถียวในการใช้งาน ไม่แนะนำให้ใช้ไม้ซุงนี้ยาวเกิน 3 เมตรเพราะมักจะงอ ใช้สำหรับการก่อสร้างเรือแคนูและเรือเล็กเสากระโดงกระดูกงู ใช้สำหรับการก่อสร้างงานช่างไม้พื้นบันไดงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรี น้ำมันจากเมล็ดใช้ทำผ้ากันน้ำและใช้เป็นสารเคลือบเงา ในสมัยก่อนสารสกัดจากผลไม้ถูกนำมาใช้ในการทำสีย้อมสีน้ำตาลกับผ้าสี น้ำมันยังสามารถใช้ทำสบู่ ผลสุกถูกเผาเป็นยาขับไล่ยุง รู้จักอันตราย--- สารประกอบที่เป็นพิษอาจมีอยู่ในผลไม้สุก ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอกติดผล ---ตลอดปี ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ตอนกิ่ง
|
|
37 กระบก/Irvingia malayana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn.(1875) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2866799 ---Irvingella harmandiana Tiegh.(1905) ---Irvingella malayana (Oliv. ex A.W.Benn.) Tiegh.(1905) ชื่อสามัญ---Barking deer’s mango, Wild almond, African Mango Irvingia ชื่ออื่น---กระบก, กะบก, จะบก, ตระบก (ภาคกลาง); จำเมาะ (เขมร); ซะอัง (ชอง-ตราด); บก, หมักลื่น, หมากบก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะมื่น, มื่น (ภาคเหนือ); มะลื่น (นครราชสีมา, สุโขทัย); หลักกาย (ส่วย-สุรินทร์) ;[INDONESIA: Pauh kijang.];[KHMER: Cham mo.];[MALAY: Kayu batu, Pau kijang, Pau kijaang, Pauh kijang, Selangan tandok.];[THAI: Bok, Cha bok, Krabok, Kabok, Lak kai, Ma luen, Ma muen, Mak bok (North-Eastern Thailand); Mak luen, Muen (Northern Thailand), Sa ang, Tra bok (Central Thailand).];[VIETNAM: Kơ nia.]. EPPO Code---IRVMA (Preferred name: Irvingia malayana) ชื่อวงศ์---IRVINGIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้-อินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Irvingia เป็นเกียรติแก่ EG Irving (1816–1855) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ; ชื่อสายพันธุ์ 'malayana'มาจากภาษาละตินหมายถึง "มลายู" Irvingia malayana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระบก (Irvingiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยDaniel Oliver (1830–1916)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Alfred William Bennett (1833–1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2418

ที่อยู่อาศัย เติบโตตามธรรมชาติในอินโดจีนและมาเลเซีย พบในป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ตามป่าเต็งรังผสมจากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 150-300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ ขนาดใหญ่ พบในภาคต่างๆทั่วประเทศไทย กระบกสูงได้ถึง 35เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 2 เมตร เรือนยอดทึบแผ่กว้าง ลำต้นหนา เปลาตรงโคนต้นเป็นพูพอนขนาดใหญ่ เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด เปลือกชั้นในสีส้มอ่อน ใบเดี่ยวขนาดกว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 7-12 ซม.เรียงสลับแบบวนรอบ รูปมนรีปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างมักมีนวลสีเขียวเทา หูใบเรียวม้วนหุ้มยอด ดอกขนาด0.6ซม.สีขาวอมเขียว ออกเป็นกลุ่มช่อแบบช่อกระจะสั้นๆในซอกใบ ดอกมักออกก่อนจะเกิดใบชุดใหม่ ดอกร่วงอย่างรวดเร็ว กลีบเลี้ยง5กลีบเชื่อมกัน กลีบดอก5กลีบยาวเป็น3เท่าของกลีบเลี้ยง เกสรผู้10อัน ติดกับขอบนอกของหมอนรองดอก ผลเมล็ดเดียว ขนาด 4-6 ซม.สีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุกภายในมีเนื้อสีส้ม ผลห้อยมีก้านยาวคล้ายๆกับมะม่วงขนาดเล็ก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ ดินร่วนอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและเป็นแหล่งของน้ำมันและไม้ -ใช้กิน ผลไม้มีรสหวาน เมล็ด - ดิบหรือสุก เนื้อในเมล็ดนำมาคั่วกินได้ -ใช้เป็นยา ในอินโดนีเซียสารสกัดเปลือกลำต้นใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาโรคมะเร็งและ มาลาเรีย -ใช้ปลูกประดับ ตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป -อื่น ๆ เนื้อไม้แข็งแต่ใช้งานยาก คุณภาพต่ำไม่ทนทาน ส่วนมากใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่านอย่างดี หรือใช้ทำเครื่องเรือนและอุปกรณ์การเกษตร ผลไม้เป็นที่ชื่นชอบของสัตว์ป่า -เมล็ดเป็นแหล่งของน้ำมันที่ไม่ทำให้แห้งซึ่งเรียกว่า 'cay-cay fat' มีศักยภาพที่จะใช้ในอาหาร ใช้ทำสบู่ เทียน และมีการศึกษาอย่างกว้างขวางเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงดีเซล ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011 ระยะออกดอก---มกราคม-มีนาคม ขยายพันธุ์ --- เมล็ด
|
38 กระเบา/Hydnocarpus anthelminticus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydnocarpus anthelminticus Pierre ex Lanes.(1866) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Chaulmoogra Tree, Siamese chaulmoogra. ชื่ออื่น--- กระเบา (ทั่วไป); กระเบาค่าง (ยะลา); กระเบาแดง (ตรัง); กระเบาตึก (เขมร-ภาคตะวันออก); กระเบาน้ำ, กระเบาเบ้าแข็ง, กระเบาใหญ่, กาหลง (ภาคกลาง); ตัวโฮ่งจี๊ (จีน); เบา (สุราฎร์ธานี); เบาดง (สตูล); มันหมู (ตรัง); หัวค่าง (ภาคใต้);[CHINESE: Tai guo da feng zi, Da feng zi (Taiwan).];[FRENCH: Hydnocarpus du Cochin.];[ITALIAN: Hydnocarpus, Lukrabo.];[JAPANESE: Daifuushi no ki.];[MALAYSIA: Setumpul, Setumpol (Malay).];[THAI: Bao (Surat Thani); Bao dong (Satun); Krabao (General); Krabao bao khaeng (Central); Krabao daeng (Trang); Krabao yai (Central); Krabao khang (Yala); Kra-bao-tuek (Khmer-Eastern); Krabao nam (Central); Ka long (Central); Tua-hong-chi (Chinese); Man mu (Trang); Hua khang (Peninsular).];[VIETNAM: Chùm bao lớn, Đại phong tử, Lọ nồi]. EPPO Code--- HDCAN (Preferred name: Hydnocarpus anthelmintica) ชื่อวงศ์---ACHARIACEAE (FLACOURTIACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ภูมิภาคอินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Hydnocarpus รากศัพท์จากภาษากรีก uδνον (hýdnon) = ฟองน้ำและ χαρπoς (karpós) = ผลไม้ Hydnocarpus anthelminticus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กะเบา (Flacourtiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสจากอดีต Jean Marie Antoine de Lanessan (1843–1919) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2409

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดมาจากพม่า พบในจีนตอนใต้ (กวางสี , ยูนนาน , ปลูกในมณฑลไห่หนานและไต้หวัน) กัมพูชาไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ พบได้ทั่วไปในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ป่าฝนหรือ ป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 300 - 1,300 เมตร ในประเทศไทยพบกระจายทุกภาค ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึง 1600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-20 เมตรไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทาน้ำตาล เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบรูปไข่แกมรูปหอก 10-20 × 3-8 ซม., ใบหนาเกลี้ยง ก้านใบยาว0. 5-1.5 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) มีกระเบาต้นตัวผู้ ดอกมีกลิ่นหอม เรียกว่า "แก้วกาหลง" ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อสั้นๆตามง่ามใบ ดอกสีชมพู กลีบรองดอกและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลกลมใหญ่ ขนาด5-10ซม ผิวเรียบมีขนสีน้ำตาลแดง ผนังผลชั้นกลางหนาประมาณ 1 ซม. เมล็ดยาว 2 ซม. มีขนยาว ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการดินทรายหรือดินร่วนปนทรายเนื้อดีและเติบโตได้ดีที่สุดตามลำห้วยหรือบนฝั่งลำธาร การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและเพื่อการค้า ใช้ เป็นอาหารและแหล่งที่มาของเส้นใย มันถูกปลูกฝังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในแอฟริกาตะวันตกสำหรับน้ำมันเมล็ด และยังใช้เป็นไม้ประดับ -ใช้กิน เนื้อผลกินได้ -ใช้เป็นยา เป็นหนึ่งในสมุนไพรพื้นฐาน 50 ที่ใช้เป็นยาในการแพทย์แผนจีนซึ่ง มีชื่อว่า Dà Fēng zǐ ;- น้ำมันจากเมล็ดที่รู้จักกันในชื่อ Lukrabao หรือน้ำมัน Chaulmoogra ใช้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษาสภาพผิวที่หลากหลายรวมถึงโรคเรื้อน ใช้เฉพาะที่ในการรักษาเท้าช้าง, โรคไขข้อ, เคล็ดขัดยอก, ฟกช้ำ ปวดตะโพกและหน้าอก เปลือกไม้ที่ใช้ในการรักษาไข้-; ในประเทศไทยใช้เมล็ดแก่นำไปหีบทำน้ำมันทาแก้โรคผิวหนัง และวัณโรค สมัยก่อนมักนิยมนำมาใช้สำหรับรักษาโรคเรื้อน ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว ยังช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง รักษาโรคผิวหนังเรียกได้ว่าแทบทุกชนิด คุดทะราด และโรคผิวหนังผื่นคัน -ใช้อื่น ๆ ไม้มีสีขาว มักใช้เฉพาะกับอาคารบ้านเรือน (เสา) การก่อสร้างหนักชั่วคราวเสารั้ว วงกบประตูและหน้าต่าง-เมล็ดนั้นเป็นแหล่งของน้ำมันที่ไม่ทำให้แห้ง มันใช้สำหรับให้แสงสว่างเพื่อทำสบู่และยา เปลือกที่ทำจากเส้นใยใช้เป็นสายระนาบ รู้จักอันตราย---แม้ว่าเราจะไม่เห็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสปีชีส์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกในประเภทนี้มักมีไซยาโนเนติก glycosides แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากสิ่งนี้ถูกใช้เป็นยาเพื่อกระตุ้นการหายใจและปรับปรุงการย่อยอาหาร มันถูกอ้างว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกินอาจทำให้หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม - สิงหาคม ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด หว่านทันทีที่สุก ซึ่งมักจะงอกเร็ว การงอกของเมล็ดที่เก็บไว้อาจทำได้ช้า โดยบางชนิดในสกุลอาจใช้เวลานานถึง 2 ปี เพาะเมล็ดในที่ร่มในแปลงเพาะเมล็ดและให้ความชุ่มชื้น ปลูกบนกล้าไม้ในที่ร่มจนโตพอที่จะย้ายปลูกในตำแหน่งถาวร
|
39 กระเบากลัก/Hydnocarpus ilicifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydnocarpus ilicifolia King.(1896) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-4855510 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กระเบากลัก (สระบุรี); กระเบาซาวา (เขมร-กาญจนบุรี); กระเบาพนม (เขมร-สุรินทร์); กระเบาลิง (ทั่วไป); กระเบาหิน (อุดรธานี); กระเบียน (จันทบุรี); กระเรียน (ชลบุรี); ขี้มอด (จันทบุรี); คมขวาน (ประจวบคีรีขันธ์); จ้าเมี่ยง (สระบุรี, แพร่); ดูกช้าง (กระบี่); บักกราย, พะโลลูตุ้ม (มาเลย์-ปัตตานี); หัวค่าง (ภาคใต้) ; [THAI: Krabao klak (Saraburi); Kra-bao-sa-wa (Khmer-Kanchanaburi); Kra-bao-pha-nom (Khmer-Surin); Krabao ling (General); Krabao hin (Udon Thani); Krabian (Chanthaburi); Krarian (Chon Buri); Khi mot (Chanthaburi); Khom khwan (Prachuap Khiri Khan); Cha miang (Saraburi, Phrae); Duk chang (Krabi); Bak-krai (Malay-Pattani); Pha-lo-lu-tum (Malay-Pattani); Hua khang (Peninsular).]; [VIETNAM: Lọ nồi ô rô]. EPPO Code---1HDCG (Preferred name: Hydnocarpus) ชื่อวงศ์---ACHARIACEAE (FLACOURTIACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Hydnocarpus รากศัพท์จากภาษากรีก uδνον (hýdnon) = ฟองน้ำและ χαρπoς (karpós) = ผลไม้ Hydnocarpus ilicifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กะเบา (Flacourtiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียในปี พ.ศ.2439

ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพรรณไม้หลักของป่าดิบแล้งและป่าเบณจพรรณชื้น ป่าใกล้ชายทะเลบริเวณใกล้เขาหินปูนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 20-400เมตร ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยมักขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามเขาหินปูน และใกล้ชายทะเล บนพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงประมาณ 800 เมตร ลักษณะ ของกระเบากลัก เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูง 15-20เมตร ลำต้นส่วนใหญ่เปลาตรงเปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมแดง ผิวเรียบ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยง กลิ่นเหม็นเขียว ใบ เดี่ยวเรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมใบหอก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-7.5 ซม. และยาวประมาณ 7.5-16 ซม. เนื้อใบหนาเกลี้ยงเป็นมัน โคนใบมนหรือเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบจักฟันเลื่อยห่าง เห็นได้ชัดในใบอ่อน ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.5 ซม.ดอกสีเขียวอ่อน แยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ช่อละประมาณ 2-10 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1.5 ซม.มีขนสีน้ำตาลแดง ดอกย่อยเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอมเขียว กลีบดอกมี 4 กลีบรูปขอบขนาน ปลายตัด ความยาวไล่เลี่ยกับกลีบเลี้ยง มีขนที่ปลายกลีบ ด้านนอกเกลี้ยง ที่โคนก้านในมีเกล็ดรูปเกือบสี่เหลี่ยม ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มม. ดอกเพศผู้มีเกสรประมาณ 14-20 อัน ก้านชูอับเรณูสั้น มีขน ส่วนดอกเพศเมีย จะมีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์จำนวน 15 อัน รังไข่เป็นรูปไข่ มีขนสีน้ำตาลแดง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 4 แฉก ผลกลมแข็งขนาด4-8ซม.ผิวมีขนนุ่มเป็นกำมะหยี่สีดำ ผลหนึ่งๆมีเมล็ด10-15 เมล็ด เมล็ดรูปไข่ ขนาดกว้างประมาณ 1-1.5ซม.ยาวประมาณ 1.3-2.2 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี เจริญเติบโตได้ดีที่สุดตามลำห้วยหรือริมลำธาร ใช้ประโยชน์ -ใช้กิน เนื้อในผลกินได้ ลิงชอบเป็นพิเศษ -ใช้เป็นยา ผลใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคเรื้อน มะเร็ง คุดทะราด- เมล็ดให้น้ำมันที่เหมาะแก่การบำบัด โรคผิวหนัง ทำยาถ่ายพยาธิ แก้โรคเรื้อน แก้วัณโรค -รากและเนื้อไม้ใช้เป็นยาดับพิษทั้งปวง แก้เสมหะเป็นพิษ -ใบใช้เป็นยาแก้พิษบาดแผล ฆ่าพยาธิบาดแผล และแก้กลากเกลื้อน -ใช้จัดสวน กระเบากลักมีเรือนยอดกลมใบหนาให้ร่มเงาได้ดี ใช้ปลูกตกแต่งบริเวณบ้าน ที่ทำการ สวนหย่อมสาธารณะได้เป็นอย่างดี -ใช้อื่นๆ เนื้อไม้แปรรูป ใช้ทำกระดาน ด้ามเครื่องมือ เครื่องแกะสลัก ทำฟืนและถ่าน เมล็ดใช้ทำสบู่ รู้จักอันตราย---แม้ว่าเราจะไม่เห็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสปีชีส์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกในประเภทนี้มักมีไซยาโนเนติก glycosides แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากสิ่งนี้ถูกใช้เป็นยาเพื่อกระตุ้นการหายใจและปรับปรุงการย่อยอาหาร มันถูกอ้างว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกินอาจทำให้หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน – พฤษภาคม/ผลแก่ กรกฎาคม- สิงหาคม การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เพาะเมล็ด หว่านทันทีที่สุก ซึ่งมักจะงอกเร็ว การงอกของเมล็ดที่เก็บไว้อาจทำได้ช้า โดยบางชนิดในสกุลอาจใช้เวลานานถึง 2 ปี เพาะเมล็ดในที่ร่มในแปลงเพาะเมล็ดและให้ความชุ่มชื้น ปลูกบนกล้าไม้ในที่ร่มจนโตพอที่จะย้ายปลูกในตำแหน่งถาวร
|
40 กระโดน/Careya arborea

ชื่อวิทยาศาสตร์---Careya arborea Roxb.(1819) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Careya sphaerica Roxb.(1824) ---(More). See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-313601 ชื่อสามัญ---Ceylon oak, Tummy-wood, Patana oak, Slow- Match Tree, Wild Guava, Ceylon Oak. ชื่ออื่น--กระโดน (ภาคกลาง, ภาคใต้); กะนอล (เขมร); ขุย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); แซงจิแหน่, เส่เจ๊อะบะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ปุย (ภาคเหนือ, ภาคใต้); ปุยกระโดน (ภาคใต้); ปุยขาว, ผ้าฮาด (ภาคเหนือ); พุย (ละว้า-เชียงใหม่); หูกวาง (จันทบุรี) ;[ARABIC: Jazar-ul-Shaitan.];[ASSAMESE:Kumari, Kumbhi, Kumrega, Panibhela, Kum Kumari, Pani-bhela.];[AYURVEDA: Katabhi, Kumbhika, Kumbhi, Kumbi, Kaitrya, Kumudikaa.];[BENGALI: Kamber.];[HINDI: Kumbhi, Pilu.];[INDIA: Alam, Araya, Ayma, Kumbi, Pelu.];[KANNADA: Daddala, Kavalu mara, Kaval.];[KHMER: Kandaol.];[MALAYALAM: Alasoo, Aalam, peezh.];[MALAYSIA: Putat- kedang.];[MARATHI: Kumbhi.];[MYANMAR: Sangawn-gmawt.];[SANSKRIT: Avima, Kumbha, Kumbhi, Katabhi, Pelaimaram.];[SIDDHA/TAMIL: Kumbi, Ayma.];[SRI LANKA: Kahata, Kachaddai.];[TAMIL: Avima, Kumpi, Kachaddai, Pelaimaram, Puta-tanni-maram.];[TELUGU: Araya, Budatadadimma, Budatanevadi, Buddaburija, Gadava.];[THAI: Kradon (Central, Peninsular); Ka-non (Khmer); Khui (Karen-Kanchanaburi); Se-choe-ba, Saeng-chi-nae (Karen-Mae Hong Son); Pui (Peninsular, Northern); Pui kradon (Peninsular); Pui khao, Pha hat (Northern); Phui (Lawa-Chiang Mai); Hu kwang (Chanthaburi).]. [TRADE NAME: Careya, Kumbi.] EPPO Code--- CBRAR (Preferred name: Careya arborea) ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา เนปาล พม่า ไทย ลาว มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุล Careya ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นหมอสอนศาสนาในอินเดียWilliam Carey (1761-1834) Careya arborea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2362
|
|
 |
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอัฟกานิสถาน อนุทวีปอินเดียและอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโล่ง รวมทั้งป่าเบญจพรรณและป่าแดงทั่วทุกภาค ในระดับความสูง 50-500 เมตร ลักษณะ กระโดนเป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 8-20 เมตร ลำต้นเปลาตรงมีกิ่งก้านสาขามาก เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลปนเทาหรือปนดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดทั่วไป ใบเดี่ยว รูปไข่กลับเรียงเวียนสลับตามปลายกิ่งขนาดใบกว้างประมาณ 8-14 ซม.ยาว15-30 ซม. ขอบใบหยักมน ปลายใบมน ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ประมาณ 5-6 ซม.สีขาวหรือสีเขียวอ่อนออกเป็นช่อตามกิ่งหลังผลิใบใหม่ มีเกสรเพศผู้ยาวเป็นฝอยจำนวนมากสีแดงหรือม่วงยาวเป็น2เท่าของกลีบดอก ดอกบานตอนกลางคืนและร่วงตอนเช้าตรู่ของวันถัดไป ผล อวบน้ำมีเนื้อมาก เปลือกหนาขนาดประมาณ 5-6.5 ซม. สีเขียวสดเมื่อสุกสีน้ำตาล มีก้านเกสรตัวเมียและกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดแบนยาวประมาณ 1 ซม.สีน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบมีเยื่อหุ้มเมล็ด มีจำนวนเมล็ดมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินที่เต็มไปด้วยทรายหรือแม้กระทั่งหินและทนความแห้งแล้งได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---Bactrocera kandiensis (แบคทีเรีย แคนเดียนซิส) /Cricula trifenestrata (หนอนล้างชา), Trirachys holosericeus (หนอนเจาะลำต้นแอปเปิ้ล) ใช้ประโยชน์ --ใช้กิน ยอดอ่อน ดอกอ่อน เมล็ดอ่อน กินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก รส ฝาดมัน -ใช้เป็นยา พืชชนิดนี้เป็นยาสมุนไพรยอดนิยมในอินเดียซึ่งมักจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและการค้า ส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ใช้ในการแพทย์แบบอายุรเวท เรีกว่า 'kumbhi' เปลือกลำต้นและดอกเป็นสมุนไพรทำยาหลายตำรับ สรรพคุณของเปลือกใช้แก้อาการจุกเสียด, ท้องอืด , ท้องผูก, ปวดท้อง, ไอ, ผื่นไข้ ใช้เป็นยาทำความสะอาดบาดแผล รักษาโรคผิวหนังได้ดี โรคบิด หน้าบวม -ผลไม้แห้ง มีกลิ่นหอม รสฝาดใช้เป็นยาขับลมในท้อง-ใบไม้ป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร-; ในกัมพูขา เปลือกใช้รักษางูกัด ใบช้รักษาแผลเปื่อย-; แพทย์พื้นบ้านใช้เปลือกต้นเป็นยาสมาน ดอกใช้บำรุงสตรีหลังคลอด ผลช่วยการย่อยอาหาร -ใช้ปลูกประดับ ใบที่มีสีสันและลักษณะการเติบโตที่รวดเร็วทำให้พืชชนิดนี้เหมาะสำหรับการปลูกไม้ประดับให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะและตามที่พักอาศัย แต่เนื่องจากผลไม้มีรูปร่างกลมและหนักจึงต้องมีการวางแผนเลือกตำแหน่งที่ปลูกอย่างรอบคอบ -อื่น ๆ แก่นไม้สีแดงอ่อนถึงน้ำตาลแดงเข้มในต้นไม้ที่มีอายุมาก ไม้ที่ใช้ส่วนใหญ่ในอินเดียและพม่า เนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้าง เสาบ้าน กระดานปูพื้น ทำเฟอร์นิเจอร์ ในอดีตใช้ทำลำกล้องปืน หมอนรถไฟ ทำเครื่องเรือน ทำเรือ ทำครกสาก ทำเกวียน เป็นไม้เนื้อแข็งใช้ทำหมอนรองรถไฟได้ดี เนื้อไม้มีความทนทานโดยเฉพาะใต้น้ำ-เปลือกของเส้นใยให้สีย้อมสีน้ำตาลแดง เปลือกต้นให้เส้นใยที่ดีที่ใช้ในท้องถิ่นสำหรับสายระโยงระยาง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการทำกระดาษสีน้ำตาลและใช้เป็นไม้ขีดไฟช้าเพื่อจุดชนวนดินปืน-เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน หมากฝรั่งได้มาจากต้นไม้-ใบใช้เป็นอาหารสัตว์,เลี้ยงหนอนไหม รู้จักอันตราย--- มีปริมาณ oxalic acid สูง อาจทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เมล็ดและรากมีพิษเล็กน้อย ระยะเวลาออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์-กรกฎาคม (ดอกไม้บานในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสุกในช่วงเดือนมิถุนายน) ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ตอนกิ่ง -; เมล็ด - มีความงอกมากกว่า 90% ใน 11 - 46 วัน
|
41 แคนา/Dolichandrone serrulata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Dolichandrone serrulata (Wall. ex DC.) Seem.(1870) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-320757 ---Bignonia serratula Wall. ex DC.(1845.) ---Spathodea serrulata (Wall. ex DC.) DC.(1845.) ---Stereospermum serrulatum DC.(1838.) ชื่อสามัญ---Trumpet Tree, Cat tail tree ชื่ออื่น---แคเก็ตถวา(เชียงใหม่); แคขาว(เชียงใหม่); แคตตุ้ย(ภาคเหนือ); แคทราย(นครราชสีมา); แคนา(ภาคกลาง); แคแน (ภาคเหนือ); แคป่า (ลำปาง, เลย); แคฝอย (ภาคเหนือ); แคฝา แคฟ้า (ภาคเหนือ); แคพูฮ่อ (ลำปาง); แคยาว (ปราจีนบุรี); แคหยุยฮ่อ (ภาคเหนือ); แคแหนแห้ (ภาคเหนือ); แคอาว (ปราจีนบุรี) ;[HINDI: Hawar.];[KANNADA: Godmurki, Udure, Muduvudure.];[MALAYALAM: Attulottappala, Nirpponnalyam.];[MARATHI: Bhersing, Medhshingi.];[SANSKRIT: Visanika, Mesasrnga.];[TAMIL: Kadalatti, Kattuvarucham, Kaliyacha.];[TELUGU: Chittivoddi, Chittiniruvoddi.];[THAI: Khae ket thawa (Chiang Mai), Khae khao (Chiang Mai), Khae tui (Northern), Khae sai (Nakhon Ratchasima), Khae na (Central), Khae nae (Northern), Khae pa (Lampang, Loei), Khae foi (Northern), Khae fa (Northern), Khae phu ho (Lampang), Khae yao (Prachin Buri), Khae yui ho (Northern), Khae haen hae (Northern), Khae ao (Prachin Buri).]. EPPO Code--- DQLSE (Preferred name: Dolichandrone serrulata.) ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว เวียตนาม มาเลเซีย Dolichandrone serrulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่างหรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2413

ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า และภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ชายทุ่งหรือทุ่งนา ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ผลัดใบสูงถึง20-25เมตร เรือนยอดแคบทรงกระบอก กิ่งก้านเรียวเล็ก เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน เรียบหรือล่อนหลุดเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวยาว 12-35 ซม. ใบย่อย3-5คู่ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ยาว 5-14 ซม.ขอบใบหยักเป็นซี่ประปรายฐานใบไม่สมมาตรใบอ่อนจับแล้วรู้สึกเหนียว ช่อดอกสั้นไม่แตกแขนงช่อละ3-7ดอกออกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 ซม. กลีบเลี้ยงเป็นกาบ ยาว 4-5 ซม. กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 6-10 ซม.ปลายบานออกรูประฆังปลายแยกและแผ่บาน 5 แฉก คล้ายปากแตร มีกลิ่นหอมอ่อน ดอกสีขาวสะอาดบานตอนกลางคืน ตอนเช้าร่วง ผลเป็นฝักเรียวยาวปลายแหลมบิดเป็นเกลียว ยาวได้ถึง 85 ซม. เมล็ดรูปสี่เหลี่ยม ยาว 2.2-2.8 ซม. รวมปีกบางใส ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดปานกลางถึงแสงจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ต้องการน้ำมาก ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกไม้ใช้กินดิบ-สุก ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นผักในภาคเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย -ใช้เป็นยา รากมีรสเย็น ช่วยบำรุงโลหิต แก้เสมหะและลม ดอกมีรสหวานเย็น ใช้เป็นยาขับเสมหะ โลหิต แก้ไข้ หัวลมได้เหมือนกับดอกแคบ้าน ใบนำมาต้มกับน้ำเป็นยาบ้วนปาก มล็ดใช้เป็นยาแก้อาการปวดประสาท แก้ลมชัก เปลิอกต้น ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยใช้กับสตรีหลังคลอดบุตร -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นต้นไม้สำหรับให้ร่มเงา -อื่น ๆ เนื้อไม้ใช้ทำสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ เช่น ทำเป็นเสา ไม้กระดาน ฝ้าเพดาน พื้น ฯลฯ ระยะออกดอก---มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ดและปักชำราก
|
42 แคหัวหมู/Markhamia stipulata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Markhamia stipulata (Wall.) Seem.(1863) ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms. ---Basionym: Spathodea stipulata Wall. (1832). ---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-317589 ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น--- ขุ่ย, แคว (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); แคขอน (เลย); แคปุ๋มหมู (เชียงใหม่); แคยอดดำ (ภาคใต้); แคหมากลิ่ม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน); แคหมู, แคหัวหมู (ภาคกลาง); แคหางค่าง (เลย); แคอาว (นครราชสีมา); [CHINESE: Xi nan mao wei mu.]; [LAOS: Dok kae.];[MYANMAR: Kwe, Ma-hlwa, Mai-kye, Mayu-de, Pauk-kyn.];[THAI: Khui ,Khwae (Karen-Mae Hong Son); Khae khon (Loei); Khae pum mu (Chiang Mai); Khae yotdam (Peninsular); Khan-mak-lim (Shan-Mae Hong Son); Khae mu, Khae hua mu (Central); Khae hang khang (Loei); Khae ao (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: Cây đinh.]. EPPO Code---1MKMG (Preferred name: Markhamia) ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--จีนตอนใต้, พม่า, ไทย ลาว, เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Markhamia ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ Clements Robert Markham (1830-1916) Markhamia stipulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่างหรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยNathaniel Wallich (1786-1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กที่ทำงานในอินเดียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2406

ที่อยู่อาศัยพบในจีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน เติบโตในป่าดิบเขาบนภูเขาหินปูน ป่าโปร่งและสถานที่ชื้นที่ระดับความสูง 300 -1,700 เมตร ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือและภาคกลาง ตามที่โล่งแจ้ง ในป่าเบญจพรรณหรือป่าดิบ ที่ระดับความสูง 600-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 8-15 เมตร ลักษณะทรงต้นเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นสีครีมออกน้ำตาล มีรอยแตกตามแนวยาวเล็กน้อย เปลือกชั้นในมีชั้นสีส้มอ่อนกับส้มแก่สลับกัน กิ่งอ่อนมีขนแน่น มีรอยแผลใบให้เห็นอยู่ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่(imparipinnate)ยาวประมาณ 20-55 ซม. มีใบย่อยประมาณ 4-8 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานยาว 8-25 ซม. ติดตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ปลายใบสอบหยักคดเป็นติ่งยาว เนื้อใบค่อนข้างหนาสีเขียวเข้ม ด้านล่างของใบมีขนสีน้ำตาลอ่อนซึ่งหลุดลอกง่าย ดอกช่อแบบช่อกระจะออกตามปลายกิ่ง ยาว 10-20 ซม.ดอกรูปแตรบาน สีเหลืองหม่น และมีสีน้ำตาลแดงบริเวณโคนหลอดกลีบดอกด้านใน ปลายดอกแยกเป็น 5 แฉก ขอบกลีบหยัก เมื่อบานมีขนาด 8-10 ซม.ฝักแห้งแล้วแตก กลมค่อนข้างแบน กว้าง 2.5 ซม.ยาว 40-60 ซม. ผิวฝักมีขนยาวสีเทาหนาแน่น เมล็ดบางมีปีก เมล็ดกว้างประมาณ 1-1.3 ซม.และยาวประมาณ 3.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดขึ้นได้ดีในในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทราย น้ำปานกลาง การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและไม้ซุง -ใช้กิน ยอดอ่อนขายเป็นผักในตลาดท้องถิ่นของลาว ดอกสดหรือลวกสุกกินเป็นผักจิ้ม ฝักอ่อน เผาขูดขนออกรับประทานกับน้ำพริก นิยมใน ภาคตะวันออก ภาคเหนือของไทยและลาว -ใช้เป็นยา เปลือกต้นใช้ต้มกินเป็นยารักษาโรคอัมพฤกษ์ -วนเกษตร เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับชนิดพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว เรือนยอดที่หนาแน่นและปราบวัชพืช ดึงดูดสัตว์ป่าที่กระจัดกระจายโดยเฉพาะนกและค้างคาว -อื่น ๆ ไม้เนื้อแข็งหนักและทนทานต่อแมลงโดยเฉพาะปลวก ใช้สำหรับการก่อสร้างและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีค่าใช้ทำเสาและอุปกรณ์การเกษตร ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. 2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/พฤษภาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด
|
43 งิ้ว/Bombax ceiba

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bombax ceiba L.(1753) ชื่อพ้อง ---Has 12 Synonyms ---Bombax malabaricum DC.(1824) ---Gossampinus malabarica Merr.(1928) ---(More) See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2679086 ชื่อสามัญ---Red cotton tree, Silk cotton, Kapok tree, Malabar Silk-cotton Tree, Indian bombax, Malabar Semul. ชื่ออื่น---งิ้ว (ทั่วไป); งิ้วแดง (กาญจนบุรี); งิ้วบ้าน (ทั่วไป); งิ้วปง, งิ้วปงแดง, สะเน้มระกา (ชอง-จันทบุรี) ;[ASSAMESE: Himolu, Himila, Tula-goch, Simolu, Simul.];[BENGALI: Roktosimul, Katseori.];[CHINESE: Hong mian, Ban zhi mian, Mù mián, Ying xiong shu.];[DURCH: Kaasboom.];[FRENCH: Arbre à bourre, Arbre à coton, Ceïba, Fromager, Semoule.];[GERMAN: Kapokbaum, Wollbaum, Indischer Seiden.];[HINDI: Shimbal, Simal, Shembal, Semul, Semar Kanda.];[INDONESIA: Kapok kalingi, Kapuk hutan.];[KANNADA: Booragada Mara, Sauri, Booraga, Burla.];[KHMER: Roka.];[MALAYALAM: Poorani, Elavu, Panjimaram, Poola.];[MALAYSIA: Kapok, Tambaluang (Sabah); Randu agung (Java).];[MARATHI: Shaalmali, Saura, Saanvari, Saanvar.];[MYANMAR: Letpan.];[NEPALESE: Simal];[NETHERLANDS: Kaasboom.];[PAPUA NEW GUINEA: Bombax, Kapok.];[PHILIPPINES: Babui-gubat, Bobor, Bubui-gubat, Malabulak, Ttaglinan, Tag-linau, Ttaroktok.];[PORTUGUESE: Algodoeiro do mato, Aarvore-da-lã, Bómbax, Bonga, Panheira, Sumaúma.];[SANSAKRIT: Shaalmali, Shalmali.];[SPANISH: Arbol capoc, Arbol kapok, Bombax, Cedro espino, Cedro espinoso, Cedro macho, Ceiba roja, Ceibo, Malabarico, Pachote.];[SRI LANKA: Katu-imbul.];[TAMIL: Puulaa, Elava Maram, Moul Elavou, Purani, Pulai.];[TELUGU: Buruga.];[THAI: Ngio (General); Ngio daeng (Kanchanaburi); Ngio ban (General); Ngio pong (Chong-Chanthaburi); Ngio pong daeng, Sa-nem-ra-ka (Chong-Chanthaburi)]. [TRADE NAME: Semal] EPPO Code--- BOMCE (Preferred name: Bombax ceiba) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า กัมพูชา ลาวเวียตนาม จีนตอนใต้ ไต้หวัน คาบสมุทรมาเลย์ บอร์เนียว(ซาบาห์) ฟิลิปปินส์ ชวา สุลาวาสี หมู่เกาะซุนดาน้อย โมลุกกะ นิวกินี ตอนเหนือของออสเตรเลีย อเมริกาเขตร้อน Bombax ceiba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในสกุลงิ้ว (Bombax) ปัจจุบันคือการถ่ายโอนส่วนใหญ่ของอดีตครอบครัว Bombacaceae เพื่อนุวงศ์ Bombacoideae ในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก (ปากีสถาน), เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, ศรีลังกา, บังคลาเทศ, อินโดจีน, มาเลเซีย, จีน (รวมถึงไต้หวัน), นิวกินี, ออสเตรเลีย (ตอนเหนือ) ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในอเมริกากลาง แคริบเบียน บราซิลตอนเหนือ พื้นที่ป่ามรสุมรวมถึงหุบเขาแม่น้ำสะวันนาและเนินเขาที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,400 เมตร ในประเทศไทยปัจจุบันจะพบได้ไม่กี่ที่ในภาาคเหนือมักขึ้นตามริมทางที่โล่งแจ้งตามเชิงเขาและไหล่เขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-600 เมตร ไม่ค่อยพบในป่าหายาก *(ส่วนตัว) รูปที่ได้มาก็ฝ่าฟันไปตอนกลางปีไม่เห็นดอก สิ้นปีจะมาอีกครั้งหวังว่าจะได้รูปดอกมาใส่เว็ป รูปพวกนี้ถ่ายที่สวนพฤกษศาสตร์พุแค จ.สระบุรี* ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบมีอายุยืนนาน สูง 25-30 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.80 -1.5 เมตร ต้นไม้เก่าแก่ที่พบสูงถึง 60 เมตร ลำต้นและกิ่งจะมีหนามรูปกรวย แหลมคม ต้นอายุไม่มากสีเขียวอ่อนตามลำต้นมีปุ่มหนามเยอะ แก่หน่อยจะเป็นสีเขียวเข้มหนามจะน้อยลง (รูปซ้ายบน) ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือแต่ละช่อมีใบย่อย 3-7ใบ กว้าง 7 - 10 ซม.ยาว 13 - 15 ซม. ก้านใบ ยาว 20 ซม.จะทิ้งใบหมดก่อนออกดอก (ธันวาคม-มีนาคม) ดอกสีแดงขนาดใหญ่ กว้าง 8-10 ซม. กว้าง14 ซม. สีเหลือง มีแต่ไม่ค่อยพบ ผลงิ้วรูปกลมยาว 15 ซม.เหมือนลูกนุ่น ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาลและแตก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลดำ มีปุยสีขาวหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัด ชอบดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี แต่ทนกับสภาพดิน ที่หลากหลาย ดินควรมีค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.9 - 7.2 มีความทนทานต่อความแห้งแล้งและทนต่อน้ำท่วม เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเมื่ออายุยังน้อย สามารถออกดอกเมื่ออายุประมาณ 8-10 ปีจากเมล็ด ศัตรูพืช/โรคพืช---Phenacoccus solenopsis (เพลี้ยแป้งฝ้าย) ; Steirastoma breve (ด้วงโกโก้) ; Trirachys holosericeus (หนอนเจาะลำต้นแอปเปิ้ล)/ Phellinus noxius (โรครากชาสีน้ำตาล) ; Rosellinia necatrix (โรครากเน่า dematophora)
การใช้ประโยชน์---ต้นไม้เอนกประสงค์ส่วนใหญ่จะรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นเส้นใยที่มีประโยชน์ดอกไม้กินได้ยาและอื่น ๆ -ใช้กิน ดอก, ดอกอ่อน กลีบเลี้ยง ปรุงสุก กินเป็นผัก หรือแกง, รากอ่อน - ดิบหรือคั่วอุดมไปด้วยแป้ง เมล็ดคั่วกิน น้ำมันจากเมล็ดใช้ประกอบอาหาร(ใช้แทนน้ำมันปาล์มได้ ) -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ราก, ใบ, ยาง, เปลือกไม้, ดอกไม้ รากใช้สำหรับโรคท้องร่วง, บิด, เดือด, เบาหวาน, งูกัด, ระดูขาว รากใช้ภายนอกสำหรับบวมและปวดไขข้อ -วนเกษคร เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้บุกเบิกสายพันธุ์สำหรับการฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมืองหรือเพื่อจัดตั้งสวนป่า เป็นไม้ประดับซึ่งมันมีค่าเมื่อตอนออกดอกเต็มต้น ดอกไม้อายุสั้น แต่หอม ดึงดูดนก กระรอกและผึ้งเพื่อผสมเกสรเหมือนแม่เหล็ก -ใช้อื่น ๆ ปุยที่ได้จากผลภายในผลใช้ยัดที่นอน ใยของเปลือกใช้ทำกระดาษ การสกัดเมทานอลของผงใบได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีศักยภาพในโปรแกรมควบคุมยุง สามารถใช้ในแหล่งน้ำนิ่งซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง พิธีกรรม/ความเชื่อ--- ในอินเดียถือว่าต้นงิ้วเป็นไม้ของพระศิวะ ในวรรณคดีอินเดียเรียกไม้ชนิดนี้ว่า" ยมะทรุมะ "แปลว่า "ไม้นรก" แต่ตามเรื่องคนไทยรู้จักกันดีว่า ต้นงิ้วเป็นที่อยู่ของครุฑ ในเรื่องกากี เรียกว่า วิมานฉิมพลี ชื่อเสียงของต้นงิ้วในภาคภาษาไทยเลยไม่ค่อยเป็นมงคล ในแง่ผิดศีลข้อ3 ตายไปจะตกนรกและรับโทษให้ปีนต้นงิ้ว ลำต้นของงิ้วมีหนามทำให้กลายเป็นตำนาน เตือนสติคนที่คิดจะผิดศีล แต่นักนิยมธรรมชาติคงไม่ปฏิเสธว่าต้นไม้ต้นนี้ให้ความประทับใจในเรื่องความงาม ดูลีลาทรงต้นสวยไม่เบา ดอกก็สวยมากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ นำมาปลูกเป็นไม้ประดับ แต่ก็ยังมีความเชื่อว่ามีวิญญานอาศัยอยู่ปลูกแล้วไม่นิยมตัด-ในตรินิแดดและโตเบโกชาวบ้านถือต้นไม้คือ "ปราสาทแห่งปีศาจ" "Castle of the Devil," ที่ Brazil คือปีศาจแห่งความตายถูกล่อลวงและถูกคุมขังโดยช่างไม้ ในปีพ. ศ. 2545 ต้นไม้ถูกตัดโดยผู้ที่ไม่เชื่อ กลายเป็นรัฐบาลปล่อยปีศาจที่อาศัยอยู่จึงก่อให้เกิดอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้น ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
44 สัก/Tectona grandis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Tectona grandis L.f.(1782) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Jatus grandis (L. f.) Kuntze.(1891) ---Tectona theka Lour.(1790) ---Theka grandis (L. f.) Lam.(1797) ---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-202018 ชื่อสามัญ---Teak, Teakwood tree ชื่ออื่น---ปีฮี ปีฮือ เป้อยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปายี้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เส่บายี้ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), สัก (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Chingjagu Sagun.];[AYURVEDA: Shaaka, Bhuumisaha, Dwaaradaaru, Varadaaru, Kharachhada, Saagawaan, Saagauna.];[BENGALI: Segunagachh.];[BRAZIL: Teca.];[BURMA: Kyun.];[CHINESE: Yòumù, You mu.];[FRENCH: Teck, Teck commun, Teck d'Indochine.];[GERMAN: Gemeiner Teakholzbaum, Teak(holz)baum, Tiek.];[HINDI: Sagun, Sagwan, Saigun, Sāgauna.];[INDONESIA: Deleg, Jati, Kulidawa.];[JAPANESE: Chīku, Chīku no ki.];[LAOS: May sak, Sak.];[MALAYALAM: Thekku.];[MALAYSIA : Deleg, Jati, Kembal, Kulidawa, Pokok jati, Semarang (Malay).];[NEPALESE: Saguan, Teak];[PORTUGUESE: Djati, Teak, Teca.];[PHILIPPINES: Tekla (Tag.); Dalanang, Djati];[SANSKRIT : Gandhasara, Śāka, Shak];[SIDDHA/TAMIL: Thekku.];[SPANISH: Teca, Teca común.];[TAMIL: Tekku.];[TELUGU: Teku, Pedda.];[THAI: Kho-yia-o (Lawa-Chiang Mai); Poe-yi, Se-ba-yi, Pi-hue, Pi-hi (Karen-Mae Hong Son); Se-ba-yi (Karen-Kamphaeng Phet); Pa-yi (Karen-Kanchanaburi); Sak, Dton máai sàk, Máai sàk (General).];[VIETNAMESE: Gỗ tếch, Tếch.];[TRADE NAME: Teak]. EPPO Code--- TCTGR (Preferred name: Tectona grandis) ชื่อวงศ์---VERBENACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'tectona' มาจากคำว่า 'tekku' หรือ 'thekku' ซึ่งเป็นชื่อพื้นถิ่นของอินเดียสำหรับต้นไม้ Tectona grandis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Verbenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeusในปี พ.ศ.2325

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซียและพม่า ในประเทศจีนพบที่ ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไต้หวัน, ยูนนาน ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 900 เมตร ในประเทศไทย พบเกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดใหญ่สูงถึง 20-30 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางถึง1-1.80 เมตรลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เมื่ออายุมากโคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน บางหลุดล่อนเป็นชิ้นแถบตามยาว เปลือกชั้นในสีขาว ใบเดี่ยวใหญ่มากขนาดของใบกว้าง12-35 ซม.ยาว15-60 ซม รูปไข่กลับ ขอบใบเรียบ ยอดอ่อนมีขนสีเหลืองรูปดาวใบแก่ด้านบนสากคาย ด้านล่างมีขนอ่อนนุ่ม กิ่งก้านเป็นสี่เหลี่ยม ดอกออกเป็นช่อใหญ่รูปปิรามิดที่ปลายกิ่ง ยาวถึง50 ซม. ช่อดอกสาขามาก ยาว 30- 80 ซม.ดอกเล็กสีขาว ผลแห้งกลมเปลือกแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3 ซม.ภายในมี4ช่องแต่ละช่องมีเมล็ด1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---การปลูกต้องใช้ตำแหน่งที่มีแดดจัด ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินที่ลึก แห้งแล้งและอุดมสมบูรณ์ มีค่า pH 6 - 7.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8.5 และมีปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสค่อนข้างสูง การใช้ประโยชน์---ไม้สักเป็นหนึ่งในไม้ที่สำคัญที่สุดในโลก คุณสมบัติทางกายภาพและทางกลที่เหนือกว่าทำให้มันกลายเป็นไม้ซุงที่โดดเด่นกว่าไม้อื่นๆ -ใช้กินได้ ใบจะถูกเพิ่มลงไปในน้ำที่ต้มขนุนสุกก่อนที่จะทำจานชวา 'Gudeg ซึ่งเป็นการทำให้ขนุนมีสีสดใหม่ สีย้อมสีแดงที่ใช้ระบายสีในไข่อีสเตอร์ ได้จากการต้มเศษไม้ของต้นไม้ -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้เป็นยาใบ เปลือก ผล ราก- ในอายุรเวทใช้เป็นยากล่อมประสาทเพื่อมดลูก ตัวแทน tocolytic ที่ใช้ในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ในฟิลิปปินส์, ต้มใบสดหรือแห้งที่ใช้สำหรับความผิดปกติของประจำเดือนและอาการตกเลือดโดยทั่วไป - ยาต้มใบสดหรือแห้งใช้สำหรับไอเป็นเลือด - ยาต้มใบสดหรือแห้งใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากสำหรับอาการเจ็บคอ - ยาต้มใบเหลืองร่วงใช้สำหรับโรคโลหิตจาง -ใช้พลาสเตอร์จากไม้ผงสำหรับอาการปวดหัวที่เจ็บปวดและการแพร่กระจายของอาการบวม- ในแคเมอรูนใช้เป็นยาระบายและรักษาโรคผิวหนังและท้องร่วง -วนเกษตร ไม้สักได้รับการจัดให้เป็นสายพันธุ์บุกเบิก มีช่วงชีวิตที่ยาวนาน ตรงกันข้ามกับผู้บุกเบิกสายพันธุ์อื่น ๆ สามารถยืนหยัดและครองและปฏิรูปไปสู่ช่วงสูงสุด แห่งการสืบทอดในส่วนต่าง ๆ ของธรรมชาติตามธรรมชาติ -ใช้อื่น ๆ ให้สีย้อม : ทั้งเปลือกรากและใบอ่อนให้สีสีเหลืองน้ำตาลหรือแดงซึ่งใช้สำหรับย้อมกระดาษเสื้อผ้าและเครื่องปูลาด ในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกมีการใช้ใบอ่อนเพื่อย้อมสี ใช้เป็นพืชอาหารโดยตัวอ่อนของแมลงเม่าชนิดต่าง ๆ ขี้เลื่อยจากไม้สักใช้เป็นธูปในชวาอย่างไรก็ตามผงฝุ่นอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ -รู้จักอันตราย ฝุ่นละเอียดหรือขี้เลื่อยที่เกิดขึ้นในขั้นการตัดเฉือนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง โรคหอบ หืด โรคจมูกอักเสบหลังจากสูดดม แนะนำให้ใช้พัดลมดูดฝุ่นที่ใช้งานได้ดี สำคัญ---ครั้งหนึ่งไม้สักเคยเป็นองค์ประกอบสำคัญของป่าชื้นผลัดใบทั่วภาคเหนือ แต่ได้ถูกโค่นลงแทบหมด และมักมีป่าไผ่เกิดแทนที่ อย่างไรไม้สักมีการฟื้นตัวเร็ว ถึงแม้จะเป็นบริเวณที่ค่อนข้างเสื่อมโทรม ถ้าไม่ถูกโค่นซ้ำอาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นป่าสักใหม่ ความเข้าใจที่คิดว่าไม้สักเป็นไม้เนื้อแข็งนั้นเป็นเพราะสักเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีความแข็งแรงทนทานกว่าไม้เนื้อแข็งบางชนิด ทนมอด ปลวกได้อย่างดี ต้องการดูต้นสักที่อายุ1,500 ปีและใหญ่ที่สุดในโลก ให้ไปที่ วนอุทยานต้นสักใหญ่ บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ สักต้นนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "มเหสักข์" ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ติดตา ปักชำราก เพาะเนื้อเยื่อ
|
45 แสลงพัน/Bauhinia bracteata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia bracteata (Benth.) Baker.(1878) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-45966 ---Phanera bracteata Benth.(1852) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ชงโค (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ปอแก้ว (กะเหรี่ยง-ภาคเหนือ); ปอเจี๋ยน (ภาคเหนือ); ปอบุ้ง (เชียงใหม่); ส้มเสี้ยว (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); เสี้ยวเครือ (นครราชสีมา); เสี้ยวดอกขาว, เสี้ยวเตี้ย (เลย); เสี้ยวส้ม (สกลนคร, อุทัยธานี); แสนพัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); แสลงพัน (ชลบุรี);[THAI: Chongkho (Northeastern); Po-kaeo (Karen-Northern); Po chian (Northern); Po bung (Chiang Mai); Som siao (Northeastern); Siao khruea (Nakhon Ratchasima); Siao tia, Siao dok khao (Loei); Siao som (Sakon Nakhon, Uthai Thani); Saen phan (Northeastern); Salaeng phan (Chon Buri).];[VIETNAMESE: Dây mấu, Mấu đỏ, cánh dơi.]. EPPO Code--- 1BAUG (Preferred name: Bauhinia) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE). ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา Bauhinia bracteata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวตระกูลถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Gilbert Baker(1834–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2421

ที่อยู่อาศัยสกุลPhaneraประเภทนี้แตกต่างจาก Bauhiniaในการเป็นไม้เถาหรือเถาวัลย์ทั่วไปกับไม้เลื้อย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยไทยพบทุกภาค ภาคใต้พบถึงชุมพร ขึ้นตามชายป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือเขาหินปูน ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีมือจับ ลักษณะใบดอกเหมือนไม้ตระกูลเสี้ยวทั่วไป ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 5-12 ซม.ยาว 6-15 ซม.ปลายใบแยกเป็นสองแฉก ปลายมน โคนใบรูปหัวใจ เส้นโคนใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบยาวได้ถึง 7 ซม. ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอด ดอกย่อยจำนวนมาก ขนาด2-3ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น4-5แฉก กลีบดอก5กลีบ สีเขียวแกมเหลือง รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดถึงรูปไข่แกมรูปหัวใจ เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี3อัน เกสรเพศผู้ที่ลดรูปมี7อัน จานฐานดอกเป็นท่อยื่นออก รังไข่มีขนสั้นนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ผลเป็นฝักแบนแห้งแตก รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ แบน ยาวได้ถึง 17 ซม. มีเมล็ด 2-8 เมล็ด รูปร่างกลมมน ขนาด 2-2.5 ซม. ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและใช้เป็นยาแก้พิษ ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
|
46 สารภี/Mammea siamensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Mammea siamensis (Miq.) T.Anderson.(1867) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. Has 1 Synonyms ---Calysaccion siamense Miq.(1863) WCSP (อยู่ระหว่างการตรวจสอบ).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2372379 ชื่อสามัญ---Mammee, Negkassar ชื่ออื่น ---ทรพี (จันทบุรี), สร้อยพี (ภาคใต้), สารภี (ทั่วไป), สารภีแนน (เชียงใหม่) ;[THAI: Tho ra phi (Chanthaburi); Soi phi (Peninsular); Saraphi (General); Saraphi naen (Chiang Mai).]; [LAOS: Salapee.]; [VIETNAM: Trau tráu]. EPPO Code---MAFSI (Preferred name: Mammea siamensis) ชื่อวงศ์--- CLUSIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย Mammea siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด (Clusiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยThomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2410

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนามและคาบสมุทรมาเลเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและตามป่าดงดิบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20-400 เมตร ลักษณะ สารภีเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 12-15เมตร เปลือกต้นสีคล้ำมีรอยแตกเป็นสะเก็ดอยู่ทั่วไป ใบแน่นเป็นพุ่มทึบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบรูปไข่กลับหรือเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนกว้าง บางทีอาจมีติ่งสั้น ๆ หรือหยักเว้าแบบตื้น ๆ โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2.5-7ซม.ยาว 7.5-25 ซม. แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบจะสีอ่อนกว่า เนื้อใบหนาและค่อนข้างเรียบ เส้นแขนงของใบไม่มี ออกดอกเรียงแน่นเป็นกระจุกตามซอกกิ่งหรือตามกิ่งแก่ สารภีมีดอกย่อยสีขาว ที่มีกลิ่นหอมแรงและหอมได้ไกลมาก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก ผลของสารภีเป็นกระปุกเล็กๆรูปกมรีขนาดประมาณ 2.5-5 เมื่อสุกสีเหลืองแก่มีรสหวานรับทานได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไร ดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ ความชื้นพอเหมาะ

การใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา ดอกสารภีจัดอยู่ในตำรับยาไทย "พิกัดเกสรทั้งห้า" (ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง), ตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเจ็ด" (เพิ่มดอกกระดังงา ดอกจำปา), และในตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเก้า" (เพิ่มดอกลำดวน ดอกลำเจียก) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ แก้ลมกองละเอียด แก้อาการหน้ามืดตาลาย วิงเวียนศีรษะ แก้โรคตา แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี -ใช้ปลูกประดับ เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและร่มรำไร ขึ้นได้ในดินทุกชนิดไม่เรื่องมาก ไม่เลือกปุ๋ย ไม่ค่อยพบในป่า มักเป็นไม้ปลูก และพบปลูกมากตามวัดเนื่องจากมีกลิ่นหอม เป็นไม้ที่นำมาใช้จัดสวนอยู่เสมอ -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ แข็ง และค่อนข้างทนทาน เนื้อไม้คุณภาพดีใช้งานง่าย ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลัก เรือ และงานก่อสร้างต่างๆ ดอกตูมของสารภีใช้สกัดทำสีย้อมผ้าโดยจะให้สีแดง ดอกแห้งใช้ทำเป็นน้ำหอม โดยเพิ่มดอกคำฝอย ส้มป่อยเผา นำมาแช่ในน้ำจะได้น้ำหอมสำหรับไว้ใช้เป็นน้ำสรงพระในเทศกาลสงกรานต์ ความเชื่อ/พิธีกรรม--- คนไทยโบราณเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นสารภีไว้ประจำบ้านจะส่งผลให้มีอายุยืนยาวเหมือนเช่นต้นสารภี เพื่อความเป็นสิริมงคลผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ (โบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณให้ปลูกในวันเสาร์) และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อจะช่วยป้องกันเสนียดจัญไร ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี

*(ส่วนตัว) สารภีเป็นต้นไม้ในดวงใจของใครหลายๆคน ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ลองกลับไปสังเกตุดูต้นไม้ที่ถ่ายรูปมาสองต้นข้างบนเป็นต้นสารภีทั้งคู่ ถ่ายมาในช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน (สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จ.ระยอง) ทำไมถึงแตกต่างเหมือนเป็นต้นไม้คนละชนิด ก็เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมมีอิทธิพลส่งผลให้เป็นแบบนี้ ต้นซ้ายมืออยู่ในร่ม น่าจะไม่ได้ปุ๋ยนานแล้ว ต้นขวามืออยู่กลางแจ้งได้รับการดูแลตัดแต่งทรงพุ่มได้น้ำได้ปุ๋ย แล้วอีกอย่างก็เด็กกว่าเยอะ บางทีก็ให้นึกเห็นใจผู้คนที่อยากได้ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ลีลามาปลูกไว้เป็นสมบัติส่วนตัว หารู้ไม่ว่าถ้าไม่ได้สนใจเรื่องอายุขัยของต้นไม้ ก็อาจเชยชมได้ไม่นาน เหมือนพาคนแก่ย้ายบ้านไงงั้น ทั้งเหนื่อยทั้งผิดที่ ทั้งเหงาทั้งหงอยแล้วก็ไม่โตแล้ว* ระยะเวลาดอก/ติดผล--- มกราคม - มีนาคม/กุมภาพันธ์ - เมษายน ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ตอนกิ่ง
|
47 สาธร/Millettia leucantha

ชื่อวิทยาศาสตร์---Millettia leucantha Kurz.(1873) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:507428-1 ---Millettia pendula Benth.(1852) ชื่อสามัญ---Yellow Millettia wood, Sathon(Thai) ชื่ออื่น---ไม้กระทงน้ำผัก (เลย), กระเจ๊าะ, ขะเจ๊าะ (ภาคเหนือ), กระท้อน (เพชรบูรณ์-พิษณุโลก), สะท้อน (สระบุรี), สาธร (อุบลราชธานี) ;[BURMESE: Thinwin.];[CHINESE: Chui xu ya dou];[PORTUGUESE: Khacho.];[THAI: Mai kra thong nam phak (Loei); Kracho (Northern); Kra thon (Phetchabun, Phitsanulok); Sathon (Saraburi); Sa thon (Ubon Ratchathani).]. EPPO Code--- MIJLE (Preferred name: Millettia leucantha.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ลาว, พม่า, ไทย Millettia leucantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2416

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนชื้น ในพม่า ลาว ไทย ขึ้นตามป่าเบญจพรรณใกล้แหล่งน้ำทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าผสมผลัดใบและป่าดิบแล้งทั่วประเทศที่ระดับความสูง100-450เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง5-18 เมตร ผลัดใบ ลักษณะทั่วไปของต้นสาธร ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างต่ำ เรือนยอดโปร่งแผ่กว้าง เปลือกนอกสีเทาเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบ ประกอบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ยาว20-30 ซม.ใบย่อย7ใบเรียงตรงข้ามรูปหอกกลับยาว 5-12 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนนุ่มเล็กน้อย ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ช่อดอกแยกแขนง ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว20-45 ซม.. ดอกย่อยรูปถั่ว กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบติดกันเป็นหลอดสั้น กลีบดอกสีขาวหรือสีม่วงอ่อน ผลเป็นฝักแบบฝักถั่วเปลือกแข็ง กว้าง3.5-4 ซม.ยาว7-14 ซม.รูปขอบขนานแกมใบหอกกลับ ฝักอ่อนมีขน ฝักแก่แห้งและแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดรูปขอบขนานแกมรูปรีแบนคล้ายโล่มี1-3เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ1.3ซม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัดในดินที่อุดมสมบูรณ์ กักเก็บความชื้น แต่มีการระบายน้ำได้ดี อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยของเดือนที่ร้อนที่สุดคือ 41.5°C อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดคือ 10.7°C ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา -ใช้กิน ซอสสาทรเป็นซอสปรุงรสที่ใช้ในอาหารอีสาน ใบของ Millettia สองชนิดใช้สำหรับทำซอสสาธร : Millettia utilisและMillettia leucantha var. buetoides ซอสที่ใช้ประกอบอาหารเป็นผลิตภัณฑ์OTOP หนึ่งเดียวที่ทำจากต้นสาธร -ใช้เป็นยา พืชที่อยู่ในสกุลนี้ใช้เป็นยาพื้นบ้านสำหรับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นในการรักษาบาดแผล, ต้ม, แผล, โรคผิวหนัง, งูกัด, ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ,โรคไขข้ออักเสบและโรคทางนรีเวช -อื่น ๆเนื้อไม้และแก่นมีสีม่วง-ดำมีลายสวยงาม หนาแน่นและแข็ง ใช้ในการก่อสร้าง ใช้สำหรับทำตู้และผลิตเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง สำคัญ---พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดนครราชสีมาและต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพฯ ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่หลายมากและพบได้ในพื้นที่คุ้มครองจึงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มีนาคม - พฤษภาคม/พฤษภาคม - สิงหาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด
|
|
48 คงคาเดือด/Arfeuillea Arborescens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arfeuillea arborescens Pierre ex Radlk.(1895) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2335305 ---Koelreuteria arborescens Pierre.(1897) ชื่อสามัญ---Hop Tree ชื่ออื่น---คงคาเดือด, หมากเล็กหมากน้อย (ภาคกลาง); ช้างเผือก (ลำปาง); ตะไล (ราชบุรี); ตะไลคงคา (ชัยนาท); สมุยกุย (นครราชสีมา) ; [JAPANESE: Mukuroji-ka.];[LAOS: Sangpheuok, Ta lai khong kha, Khong khaleuod, Mak leknony mak nony.];[THAI: Khongkha dueat, Mak lek mak noi (Central); Chang phueak (Lampang); Talai (Ratchaburi); Talai khongkha (Chai Nat); Samui kui (Nakhon Ratchasima).] ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE ถิ่นกำเนิด---ไทย ลาว เขตกระจายพันธุ์---พม่า, ภูมิภาคอินโดจีน Arfeuillea arborescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวSapindaceae (หรือ soapberry)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีตLudwig Adolph Timotheus Radlkofer(1829–1927)นักอนุกรมวิธานและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2438
ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้งที่เป็นเขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ ทึบ เปลือกนอกสีเทาอมดำเรียบหรือแตกล่อนเป็นแผ่น เปลือกในสีขาว กิ่งก้านมาก ใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่ เรียงสลับ ใบย่อยเรียงตรงข้ามหรือเยื้องกัน 4-5 คู่ ใบรูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 4.5-7 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลมหรือเรียงแหลม โคนใบสอบหรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบบางสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านล่างสากมือ ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ร่วมต้น ออกดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ยาวประมาณ 15ซม. โดยจะออกที่ปลายยอด ช่อกระจุกเรียวยาว ม้วนขดเล็กน้อย ยาวประมาณ 2-4 ซม. ดอกออกเป็นช่อดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ในช่อเดียวกัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกมี 2-4 กลีบ ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5 ซม. ดอกสีน้ำตาลมีกลิ่นหอม ผลอ่อนสีเขียวมีปีก 3 ปีก ขนาด 3.5-5 ซม.ปีกกว้างประมาณ 2 ซม. ผลแก่สีน้ำตาล แห้งแตกได้ มี เมล็ด 3 เมล็ดต่อผล เมล็ดยาวรีค่อนข้างกลมสีดำ ยาวประมาณ 5 มม. มีขน ขั้วเมล็ดขนาดเล็ก ไม่มีเยื่อหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัด ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี การใช้ประโยชน์ ---ใช้เป็นยา แก่น ฝนกับน้ำกินเป็นยาฆ่าพยาธิ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้ และช่วยให้เจริญอาหาร ต้มน้ำอาบ ช่วยรักษาอาการคัน แสบร้อนตามผิวหนัง และโรคซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการสำคัญคือ เบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวน ปลูกเป็นต้นไม้ริมถนน นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับเป็นต้นไม้พักอาศัยให้ร่มเงาตามสวนสาธารณะและพื้นที่เปิดโล่ง ระยะออกดอก/ติดผล --- พฤศจิกายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด
|
|
49 อุโลก/Hymenodictyon orixense

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hymenodictyon orixense (Roxb.) Mabb.(1982) ชื่อพ้อง ---Has 13 Synonyms. ---Cinchona excelsa Roxb.(1799) ---Cinchona orixensis Roxb.(1793 ) ---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-101244 ชื่อสามัญ---Bridal couch tree, Bridal Couch Plant, Mountain sage. ชื่ออื่น ---ลาตา (ตรัง), ลุ, ส้มลุ (สุราษฎร์ธานี), ส้มเห็ด (ภาคใต้), ส้มกบ (ภาคเหนือ), สังเหาะ (กระเหรี่ยง-เชียงใหม่), อุโลก (ราชบุรี); [ASSAMESE: Kodam, Baja-phuti, Pani-kadam, Paroli, Bhur-kundi.];[BENGALI: Latikarum.];[CHINESE: Zhu du shu, Mao tu lian qiao.];[HINDI: Bhurkur, Kala Bachnag.];[KANNADA: Doli Mara, Diddi Mara, Doddi Mara.];[MALAYALAM: Perantholi, Perumtholi, Malamkall.];[MARATHI: Kambal, Bhorsal, Bhramarsali.];[PHILIPPINES: Hibau, Balangkori (Tag.).];[SANSKRIT: Bhramarchalli, Bhringah-vriksha, Ugragandha.];[TAMIL: Nirkadambam, Kadappu, Vellai-k-katampu, Vellai-kadambu.];[TELUGU: Bandaaru-chettu.];[THAI: Lata (Trang); Lu, Som lu (Surat Thani); Som het (Peninsular); Som kop (Northern); Sang-ho (Karen-Chiang Mai); U lok (Ratchaburi).]. EPPO Code--- 1HDVG (Preferred name: Hymenodictyon) ชื่อวงศ์---RUBIACEA ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว เวียตนาม Hymenodictyon orixense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2525
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย อินโดจีน ถึงฟิลิปปินส์ ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบในทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูง 30-500เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลัดใบ สูง 10-30 เมตร ลักษณะลำต้นเปลาตรงเปลือกหนา2 ซม สีน้ำตาลปนเทา แตกล่อนเป็นสะเก็ด เนื้อไม้สดสีเหลืองทิ้งไว้นานเป็นสีเทาปนเหลือง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง เรียงเป็นกระจุกอยู่ตามปลายกิ่ง ก้านใบยาว 3-20 ซม. อ้วนแบนมีขนสั้นมีร่องด้านบนเล็กน้อย ใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง 8-12 ซม.ยาว 12-2 5ซม.โคนใบสอบ ปลายใบมนและมีติ่งทู่ ใบอ่อนสีชมพูอ่อนและมีขน ใบแก่เกลี้ยง หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ดอก ออกเป็นช่อยาว 5-8 ซม.ตามปลายกิ่ง ดอกย่อยสีขาวขนาดเล็ก กลีบดอก 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ผลแห้งรูปรี ยาว 2-3ซม.แก่แห้งแล้วแตก เมล็ดจำนวนมากมีปีกกว้าง ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัด ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดี ดินมีค่า pH ในช่วง 5.5-6.5 ทนได้ 5-7 ใช้ประโยชน์--- พืชที่รวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาไม้อาจถูกนำมาใช้ไม่มากมีการใช้ในระดับท้องถิ่นเท่านั้น -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใบไม้ ประกอบไปด้วย scopoletin และ glycoside ที่ขมมาก ใช้ในการแพทย์พื้นบ้าน ใช้เป็นยาสมุนไพร ในอินเดียเปลือกไม้ขมใช้เป็นยาสมานแผลและยาแก้ไข้ รากไม้และเปลือกลำต้นใช้สำหรับแก้ไข้และบรรเทาอาการกระหายน้ำ ในรัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดียเปลือกลำต้นใช้สำหรับระดูขาวและประจำเดือน ใบใช้ในการรักษาแผล เจ็บคอ, ต่อมทอนซิลอักเสบ ในบังคลาเทศเปลือกใช้เพื่อเพิ่มความอยากอาหารและรักษาเนื้องอก ไม้ผงใช้สำหรับเริม ใบต้มในน้ำใช้ในอ่างอาบน้ำในการรักษาโรคดีซ่าน -อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีขาวเมื่อสด จากนั้นกลายเป็นสีเหลืองอมเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาอ่อน เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ ใช้ในงานก่อสร้างตกแต่งภายใน ทำลังใส่ของหรือกล่องบรรจุภัณฑ์อุปกรณ์ของเล่นและไม้ขีดไฟ ในประเทศอินเดียได้รับการแนะนำสำหรับใช้ทำ เกรดเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาถูกลง ระยะออกดอก/ติดผล--- กรกฎาคม - มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ไม่แนะนำให้เพาะเมล็ดโดยตรงเนื่องจากเมล็ดมีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 170,000 เมล็ด / กิโลกรัม) และล้างออกง่าย ควรเพาะต้นกล้าก่อนในกระบะเพาะชำหลังจากหนึ่งปีไปแล้วค่อยนำไปปลูกในตำแหน่งถาวร ต้นอ่อนมีความต้องการแสงและสามารถฆ่าได้ง่ายโดยวัชพืช
|
|
อ้างอิง, แหล่งที่มา
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ (2539) ด่านสุทธาการพิมพ์ ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online | Kew Science . www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
Check for more information on the species: ---Plants Database -Names, synonymy and distribution-The Garden.org Plants Database. https://garden.org/plants/ ---Global Plant Initiative-Digitized type specimens, descriptions and use ----หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html ---Tropicos- Nomenclature, literature, distribution and collections-Tropicos - Home. www.tropicos.org/ ---GBIF-Global Biodiversity Information Facility-Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ ---IPNI- International Plant Names Index- The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ ---EOL-Descriptions, photos, distribution and literature-Global access to knowledge about life on Earth. Encyclopedia of Life eol.org/ ---PROTA- Uses-The Plant Resources of Tropical Africa.https://books.google.co.th/ ---Prelude-Medicinal uses-Prelude Medicinal Plants Database. http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google- Images-Images
รวบรวมเรียบเรียง: Tipvipa..V รูปภาพ : ทิพพ์วิภา วิรัชติ บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา-เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Up date--- 17/5/2020
|
|
|
|