สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 28/11/2023
สถิติผู้เข้าชม 15,839,844
Page Views 21,943,053
 
« December 2023»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 3

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 3

n

ต้นไม้ใหญ่ 3

For information only-the plant is not for sale.
50 แจง/Maerua siamensis 70 เสม็ดขาว/Melaleuca cajuputi
51 ชมพูภูคา/Bretschneidera sinensis 71 เสม็ดแดง/Syzygium cinereum
52 ชุมแสง/Xanthophyllum lanceatum  72 ศุภโชค/Pachira aquatica
53 ตะเคียนทอง/Hopea odorata  73 หูกระจง/Terminalia ivorensis
54 - 74 พี้จั่น/Millettia brandisiana
55 เสลา/Lagerstroemia loudonii 75 ชิงชัน/Dalbergia oliveri
56 อินทนิลน้ำ/Lagerstroemia speciosa 76 พะยูง/Dalbergia cochinchinensis
57 อินทนิลบก/Largerstroemia Macrocarpa 77 บุหงาส่าหรี/Cithrarexylum spinosum.
58 ตะแบกนา/Lagerstroemia floribunda 78 เกษมณี/Melia azedarach
59 ตะแบกเกรียบ/Lagerstroemia cochinchinensis 79 จัน-อิน/Diospyros decandra
60 หางนกยูงฝรั่ง/Delonix regia  80 จิกสวน/Barringtonia racemosa
61 โสกน้ำ/Saraca indica 81 จิกนา/Barringtonia acutangula
62 โสกขาว/Maniltoa grandiflora 82 จิกทะเล/Baringtonia asiatica
63 โสกเขา/Saraca declinata 83 จิกนมยาน/Barringtonia macrostachya
64 ศรียะลา/Saraca thaipingensis 84 มะคังขาว/Tamilnadia uliginosa
65 อโศกอินเดีย/Polyalthia longifolia var. pendula 85 เฉียงพร้านางแอ/Carallia brachiata
66 เสี้ยวป่า/Bauhinia saccocalyx 86 กาญจนิกา/Santisukia pagettii
67 ชงโคนา/Bauhinia racemosa 87 มะค่าโมง/Afzelia xylocarpa
68 แสมสาร/Senna garrettiana 88 เลือดแรด/Knema globularia
69 เสม็ดชุน/Syzygium gratum 89 มะค่าแต้/Sindora siamensis

50 แจง/Maerua siamensis

 

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Maerua siamensis (Kurz) Pax. (1936)
ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2371222
---Basionym: Niebuhria siamensis Kurz.(1877).
---Crateva mucronulata Kuntze (1891)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- แจง (ทั่วไป); แกง (นครราชสีมา); [THAI: Chaeng (General); Kaeng (Nakhon Ratchasima).];
EPPO Code--- 1MAEG (Preferred name: Maerua)
ชื่อวงศ์---CAPPARACEAE (CAPPARIDACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา เวียตนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษาอาหรับ “maeru” หมายถึงดวงอาทิตย์ อ้างอิงถึงพืชที่ชอบแสงแดดจัด ;ชื่อสายพันธุ์ 'siamensis' = หมายถึงเป็นไม้ในสกุลที่มีเพียงชนิดเดียวในประเทศไทย
Maerua siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ferdinand Albin Pax (1858-1942)ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2479


ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทุกภาคจนถึงภาคใต้ตอนบน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง หรือตามป่าโปร่ง โดยเฉพาะเขาหินปูนเตี้ย ๆ ที่ระดับ ความสูง 0- 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่สูงไม่เกิน10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ มีใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย (trifoliolate) เรียงตัวแบบแผ่ๆ หรือแบๆ ออกมา ลักษณะคล้ายตีนนก ใบย่อยรูปไข่กลับ รูปขอบขนาน หรือรูปแถบ ใบค่อนข้างแข็ง กว้าง 1-3 ซม. ยาว 5-7 ซม.เกือบไร้ก้าน ดอกสีเขียวอมขาวออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น แฉกรูปไข่ กว้าง 0.2-0.3 ซม. ยาว 0.7-1 ซม. ปลายแหลม ขอบมีขนคล้ายเส้นไหม ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้ 9-12 อัน ก้านเกสรยาว 10-15 มม.อับเรณูรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 มม.ปลายอับเรณูเป็นติ่ง ก้านชูเกสรเพศเมีย ยาว 1.5-2 ซม.รังไข่รูปทรงกระบอก ยาว 1.5-2 มม.เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผลรูปรีหรือรูปกลมผิวขรุขระ กว้าง 1.3-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม.ก้านผลยาว 4.5–7.5 ซม. ผลจะกลายเป็นสีเหลืองเข้มเมื่อสุก ซึ่งภายในผลจะมีเมล็ดรูปไตอยู่ประมาณ 2-3 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด ดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี

 

*(ส่วนตัว) ตอนนี้ (2553) นิยมขุดล้อมนำมาเป็นไม้ประดับขนาดใหญ่ ราคาแพง เนื่องจากล้อมยากมาก ความเสี่ยงในการหลุดสูง ในรูปที่นำมาประกอบต้นล่างรูปซ้ายจะเป็นต้นที่ขึ้นตามธรรมชาติ ตามป่าชายเขา แถวนั้น(ไม่บอกที่ไหน เดี๋ยวหมด)เมื่อก่อนมีต้นใหญ่หลายต้น เดี๋ยวนี้เหลือแต่ต้นขนาดนี้ ไม่กี่ต้น ที่เหลือนี่ 1 เพราะต้นมันเล็กเกินไม่ได้ราคาทำให้ราคาเสีย  2 ติดหินล้อมขึ้นได้แต่ก็อาจไม่รอด ส่านต้นขวาเป็นต้นที่ขุดล้อมมาพักพร้อมขาย เพื่อรอจำหน่ายออก ตาม ความคิดนะเสียดายมากที่ต้นไม้พวกนี้ต้องถูกพรากมาจากป่า (อย่าว่าดราม่า)เพราะเมื่อมีการล้อมต้นไม้ใหญ่เอามาไว้ในเมืองหมด คุณประโยชน์ที่ได้รับก็เป็นแค่ความสุขทางใจ แต่หากยังอยู่ในที่นั้นๆ ดูสรรพคุณซะก่อนว่าชาวบ้านเขาใช้ทำอะไร*

 

การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกอ่อน ยอดอ่อน นำมาดองคล้ายดอกกุ่มหรือผักเสี้ยน กินกับน้ำพริก เนื้อไม้ใช้เป็นส่วนผสมในการทำผงเชื้อของแป้งข้าวหมาก
-ใช้เป็นยา แจงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการใช้ ราก เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปัสสาวะพิการ แก้กษัย แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ แก้ดีซ่าน แก้หน้ามืดตาฟาง รักษาฝีในคอ แก้ไข้จับสั่น - ต้น มีคุณสมบัติเหมือนราก แต่มีคุณสมบัติมากกว่ารากตรงที่แก้แมงกินฟัน ทำให้ฟันทน เปลือก แก้หน้ามืดตาฟาง บำรุงกำลัง แก้ปัสสาวะพิการ แก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย- แก่น แก้ไข้ตัวร้อน -รากและใบ ต้มน้ำดื่ม แก้ดีซ่าน หน้ามืด ตาฟาง -ใบและยอด ตำโขลกใช้สีฟันทำให้ฟันทน -ใช้ทั้งห้า แก้ไข้จับสั่น แก้ดีพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ
-ใช้อื่น ๆเนื้อไม้สีขาวและล่อนเป็นกาบ นิยมนำมาทำดินปืน หรือเผาเป็นถ่านที่มีคุณภาพดี -ใบ-ใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงเพื่อเผาขนสัตว์


*(ส่วนตัว) ถึงปัจจุบันจะบอกว่าเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ก้าวหน้าเกินกว่าจะให้ชาวบ้านมาต้มยา กิน ฝนรากพอกอะไรทำนองนี้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเพราะเราขาดการส่งเสริมให้รู้จักและเข้าใจในคุณค่าถึงสิ่งที่เรามีละเลยที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้เหลียวหลังระวังหน้าอย่างที่ปู่ย่าตายายท่านสอนไว้ *
ระยะออกดอก--- ธันวาคม-มีนาคม/กุมภาพันธ์-เมษายน
ขยายพันธุ์ --- ด้วยการตอนกิ่งและเพาะเมล็ด


Akaniaceae หรือครอบครัว turnipwood เป็นครอบครัวของพืชดอก ประกอบด้วยต้นไม้สองสกุลคือ AkaniaและBretschneidera ซึ่งแต่ละชนิดมีสายพันธุ์เดียว พืชเหล่านี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน , เวียดนาม , ไต้หวันและออสเตรเลียตะวันออก (แสดงในหน้านี้ 1 สกุล)
-Akania bidwillii (turnipwood) - ออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ
-Bretschneidera sinensis - จีนตอนใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

51 ชมพูภูคา/Bretschneidera sinensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Bretschneidera sinensis Hemsl.(1901)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-24379
---Bretschneidera yunshanensis Chun & F.C.How.(1958)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ชมพูภูคา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Zhōng è mù, Bo le shu, Boleshu.];[THAI: Chompoo Phu Kha (General).];[VIETNAMESE:  Rết nây, Chung ngạc mộc, Chuông đài.]
EPPO Code--- BTASI (Preferred name: Bretschneidera sinensis.)
ชื่อวงศ์---AKANIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไต้หวัน ไทยและเวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Bretschneidera ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวลัตเวีย Emil Bretschneider (1833-1901)
Bretschneidera sinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Akaniaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Botting Hemsley (1843-1924) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2444
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์นี้กระจัดกระจายไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (หูเป่ย เจ้อเจียง หูหนาน ฝูเจี้ยน เจียงซี กวางตุ้ง เสฉวน กวางสี ยูนนาน กุ้ยโจว)ขยายไปถึงLai Chauในเวียดนามและไท่เป่ย มณฑลอิลานในไต้หวันตอนเหนือ และภาคเหนือของประเทศไทย ต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติ ในป่าระดับความสูงต่ำถึงปานกลางในหุบเหวและลำธารที่ระดับความสูง 300- 1,700 เมตร ชมพูภูคาเป็นไม้ถิ่นเดียวของประเทศไทย มีรายงานการสำรวจพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้เมื่อปี พ.ศ. 2532 บริเวณป่าดงดิบเขาดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว และที่ บ้านสว่าง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน พบขึ้นตามที่ลาดชันในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1200-1500 เมตร
ลักษณะ ชมพูภูคาเป็นต้นไม้หายากเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่สูงได้ถึง10–20 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอมเทา ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 4-8 คู่ ขนาดกว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 8-25 ซม.ฐานใบเบี้ยว ใบแก่เกลี้ยงมีขนเล็กน้อยบนก้านใบ ด้านล่างใบสีเทาอ่อน ดอก สีชมพูสดใสขนาด 3.5-4ซม. ช่อไม่แตกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง ยาว40ซม กลีบดอกกลม5กลีบ ฐานกลีบแคบ เกสรเพศผู้ 8 อันอยู่กันเป็นกลุ่มโค้งลง ก้านเกสรเพศเมีย1อัน ผลขนาด 4 ซม.มนรีปลายสองข้างแคบแตกเป็น3เสี้ยว แต่ละเสี้ยวมี1-2เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เนื่องมาจากความหายากในการเพาะปลูก แทบไม่สามารถพูดถึงข้อกำหนดได้ แต่เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมจีน (China Culture 2003) ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความต้องการทางนิเวศวิทยา ตามรายงานของผู้เขียนที่ไม่ระบุชื่อรายงานนี้ เป็นสายพันธุ์กึ่งเขตร้อน ซึ่งเติบโตในดินที่เป็นกรดที่อุดมสมบูรณ์ ในสภาพที่มีน้ำค้างแข็งแต่ไม่ได้รับความร้อนมากเกินไป มันงอกในที่ร่ม และเจริญขึ้นโดยทนร่มเงาได้เหมือนต้นอ่อน กล่าวกันว่ามีรากที่ลึกและกันลม ทำให้ได้ไม้ที่สวยงามคุณภาพดี
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้เป็นยาแก้ปวดเส้นเอ็นและมีการกล่าวกันว่าเป็นไม้ที่หยั่งรากลึกและทนต่อลมทำให้ได้เนื้อไม้คุณภาพดี
ภัยคุกคาม-เนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยเป็นสาเหตุหลักของประชากรที่ลดลงถูกวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท "ใกล้สูญพันธุ์"
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.1998
ระยะเวลาออกดอก ---กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะต้นกล้าจากเมล็ด

52 ชุมแสง/Xanthophyllum lanceatum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Xanthophyllum lanceatum (Miq.) JJSm.(1912)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/4051497
---Basionym: Skaphium lanceatum Miq.(1861)
---Xanthophyllum glaucum Wall. ex Hassk.(1864)
---Xanthophyllum microcarpum Chodat.(1896)
---Banisterodes glaucum (Wall. ex Hassk.) Kuntze.((1891)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---แก้ว (ลำปาง), แสง (สกลนคร), แสงกึน (อุบลราชธานี), กระเบียน (กาญจนบุรี), ขางข้าวต้นเกลี้ยง (เชียงใหม่), ชุมแสง (ภาคกลาง) ; [CAMBODIA: Kânsaëng, Pumsaèn.];[LAOS: Soum seng.];[MALAYSIA: Berok Minyak (Malay); Nyalin (Iban).];[INDONESIA: Pokok Minyak Berok.];[THAI: Kaeo (Lampang); Saeng (Sakon Nakhon); Saeng kuen (Ubon Ratchathani); Krabian (Kanchanaburi); Khang khao ton kliang (Chiang Mai); Chumsaeng (Central).].
EPPO Code---1XAPG (Preferred name: Xanthophyllum)
ชื่อวงศ์---POLYGALACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้- บังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสามัญมาจากภาษากรีกแปลว่า "ใบเหลือง" หมายถึงใบมักเป็นสีเหลืองเมื่อแห้ง
Xanthophyllum lanceatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Polygalaceae (ภายใต้ระบบ Cronquistก่อนหน้านี้มันถูกวางไว้ในตระกูล monotypic Xanthophyllaceae )ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Jacobus Smith (1867–1947) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2455


ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่สุมาตราไปจนถึงบังคลาเทศ ประเทศและภูมิภาคที่เติบโต ได้แก่ อินโดนีเซีย (สุมาตรา), มาเลเซีย ( คาบสมุทร ), ประเทศไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว, พม่า, และบังคลาเทศ พบตามหนองน้ำในป่าฝนที่ลุ่มที่ระดับความสูงต่ำกว่า 500 เมตร
ลักษณะ ต้นชุมแสงมีลักษณะคล้ายกับต้นแจง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 5-8 เมตร เปลือกเรียบสีน้ำตาลอมเทา ลำต้นบิดงอ ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม.ยาว 8-12 ซ. ผิวใบเกลี้ยง ใบคล้ายกับใบมะปรางเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง หรือ ซอกใบใกล้กิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก  ดอกไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ, กลีบดอก 5 กลีบสีขาวถึงม่วงอ่อน เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาล ผลแห้ง รูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5- 3 ซม.สีเขียวแกมเทา ไม่แตก เปลือกหนามีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่โล่งแจ้งแสงแดดจัดจนถึงแสงปานกลางดินมีความชื้นสูงสม่ำเสมอเนื่องจากเป็นไม้ริมน้ำ
ใช้ประโยชน์--- ใช้กิน ยอดอ่อนใช้กินเป็นผัก น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้ในการปรุงอาหาร ใบถูกนำมาใช้เพื่อให้รสขมแก่เบียร์
-ใช้เป็นยา โบราณใช้ทำยารักษาโรคพรายเลือดลมสตรี  ราก เปลือกลำต้น หรือใบ ผสมลำต้น สะแก ลำต้นสะแบง และสังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น แช่น้ำ อาบทุกวัน ๆ ละ3 ครั้ง แก้โรคผิวหนังเปือยพุพอง
-ใช้ปลูกประดับ ชุมแสงเป็นไม้ยืนต้นที่ยากจะทิ้งใบนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนตามสถานที่ต่าง ๆปัจจุบันต้นชุมแสงจัดเป็นต้นไม้ที่ควรอนุรักษ์
-อื่น ๆ ผลของต้นชุมแสงใช้เป็นลูกกระสุนสำหรับธนู น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้สำหรับทำเทียนและสบู่
พิธีกรรม/ความเชื่อ---ในยุคสมัยก่อนการสร้างหลังคาโบสถ์ของวัดต่างๆ คาน ขื่อ และแป จะต้องใช้ไม้ของ “ต้นชุมแสง” เพียงอย่างเดียวจึงจะเป็นสิริมงคลตามความเชื่อโบราณ
ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์-มีนาคม/เมษายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ตอนกิ่ง

53 ตะเคียนทอง/Hopea odorata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hopea odorata Roxb.(1811 publ. 1819)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2853232
---Hopea decandra Buch.-Ham. ex Wight.(1840)
ชื่อสามัญ---Ironwood, White thingan.
ชื่ออื่น---กะกี้, โกกี้ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); แคน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); จะเคียน (ภาคเหนือ); จืองา (มาเลย์-นราธิวาส); จูเค้, โซเก (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะเคียน, ตะเคียนทอง, ตะเคียนใหญ่ (ภาคกลาง); ไพร (ละว้า-เชียงใหม่); [BANGLADESH: Telsur, Tersol.];[CAMBODIAN: Koki Masao, Thmar.];[KANNADA: Kallurala, Bili tirupu.];[LAOS: Kh’ein, Khaen Huea.];[MALAYSIA: Merawan, Cengal kampung, Chengal mas, Cengal Pasir, Chengal pasir, Merawan siput jantan (Malay); Chengal Kampung (Terengganu); Chengal Pulau (Kedah)];[MYANMAR: Thingan.];[TAMIL: Urappupicin.];[THAI: Ka-ki, Ko-ki (Karen-Chiang Mai); Khaen (Northeastern); Cha khian (Northern); Chue-nga (Malay-Narathiwat); Chu-khe,so-ke (Karen-Kanchanaburi); Ta khian, Ta khian thong, Ta khian yai (Central); Phrai (Lawa-Chiang Mai).];[VIETNAM: Sao, Sao den.];[TRADE NAME: Merawan.].
ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ --เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า หมู่เกาะอันดามัน กัมพูชา ลาว เวียตนามตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ตอนเหนือ
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Hopea ตั้งตาม John Hope นักพฤกษศาสตร์ชาวสก๊อต (ค.ศ. 1725-1786); ชื่อเฉพาะคือคำคุณศัพท์ภาษาลาติน“ odoratus, a, um” = กลิ่นหอม, น้ำหอมโดยมีการอ้างอิงถึงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม
Hopea odorataเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Dipterocarpaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh(1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2362


ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติขยายจากศรีลังกาไปยังหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์และจากบังคลาเทศไปยังพม่า ไทย, มาเลเซียและกัมพูขา ลาว เวียตนาม  ต้นตะเคียนจะขึ้นกระจายอยู่กว้างขวางพบในป่าดิบชื้นส่วนใหญ่ตามแนวน้ำที่ระดับความสูง 0-900 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบสูง30-40 เมตรเส้นรอบวงลำต้นประมาณ 4 เมตร เรือนยอดแน่นสีเขียวเข้มกิ่งแผ่กว้าง ลำต้นเปลาตรงเปลือกนอกสีน้ำตาลคล้ำเกือบดำมักมีร่องลึกตามยาว เมื่ออายุมากขึ้นเปลือกจะเป็นเกล็ด ๆเปลือกชั้นในสีเหลืองหม่นมักจะมีน้ำยางสีเหลืองซึมออกมา กิ่งแขนงเรียวเล็กลู่ลง ใบรูปไข่แคบหรือเกือบขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง 3-7.5 ซม.ยาว 8-16 ซม.ฐานใบป้านหรือกลมไม่สมมาตร ใบเกลี้ยงเป็นมันด้านล่างของใบจะมีตุ่มหูดสีเหลืองอ่อนใบอ่อนมีขนรูปดาวสีเทาใบแก่ผิวเรียบยกเว้นมีกลุ่มขนเล็กๆสีดำในซอกเส้นใบ หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสมบูรณ์เพศขนาด 0.8-1 ซม.สีขาวหรือเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอมทุกส่วนของช่อดอกมีขนนุ่มสีเทาดอกเป็นช่อถึง 50 ดอก ออกที่ปลายช่อและซอกใบบนๆ ผลมีปีกยาว 2 ปีก ปีสั้น 3 ปีก ปีกซ้อนกันแต่หุ้มส่วนกลางผลไม่มิด มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้นไม้เล็กต้องการร่มเงา แต่จะมีความต้องการแสงเพิ่มขึ้นเมื่อโตขึ้น พบได้ในป่าบนดินที่อุดมสมบูรณ์มักจะอยู่ตามริมลำธารและในสถานการณ์ที่ชื้น ดินมีการระบายน้ำดี มีค่า pH ในช่วง 4.8 - 5.2 ซึ่งทนได้ 4.4 - 6
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความอ่อนไหวต่อแมลงศัตรูพืช ที่สำคัญได้แก่Trioza hopeae (เพลี้ยกระโดด)/ไวรัส และเชื้อราหลายชนิด ส่งผลกระทบต่อใบ ผลไม้ และราก
การใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้แทนนิน, เรซิ่นและไม้ ต้นไม้ถูกเอาเปรียบทางการค้าในฐานะแหล่งที่มาของไม้ซุง 'merawan' ในขณะที่เรซิ่นขายในตลาดท้องถิ่น
-ใช้กินได้ เปลือกไม้ใช้เคี้ยวแทนหมากกับพลู
-ใช้เป็นยาบางส่วนของพืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณสำหรับโรคที่หลากหลาย เรซิ่นใช้ในยาแผนโบราณในพม่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดโดยมีฤทธิ์ช่วยหยุดเลือดเมื่อนำไปใช้กับบาดแผล เปลือกไม้นั้นมีฤทธิ์ฝาด มันถูกใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง มันเป็นส่วนผสมของยาสำหรับรักษาอาการอักเสบของเหงือกและความมักมากในกาม
-ใช้เป็นไม้ประดับ เป็นไม้ประดับและให้ร่มเงาในส่วนของเบงกอลตะวันตกและชายฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะอันดามันเวียดนาม ฯ
-วนเกษตร ใช้ในโครงการปลูกป่าเหมาะสำหรับการปลูกบนที่ดินที่เสื่อมโทรม
-อื่น ๆ เนื้อไม้ละเอียดสีเหลืองซีดที่กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนหากสัมผัส เป็นไม้ที่มีเนื้อไม้ทนต่อแมลงและปลวก เนื้อไม้แข็งและทน แต่ทำให้แห้งยาก เป็นที่รู้จักกันในแง่เนื้อไม้ที่มีคุณภาพสูง ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย, เรือ, สะพาน, หมอนรถไฟ, เฟอร์นิเจอร์ และวัตถุงานฝีมือและงานศิลปะ เปลือกมีสารแทนนินสูง ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ต้นไม้ประกอบด้วยเรซินโปร่งใสที่เรียกว่า rock dammar ที่มีคุณภาพดีใช้สำหรับเคลือบเงาและกันน้ำในเรือ-แทนนินพบได้ในส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้โดยมี 11% ในใบไม้, 13-15% ในเปลือกและ 10% ในไม้
-ต้นที่มีขนาดใหญ่ในป่าหายากมาก นอกจากป่าที่ได้รับการดูแลอย่างดีหรือป่าที่เข้าถึงยาก *(ส่วนตัว)-รูปดอกตะเคียนทองถ่ายมาจากวัดสะพานสูง นนทบุรี มีต้นใหญ่อยู่หลายต้นมากโชคดีที่ได้รูปดอกตะเคียนมาเพราะต้นตะเคียนจะไม่ออกดอกทุกปี จะออก3-5ปีต่อครั้ง ถือว่าโชคดีสุดๆ แต่ก็ไม่วายมีกรรมบังมาด้วย กล้องที่ใช้สมรรถนะต่ำรูปเลยออกมาไม่ค่อยชัด*
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปและการทำลายถิ่นที่อยู่จำนวนประชากรลดลงอย่างมาก จนถูกวางไว้ในบัญชีแดงของ IUCN (สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ในฐานะ "อ่อนแอ" (ชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์) ในป่าโดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE -  IUCN. Red List of Threatened Species.2017
ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์—เมษายน/พฤษภาคม—มิถุนายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้ระยะเวลาการงอก10-30 วัน อัตราการงอกของเมล็ดพบว่ามี 73% เพาะในที่ไม่มีร่มเงา, 83% ในที่กึ่งร่มเงาและ 40% สำหรับการหว่านโดยตรง

ต้นไม้ในสกุลLagerstroemiaหรือสกุลของ ตะแบก เสลา อินทนิลนี้ ทางอิสานจะเรียกรวมกันว่า"เปื่อย"และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จนบางทียากที่จะบอกว่าต้นไหนเป็นต้นไหนเพราะตะแบกบางพันธุ์มีใบเล็กใบใหญ่ เหมือน เสลากับอินทนิล ดอกก็เหมือนกันบางพันธุ์จะมีดอกขนาดใหญ่สีม่วงขาว ชมพู มองคละกันไปดูเหมือนกันไปหมดบางพันธุ์ก็มีขนาดเล็กสีสันต่างๆก็คล้ายกันทั้งนั้น ในหนังสือ"ดอกไม้และประวัติไม้ดอกเมืองไทย" ของท่านอาจารย์ วิชัย อภัยสุวรรณ แนะให้ลองสังเกตุดังนี้
ตะแบก - เปลือกเรียบเกลี้ยงเป็นสีเทาขาวขุ่น ตามเปลือกรอบต้นมีรอยคล้ายแผลเป็น ลักษณะเป็นดวงด่าง วงๆประอยู่ห่างๆทั่วไปตามลำต้น
เสลา - เปลือกลำต้นสีน้ำตาลคล้ำ หรือค่อนข้างดำ แต่ไม่ดำสนิท และจะมีรอยแตกตามยาวเป็นร่องตื้นตลอดต้น
จำไม่ได้ให้ท่องไว้.... เสลาเปลือกแตก-ตะแบกเปลือกเรียบ
อินทนิล - เปลือกลำต้นจะมีผิวเรียบเกลี้ยง แต่มีแผ่นสะเก็ดบางๆลอกออกได้เองคล้ายเปลือกต้นฝรั่ง แต่ถ้าเปลือกของลำต้นมองดูกระด้างตาไม่มีการลอกเป็นสะเก็ดพวกนั้นคือตะแบก เปลือกบาง "

55 เสลา/Lagerstroemia loudonii

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn.(1863)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553587-1
---Lagerstroemia hirsuta Rottler ex C.B.Clarke.(1879)
---Lagerstroemia rottleri CBClarke.(1879)
---Murtughas loudonii (Teijsm. & Binn.) Kuntze. (1891)
---Murtughas rottleri (CBClarke) Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---Thai Bungor, Thai Crapemyrtle, Burmese Bungor, Loudon’s crape myrtle, Salao flower.
ชื่ออื่น--- เกรียบ, ตะเกรียบ (ชอง-จันทบุรี); ตะแบกขน, เสลา (นครราชสีมา); เสลาใบใหญ่ (ประจวบคีรีขันธ์, สระบุรี); อินทรชิต (ปราจีนบุรี); [INDONESIA: Bungur (Java).];[MALAYSIA: Bungor Siam (Malay).];[THAI: Salao, in tha ra jit, Dta baek kon, Dta griap, Griap, Sa lao bai yai.];[VIETNAM: Bàng lang tía].
EPPO Code--- LAELO (Preferred name: Lagerstroemia loudonii.)
ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลเป็นเกียรติแก่ Magnus von Lagerstrom (1691-1759) นักธรรมชาติวิทยาและผู้อำนวยการบริษัทอินเดียตะวันออกของสวีเดน แม็กนัสเป็นเพื่อนและผู้อุปถัมภ์ของ Carl Linnaeus ในระหว่างการเดินทาง เขาได้จัดหาพืชให้กับลินเนียส และในทางกลับกัน ลินเนียสได้ตั้งชื่อสกุลของCrapemyrtle ตามชื่อของเขาว่า"Lagerstroemia" ; ชื่อสายพันธุ์ 'loudonii' เป็นเกียรติแก่ John Claudius Loudon(1783-1843)นักพฤกษศาสตร์และนักออกแบบภูมิทัศน์ชาวสก็อต
Lagerstroemia loudonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และ Simon Binnendijk (1821–1883) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2406
*(ส่วนตัว)-ต้นไม้ต้นนี้ชื่อ "เสลา" อ่านว่า สะ-เหลา มีบางคนเรียกว่า ต้น เส-ลา เอามาย้ำให้ฟังแบบงงงง......*



ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพม่าและไทย ในประเทศไทยพบต้นเสลาขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ และป่าชายหาด พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ลงไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง5-15 เมตร เรือนยอดกลมใบดกและกิ่งโน้มลงรอบทรงพุ่ม เปลือกสีดำแตกเป็นร่องเล็กตามความยาวลำต้น ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม-เกือบตรงข้ามรูปไข่แกมขอบขนานยาว5-20 ซม.กว้าง 4-8 ซม.ก้านใบยาว 0.3-0.5 ซม.ด้านบนเรียบเกลี้ยงด้านล่างมีขน ช่อดอกใหญ่ออกที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ช่อดอกยาว 10-30 ซม.ดอกสีม่วงอมชมพูหรือม่วงและขาวบางต้นมีสีขาวล้วน กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5-8 แฉก กลีบดอกส่วนใหญ่เป็น 6 กลีบ รูปกลมบางยับย่น ขอบย้วย โคนคอดเป็นก้านสั้น ๆ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4ซม. เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลแคปซูลรูปกลมรียาว 2-2.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.ผลแห้งแตกตามยาว 5-6 ซีก เมล็ดสีน้ำตาลเข้มจำนวนมาก เมล็ดมีปีกสีน้ำตาลอ่อน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวัน ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ไม่ทนน้ำท่วมขัง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0องศาC ในช่วงสั้น ๆ ทนทานต่อความเค็มได้ดี สามารถนำไปใช้ใกล้ทะเลได้
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา บางส่วนของพืชถูกใช้ในการแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะเปลือกไม้สำหรับรักษาอาการท้องเสีย ใบไม้ใช้กับแผลที่ผิวหนัง ใช้ใบบดกับกำยานใช้ทาผดผื่นคัน
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาและดอกที่สวยงามนิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วประเทศ
-อื่น ๆ ไม้เนื้อแข็ง เนื้อเหนียว ทนทาน ใช้ก่อสร้าง แปรรูป ต่อเรือ ทำสะพาน ทำพื้น ตง รอด หรือใช้แกะสลัก-ผลใช้ทำไม้ประดับแห้ง
พิธีกรรม/ความเชื่อ---คนไทยมีความเชื่อว่าหากปลูกต้นเสลาไว้ประจำบ้านจะเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลทำให้บ้านนั้นมีฐานะสูงขึ้น
สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานจังหวัดนครสวรรค์
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน- มกราคม/กุมภาพันธ์-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์--เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก15-40วัน

56 อินทนิลน้ำ/Lagerstroemia speciosa


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.(1806)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2353907
ชื่อสามัญ--Queen Flower, Giant crape-myrtle, Queen's crape-myrtle, Banabá plant for Philippines, Pride of India, Bloodwood, Rose of India
ชื่ออื่น---ฉ่วงมู, ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะแบกดำ (กรุงเทพฯ); บางอบะซา (นราธิวาส); บาเย, บาเอ (มาเลย์-ปัตตานี); อินทนิล, อินทนิลน้ำ (ภาคกลาง, ภาคใต้); [ASSAMESE: Ejar, Ajar, Jarul.];[BRAZIL: Flor-da-rainha, Resedá-flor-da-rainha, Resedá-gigante.];[CHINESE: Bai ri hong, Da hua zi wei, zi wei shu.];[CUBA: Astronomía, Cupido, Gastronomia, Júpito.];[DOMINICAN REPUBLIC: Almira, Armira.];[DUTCH: Koninginnebloem.];[FRENCH: Lilas des Indes, Stragornia blanc.];[GERMAN: Rose von India.];[HAITI: Atromelia stragornia.];[HINDI: Jarul.];[INDONESIA: Bungur, Bungur tekuyung, Ketangi.];[JAMAICA: Crape myrtle, June rose.];[JAVANESE: Ketangi.];[MALAYSIA: Berangan asu, Bungor raya, Bongor biru, Sebugor, Tibabah (Malay).];[MARATHI: Taman.];[MYANMAR: Gawkng-uchyamang, Pyinma, Pyinma-ywetthey.];[NETHERLANDS: Koninginnebloem.];[PHILIPPINES: Banaba (Tag.), Makabols, Parasabukong.];[PUERTO RICO: Astromero.];[SPANISH: Astromelia, Embrujo de la India, Flor de la reina, Orgullo de la India.];[TAMIL: Kadali.].[THAI: Chuang-muu, Chong-pana, Tabaek dam, Inthanin nam.];[VIETNAM: Banglang.].
EPPO Code---LAESP (Preferred name: Lagerstroemia speciosa.)
ชื่อวงศ์ ---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ อินโดจีน มาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ ชวา  สุลาวาสี ตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลLagerstroemia ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์'speciosa'เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'speciosus, a, um' = สวยงามฉูดฉาดอ้างอิงถึงดอกไม้
Lagerstroemia speciosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยChristiaan Hendrik Persoon (1761–1836)นักพฤกษศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ.2349

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเอเชียเขตร้อนรวมถึงอนุทวีปอินเดีย, จีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางเป็นไม้ประดับและขณะนี้ได้รับการแปลงสภาพในเขตร้อนของเอเชียและแอฟริกา, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก, อเมริกากลาง อเมริกาใต้และหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเป็นพืชของเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร สายพันธุ์นี้ได้รับการชื่นชมอย่างมากในตลาดพืชสวนขนาดใหญ่ มักจะนำไปปลูกในสวนทั่วไป ในสวนสาธารณะ รอบลานจอดรถและตามทางหลวง มันได้หลบหนีจากการเพาะปลูกและตอนนี้สามารถพบได้ตามธรรมชาติในพื้นที่เสีย, พื้นที่ที่ถูกรบกวน, ทุ่งหญ้าโล่งและตามริมถนนในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ขณะนี้มีการจดทะเบียนเป็นพืชรุกรานในเบลีซ, คอสตาริกา, เปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จิน ( Balick et al., 2000 ; ChacónและSaborío, 2012 ; Rojas-Sandoval และ Acevedo-Rodríguez, 2015 ) ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 750 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ หมายถึงถ้าขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้งจะผลัดใบ ถ้าผลัดใบจะผลัดใบประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ต้นสูงประมาณ 10-20 เมตร เส้นผ่านศูน์กลางประมาณ 60 ซม.เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มกว้างกลม เปลือกหนาสีเทาอมน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียบเป็นมัน เรียงตรงข้าม ใบยาวรูปไข่กึ่งขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อยาวประมาณ10-50ซม.ออกที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง  ดอกสีม่วงสด ,ม่วงอมชมพู ,สีชมพูหรือสีขาว (สำหรับอินทนิลพันธุ์สีชมพูสดเรียกว่า ตะแบกอินเดีย) ดอกขนาดใหญ่ขนาดดอกประมาณ 5-7.5ซม  มีกลีบดอก 6 กลีบ.เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลเป็นแบบแคปซูลรูปไข่ยาวและกว้าง 2-2.5ซม. เมื่อแก่มีสีน้ำตาล ผลแก่แตกออกเป็น6พู ผลและเมล็ดเล็กกว่าอินทนิลบก เมล็ดยาว1ซม.สีน้ำตาลอ่อน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในตำแหน่งที่มีแดดจัดมักจะพบการเจริญเติบโตตามลำธาร ดินอาจแตกต่างจากการระบายน้ำดีถึงน้ำท่วมเป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่ดินพรุ ต้องการค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 องศา C ในช่วงสั้น ๆต้นไม้ได้รับการปลูกอย่างประสบความสำเร็จในเขตเมืองที่มีมลพิษทางอากาศ การระบายน้ำไม่ดีดินบดอัดและ/หรือภัยแล้ง สามารถออกดอกได้เมื่ออายุเพียง 2 ปี สายพันธุ์นี้ทนต่อไฟ

 

การใช้ประโยชน์---- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาและแหล่งวัสดุ ไม้ที่มีคุณภาพดีถือว่าเป็นหนึ่งในไม้ที่ดีที่สุดในพม่าและอัสสัมและมักจะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเชิงพานิชย์
-ใช้เป็นยา การเตรียมจากใบแห้งหรือที่เรียกว่า Banaba มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศฟิลิปปินส์ในการรักษาโรคเบาหวานและปัญหาปัสสาวะ ใบไม้นั้นใช้เป็นยาถ่าย-; ในอินเดียใช้เปลือกและใบเป็นยาขับพิษ  เมล็ดใช้เป็นยาเสพติด และรากเป็นยาแก้ไข้ ยากระตุ้น และยาสมานแผล (Jain and DeFilipps 1991)-;ในอินโดจีนจะใช้รากและเปลือกเป็นยาสมาน ใบและผลมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดในการรักษาโรคเบาหวาน บนคาบสมุทรมลายูมีการรับประทานยาต้มจากเปลือกเพื่อรักษาอาการปวดท้องและโรคบิด ใบทำเป็นยาพอกเพื่อรักษาโรคมาลาเรียและเท้าแตก-; ในประเทศอินโดนีเซียใช้เปลือกเย็นเพื่อรักษาอาการท้องร่วง ยาพอกใบใช้แก้อาการไข้มาเลเรีย ยาต้มเปลือกใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสียและปวดท้อง
-วนเกษตร ต้นไม้มีระบบรากที่มีความหนาแน่นสูงและกว้างซึ่งทำให้มันมีประโยชน์ในการปลูกเพื่อควบคุมการชะล้างพังทลาย ถูกใช้ในรูปแบบการปลูกป่าสำหรับเนินเขาที่เสื่อมโทรมในชวา
-ใช้เป็นไม้ประดับ นิยมใช้เป็นไม้ประดับและไม้ให้ร่มเงาตามอาคารบ้านเรือน สถานที่ราชการ ริมถนน สวนสาธารณะโดยทั่วไป
-ใช้อื่นๆ แก่นไม้เป็นตัวแปรจากสีน้ำตาลอ่อนสีเหลืองน้ำตาลสีเทาหรือสีแดงไปจนถึงสีน้ำตาลแดง พื้นผิวมีความละเอียดปานกลางถึงหยาบและไม่สม่ำเสมอค่อนข้างมันวาว ไม้หนักพอสมควร เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน แผ่นผนัง แผ่นไม้อัด ผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับสูงการแกะสลักและพื้นภายใน มีรายงานว่าเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในการสร้างเรือในประเทศไทยและบางส่วนของภูมิภาคอินโดจีน- เปลือกผลและใบมีแทนนิน [เปลือกผลไม้ (14 - 17%) ใบ (12 - 13%).] สีย้อมสีเหลืองได้จากเปลือกไม้ -ไม้ยังใช้เป็นเชื้อเพลิง
รู้จักอันตราย---รากลำต้นและใบมีกรดไฮโดรไซยานิค
ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ชำราก

57 อินทนิลบก/Largerstroemia Macrocarpa


ชื่อวิทยาศาสตร์---Largerstroemia Macrocarpa Wall. ex Kurz.(1874)
นอกประเทศไทยนี่ถือเป็นคำพ้องความหมายของLagerstroemia speciosa (L. ) Pers
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3989096
---Lagerstroemia costa-draconis Furtado & Srisuko.(1969)
---Lagerstroemia hossei Koehne.(1908)
---Lagerstroemia intermedia var. oblonga Craib.(1911)
---Lagerstroemia macrocarpa var. reflexa Furtado & Srisuko.(1969)
ชื่อสามัญ---Giant Crape Myrtle, Naked lady of the forests.
ชื่ออื่น-- กากะเลา (อุบลราชธานี); กาเสลา, กาเสา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); จ้อล่อ, จะล่อ, จะล่อหูกวาง, หูกวาง (ภาคเหนือ); ชีมุง (เงี้ยว); ปะหน่าฮอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); อินทนิลบก (ภาคกลาง) ;[BURMESE: Eikmwe, Kon-pyima, Mai-sa-hpong, Pyinma-ywet-gyi.];[KANNADA: Nandimara.];[MALAYALAM: Vellilav, Ventheekk.];[MARATHI: Bondara, Kumbaya, Nana.];[RUSSIAN: Lagestromiia krupnoplodnaia.];[TAMIL: Kaccai-k-kattai, Vel-vila, Ventekku.];[TELUGU: Chinnangi.];[THAI: In ta nin bok (Central Thailand), Ga ka lao, Jorlor, Jalor, Jalor hoo kwang (Northern Thailand), See mung.].
EPPO Code--- LAEMA (Preferred name: Lagerstroemia macrocarpa.)
ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย ลาว
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลLagerstroemia ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus
Largerstroemia Macrocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กจากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2417
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเทือกเขา Ghatsตะวันตก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย กระจายอยู่ในตอนเหนือของพม่า ไทย ลาว เติบโตในป่าเต็งรัง ป่าเปิด ป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร เป็นไม้ที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในประเทศเขตร้อน ในประเทศไทยพบทั่วไปในป่าผลัดใบและป่าโปร่งผสม พบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ พบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1000 เมตร
ลักษณะเป็นไม้ต้นสูง 8-15 เมตร ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน แกมรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ยาว 10-45 ซม.ออกเรียงตรงข้ามเป็นคู่ โคนใบมน ปลายใบมนหรือแหลม แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 0.5-2 ซม. ใบใหญ่กว่าอินทนิลน้ำ ผลัดใบในฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมจะแตกใบใหม่พร้อมทั้งออกช่อดอก ดอกจะออกเป็นช่อกระจะตั้งตรง ยาวได้ถึง 30 ซม. มีขนสั้นนุ่ม ก้านดอกเทียมยาว 0.5-2 ซม.  ดอกสีชมพู ม่วงแดง ถึงซีดขาว กลีบดอก 6กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมากเรียงเป็นกระจุกอยู่กลางดอกอับเรณูสีเหลือง ผลรูปรีกว้างหรือเกือบกลม ยาว 3-4 ซม. เกลี้ยง ปลายมีติ่งแหลม แตกเป็น 6 ซีก เมล็ดจำนวนมาก มีปีก สีน้ำตาล
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ ปลูกง่ายขึ้นในดินแทบทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 อุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 18 - 35°c แต่ทนได้ 10 - 45°c พืชสามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ต่ำถึง 5°c ต้นไม้โตเร็วปานกลาง
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญ มากและให้สิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของป่าตะวันตกของอินเดีย มันถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและยังมีการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในเชิงพานิชย์
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและไม้ให้ร่มเงา
-อื่นๆ แก่นไม้มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง ไม้เนื้อแข็งปานกลางไม่ทนทาน ค่อนข้างหยาบ ค่อนข้างมันวาว ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป การต่อเรือ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน พื้นไม้ปาร์เก้
ระยะออกดอก---ธันวาคม- มีนาคม
ขยายพันธุ์ --ด้วยการเพาะเมล็ด

58 ตะแบกนา/Lagerstroemia floribunda


ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia floribunda Jack.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See al http://powo.science.kew.org/taxon/553564-1
---Murtughas floribunda (Jack) Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---Thai crape myrtle, Tropical crape myrtle.
ชื่ออื่น---กระแบก (ภาคใต้); ตราแบกปรี้ (เขมร); ตะแบกไข่ (ราชบุรี, ตราด); ตะแบกนา (ภาคกลาง); บางอตะมะกอ, บางอยามู (มาเลย์); เปื๋อยด้อง, เปื๋อยนา, เปื๋อยหางค่าง (ภาคเหนือ); [BURMESE: Kamaung-phyu, Pyinma-phyu.];[CHINESE: Líng guǒ zǐwēi, Léng è zǐwēi, Dà huā zǐwēi];[KHMER: Trapek.];[MALAY: Bungor kedah, Kedah bungor, Antui Gajah];[RUSSIAN: Lagerstremiia pyshnotsvetushchaia, Lagerstremiia obil'notsvetushchaia.];[THAI: Tabaek-na, Bpeuay naa, Bpeuay haang kaang, Bpeuaytong, Dta baek kai , Dta baek kon.];[VIETNAMESE: Bằng lăng nhiều hoa.];
EPPO Code---LAEFL (Preferred name: Lagerstroemia floribunda.)
ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลLagerstroemia ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ floribunda คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน“ floribundus, a, um” = floriferous, ที่มีดอกไม้มากมาย, จากคำกริยา“ floreo” = เพื่อความเจริญ
Lagerstroemia floribunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2363
สายพันธุ์นี้มีความหลากหลายอยู่3สายพันธุ์ย่อยได้แก่
1 ---Lagerstroemia floribunda var. cuspidata Wall ex C.B.Cl.
2 ---Lagerstroemia floribunda var. floribunda
3 ---Lagerstroemia floribunda var. sublaevis Craib

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศพม่า กัมพูชา มาเลเซีย ไทยและเวียดนาม พบตามป่าดิบชื้นป่าที่ลุ่มและป่าป่าปฐมภูมิ มักชื้นเลียบฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูงต่ำ 0-850 เมตร ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และชายป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบสูง10-15 (-30) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 60 ซม.โคนต้นมักเป็นพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาเป็นมันผิวเรียบลอกหลุดเป็นแผ่นบางๆ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปขอบขนาน ยาว 10-25 ซม. และกว้าง 5-10 ซม.เส้นใบย่อยเลือนลางห่างๆกัน ใบอ่อนสีชมพูบรอนซ์ มีขนรูปดาว  กิ่งก้านมีสันคม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว20-50 ซม. ดอกย่อยเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม. มีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบดอกสีม่วงอมชมพู สีจะจางลงจนขาว ก้านช่อและดอกตูมมีขนละเอียดสีน้ำตาลทองปกคลุม ผลยาว 1-1,6 ซม. สีน้ำตาลเข้ม เมล็ดสีน้ำตาลเข้มหลายปีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวัน ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ไม่ทนน้ำท่วมขัง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0องศาC ในช่วงสั้น ๆ
การใช้ประโยชน์-ใช้เป็นยาบางส่วนของพืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณใช้ใบในกรณีมีไข้สูง ฆ่าพยาธิ สภาพผิวหนังเช่นสิว
-ใช้ปลูกประดับ มีคุณค่าของการประดับและการจัดสวนที่ยอดเยี่ยมเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสวนสาธารณะ อาคารบ้านพักอาศัย ริมถนนและส่วนราชการต่าง ๆ
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดง ไม้หนักพอสมควร แข็งปานกลาง ค่อนข้างทนทานทนต่อปลวก และทนต่อเชื้อราปานกลาง  ง่ายต่อการใช้งานเหมาะสำหรับการตกแต่งภายในแผ่นผนัง แผ่นไม้อัด การผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับสูงการแกะสลักและพื้น มีรายงานว่าเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในการสร้างเรือในประเทศไทยและบางส่วนของภูมิภาคอินโดจีน
ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์ --- ด้วยเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง

59 ตะแบกเกรียบ/Lagerstroemia cochinchinensis


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lagerstroemia cochinchinensis Pierre.(1886)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. See all https://www.gbif.org/species/8452585
--- Lagerstroemia collinsae Craib. (1914)
ชื่อสามัญ ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โคะกางแอ้ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); ตะแบกเกรียบ (ชลบุรี, นครราชสีมา); ตะแบกเกรียบแดง (ราชบุรี); เปื๋อยกะแอ่ง (สุโขทัย); เปื๋อยแดง, เปื๋อยเปลือกบาง, เปื๋อยแมว (ภาคเหนือ); เปื๋อยลอกเปลือก (แพร่); ลิงง้อ (จันทบุรี); [THAI: Kho kang ae; Tabaek kriab; Tabaek kriab daeng; Bpeuay ka aeng.]
EPPO Code--- LAECO (Preferred name: Lagerstroemia cochinchinensis)
ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---คาบสมุทรมาเลย์ พม่า ไทย จีนตอนใต้ และคาบสมุทรอินโดจีน
Lagerstroemia cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก(Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833 – 1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2429
ที่อยู่อาศัยพบที่ภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 100-600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดใหญ่สูงถึง 25 ม. เปลือกบาง ลำต้นยาวปลายสอบกิ่งก้านเรียวเล็ก โคนต้นเป็นร่องลึก เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน เรียบหลุดล่อนเป็นแผ่นกลมบาง  ใบรูปรีถึงรูปใบหอก หรือแกมรูปไข่ ยาว 4-15 ซม. ก้านใบยาว 0.2-1 ซม.ใบอ่อนมีขนรูปดาวสีน้ำตาลส้มปกคลุมหนาแน่น และขนยังคงมีในใบแก่อย่างน้อยด้านล่าง ดอกสีชมพูม่วงเป็นช่อยาว9-16ซม. ก้านช่อมีขนสีน้ำตาลหนาแน่นส่วนล่างมีใบเล็กรูปไข่ ผลรูปรีเกือบกลม ยาว 1.4-1.7 ซม. เกลี้ยง มีชั้นกลีบเลี้ยงคลุมอยู่1/3ของผล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ดินร่วนระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา รากเป็นยาแก้ปวดกล้ามเนื้อและมีไข้ เปลือกชงดื่มแก้ท้องร่วง แก้พิษ
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับสวนทั่วไป
ขยายพันธุ์---เมล็ด

60 หางนกยูงฝรั่ง/Delonix regia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Delonix regia (Boj. ex Hook.) Raf.(1837)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms
---Basionym: Poinciana regia Bojer ex Hook.(1829)
---Caesalpinia regia (Bojer ex Hook.) D.Dietr.(1840)
---Delonix regia var. flavida Stehlé.(1946)
---Delonix regia var. genuina Stehlé.(1946)
ชื่อสามัญ-Flame Tree, Royal poinciana, Flamboyant Tree, Flamboyant, Flame-of-the-forest, Peacock-flower, Mayflower.
ชื่ออื่น---นกยูงฝรั่ง, หางนกยูงฝรั่ง, อินทรี (ภาคกลาง), ส้มพอหลวง(ภาคเหนือ), หงอนยูง (ภาคใต้) ;[ARABIC: Goldmore.];[ASSAMESE: Krishnasura.];[BANGLADESH: Krishna chura, Radha chura.];[BENGALI: Krishnachura.];[BRAZIL: Uaruna.];[BURMESE: Seinban.];[CHINESE: Feng huang mu, Hong hua ying.];[COLOMBIA: Clavellino.];[FIJI: Sekoula];[FRENCH: Flamboyan, Flamboyant, Mille Fleurs];[GERMAN: Feuerbaum, Flammenbaum, Pfauenbaum.];[HAWAII: ‘Ohai ‘ula];[HINDI: Gul mohor, Kattikayi, Peddaturyl, Shima sunkesula];[JAPANESE: Howoboku];[KANNADA: Gentige Hoo, Kempu Torai.];[MADAGASCAR: Alamboronala, Hintsakinsa, Kitsakitsabe.];[MALAYALAM: Kaalvarippoo, Alasippoomaram, Anasippoomaram, Poomaram.];[MEXICO: Tabachín.];[PAKISTAN: Gulmohur.];[PORTUGUESE: Flamboiã.];[SAMOA: Elefane, Tamaligi.];[SINHALESE: Mal-Mara.];[SPANISH: Arbol de la llama, Arbol del matrimonio, Arbol del fuego, Acacia roja, Flamboyán, Flor de pavo, Guacamoya, Pajarilla, Tabuchin, Morazán.];[SRI LANKA: Mayirkonri, Panjadi.];[TAHITI: Pakai, Puke, Ra‘ar marumaru];[TAMIL: Cemmayir- Konrai.];[TELUGU: Peddaturayi.];[THAI: Nok yung farang, Hang nok yung farang, In si (Central);Som pho luang (Northern); Ngon yung (Peninsular).];[TONGA: ‘Ohai]; [VIETNAM : Phuong.];[VENEZUELA: Acacia roja.];[VIETNAM: Phuong.];[TRADE NAME: Gold mohar].  
EPPO Code---DEXRE (Preferred name: Delonix regia)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE- CAESALPINIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Delonix มาจากภาษากรีก delos =ชัดเจน  และonux =(เล็บ) อ้างอิงถึงกลีบดอกที่ยาวเหยียด
Delonix regia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wenceslas Bojer (1797–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวโบฮีเมีย จากอดีต Sir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ Royal Botanic Gardens (Kew Gardens)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Constantine Samuel Rafinesque-Schmaltz (1783–1840) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส - อเมริกัน ในปี พ.ศ.2380

 

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดใน มาดากัสการ์ หลังจากนั้นแพร่กระจายไปยังเขตร้อนของทวีปแอฟริกาและต่อมาเพื่อความงามของมันถูกนำไปยังทวีปอื่น ๆ เช่นยุโรปและอเมริกา พบในเขตร้อนชื้นซึ่งพบในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร
บทสรุปของการรุกราน---ต้นไม้ที่มีสีสันเป็นไม้ประดับที่นิยมและสวยงามที่สุดที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีการดัดแปลงสัญชาติในหลายประเทศ และกลายเป็นการรุกรานในออสเตรเลีย และบนเกาะคริสต์มาสและหมู่เกาะแปซิฟิกจำนวนหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะสร้างวัฒนธรรมเชิงเดี่ยวและป้องกันการงอกใหม่ของสายพันธุ์พื้นเมือง เป็นไปได้ว่าสายพันธุ์นี้จะมีศักยภาพในการรุกรานในต่างประเทศ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 15 เมตรเปลือกสีเทาเกลี้ยง เรือนยอดเป็นรูปร่มกว้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกและมีใบย่อยเล็กจำนวนมาก ดอกใหญ่ออกที่ปลายยอดและกิ่งข้าง กลีบรองดอกมี5กลีบขนาดไม่เท่ากัน มีสีแดงอมส้ม สีส้มและสีเหลืองบ้าง เกสรตัวผู้มี10อัน อยู่เป็นอิสระ ออกดอกในระหว่างที่ผลัดใบหรือแตกใบอ่อน ถ้าขึ้นในที่แล้งจะออกดอกจนมองไม่เห็นใบ ผลเป็นฝักแบนแข็งขนาดกว้าง3-5ซม.ยาว40-60ซม. ฝักแก่มีสีน้ำตาลดำ เมื่อแก่จะแตกออกทั้งสองด้านเมล็ดภายในฝักมีลักษณะกลมยาววสูงสุด 50 ซม. กว้าง 6 ซม. และหนา 5 มม สีน้ำตาลดำขอบขาว เปลือกเมล็ดแข็งมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้เจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสมในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ในดินที่มีการระบายน้ำดี เป็น ดินร่วนปนทรายและดินไม่เหนียวเกินไป ต้องการ pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีตั้งแต่ 14 ถึง 26°C อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดอยู่ระหว่าง 6 ถึง 18°C มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมาก ทนต่อความเค็มเล็กน้อย
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ด-สุกกินได้ ใช้เป็นอาหาร
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใช้ยาต้มเปลือกไม้รักษาโรคบิด ในยาพื้นบ้านของบังคลาเทศใบ ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน
-วนเกษตร ใช้ปลูกบนพื้นที่ที่ถูกกัดเซาะเพื่อการควบคุมการสึกกร่อนและเพื่อการฟื้นฟูและปรับปรุงดินด้วยการตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ
-ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา บริเวณอาคาร สถานที่ราชการ ริมถนน สวนสาธารณะเพราะมีพุ่มใบและช่อดอกที่สวยงาม สายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งในไม้ประดับที่ได้รับการเพาะปลูกมากที่สุดโดยปลูกเป็นไม้ประดับในสวนและบริเวณข้างถนน เนื่องจากความสวยงาม เป็นหนึ่งในไม้ประดับที่ใช้กันมากที่สุดในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก รูปแบบที่มีดอกไม้สีเหลือง (ที่รู้จักกันทั่วไปว่าDelonix regia var. flavida ) บางครั้งก็เห็นในการเพาะปลูก ก่อนการปลูกควรมีข้อพิจารณาดังนี้ ต้นไม้มีระบบรากตื้นและไม้อ่อนจึงมีแนวโน้มที่จะถอนรากถอนโคนในช่วงที่มีพายุรุนแรงและลมแรงพัดกระหน่ำควรปลูกไว้ในที่กำบังที่ดีที่สุด ระบบรากที่ตื้นและแผ่ขยายเป็นวงกว้างจะแข่งกับพุ่มไม้และพืชดอกใกล้เคียง ดังนั้นจึงควรปลูกให้ห่างจากพืชชนิดอื่นในสวน รากนั้นค่อนข้างก้าวร้าวซึ่งบางอันอยู่เหนือพื้นผิวทำให้ไม่เหมาะสำหรับริมทางเท้า ถนนหรือใกล้ ท่อระบายน้ำ ผนังบ้านและแม้แต่สายไฟฟ้า ก็ควรระวัง
-ใช้อื่น ๆ สารสกัดด้วยน้ำของพืชมีสารประกอบ allelopathic รวมถึงกรดฟีนอลิกอัลคาลอยด์และฟลาโวนอยด์ สามารถใช้เป็นสารกำจัดวัชพืชตามธรรมชาติและยาฆ่าแมลงเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชผลทางการเกษตร-เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 17.2% น้ำมันนี้มีกลีเซอรีนปกติความไม่อิ่มตัวต่ำและดีมากสำหรับการผลิตสบู่และแชมพู-แก่นไม้มีสีเหลืองถึงน้ำตาลอ่อน กระพี้สีเหลืองอ่อน ไม้เนื้ออ่อนหนัก เนื้อหยาบอ่อนแอเปราะบางขัดเงาได้ดีและทนต่อความชื้นและแมลง แม้ถูกโจมตีจากปลวก  เป็นไม้ที่ใช้ก่อสร้างที่ทนทานมากแต่ไม้ขนาดใหญ่หายาก -ฝักขนาดใหญ่แข็งเป็นเนื้อไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและไม้ถูกเผาใช้ทำเป็นถ่าน
สำคัญ---หางนกยูงเป็นสัญญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีธงประจำมหาวิทยาลัย สีเหลืองแดงเหมือนสีของดอกหางนกยูงฝรั่ง
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ต้นไม้ได้สูญพันธุ์ไปแล้วในถิ่นกำเนิด (มาดากัสการ์) ประชากรพื้นเมืองที่สำคัญจะพบในพื้นที่ที่ถูกคุกคามจากการผลิตถ่าน ต้นไม้ถูกจัดวางใน IUCN Red List  ประเภท "ความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์"
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE -  IUCN. Red List of Threatened Species.2010
ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-มิถุนายน
ขยายพันธุ์ -- ด้วยเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ก่อนเพาะเมล็ดควรขลิบเปลือกออกเล็กน้อยระวังอย่าให้โดนต้นอ่อน จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น เริ่มออกดอกเมื่ออายุ4-5 ปี จากเมล็ด

สกุล Saraca ปัจจุบันมี 11 ชนิด (POWO 2020), มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(แสดงในหน้านี้ 3 สายพันธุ์)
-Saraca indica L.(1767)
-Saraca declinata ( Jack) Miq.
-Saraca thaipingensis Cantly ex Prain

61 โสกน้ำ/Saraca indica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca indica L.(1767)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms.
---Saraca arborescens Burm.(1768)
---(More) See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-1691
ชื่อสามัญ---Saraca, Asoka-tree, Ashok, Asoca, Sorrowless Tree, Red saraca.
ชื่ออื่น--กาแปะห์ไอย์ (มาเลย์-ยะลา);ชุมแสงน้ำ(ยะลา);ตะโดลีเต๊าะ(มาเลย์-ปัตตานี); ส้มสุก (ภาคเหนือ); โสก (ภาคกลาง); โสกน้ำ (สุราษฎร์ธานี) ;[ARABIC: Saraka Hindi, Shabuqa.];[BENGALI: Ashoka.];[CHINESE: Wu you hua.];[FRENCH: Arbre ashoka, Jonesie, Saraca.];[GERMAN: Ashokbaum];[HINDI: Ashok, Asok, Asupala, Ashokam, Sita ashok.];[JAPANESE: MuYuTatsuki-MuYuHana, MuYuhana-Asokka.];[MALAYALAM: Asokam.];[MYANMAR: Thawka, Tthawka-po.];[NEPALESE: Ashau, Ashok.];[SANSKRIT: Ashoka, Anganapriya, Apashaka.];[TAMIL: Asogam, Asogu, Asokam.];[TELUGU: Ashokapatta.].[THAI: Ka-pae-ai (Malay-Yala); Chumsaeng nam (Yala); Ta-do-li-to (Malay-Pattani); Som suk (Northern); Sok (Central); Sok nam (Surat Thani).];[VIETNAM: Vang anh la nho
EPPO Code---SBRAS (Preferred name: Saraca indica.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE).
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา ไทย ลาว เวียดนามตอนใต้ คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Saraca ที่มาของชื่อสกุลนั้นไม่แน่นอนส่วนใหญ่น่าจะมาจากชื่อท้องถิ่น ; ชื่อของสายพันธุ์ 'indica' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "indicus, a, um" = ของอินเดีย โดยอ้างอิงสันนิษฐานถึงแหล่งกำเนิด
--ชื่อสามัญ(Common name) "Ashoka" หรือ "Asoca" หมายถึง พระเจ้าอโศกชื่่อกรีกของเขาคือ Piodasses พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นจักรพรรดิอินเดียของราชวงศ์ Maurya ผู้ปกครองอนุทวีปอินเดียเกือบทั้งหมดตั้งแต่ 232-268 ปีก่อนคริสตกาล
Saraca indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2310


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในภาคกลางและภาคตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยตะวันตก Ghats และ Deccan มีการเพาะปลูกในอินเดียจนถึงคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยไทยพบทั่วทุกภาค พบขึ้นตามริมลำธารในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 900 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง9-12เมตร ไม่ผลัดใบ เปลือกต้นสีขี้เถ้าหรือน้ำตาลจาง เรือนยอดแผ่กว้างแตกกิ่งแขนงมากมาย ปลายกิ่งลู่ลงดิน ใบเป็นใบประกอบมี1-7คู่ ใบรูปไข่หรือรูปหอก ขนาดกว้าง 2.5-7 ซม.ยาว 7-11 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบมน ใบอ่อนสีขาวห้อยลงและจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว  ดอกมีกลิ่นหอมออกเป็นช่อตามบริเวณปลายกิ่งกลีบรองดอกมี 4 กลีบ รูปไข่กลับแกมขอบขนาน สีเหลืองแสดถึงสีแดง กลีบดอกไม่มี เกสรเพศผู้ 6-8 อัน ฝักรูปขอบขนานถึงรูปหอกยาว 6-25 ซม.กว้าง 2-6 ซม.ตรง แข็ง คล้ายหนัง.มีช่อละ 1-2 ฝัก ส่วนมากมีเมล็ด 4-6 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน ดินมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุชุ่มชื้นระบายน้ำได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 14องศา C มักขึ้นริมน้ำตามป่า ถ้ากำลังกระหายน้ำหรือขาดน้ำในขณะที่กำลังเดินอยู่ในป่าถ้าพบต้นอโศกขึ้น อยู่ให้รีบเดินลงเขาทันทีไม่เกิน 15 นาที ก็จะพบแหล่งน้ำ แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ


การใช้ประโยชน์--- บางครั้งพืชจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นสมุนไพร เครื่องเทศและใช้เป็นยา
-ใช้กิน ใบไม้ ดอกไม้ กินได้-ปรุงสุก มีกลิ่นหอมรสค่อนข้างเปรี้ยวกินเป็น potherb ผลไม้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องบดเคี้ยวแทนหมากพลู
-ใช้เป็นยาสำหรับสตรี เปลือกเมล็ดพืชและดอกไม้ที่ใช้ใน AyurvedaและUnani ระบบของยา Early Indian Materia Medica, 1500 AD.กล่าวถึงพืชเป็นยาบำรุงมดลูกที่ใช้สำหรับความผิดปกติของประจำเดือน ระดูขาวและตกเลือดภายใน ใช้เป็นยาระงับประสาทมดลูก ในปากีสถานใช้สำหรับเลือดออกในมดลูกมากเกินไป และยังใช้สำหรับภาวะซึมเศร้า  น้ำใบผสมกับเมล็ดยี่หร่าใช้แก้ปวดท้อง  - ใช้เป็นยาอื่น ๆ ใช้เป็นยาชูกำลัง ใช้สำหรับโรคไขข้อ, โรคผิวหนังและโรคทางเดินปัสสาวะ ควรระวัง เมื่อใช้ยาในปริมาณมากหรือใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ท้องผูก ท้องอืดและลดความอยากอาหาร -ชื่อ Ashoka ในภาษาสันสกฤต หมายถึง "ปราศจากความเศร้าโศก" อ้างอิงถึงชื่อเสียงของเปลือกไม้ในการรักษาสุขภาพของผู้หญิงให้อ่อนเยาว์
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกกันทั่วไปเป็นไม้ประดับตามบ้าน ตามวัด ตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป
-อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลอมแดงอ่อนๆ เนื้อไม้ใช้สำหรับการก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ดอกไม้ให้สีย้อม ผลเป็นอาหารสัตว์
ความเขื่อ/พิธีกรรม---ต้นอโศกถือเป็นหนึ่งในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดในอินเดีย ทั้งในหมู่ชาวฮินดูและชาวพุทธ พบได้บ่อยในสวนหลวงและปลูกไว้ใกล้กับวัด มักใช้ในการประดับตกอต่งวัดและในพิธีทางศาสนา มันเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นในอีกศิลปะอินเดียและตำนานที่มี Yakshi ถือสาขาของต้นไม้ Ashok ที่ออกดอก นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูบูชาใน Chaitra เดือนแรกของปฏิทินฮินดู
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะเวลาดอกออก/ติดผล---ออกดอกและออกผลได้ตลอดทั้งปี พบมาก มกราคม- กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง -เมล็ดหากเก็บเกี่ยวเมื่อสุกและหว่านทันที ควรแช่น้ำ 12 ชั่วโมง จะงอกภายใน 3 สัปดาห์ และพร้อมปลูกภายใน 6 - 12 เดือน

62 โสกขาว/Maniltoa grandiflora

ชื่อวิทยาศาสตร์---Maniltoa grandiflora (A.Gray) Scheff.(1876)
ชื่อพ้อง---Has 1Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-39470
---Cynometra grandiflora A.Gray
ชื่อสามัญ---White Handkerchief, Handkerchief tree, Silk handkerchief tree, Dove tree.
ชื่ออื่น---โสกขาว (ทั่วไป); [THAI: Sok khao.];[Indonesia: Pohon sapu tangan.]
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย, Indo-Malesia
เขตกระจายพันธุ์---แปซิฟิก-ฟิจิ ตองกา, แคริเบียน- ตรินิแดด โตบาโก
Maniltoa grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยAsa Grey (ค.ศ. 1810–1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยRudolph Herman Christiaan Carel Scheffer( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2419


ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซียและนิวกินี จากภูมิภาค ฟิจิ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตองกา พบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-20 เมตร ใบประกอบมี 1-3คู่ รูปขอบขนานสองข้างใบย่อยไม่เท่ากัน ตอนเป็นใบอ่อนจะมีสีชมพูขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและเขียวมากขึ้นตามลำดับแก่อ่อน  เกิดจากการผลิของตาใบพร้อมกัน ใบย่อยยาว9-17ซม.ดอก มีขนาดเล็กมากสีขาว ออกที่ปลายกิ่งหรือกิ่งข้าง มีใบประดับหุ้มหลายชั้นเกสรกลีบรองดอก 4 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ มีขนาดไม่เท่ากัน  เล็กมาก สีขาว เกสรเพศผู้ 20-60 อันอัดติดกันแน่นที่ฐาน ฝักตรงและหนา ยาวประมาณ3 ซม.มีเมล็ด1-2เมล็ด มีดอกสองสี คืออย่างชนิดดอกสีขาว และดอกสีชมพู
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน ดินชื้นสม่ำเสมอ ระบายน้ำได้ดี pH ของดิน 5.6 ถึง 6.0 (เป็นกรด) 6.1 ถึง 6.5 (มีความเป็นกรดอ่อน) สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อให้เกิดก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้ในพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียง
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้ไม้
- ใช้เป็นยา เนื้อไม้เปลือกและใบเป็นยาสำหรับรักษาโรคทางเดินอาหารผิดปกติ  ในผลไม้มีวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายดังนั้นจะไม่ป่วยง่าย การดื่มน้ำผลไม้นี้เป็นประจำจะทำให้ผิวกระชับขึ้นมีสุขภาพดีและหลีกเลี่ยงการแก่ก่อนวัยเช่นริ้วรอยบนใบหน้าและผิวเหี่ยวย่น
-ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นต้นไม้ดูดซับมลพิษ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าโสกขาวสามารถดูดซับมลพิษซึ่งมาจากอากาศน้ำและดิน พืชชนิดนี้สามารถดูดซับประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งเป็นพิษ สารพิษนี้ไม่มีกลิ่นและดูดซึมได้ง่ายในกระแสเลือดมากกว่าออกซิเจน ก๊าซนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากควันยานยนต์หรือการเผาขยะ ผลข้างเคียงของคาร์บอนมอนอกไซด์มีมากมายเช่นความเหนื่อยล้าปวดหัวปัญหาการมองเห็นปัญหาการหายใจ ปวด ปวดอาเจียน การประสานงานของเส้นประสาทบกพร่อง ความจำลดลงและเกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ดังนั้น พืชนี้มีส่วนช่วยลดมลพิษเป็นเหมือนเครื่องฟอกอากาศทำให้สภาพแวดล้อมดีและสุขภาพดีขึ้น
-อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลหรือสีแดงน้ำตาลบางครั้งมีความมันวาวสีทอง เป็นไม้ที่ใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไป เช่น เฟอร์นิเจอร์, ประตู, พื้น ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่านอย่างดี
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ตอนกิ่ง

63 โสกเขา/Saraca declinata

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca declinata ( Jack) Miq.(1855)
ชื่อพ้อง---  Has 16 Synonyms. See all http://www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:517891-1
---Saraca cauliflora Baker.(1878)
ชื่อสามัญ---Red Saraca, Red Asoka, Bakis, Sorrowless tree
ชื่ออื่น---กาแป๊ะบาซะ, กาแป๊ะบูเก๊ะ, บูกอเลา (มาเลย์-ยะลา); เข็มแดง (หนองคาย); ชุมแสงควน (ยะลา); โดละ (มาเลย์-นราธิวาส); ตะบือกะ (มาเลย์-ปัตตานี); โรก (กาญจนบุรี); สมโสก (นครราชสีมา, ตราด); สาย (สตูล); โสกเขา (ภาคใต้); โสกดอน (ตรัง) ;[CHINESE: Wu you hua, Chuí zhī wú yōu shù, Chuí zhī táo];[MALAYSIA: Bakis, Balanut, Dulanut ,Selungapid (Sabah); Gapis Daun Kecil, Tudung Periuk.];[THAI: Ka-pae-ba-sa, Ka-pae-bu-ke, bu-ko-lao (Malay-Yala); Khem daeng (Nong Khai); Chumsaeng khuan (Yala); do-la (Malay-Narathiwat); Ta-bue-ka (Malay-Pattani); Rok (Kanchanaburi); Som sok (Nakhon Ratchasima, Trat); Sai (Satun); Sok khao (Peninsular); Sok don (Trang).];[VIETNAMESE: Thô, Cây thô].
EPPO Code--- SBRCA (Preferred name: Saraca declinata)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE).
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -บังคลาเทศ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน  มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน
Saraca declinata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ , เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2498

 

ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นที่พม่า (ทางตะวันออกของแม่น้ำอิราวดี) ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน บอร์เนียว สุมาตรา ชวา และหมู่เกาะซุนดาน้อย เกิดขึ้นในป่าดิบชื้น ป่าปฐมภูมิ ป่าพรุมักเกิดขึ้นตามริมแม่น้ำ ริมลำธารเล็กๆ ที่ระดับความสูงต่ำ (0 - 900 เมตร) ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามริมลำธารหรือที่ลาดชันในป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร     
ลักษณะ คล้ายกับโสก S. indica L. แต่จำนวนเกสรเพศผู้มีน้อยกว่า เป็นไม้ต้นสูงได้ถึง 10-30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10 - 60 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาไม่เป็นระเบียบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ รูปทรงกระบอก ปลายกิ่งห้อยย้อยลู่ลง เปลือกเรียบสีน้ำตาลปนเทา ใบประกอบแบบขนนก2 ชั้น ปลายคู่ (paripinnate) ยาว 8-30 ซม มีใบย่อย 3-7 คู่ กว้าง 2-8 ซม. ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเป็นคลื่น ใบเกลี้ยง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างสีอ่อนกว่า ใบอ่อนสีม่วง เส้นแขนงใบข้างละ 5 - 7 เส้นก้านใบย่อยยาว 0.3-1 ซม.ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายกิ่งยาว15-30ซม. ใบประดับขนาดเล็กติดทน ไม่มีกลีบดอก ก้านดอกยาว 2-3 ซม. ฐานดอกยาว 1-3 ซม. กลีบเลี้ยงรูปไข่หรือไข่กลับ ยาว 0.5-1.5 ซม. สีแดงหรือชมพู เกสรเพศผู้ 3-5 อัน รังไข่มีขนตามขอบ ผลเป็นฝักแบน รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ก้านยาว 1.5-2 ซม. ฝักรูปขอบขนาน ยาว 10-30 ซม. ปลายโค้ง มีจะงอยเป็นติ่งยาวประมาณ 1 ซม. มี 6-8 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่หรือร่มเงาบางส่วน ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้นและมีการระบายน้ำดี แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในวงศ์ Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น  จึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ
ใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ บางครั้งใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นอาหาร ดอกไม้ใช้ปรุงเป็นซุปและเมล็ดใช้กินได้
-ใช้เป็นไม้ประดับ ใช้ปลูกประดับจัดสวน  พุ่มสวยดอกสวยช่วงการออกดอกนาน จำนวนดอกมาก ออกดอกพร้อมกันทั้งต้น ปลูกตามอาคารบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ
-อื่น ๆ ไม้ที่ได้จะเป็นไม้ขนาดเล็กและใช้เพื่อทำเครื่องใช้ขนาดเล็กเท่านั้น บางครั้งมันถูกใช้สำหรับการทำด้ามจับ (มีด) parang
ระยะออกดอก/ติดผล--- มกราคม - เมษายน/พฤษภาคม - สิงหาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง -เมล็ดหากเก็บเกี่ยวเมื่อสุกและหว่านทันที ควรแช่น้ำ 12 ชั่วโมง จะงอกภายใน 3 สัปดาห์ และพร้อมปลูกภายใน 6 - 12 เดือน

64 ศรียะลา/Saraca thaipingensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca thaipingensis Prain (1897)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46157
---Saraca declinata sensu auct.        
---Jonesia declinata sensu Binn., non Jack   
---Saraca cauliflora sensu Prain, non Baker
ชื่อสามัญ---Yellow Saraca, Yellow Asoka, Orange saraca.
ชื่ออื่น---ศรียะลา, โสกเหลือง (กรุงเทพฯ); อโศกเหลือง, อโศกใหญ่ (ภาคใต้); [MALAYSIA: Gapis, Talan, Gapis Golak, Gapis Batan, Gapis Batang];[PORTUGUESE-Brazil: Sáraca-tangerina];[THAI: Si yala sok lueang (Bangkok); Asok lueang, Asok yai (Peninsular).].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE).
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Saraca ที่มาของชื่อสกุลนั้นไม่แน่นอนส่วนใหญ่น่าจะมาจากชื่อท้องถิ่น ; ชื่อของสายพันธุ์ 'thaipingensis' หมายถึงหนึ่งในสถานที่กำเนิดคือไทปิงในประเทศมาเลเซีย
Saraca thaipingensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2440


ที่อยู่อาศัย พรรณไม้พื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย (ชวา), มาเลเซีย, พม่าและไทย เติบโตในป่าชื้นตามแนวลำธารน้ำและแหล่งน้ำที่สูงถึงประมาณ 500 เมตร ในประเทศไทยพบตามป่าดงดิบใกล้ริมน้ำทางภาคใต้ ปัจจุบันพบ ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 10-12 เมตร ใบอ่อนออกเป็นพวงที่ปลายยอดสีม่วงต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อใหญ่มองเผินๆเหมือนใบชมพู่ ช่อหนึ่งมีใบย่อย4-8คู่ ใบรูปขอบขนานหรือรูปหอก ขอบใบเรียบปลายใบแหลม เส้นกลางใบเด่นชัด ใบย่อยขนาดกว้าง 3-9 ซม.ยาว 7-32 ซม. เมื่อใบแก่จัดจะมีสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อนแล้วร่วงหล่นไปตามฤดูกาล ช่อดอกสีเหลืองอมส้ม ออกเป็นช่อกลมตามปลายกิ่งและลำต้น ขนาดช่อ15-35ซม.ช่อหนึ่งๆมีหลายดอก ก้านดอกยาวชูเด่นเห็นได้ชัด ในแต่ละช่อดอกย่อยจะบานไม่พร้อมกัน ดอกที่แก่จัดมีสีเข้มกว่าดอกที่อ่อน กลีบรองดอกมี 4 กลีบขนาดเท่ากัน เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวที่โคนกลีบ ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ยื่นยาวออกมาเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของดอก เกสรเพศผู้มี 3-6 อันแต่ส่วนมากพบมี 4 อัน กลีบรองกลีบดอกและเกสรเพศผู้จะร่วงหลุดไปเมื่อดอกโรย เหลือแต่ก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ที่โคนดอก จะมีช่วงดอกบานได้นานเนื่องจากมีช่อดอกจำนวนมากและทยอยบาน ส่งกลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน เนื่องจากดอกมีกลิ่นหอมและมีสีสันสวยงาม มักมีแมลงบินมาตอมกินน้ำหวานจากเกสรเสมอ บางดอกจะมีน้ำหวานไหลเยิ้มออกมา ผลเป็นฝักแบนยาวคล้ายกับฝักของต้นหางนกยูง สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ผิวเรียบเป็นมันขนาดฝักกว้างประมาณ 3.5-8 ซม.ยาว15-40 ซม.เมื่อแก่แล้วแตกด้านข้าง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่กำบังจากลม แสงแดดตลอดวันหรือร่มเงาบางส่วน ดินอุดมสมบูรณ์ และดินมีความชื้นสม่ำเสมอมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ถ้าได้รับความชื้นสูงช่อดอกจะใหญ่ขึ้น การปลูกควรปลูกให้ห่างต้นไม้อื่นอย่างน้อย 6 เมตร ทรงพุ่มจะได้ไม่เบียดกัน ต้นที่ได้จากการตอนกิ่งจะออกดอกเร็วแต่ทรงพุ่มไม่ค่อยสวย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เป็นอาหาร ผลใช้รับประทาน ผลตำใส่น้ำพริก ใบประกอบอาหาร หัวเป็นอาหาร
-ใช้เป็นยา ดอกไม้ใช้ในยาแผนโบราณ การศึกษาล่าสุดได้นำไปสู่คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านจุลชีพที่น่าสนใจ  สารสกัดจากดอกไม้ ใบและกิ่งไม้ มีศักยภาพในการแพทย์
-ใช้ปลูกประดับ ถูกจัดว่าเป็นไม้ยืนต้นท่ามกลางพรรณไม้เขตร้อนที่มีความสวยงามมากที่สุดเนื่องจากมีช่อดอกขนาดใหญ่และมีใบอ่อนสีม่วงที่สวยงาม
สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดยะลา
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะดอกออก--- ธันวาคม- มีนาคม
ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง

65 อโศกอินเดีย/Polyalthia longifolia var. pendula

  

ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon longifolium (Sonn.) B.Xue & R.M.K. Saunders (2012)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123022-1
---Polyalthia longifolia (Sonn.) Thwaites.(1864)
---Uvaria longifolia Sonn.(1782)
ชื่อสามัญ---False Ashoka, False Asoka, Mast Tree, Indian Mast Tree, Weeping Mast Tree, Green Champa, Cemetery tree, Indian fir, Masquerade tree, Telegraph pole tree, Black berry lily.
ชื่ออื่น---อโศกอินเดีย ; [ASSAMESE: Umboi.];[Chinese: Chang ye an luo, She-kan.];[FRENCH: Arbre mât, Arbre à mâture, Arbre-mât des Indes, Champa vert, Faux ashoka.];[INDIA: Mara illupai.];[KANNADA: Ubbina.];[MALAYALAM: Hemapushpam.];[PHILIPPINES: Indian lanutan.];[SANSKRIT: Putrajiva.];[TAMIL: Vansulam.];[TELUGU: Devdaru.];[Thai: A-sok in-dia];[VIETNAM: Huyền diệp, Hoàng nam.].
EPPO Code---QLHLO (Preferred name: Monoon longifolium)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกาและประเทศในเขตร้อน
Monoon longifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Pierre Sonnerat (1748–1814) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard MK Saunders (1964–) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2555           ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดียและศรีลังกา เติบโตตามธรรมชาติในสภาพภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้นและเขตร้อนชื้น มีการแนะนำในสวนในประเทศเขตร้อนหลายแห่งทั่วโลก ใช้กันอย่างแพร่หลายในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียและหมู่เกาะแคริบเบียนของตรินิแดดและโตเบโก
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบทรงพุ่มเป็นรูปปิรามิดแคบ ๆ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร แตกกิ่งจำนวนมากปลายกิ่ง อ่อนห้อยลู่ลงขนานกับลำต้น เปลือกสีน้ำตาลเข้มอมดำ มีลายสีขาวบิดเวียนตามความยาวของลำต้นหรือกิ่ง เนื้อไม้เหนียวใบรูปหอกกว้าง3.5-5ซม.ยาว18-26ซม. ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง เหนียวเป็นมัน ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ออกเป็นกระจุก3-6 ดอก กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมยาว 3 – 4 มม.กลีบดอก 6 กลีบรูปดาว สีเขียวหรือสีครีม ก้านดอกยาว2-3ซม. ดอกเมื่อบานมีขนาด3-3.5ซม.ดอกบานอยู่นาน 3 สัปดาห์ ผลเป็นพวงมี6-13ผล รูปไข่กลับขนาดกว้าง1.5-2 ซม.ยาว 2-2.5 ซม สีเหลืองอมเขียว ผลแก่สีดำ มี1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงร่มเงาบางส่วน เจริญได้ดี บนดินเหนียว ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำดี ค่าดินมีความเป็นกรดปานกลาง  pH 5.5- 7.5
ใช้ประโยชน์ -ใช้เป็นยา การศึกษาแสดงให้เห็นว่าต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา, ความดันโลหิตต่ำ, ยาระบาย, คุณสมบัติต้านการอักเสบ มีสรรพคุณทางยามากมาย สารสกัดเมทานอลของใบเปลือกลำต้นและรากของพืชถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นยาลดไข้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้เป็นส่วนเสริมในการรักษาของโรคอื่น ๆ ในระบบการแพทย์แบบดั้งเดิมของอินเดียใช้เป็นยาแก้ไข้ รักษาโรคผิวหนัง ความดันโลหิตสูงและหนอนพยาธิ - เปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้ - ในไนจีเรียพืชใช้สำหรับโรคผิวหนัง สำหรับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
-ใช้ปลูกประดับ ไม้ต้นนี้ มักนิยมปลูกตามแนวรั้ว เป็นแนวกันลม กันเสียง กันฝุ่น เพราะความทึบและความสูงจะช่วยป้องกันได้
-ใช้อื่น ๆ ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก ผลิตไม้สีเหลืองถึงสีเทาสีขาวน้ำหนักปานกลาง มีความต้านทานตามธรรมชาติต่อการเน่าและผุต่ำ เหมาะสำหรับการทำสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาเช่นไม้ขีดไฟและดินสอเท่านั้น แม้ว่ามันจะถูกใช้ทำเครื่องดนตรี เป็นกลอง ในการใช้งานแบบดั้งเดิม เปลือกชั้นในกล่าวกันว่าให้ผลผลิตไฟเบอร์ที่ดี
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ต้นไม้นี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ในอินเดียและศรีลังกา และปลูกไว้รอบๆ วัดและสถานที่ทางศาสนา ใบใช้เป็นเครื่องประดับในเทศกาลฮินดู ทำเป็นพวงหรีดและแขวนไว้ที่ประตู
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง

66 เสี้ยวป่า/Bauhinia saccocalyx

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia saccocalyx Pierre.(1899)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ --- Thai Orchid Tree
ชื่ออื่น---คิงโค (นครราชสีมา); ชงโค (ทั่วไป); ส้มเสี้ยว (นครสวรรค์, อุดรธานี); ส้มเสี้ยวโพะ, เสี้ยวดอกขาว (เลย); เสี้ยวป่า (น่าน) ; [THAI: Khing kho, Chong kho.]
EPPO Code--- 1BAUG (Preferred name: Bauhinia)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -CAESALPINIODEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---ภูมิภาคอินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Bauhinia ตั้งชื่อตามพี่น้อง Bauhin (John และ Caspar Bauhin) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส-ฝรั่งเศส
Bauhinia saccocalyx เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2442


ที่อยู่อาศัย มีเขตการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง100-800เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นกึ่งเลื้อยขนาดเล็ก สูง 4- 10 เมตร ไม่ผลัดใบ ลักษณะทรงต้นแตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งก้านเกลี้ยง ปลายกิ่งห้อยลง เรือนยอดกลมแน่นทึบ เปลือกนอกสีน้ำตาลเข้ม เปลือกแตกเป็นร่องลึกตามความยาวลำต้น ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กว้าง ยาว6-10ซม. ปลายใบเว้าลึกแยกเป็น2แฉก โคนใบตัดถึงรูปหัวใจ เนื้อใบคล้ายกระดาษ ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีอ่อนกว่า หูใบขนาดเล็ก ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(Dioecious) ดอกช่อแบบช่อแยกแขนงสั้นๆ ยาวได้ถึง 7 ซม.ออกที่ปลายยอด ช่อย่อยแบบช่อกระจะสั้น ดอกรูปไข่กลับแคบ ขนาด1-1.4 ซม. สีขาว ถึงสีชมพูอ่อน ดอกเพศผู้ที่ไม่เป็นหมัน มีเกสรตัวผู้ 10อัน ดอกเพศเมียจะมีเกสรตัวผู้ที่เป็นหมัน คล้ายเส้นด้าย10 อัน ผลเป็นฝักแห้งแตกรูปดาบยาวประมาณ 7-14 ซม เมื่อฝักแก่เต็มที่จะแตกออกเมล็ดมีลักษณะกลมแบนมี 3-5เมล็ด
การใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา เถาใช้เป็นยาฟอกโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ผื่นคัน ใบเสี้ยวป่า ใช้ผสมกับลำต้นกำแพงเจ็ดชั้น นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นยาฟอกโลหิต
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับใช้ในการจัดสวน
-อื่น ๆ ไม้ใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง เผาถ่าน
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน- พฤษภาคม/มิถุนายน - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์--- เมล็ด

67 ชงโคนา/Bauhinia racemosa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia racemosa Lam.(1785)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. See all http://powo.science.kew.org/taxon/481612-1
---Bauhinia parviflora Vahl.(1794)
---Piliostigma racemosum (Lam.) Benth.(1852) [Spelling variant]    
ชื่อสามัญ---Bidi leaf tree, Burmese Silk Orchid, Mountain Ebony, Bidi leaf tree
ชื่ออื่น---ส้มเสี้ยว, ชงโคขี้ไก่ ;[BENGALI: Banraji, Banraj];[HINDI: Katmauli.];[KANNADA: Achalu, Aapta, Mandara, Aralukadumandara.];[MALAYALAM: Kudambulimandaram, Arampali, Aathi, Arampaali, Malamandaram, Malayaththi, Malayathi, Kotapuli, Mandaram, Kutabuli.];[MARATHI: Sona, Apta.];[PAKISTAN: Kachnar.];[SANSKRIT: Yugmapatra, Yamalapatrakah.];[TAMIL: Aatthi, Atti, Tataki, Atti, Archi.];[TELUGU: Tella Arecettu.];[THAI: Chong kho naa, Chong kho khi kai.];[UNANI: Kachnaar].
EPPO Code--- BAURA (Preferred name: Bauhinia racemosa)
ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE -CAESALPINOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม
Bauhinia racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2328

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียศรีลังกาและจีน  แพร่กระจายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นประปรายในป่าเปิดกึ่งโล่งแจ้ง ป่าแห้งผลัดใบพบได้บ่อยบนเนินเขาที่แห้งแล้ง ในทุ่งหญ้าที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตรในอินเดีย
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม้ขนาดเล็กผลัดใบสูงถึง 15 เมตร เรือนยอดกว้างและทึบลำต้นสีเทาเข้ม บิดงอ ใบรูปหัวใจปลายใบแยกเป็น2แฉกขนาด 4-10 ซม. โคนใบ ปลายใบเป็นพูกลมตื้น ใบแก่เหนียว เรียบเกลี้ยงหรือมีขนอ่อนๆบนเส้นใบด้านล่าง เส้นใบที่ฐาน7-9เส้น ดอกสีขาวออกเขียวหรือเหลืองอ่อนเป็นช่อเล็กๆยาว12-20 ซม. ดอกตูมโค้งงอส่วนบนกว้างที่สุด กลีบดอกแคบ5กลีบ เกสรเพศผู้10อัน แยกเป็น2วง วงนอกยาวเป็น2เท่า เกสรเพศเมียสั้น ผลโค้งงอไม่แตก กว้าง 1.5-2.5 ซม.ยาว 8-25 ซม.เมล็ดรูปไข่. 10-20 เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัด ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์มีความชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งของเส้นใย มีการนำมาปลูกบ้าง
-ใช้กิน ใบอ่อนใช้ดองกินได้, เมล็ดกินได้
-ใช้เป็นยา  มีรายงานการใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืช ในยาพื้นบ้าน ดอกไม้ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอกไม้ดอกตูมและใบไม้แห้งใช้รักษาโรคบิด เปลือกต้นใช้ในการอักเสบของตับ เมล็ดเป็นยาชูกำลังและยาโป๊ว
-ใช้อื่น ๆ ใบถูกนำมาใช้ในการผลิต beedi บุหรี่อินเดียบาง ๆ  เปลือกเส้นใยใช้ทำเชือกได้ดี ส่วนที่เรียกว่า Aapta หรือ maloo bast ได้มาจากพืชซึ่งใช้สำหรับการผลิตเชือกอวนและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลมีรอยคล้ำไม่สม่ำเสมอ ไม้ไม่ได้ใช้มากแม้ว่ามันจะเป็นเชื้อเพลิงที่ดี
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในครอบครัว Maharashtrian มันเป็นธรรมเนียมที่จะแลกเปลี่ยนใบของต้นไม้ Aapta -ในศาสนาฮินดูวันเทศกาลของ Dussehra การกระทำที่รู้จักกันในชื่อการแลกเปลี่ยนทองคำ ชี้ไปที่ความสำคัญเป็นพิเศษของพืชในวันนั้น เป็นเหตุผลที่ต้นไม้มักถูกเรียกว่า Sonpatta (แปลตามตัวอักษร: ใบไม้สีทอง )
ระยะเวลาออกดอก ---กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม
ขยายพันธุ์--- เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

68 แสมสาร/Senna garrettiana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Senna garrettiana (Craib) H.S.Irwin & Barneby. (1982)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Basionym: Cassia garrettiana Craib.(1912)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---แสมสาร(ภาคกลาง), ไงซาน(เขมร-สุรินทร์), กราบัด, กะบัด (นครราชสีมา), ขี้เหล็กแพะ, ขี้เหล็กโคก(ภาคเหนือ),  ขี้เหล็กป่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคเหนือ), ขี้เหล็กสาร(นครราชสีมา, ปราจีนบุรี) ;[CAMBODIA: Angkanh.];[INDONESIA: Garesiana.];[JAPANESE: Same-sān, Kīrekku pā.];[LAOS: Khi lek.];[MALAYSIA: Bebusok.];[THAI: Samae san (Central); Ngai-san (Khmer-Surin); Kra-bat, ka-bat  (Nakhon Ratchasima); Khi lek phae, Khi lek khok (Northern); Khi lek pa  (Northeastern, Northern); Khi lek san (Nakhon Ratchasima, Prachin Buri);[VIETNAM: Muồng chét, Muồng, Mỏ hàn.]
EPPO Code---1SJNG (Preferred name: Senna)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ -ศรีลังกา อินเดีย พม่า และอินโดจีน
Senna garrettiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Howard Samuel Irwin Jr.(1928 –2019)นักพฤกษศาสตร์และTaxonomistชาวอเมริกันและRupert Charles Barneby (1911 –2000)นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2525


ที่อยู่อาศัย พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามบริเวณป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าที่ราบต่ำทั่วไป และป่าผลัดใบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร เป็นไม้ท้องถิ่นทางภาคเหนือของประเทศไทยขึ้นกระจายใน ภาคกลาง และภาคอื่นๆ ยกเว้นภาคใต้
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15 เมตร เรือนยอดรูปกรวยคว่ำเปลือกนอกสีน้ำตาลเทาแตกเป็นร่อง กิ่งอ่อนมีขนประปราย ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวียน มีใบย่อย6-9คู่ ขนาดกว้างประมาณ 2-5 ซม.ยาว 5-9 ซม.รูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบแก่เกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ไม่มีต่อม หูใบหลุดร่วงง่าย ก้านใบย่อยยาว 2-5 มม.ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงประกอบออกที่ปลายกิ่ง ยาว 9-20 ซม. ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองสดใส  ผลเป็นฝักแบนและมักบิดเป็นเกลียว รูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม. ยาว 15-20 ซม. เมล็ดมีประมาณ 20 เมล็ด สีน้ำตาล กว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 9 มม.เรียงตามขวาง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด ดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์- ต้นไม้ใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นอาหารและยา
-ใช้กิน เป็นอาหาร ใบอ่อนใช้กินสด
-ใช้เป็นยา สรรพคุณ แก่นมีรสขมเฝื่อน ผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ในตำรายา มีสารสำคัญที่มีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ จึงทำหน้าที่เป็นยาระบาย และพบเป็นส่วนประกอบในตำรับยาฟอกเลือดของสตรี เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ขับพยาธิ บำบัดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ใช้ใบเป็นยาบำบัดโรคงูสวัด
-ใข้ปลูกเป็นไม้ประดับได้สวยงามเพราะทรงพุ่มค่อนข้างแคบเหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด ปลูกตามท้องถนนหนทาง ทนต่อมลพิษทางอากาศได้ดี
-ใช้อื่น ๆ ไม้เหนียวแข็งและทนทานมาก ใช้ทำสิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์การเกษตร เปลือกมีแทนนินมาก
สำคัญ---แสมสารเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-ตุลาคม/ตุลาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์ --- เมล็ด

69 เสม็ดชุน/Syzygium gratum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Syzygium gratum (Wight) S.N. Mitra.(1973)
ชื่อพ้อง ---This name is a synonym of Syzygium antisepticum (Blume) Merr. & L.M.Perry.(1939)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-199652
ชื่อสามัญ---Eugenia.
ชื่ออื่น---เม็ก (ปราจีนบุรี), เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช), เสม็ด (สกลนคร,สตูล), เสม็ดเขา, เสม็ดแดง (ตราด),เสม็ดชุน (ภาคกลาง),ไคร้เม็ด (เชียงใหม่),ยีมือแล (มาเลย์-ภาคใต้) ;[THAI: Mek (Prachin Buri); Met chun (Nakhon Si Thammarat); Samet (Sakon Nakhon, Satun); Samet khao, Samet daeng (Trat); Samet chun (Central); Khrai met (Chiang Mai); Yi-mue-lae (Malay-Peninsulra).].  
EPPO Code---1SYZG (Preferred name: Syzygium.)
ชื่อวงศ์---MYRTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่าไทยและฟิลิปปินส์


ที่อยู่อาศัยพบทางอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์, พม่า, ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ขึ้นตามป่าที่ลุ่มมักอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำหรือใกล้ชายฝั่ง ในป่าเต็งรังผสมชายฝั่งทะเลและป่าดิบเขา พบได้บนเนินเขาและสันเขาที่มีดินปนทราย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร กิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ ใบรีถึงรูปหอก ปลายใบแหลมโคนใบแหลมหรือมน ดอกช่อแบบแยกแขนง ดอกย่อย สีขาวไม่มีก้านดอก  ฐานดอกรูปถ้วย กลีบเลี้ยง 5กลีบ รูปสามเหลี่ยมกลีบดอก 5กลีบ รูปทรงค่อนข้างกลมสีเหลืองอ่อน เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลสด ทรงกลมสีขาว กว้าง 5 มม. ยาว 6 มม


ใช้ประโยชน์ ---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของแทนนินและไม้
-ใช้เป็นอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อน รสฝาดอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผักสด อิสานนิยมนำยอดอ่อนมารับประทานสด เรียกผักเม็ก จิ้มน้ำพริก กินกับลาบ ยำ
-ใช้เป็นยา ใบสดตำพอกแก้เคล็ดบวม ใบอ่อน แก้ปวดเสียดในท้อง ท้องอืดแน่น ท้องเฟ้อ  ใช้ผลมะกรูด หรือใบพลู รมควันใต้ใบเสม็ดพออุ่นๆ นาบท้องเด็กแก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อในเด็ก แก้ปวดท้องได้ดีมาก
-ใช้เป็นไม้ประดับนิยมโยกย้ายขุดล้อมเปลี่ยนที่นำเข้ามาใช้ในงานจัดสวนขนาดใหญ่ ในสวนสาธารระ อาคารที่พักอาศัย
-ใช้อื่นๆ ไม้บางครั้งใช้สำหรับการก่อสร้าง แต่มักจะไม่ถือว่ามีค่ามาก ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือและสะพานและสำหรับเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์
ระยะออกดอก/ติดผล--- มีนาคม-เมษายน/พฤษภาคม-มิถุนายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

70 เสม็ดขาว/Melaleuca cajuputi


ชื่อวิทยาศาสตร์---Melaleuca cajuputi Powell.(1809)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms
---Myrtus saligna J.F.Gmel.(1791)  
---Melaleuca minor Smith.(1812)
---Melaleuca leucadendron (L.) L. var. minor (Smith) Duthie.(1878)
---Moer.See all The Plant Lis thttp://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-132782
ชื่อสามัญ---Cajuput oil Tree, Mild Wood, Paper Bark Tree, Swamp tea-tree, Punk tree.
ชื่ออื่น---กือแล (มาเลย์-ปัตตานี); เสม็ด (ทั่วไป); เสม็ดขาว (ภาคตะวันออก); เหม็ด (ภาคใต้) ;[BRAZIL: Melalueca.];[CAMBODIA: Smach chanlos.];[CHINESE: Bai Gian Ceng.];[FRENCH: Cajuputier.];[GERMAN: Kajeputbaum.];[INDIA: Kaayaaputi.];[INDONESIA: Kayu Putih, Gelam (Sunda, Java); Ghelam (Madura); Waru Gelang, Inggolom (Batak); Kayu Gelang, Bru Galang,  Waru Gelang (Sulawesi); Nggielak, Ngelak (Roti); lren, Sakelan (Piru); Irano (Amahai); Ai Kelane (Hila); Irono (Haruku); Ilano (Nusa Laut Saparuna); Elan (Buru).];[MALAYSIA: Kayu putih, Gelam, Nipis Kulit, Delek air (Malay).];[THAI: Samet (General); Samet khao (Eastern); Met (Peninsular); Kue-lae (Malay-Pattani).];[VIETNAM: Cây tràm, Chè dong tran, Chi Cay , Bach Thien Tang.].
EPPO Code--- MLACA (Preferred name: Melaleuca cajuputi)
ชื่อวงศ์---MYRTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้:- พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Melaleuca มาจากภาษากรีก “melas”= สีดำ และ “leukos” = สีขาว ตามลักษณะเปลือกที่มีสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่; ชื่อสายพันธุ์ 'cajuputi' มาจากภาษามาเลย์ "kaju puthi" ซึ่งแปลว่า "ไม้สีขาว"
Melaleuca cajuputi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกใน ครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Powell (1809–1887) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2352
มี4สายพันธุ์ย่อย (Subspecies):-
-Melaleuca cajuputi subsp. cajuputi
-Melaleuca cajuputi subsp. cumingiana (Turcz.) Barlow
-Melaleuca cajuputi subsp. cumingiana Maton & Sm. ex R.Powell
-Melaleuca cajuputi subsp. platyphylla Barlow

 

ที่อยู่อาศัยพบขึ้นในที่โล่งสะวันนา ตามพื้นที่พรุตามชายหาดใกล้ทะเล ที่ระดับความสูงไม่เกิน 150 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 5-25 เมตร ลักษณะ ลำต้นบิดงอ เปลือกสีขาวถึงน้ำตาลเทาเป็นแผ่นบางซ้อนกันเป็นปีก หนานุ่ม ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขนสีขาวมันวาวคล้ายไหมปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปใบหอกยาวประมาณ 5-12 ซม. และกว้างประมาณ 1-3-3 ซม ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนังก้านใบยาว 0.4-1 ซม.ดอกออกเป็นช่อเชิงลด ออกตามปลายกิ่ง ช่อดอกคล้ายแปรงล้างขวดยาว 4-10 ซม.ดอกย่อยขนาดเล็กสีขาวไม่มีก้านดอกออกเป็นกระจุก1-3ดอก ผลเป็นแคปซูลแบบแห้งแล้วแตกรูปถ้วยปลายปิด ขนาด 0.3-0.4 ซม.ผนังผลหนาแข็ง ผลแก่เต็มที่จะแตกที่ปลายผลเป็น 3 แฉก เมล็ดจำนวนมากเป็นเส้นเล็ก ๆรูปโค้งหรือเกือบตรง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้มีระบบรากที่กว้างขวางบางครั้งก็มีรากอากาศ พืชสามารถเติบโตได้และปรับให้เหมาะกับดินประเภทต่าง ๆ แม้แต่แอ่งน้ำและการระบายน้ำเล็กน้อย สภาวะที่เป็นกรดมากด้วยค่า pH 4 หรือน้อยกว่า แต่จะเติบโตได้ดีขึ้นในดินที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยค่า pH ที่สูงขึ้น
การใช้ประโยชน์---ต้นไม้ได้รับการปลูกฝังมานานหลายศตวรรษส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียและเวียดนามสำหรับใบและกิ่งไม้ที่ใช้เป็นยาและเป็นแหล่งของน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีการซื้อขายระหว่างประเทศ
-ใช้เป็นยาใบมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียต้านการอักเสบชาวพื้นเมืองออสเตรเลียใช้ใบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยใช้ไอระเหยที่สูดดมจากใบที่บดเพื่อรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ -; ในประเทศไทยใบใช้ทำชาสมุนไพร-; ในพม่าใช้รักษาโรคเกาต์ -; ในมาเลเซียใช้รักษาอาการจุกเสียดและอหิวาตกโรค -; ในอินโดนีเซียใช้รักษาอาการจุกเสียดโคลิค ตะคริว โรคผิวหนัง บาดแผลและความเจ็บปวดต่างๆ -; ในหลายส่วนของเอเชียน้ำมันที่ทำจากต้นไม้มีชื่อ cajuput เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ผลิตจากใบโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ ถูกใช้เป็นยาทาถูนวดและยาดม มีรายงานว่า เป็นยาระงับประสาทและผ่อนคลายและมีประโยชน์ในการรักษาพยาธิตัวกลมและการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ-; ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น้ำมันเป็นยาสามัญประจำบ้านโดย ใช้ภายในเพื่อรักษาอาการไอและหวัดจากตะคริวที่ท้อง, อาการจุกเสียดและหอบหืด ใช้ภายนอกเพื่อบรรเทาอาการของโรคประสาทและโรคไขข้อมักจะอยู่ในรูปแบบของขี้ผึ้งและยาทาถูนวดและเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันและอาการปวดหู  น้ำมันยังมีประโยชน์ในการไล่แมลง ถูกใช้เพื่อปรุงรสอาหาร เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องสำอาง น้ำมัน Cajuput จัดอยู่ในประเภทไม่มีพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แม้ว่าการระคายเคืองผิวหนังอาจเกิดขึ้นที่ความเข้มข้นสูง ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับอาหารโดยองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา
-ใช้เป็นไม้ประดับใช้ในการจัดสวน เป็นไม้ให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะ อาคาร ที่พักอาศัย
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีชมพูอมเทาถึงน้ำตาล ไม้เนื้อแข็งหนักพอสมควรและทนทาน เหมาะสำหรับการก่อสร้างและพื้นทั่วไป  เปลือกไม้ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุมุงหลังคา ใช้ในการก่อสร้างเรือรวมทั้งเป็นวัสดุกาวสำหรับเรือในอินโดนีเซีย ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน ได้ดี
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species (2019)
ระยะออกดอก--- กุมภาพันธ์-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด

71 เสม็ดแดง/Syzygium antisepticum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Syzygium antisepticum (Blume) Merr. & L.M.Perry.(1939)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms.  
---Basionym: Caryophyllus antisepticus Blume.(1828
---Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra (1973)
---Eugenia grata Wight (1841)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-199219
ชื่อสามัญ--Shore eugenia
ชื่ออื่น---เม็ก (ปราจีนบุรี), เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช), เสม็ด (สกลนคร,สตูล), เสม็ดเขา, เสม็ดแดง (ตราด), เสม็ดชุน (ภาคกลาง),ไคร้เม็ด (เชียงใหม่),ยีมือแล (มาเลย์-ภาคใต้), เสม็ดแดง (ชุมพร), หว้านา (พังงา);[PHILIPPINES: Mariig (Tagalog), Kalaum (Culion), Malaruhat (Laguna).]; [THAI: Mek (Prachin Buri); Met chun (Nakhon Si Thammarat); Samet (Sakon Nakhon, Satun); Samet khao, Samet daeng (Trat); Samet chun (Central); Khrai met (Chiang Mai); Yi-mue-lae (Malay-Peninsulra); Samet daeng (Chumphon); Wa na (Phangnga).];[Vietnamese: Trâm sẻ]
EPPO Code---SYZAN (Preferred name: Syzygium antisepticum)
ชื่อวงศ์---MYRTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---ตะวันออกเฉียงใต้ของจีน, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Syzygium'  มาจากคำภาษากรีก 'syzygos' อ้างอิงถึงใบคู่ตรงข้าม ; ของสปีชีส์ 'antisepticum' มาจากคำภาษาละติน = น้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งหมายถึงคุณสมบัติทางยาของสปีชีส์นี้
Syzygium antisepticum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันและLily May Perry (1895-1992) นักพฤกษศาสตร์ชาวแคนาดา-อเมริกัน ในปี พ.ศ.2482


ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ เวียดนาม และคาบสมุทรมลายู ในไทยพบทุกภาค พบในป่าผลัดใบและป่ากึ่งป่าดงดิบ ที่ระดับความสูง 500 - 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูงได้ถึง 10-20 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกสะเก็ดแผ่นบางๆ โคนต้นมักเป็นพูพอน ใบเดี่ยวออกตรงข้าม ยาว 7-15 ซม ใบรูปหอก ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม แผ่นใบหนา เส้นแขนงใบ 6-12 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซม.ใบอ่อนสีน้ำตาลอมแดง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่มเล็กๆ ออกที่ปลายยอด ดอกย่อย 30-40 ดอกสีเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวอ่อนเชื่อมติดกับฐานรองดอกรูปกรวย กลีบดอก 4 กลีบ รูปช้อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก สีขาวปลายเหลืองอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1-1.5 ซม. ไร้ก้าน ไม่มีก้านดอกเทียม  ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมแป้นเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-1 ซม.ปลายหรือก้นผลบุ๋ม รวมกันเป็นพวง ผลเปลี่ยนสีจากเขียว เป็นชมพูแล้วแดงเข้ม สุกเต็มที่สีดำ เมล็ดทรงกลมแป้น สีน้ำตาลอ่อน
การใช้ประโยชน์--- มีการเก็บเกี่ยวต้นไม้จากป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ในท้องถิ่น เป็นอาหารและเป็นแหล่งของแทนนินและไม้
-ใช้เป็นอาหารใบอ่อน ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ ยำ รส เปรี้ยวใช้ทานกับขนมจีนหรือเป็นผักจิ้ม น้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาปรุงกับเครื่อง ปรุงต่างๆ ผลสุกมีรสชาดหวาน ฉํ่าน้ำ  
-ใช้เป็นยา พืชใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ
-ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ปลูกประดับตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป
-ใช้อื่นๆ ไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจงสำหรับไม้ของสายพันธุ์นี้ แต่เป็นของไม้ซุงกลุ่มหนึ่งที่เรียกรวมกันว่า 'kelat' ลักษณะทั่วไปของไม้ kelat :-แก่นไม้มีสีน้ำตาลทอง น้ำตาลอมเทาหรือน้ำตาล มีประกายสีชมพูหรือม่วง เนื้อไม้แข็งใช้ในงานโครงสร้างได้แต่โดยปกติไม่ถือว่ามีมูลค่ามากนัก -เปลือกที่ให้สารแทนนินใช้ทำอวนจับปลาที่แข็งแรงและสำหรับสีย้อมเสื้อผ้าที่มีสีน้ำตาลแดงหรือดำ
ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์-เมษายน/มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

72 ศุภโชค/Pachira aquatica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pachira aquatica Aubl.(1775)
ชื่อพ้อง ---Has 17 Synonyms.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2412843
ชื่อสามัญ----Malabar chestnut ,French peanut, Guiana- chestnut, Provision tree, Saba nut, Water-chestnut, Wild cocoa.
ชื่ออื่น---ศุภโชค,นุ่นน้ำ(ทั่วไป); [BRAZIL:Cacao selvagem,Castanha das Guianas, Monguba]; [CHINESE:Fācáishù, Gua li.]; [COLOMBIA:Zapotolongo,Zapoton.];[CZECH: Bombakopsis vodni.];[FRENCH: Cacaoyer-Riviere, Châtaignier marron, Noisetier de la Guyane, Pachirier aquatique.];[GERMAN: Wasserkastanie, Wilder cacobaum, Wilder kakaobaum, Glückskastanie, Sumpf-Rasierpinselbaum.];[GUATEMALA: Pumpo.];[MEXICO: Apompo, Zapote bobi.];[PHILIPPINES: Castañas (Tag.).];[PORTUGUESE: Astanheirodo Maranhao, Cacau selvagem, Castanheira de agua, Castanheiro-da-guiana.];[SPANISH: Castaña de agua, Ceibon de agua, Palo de boya, Zapote bobo, Zapote de agua.];[THAI: Suppha chok, Noon nam (General).];[TRADE NAME: Money Plant, Money Tree.].
EPPO Code---PCJAQ (Preferred name: Pachira aquatica.)
ชื่อวงศ์---BOMBACACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-บราซิล, โบลิเวีย, เปรู, เอกวาดอร์, โคลัมเบีย, เวเนซุเอลา, กายอานา; อเมริกากลาง - ปานามาไปยังเม็กซิโก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pachiraใช้ในกายอานาสำหรับพืชในสกุล; ชื่อของสายพันธุ์คือคำภาษาละติน "aquatica" = น้ำโดยมีการอ้างอิงไปยังสถานที่ลุ่มซึ่งมักจะมีชีวิตอยู่
Pachira aquatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์นุ่น (Bombacaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Christian Fusée-Aublet (ค.ศ. 1720–1778) เภสัชกร นักพฤกษศาสตร์ และนักสำรวจชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2318
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เติบโตในในป่าที่อุดมสมบูรณ์ใกล้กับแม่น้ำ ทะเลสาบและปากแม่น้ำ
ลักษณะ เป็นไม้ยืนไม่ผลัดใบต้นสูงถึง 18-25 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลาง 30-90 ซม.เปลือกบางสีเขียวเป็นเวลานาน ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ใบย่อย 5-7ใบ ขนาดไม่เท่ากันเรียงเวียนแน่นบริเวณปลายกิ่ง ยาวไม่เกิน 28ซม.กว้าง3-14ซม.ดอกเดี่ยวสีขาวนวลอมเขียวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (hermaphrodite) มีกลีบดอก5กลีบม้วนงอยาวถึง 30 ซม.กว้าง1.5 ซม.หลุดร่วงง่าย ตรงกลางมีเกสรเพศผู้จำนวนมากยาว8-15ซม.ท่อนล่างสีขาวหรือเหลืองอ่อนส่วนด้านบนสีแดง ผลเป็นฝักมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลมีเนื้อไม้หยาบ รูปไข่ ยาว 20-30 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-15 ซม. มีเมล็ด10-25เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนลึกและอุดมสมบูรณ์ ทนทานต่อความแห้งแล้ง ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ (-2)ถึง(-3)องศา C ต้นไม้เติบโตเร็วสามารถเข้าถึงความสูง 3.5 เมตรภายใน 2 ปีจากเมล็ด ดอกไม้ผลิตครั้งแรกเมื่อพืชมีอายุ 4-5 ปีจากการปลูกด้วยเมล็ด
ใช้ประโยชน์--- พืชมีการใช้อย่างกว้างขวางมีคุณค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมล็ดที่กินได้และอื่น ๆ, ยา, เส้นใย, สีย้อม, ไม้ ฯลฯ
-ใช้เป็นอาหาร เมล็ดคั่วกินได้ ดิบหรือสุก รสชาติของเมล็ดดิบเหมือนถั่วลิสงเมื่อคั่วหรือทอดในน้ำมันมันมีรสชาติของเกาลัด  รสชาดของเมล็ดคั่วเหมือนโกโก้ เมล็ดบดเป็นแป้งและใช้ทำขนมปัง เมล็ดคั่วบางครั้งใช้ทำเครื่องดื่ม ใบอ่อนและดอกไม้ - ปรุงและใช้เป็นผัก
-ใช้เป็นยา เปลือกผลไม้สีเขียวอ่อน ใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ เมล็ดใช้เป็นยาชา ยาต้มเปลือกใช้ในการรักษาโรคโลหิตจางความดันโลหิตสูงและอ่อนเพลีย เปลือกไม้ใช้สำหรับรักษาอาการปวดท้องและปวดหัว   
-ใช้ปลูกประดับ ได้รับความนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย คงจำได้ว่า ต้นไม้ที่นำลำต้นมาถักเปียแล้วใส่กระถางที่ทำเป็นรูปเงินตำลึงจีน  สีเงิน และ สีทองให้เป็นของขวัญกัน ได้จากต้นที่เพาะเมล็ด ภาษาจีนเรียกว่า “เหยาเฉียนซู่” แปลว่า  เรียกเงิน หรือ เขย่าเงิน ความนิยม เหล่านี้ได้เริ่มขึ้นในญี่ปุ่นและต่อมาก็เป็นที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับโชคลาภทางการเงินที่ดีและมักจะเห็นในธุรกิจบางครั้งก็มีริบบิ้นสีแดงหรือเครื่องประดับมงคลอื่น ๆ ที่แนบมา นิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายในวางไว้ในที่มีแสงมากทนได้ดีในร่มเงาบางส่วน ในส่วนภายนอกยังใช้เป็นไม้ประดับให้ร่มเงาตามถนน และเป็นไม้ประดับจัดสวน
ใช้อื่น ๆ ไม้สีขาวมีน้ำหนักเบาเป็นเส้นนุ่ม มีความทนทานต่ำ ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ที่มีคุณภาพต่ำเช่นการทำกล่องและไม้ขีดไฟ เหมาะสำหรับการผลิตกระดาษ,เปลือกไม้ให้สีย้อมสีเหลืองหรือสีแดง,ไฟเบอร์ได้มาจากเปลือกไม้ น้ำมันจากเมล็ด มีศักยภาพในอุตสาหกรรม การผลิตสบู่ ผลไม้ กระจายบนพื้นเพื่อขับไล่หมัดทราย
ระยะออกดอก---เมษายน-มิถุนายน
ฃยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ เมล็ดใช้เวลาการงอก 8-10 วัน

73 หูกระจง/Terminalia ivorensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia ivorensis A.Chev.(1909)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2434278
ชื่อสามัญ---Black Afara, Ivory Coast almond, Blackbark, Shinglewood
ชื่ออื่น-- หูกระจง, หูกวางแคระ (กรุงเทพฯ) ; [BENIN: Egboinebi.];[CAMEROON: Lidia.]; [FRENCH: Framiré.];[GHANA: Emeri.]; [NIGERIA: Black afara, Idogbo, Sdigbo.]; [SIERRA LEONE: Baji, Bassi.];[SWEDISH: Framiré.]; [THAI: Hu kra chong, Hu kwang khrae (Bangkok).]; [WEST AFRICA: Basi bundo.]; [TRADE NAME: Baji, Black afara, Emeri, Framiré, Idigbo, Lidia, Sdigbo.].                                                                                                                                         EPPO Code---TEMIV (Preferred name: Terminalia ivorensis.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตการกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันตก แถบเส้นศูนย์สูตรประเทศในเขตร้อน
Terminalia ivorensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Auguste Jean Baptiste Chevalier (1873 –1956)นักพฤกษศาสตร์และTaxonomistชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2452
ที่อยู่อาศัย พืชเขตร้อนชื้นที่พบได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 15-20 เมตร ทรงพุ่มแผ่เป็นชั้นๆ หนาทึบ แตกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น เมื่อต้นโตเต็มที่ปลายกิ่งจะลู่ลง เปลือกต้นสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่อง ตามแนวยาว สีน้ำตาลอมเหลืองและมีรอยด่างขาวทั่วทั้งลำต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ที่ปลายกิ่ง รูปไข่กลับ กว้าง 1 -1.5ซม. ยาว 1.5-3 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบแคบ เว้า และมีต่อม 1 คู่ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและเหนียว สีเขียวเรียบเป็นมัน ใบอ่อนสีน้ำตาลอมเขียว ก้านใบยาวประมาณ 0.4 ซม.ดอก สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแท่ง โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกสมบูรณ์เพศอยู่บริเวณโคนช่อ เกสรเพศผู้ 10 อัน ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว รูปไข่หรือรูปรีป้อมและแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 ซม. ยาว 3-7 ซม. สีเขียว เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียวมีเนื้อ และชั้นหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็งและเหนียว เมล็ดรูปรี สีน้ำตาล
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องใช้ตำแหน่งที่มีแดด ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินลูกรัง ดินเนื้อดี ดินทรายและดินภูเขาไฟ ต้องการ pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 ไวต่อน้ำขังแต่สามารถทนต่อน้ำท่วมในช่วงเวลาสั้น ๆ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 20 - 33°c
ศัตรูพืช/โรคพืช---Apat monachus (หนอนเจาะดำ) จะเจาะเข้าไปในส่วนต่างๆของลำต้น ทำให้หักและสามารถฆ่าต้นไม้ได้ /Aurifilum marmelostoma เป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคบนเปลือกไม้
การใช้ประโยชน์---หนึ่งในไม้หลักของแอฟริกาตะวันตกมันถูกเก็บเกี่ยวอย่างกว้างขวางจากป่าและได้รับการแนะนำให้รู้จักกับประเทศเขตร้อนอื่นๆเปลือกไม้ถูกเก็บ จากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและสีย้อม ในถิ่นกำเนิดมักใช้ปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจ ปลูกไว้ตัดขายเนื้อไม้
-ใช้เป็นยา ยาต้มเปลือกใช้สำหรับการรักษาบาดแผล แผลริดสีดวงทวาร เปลือกไม้ที่เป็นผงลูบไปทั่วบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและไขข้ออักเสบเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ยางไม้ที่ได้จากใบอ่อนนำมาเป็นยาต้ม ใช้เพื่อรักษาอาการตกขาวและโรคไต
-ใช้ปลูกประดับ เป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามแตกกิ่งเป็นชั้น ๆ ปลูกประดับสวน อาคาร ให้ร่มเงาริมถนนลานจอดรถ หูกระจงเป็นไม้ผลัดใบ แต่เมื่อนำไปปลูกลงดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และสม่ำเสมอใบแทบจะไม่ร่วงเลย แต่ถ้าขาดน้ำแล้วจะผลัดใบ เก็บกวาดใบไม่หวาดไม่ไหวเป็นที่อิดหนาระอากันอยู่ตอนนี้ เป็นไม้ใหญ่โตเร็ว มีระบบรากแก้วที่มีรากรองรับด้านข้างได้ 6-8 ราก นอกจากนี้ยังมีฐานของระบบรากที่แผ่กระจายและค่อนข้างตื้น จึงแผ่บารมีไปทุกทิศ การปลูกจึงต้องอยู่ในตำแหน่ที่ห่างจากตัวอาคารและทางเท้า
-วนเกษตร ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิก สามารถสร้างเป็นอาณานิคมที่ดีของพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้าง
-ใช้อื่นๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาลอมชมพูอ่อน ลักษณะคล้ายกับไม้โอ๊ค เป็นไม้อเนกประสงค์ทั่วไปที่มีคุณค่าสำหรับงานก่อสร้าง งานไม้, เฟอร์นิเจอร์ชั้นดี  เหมาะสำหรับพื้น, ตกแต่งภายใน ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในประเทศกานาสำหรับทำหลังคาซึ่งกล่าวกันว่ามีอายุ 15 - 20 ปี -;ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและมีมูลค่าสูงในการทำถ่าน -;สีย้อมสีเหลืองสามารถหาได้จากไม้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเปลือกไม้-;สีน้ำตาลแดงและสีย้อมสีดำหาได้หากใช้โคลนที่อุดมด้วยธาตุเหล็กหรือเกลือของเหล็กเป็นสารกันเสียใช้สำหรับย้อมผ้าและเส้นใยสำหรับงานตระกร้า เปลญวน ฯลฯ
รู้จักอันตราย--- ฝุ่นจากไม้แปรรูปอาจทำให้ผิวหนังหรือทางเดินหายใจระคายเคือง ไม้ถูกพบว่ามีซาโปนินซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในคนที่ทำงานกับมัน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากพืชถูกคุกคามโดยการสูญเสียที่อยู่อาศัยและการฟื้นฟูที่ไม่ดี การเอารัดเอาเปรียบสำหรับไม้โดยทั่วไปอยู่ในระดับปานกลางจัดอยู่ในIUCN Red List ประเภท 'ความเสี่ยง' มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE -  IUCN. Red List of Threatened Species. 2011
ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

74 พี้จั่น/Millettia brandisiana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Millettia brandisiana Kurz.(1873)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-32251
---Other names: Phaseoloides brandisianum (Kurz) Kuntze.(1891). http://legacy.tropicos.org/Name/13035900
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กระพี้จั่น, จั่น (ทั่วไป), ปี๊จั่น,พี้จั่น (ภาคเหนือ);[THAI: Kra phi chan, Chan (General); Pi chan, Phi chan (Northern).]
EPPO Code---1MIJG (Preferred name: Millettia)
ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-บังคลาเทศ พม่า ไทย
Millettia brandisiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz(1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2416


ที่อยู่อาศัยเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบทาง ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 8-20 เมตรทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ โคนเป็นพูพอนเล็กน้อย  เปลือกต้นหยาบสีเทาเข้ม หรือสีน้ำตาลเทาปนดำ เปลือกชั้นในสีแดง แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆตามส่วนต่างๆเกลี้ยงไม่มีขน ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อยเรียงตัวเป็นคู่ๆ 7--21 ใบ รูปรีแกมขอบขนาน โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ขนาดใบกว้าง1-3ซม.ยาว5-7ซม.ท้องใบสีเขียวเข้ม แผ่นใบสีจางกว่า ใบอ่อนสีส้มอมน้ำตาล ดอกเป็นช่อออกตามกิ่งข้างหรืออาจออกพร้อมใบที่แตกใหม่ยาว 7-22 ซม. แตกแขนง ค่อนข้างโปร่ง เมื่อยังอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองประปราย แต่ละช่อมีดอกจำนวนมาก ก้านดอกยาว 2-3 มม. กลีบเลี้ยงสีม่วงดำ ติดกันคล้ายรูประฆัง ยาวประมาณ 5 มม. ส่วนบนแยกเป็นกลีบรูปสามเหลี่ยม 5 กลีบ กลีบดอกสีม่วงหรือม่วงอมชมพู ยาว 0.8-1.1 ซม. มีขนาดและรูปทรงแตกต่างกัน เกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านชูอับเรณู 9 อันติดกันเป็นหลอดยาว ส่วนอีก 1 อันแยกเป็นอิสระ รังไข่แบนยาว มีขนสีขาวทั่วไป ผลเป็นฝักแห้งแล้วแตกขนาด ยาว5-7.5ซม.แบนปลายโค้งและทู่ ฐานสอบเข้าหากัน ผิวเกลี้ยงและแข็ง เมล็ดแบน1-3เมล็ด สีน้ำตาลดำขนาด 0.8-1 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ดินร่วนปนทราย ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง
ใช้ประโยชน์ -ใช้เป็นพืชสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา ปลูกประดับให้ร่มเงา
-ใช้เป็นอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อนกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา รสฝาดมัน มีสรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกตามบ้านเรือนและสวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงาและเป็นไม้ประดับดอกสวยงาม
-ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้ใช้ทำเยื่อกระดาษ ด้ามเครื่องมือ ของเล่นเด็ก และทำดอกไม้ประดิษฐ์ และยังสามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น วงกบประตู หน้าต่าง ฝา บันได ทำฟืน         
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์ --- เพาะเมล็ด ปักชำราก หรือแยกลำต้นที่เกิดใหม่

75 ชิงชัน/Dalbergia oliveri

ชื่อวิทยาศาสตร์---Dalbergia oliveri Gamble ex Prain.(1897)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46453
---Dalbergia laccifera Laness.
---Dalbergia prazeri Prain
ชื่อสามัญ---Black Wood, Rose Wood, Burma Rosewood, Burma Tulipwood, Pinkwood, Tamalan Tree        
ชื่ออื่น---ชิงชัน, เค็ดแดง(ทั่วไป);[CAMBODIA: Neang Nuon.];[ITALIAN:  Palissandro d'Asia, Palissandro di Birmania.];[JAPANESE: Techigaishitan.];[LAOS: Mai Kham Phii.];[MYANMAR: Tamalan.];[RUSSIAN: Dal'bergiia Olivera.];[THAI: Ching Chan, khet daeng (General).];[VIETNAM: cẩm lai, trắc lai];[TRADE NAME: Burmese rosewood, Laos rosewood, Asian rosewood.]
EPPO Code---DAGOL (Preferred name: Dalbergia oliveri.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Dalbergia ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Carl Gustav Dahlberg (1753-1775)และพี่ชายNils E. Dahlberg (1730-1820)
Dalbergia oliveri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Sykes Gamble (1847–1925) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2440

 

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศ อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย กระจายไปในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นในป่าดิบแล้งและป่ากึ่งผลัดใบตามแนวลำธารที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร 
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 15-25 เมตรผลัดใบ พบขึ้นเกือบทั่วทุกภาคของไทยยกเว้นภาคใต้ ตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทั่วไป ลักษณะทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลมกว้างและโปร่ง เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาค่อนข้างหนาแตกเป็นสะเก็ด และหลุดออกเป็นชิ้นเล็กๆ เปลือกชั้นในสีเหลือง แก่นไม้สีแดงแก่ เมื่อถากทิ้งไว้เนื้อไม้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ขนาด15-30ซม.มีใบย่อยเรียงสลับ5-7(10)คู่ ขนาดของใบย่อย3-8x1.3ซม. ใบย่อยรูปใบหอกผิวใบเกลี้ยง ใบอ่อนสีชมพูปนแดงหรือสีแดงมีขนคล้ายไหม ช่อดอกแบบช่อเชิงประกอบ ยาว10-15ซม.ดอกย่อยแบบดอกถั่ว ดอกตูมสีม่วงแดงเมื่อบานม่วงปนชมพูหรือขาว ผล เป็นฝักแคบและแหลมทั้งสองด้าน ขนาด 9-14 x 2.5-4 ซม.ส่วนที่หุ้มเมล็ดหนา แข็งมีลักษณะคล้ายกระเปาะ ผิวเรียบตรงกระเปาะนูนเด่นเห็นได้ชัด เมล็ดรูปไต สีน้ำตาลออกแดง แข็ง มี1-3เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ ชอบดินอุดมสมบูรณ์และดินร่วน ความต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ทนต่อสภาพแห้งแล้ง แม้ว่าหลายชนิดในวงศ์ Fabaceae มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน กล่าวกันว่าสายพันธุ์นี้ไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศได้
การใช้ประโยชน์--- เป็นไม้เนื้อแข็งที่ใช้ในการก่อสร้าง เนื้อไม้สีตั้งแต่ม่วงอ่อนถึงม่วงแก่ มีเส้นแรกสีดำ เนื้อละเอียดปานกลาง แข็งเหนียว มีความทนทานมาก ตกแต่งง่ายชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือนพานท้ายปืน เครื่องดนตรีเช่น ขลุ่ย ซอ จะเข้ ลูกระนาด กลองโทน รำมะนา
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ใกล้สูญพันธุ์' มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในป่า (ความเสี่ยงสูงมากต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคต)
สถานะการอนุรักษ์---EN-ENDANGERED-IUCN Red List of Threatened Species (2011)
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หรือแยกต้นที่เกิดใหม่

76 พะยูง/Dalbergia cochinchinensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Dalbergia cochinchinensis Pierre.1898
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See https://species.wikimedia.org/wiki/Dalbergia_cochinchinensis
---Amerimnon cambodianum Pierre (1898)
---Amerimnon cochinchinense Pierre (1898)
---Amerimnon fuscum Pierre (1898)
---Dalbergia cambodiana Pierre (1898)
---Dalbergia cochinchinensis Laness. (1886)
---Dalbergia fusca var. enneandra S.Q.Zou & J.H.Liu (1984)
ชื่อสามัญ--- Siamese Rosewood, Vietnamese Rosewood, Thai Rosewood, Cambodian Rosewood, Tracwood
ชื่ออื่น---กระยง, กระยุง (เขมร-สุรินทร์); ขะยุง (อุบลราชธานี); แดงจีน (ปราจีนบุรี); ประดู่ตม, ประดู่น้ำ (จันทบุรี); ประดู่ลาย (ชลบุรี); ประดู่เสน (ตราด); พะยูง (ทั่วไป); พะยูงไหม (สระบุรี); หัวลีเมาะ (จีน) ;[CHINESE: Hong suan zhi, Suān zhī mù, Jiao zhi huang tan.];[FRENCH: Palissandre de Siam.];[ITALIAN: Palissandro del Siam, Palissandro della Thailandia.];[JAPANESE: Keranji, Tai rozuuddo, Torakku uddo.];[KHMER: Kranhoung.]; [LAOS: Kayung.];[THAI: Kra-yong, Kra-yung (Khmer-Surin); Khayung (Ubon Ratchathani); Daeng chin (Prachin Buri); Pradu tom,  Pradu nam (Chanthaburi);  Pradu lai (Chon Buri); Pradu sen (Trat); Phayung (General); Phayung mai (Saraburi).];[VIETNAM: Trắc, Cẩm lai nam bộ, Trac bong, Cam lai nam, Glau ca, Ka rac, Ka nhong.].
EPPO Code---DAGCO (Preferred name: Dalbergia cochinchinensis)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
เขตการกระจายพันธุ์---ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียตนาม ศรีลังกา ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Dalbergia ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Carl Gustav Dahlberg (1753-1775)และ พี่ชาย Nils E.Dahlberg (1730-1820)
Dalbergia cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2441


ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีนมีถิ่นกำเนิดในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในป่าเปิดและป่ากึ่งผลัดใบบางครั้งพบในพื้นที่ไม่ถูกรบกวน ส่วนใหญ่ขึ้นเป็นกลุ่ม ที่ระดับความสูง100 - 500 เมตร ในประเทศไทยพบ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเป็นส่วนมาก ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบทั่วไปในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง สูง15-30เมตร เปลือกต้นสีเทาเรียบ ลอกเป็นแผ่นบางๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน แก่นสีแดงอมม่วงถึงสีเเลือดหมูเข้ม มีริ้วสีดำ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมยาวค่อนข้างโปร่ง ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบย่อย7-9ใบรูปไข่หรือใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่า ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด ยาว10-20ซม.ดอกรูปดอกถั่วสีขาวนวลมีกลิ่นหอม ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบนและบอบบางกว้างประมาณ 1.2ซม.ยาวประมาณ 4-6ซม.  เกลี้ยง ตรง แห้งแล้วไม่แตก เมล็ดรูปไตสีน้ำตาลเข้ม มี1-4เมล็ด  ผิวเมล็ดค่อนข้างมัน มีขนาดกว้างประมาณ 4 มม. ยาวประมาณ 7มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้กลางแจ้งต้องการตำแหน่งในดวงอาทิตย์เต็มชอบดินทรายดินลึกและดินปูนทนต่อสภาพแห้งแล้ง
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ให้ผลผลิตสูงและน่าดึงดูดมากสำหรับเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม ในเชิงพาณิชย์จากป่า
-ใช้เป็นยา ตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้เปลือกต้นหรือแก่นพะยูง นำมาผสมกับแก่นสนสามใบ แก่นขี้เหล็ก และแก่นแสมสาร ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้มะเร็ง เปลือกนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้เป็นยาอมรักษาโรคปากเปื่อย ยางสดใช้เป็นยาทาปาก รักษาโรคปากเปื่อย ยางสดใช้ทาแก้เท้าเปื่อย
-วนเกษตรเป็นพืชตรึงไนโตรเจนเหมาะสำหรับใช้ปรับปรุงดิน สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีแดงหรือเกือบดำมีเนื้อละเอียด  ไม้มีน้ำหนักมากและทนทานใช้งานง่าย ทนทานต่อแมลง ที่น่าดึงดูดใจด้วยเนื้อไม้ ที่โดดเด่นสร้างลวดลายที่สวยงามเมื่อถูกตัด ไม้ที่ถูกตัดจะปล่อยกลิ่นหอมเหมือนกุหลาบ ใช้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง งานแกะสลักและงานฝีมือ ใช้ทำเกวียน ทำหน้าไม้ คันธนู กรุผนังสวยงามใช้ทำ เครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย กลองโทน รำมะนา ลูกระนาด ใช้เป็นถ่านคุณภาพดี
***เนื่องจากพะยูงมีเนื้อไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงามไม้พยุง จนถือได้ว่าเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งในตลาดโลก (แพงกว่าไม้สักหลายเท่านัก) เป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จนนำไปสู่ปัญหาใหญ่ภายในประเทศคือการลักลอบตัดไม้พะยูงเพื่อส่งออก (เบื้องต้นอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 800 บาท คิวละ 2-6 แสนบาท (ในขณะที่ไม้สักคิวละประมาณ 3-5 หมื่นบาท) แต่ถ้าส่งออกจะมีราคาแพงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว) ในปัจจุบันไม้พะยูงจัดเป็นไม้สงวน หากใครมีไว้ในครอบครองจะถือว่ามีความผิด (มีสถานภาพเป็นไม้หวงห้ามธรรมดาประเภท ก) เนื่องจากในเวลานี้ไม้พะยูงถือว่าเหลือเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น และกำลังเผชิญกับสภาวะที่ล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ ส่วนในประเทศอื่น ๆ อย่างประเทศลาวที่เคยมีมากก็หมดไปแล้ว ***ข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)
พิธีกรรม/ความเชื่อ---คนไทยไม่ใช้ประโยชน์จากไม้พะยูงมากเท่าใดนักเป็นเพราะไม้ชนิดนี้มีราคาสูงมากบวกกับคนไทยมีความเชื่อบางอย่าง ที่เชื่อว่าไม้พะยูงเป็นของสูง ผู้ที่มีบารมีไม่ถึงไม่สมควรเอามาใช้ เพราะจะมีปัญหาภายหลัง (ยกเว้นเอามาทำเป็นหิ้งพระ) ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงไม่นิยมนำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน บันไดบ้าน และเตียงนอน ใช้เพียงแต่ทำรั้วบ้านเท่านั้น
สำคัญ---ต้นพะยูงเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดหนองบัวลำภู
ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นไม้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปประกอบกับการถูกทำลายที่อยู่อาศัยจึงถูกระบุใน IUCN Red List ว่าเป็น 'ความอ่อนแอ' มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species. (2009)
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/กรกฎาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด หรือแยกต้นที่เกิดใหม่ ตอนกิ่ง ปักชำ

77 บุหงาส่าหรี/Cithrarexylum spinosum.

ชื่อวิทยาศาสตร์---Citharexylum spinosum L.(1753 )
ชื่อพ้อง ---Has 34 Synonyms   
---Citharexylum fruticosum L.(1759)
---Citharexylum quadrangulare Jacq.(1760)
---(More).See all The Plant List://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-41323
ชื่อสามัญ---Florida Fiddlewood, Jamaican fiddlewood, Spiny Fiddlewood, Fiddlewood, Lady chancellor tree, Susanna Berry, Savannah Berry.
ชื่ออื่น--บุหงาแต่งงาน,บุหงาส่าหรี,บุหงาบาหลี; ราชาวดี (กรุงเทพฯ) ;[AFRIKAANS: Lierboom.];[FIJI: Masese.];[MALAYALAM: Parijatham.];[MALAYSIA: Pokok Mayang Sari, Bunga mayang sari, Benang sari, Bunga sari, Bunga harum sundal malam.];[SPANISH: Guitarrero, Pendola.];[THAI: Bu nga taengngan, Bu nga sari, Rachawadi (Bangkok).];[VIETNAM: Cầm mộc.]
EPPO Code---CIKQU (Preferred name: Citharexylum spinosum.)
ชื่อวงศ์---VERBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตการกระจายพันธุ์-อเมริกาใต้-เวเนซุเอลา,กายอาน่า;อเมริกากลาง-ปานามา;แคริบเบียน-ตรินิแดดไปยังคิวบาและบาฮามาส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Citharexylum มาจากภาษากรีก “kithra” ชื่อเครื่องดนตรีกรีกโบราณ คล้ายพิณ และ “xylon” = ไม้ หมายถึงไม้ที่ใช้ทำเครื่องดนตรี : ชื่อสายพันธุ์  'spinosum' = หนาม; ชื่อสามัญ fiddlewood หมายถึงการใช้ไม้ของต้นไม้ ที่ทำกระดานเสียงสำหรับเครื่องดนตรี
Citharexylum spinosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Verbenaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาสหรัฐอเมริกา, แคริบเบียน ,กายอานา ,ซูรินาเมและเวเนซุเอลา เติบโตบนสันเขาป่าโดยเฉพาะบนที่ราบชายฝั่งของ Guyanas  ที่อยู่อาศัยแห้งโดยทั่วไปที่ระดับความสูงต่ำกว่า 500 เมตร พื้นที่ชายฝั่งภูเขาหินปูน ภูเขาที่แห้งแล้งและเชิงเขาชื้นที่ระดับความสูงไม่เกิน 900 เมตร ในซิมบับเว แอฟริกา ที่ระดับความสูงถึง 1,520 เมตร
ลักษณะ บุหงาบาหลี หรือ บุหงาส่าหรี เป็นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อนขนาดกลาง สูงประมาณ 4-7 เมตร และอาจถึง 15 เมตรถ้าปลูกไว้นานๆ มีลำต้นเปลาตรงพุ่มใบหนา แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกลำต้นและใบมีกลิ่นเหม็นเขียว เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ขนานกันไปตามข้อต้น ใบค่อนข้างแข็งกระด้าง ใบมนรีรูปหอก เรียบเกลี้ยง เส้นกลางใบหนาแข็ง ขอบใบทั้งสองด้านมักพับเข้าหากัน ก้านใบสีส้ม ขนาดของใบกว้าง5-8ซม.ยาว10-15ซม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวออกเป็นพวงห้อยลงมา ดอกพวงหนึ่งๆประกอบด้วย ก้านดอกยาวประมาณ15ซม. ในก้านดอกก้านหนึ่งๆจะออกดอกเรียงสลับกันไปจากโคนก้านดอกจนถึงปลายเป็นจำนวน มากมาย ดอกเหล่านี้จะบานไล่กันตั้งแต่โคนไปจนถึงปลายสุด ใช้เวลา 8-10วัน ดอกในก้านหนึ่งๆจึงจะบานได้หมด ดอกมี5กลีบ ขนาดดอกประมาณ1ซม. และในพวงหนึ่งๆจะมีพวงดอกเป็นกระจุกตั้งแต่8-15พวงพวงดอกบุหงามีกลิ่นหอมแรงมาก ผลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6ซม.สีส้มแดงเมื่อสุกสีดำ
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ต้องการแสงแดดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิดค่า pH ของดินได้ตั้งแต่ 5 - 8
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร ยาและแหล่งของไม้คุณภาพดี ไม้มีค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำเครื่องดนตรี และ มักปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นอาหาร ผลดิบกินได้มีรสหวานแต่มนุษย์มักไม่ค่อยกิน
-ใช้เป็นยา  มีสรรพคุณทางยาเป็นยากล่อมประสาท antispasmodic และทางเดินอาหาร ; ยาต้มกิ่งอ่อนใช้ในการรักษาดงเด็ก ; ยาต้มจากเปลือกใช้สำหรับรักษาโรคหวัด
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ใช้ตกแต่งจัดสวนตามอาคาร บ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ
-วนเกษตร ดอกไม้ที่อุดมไปด้วยน้ำหวานเป็นที่ดึงดูดใจอย่างมากสำหรับผึ้ง นก และผีเสื้อเพื่อผสมเกสร
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือแดง  เนื้อไม้มีความแน่นและแข็งมาก ใช้สำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องดนตรี เช่นกีต้าร์และยังใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไปเช่น หน้าต่าง, ประตู, คาน ฯลฯ ไม้มีประโยชน์สำหรับเสารั้วและโครงสร้างหยาบอื่น ๆ ที่ต้องการความต้านทานต่อปลวกและการผุ
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์ --- ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง งอกรากเร็ว

78 เกษมณี/Melia azedarach

ชื่อวิทยาศาสตร์---Melia azedarach L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 31 Synonyms
---Azedarach speciosa Raf.(1817)
---Azedarach commelinii Medik.(1782)
---Melia cochinchinensis M.Roem.(1846)
---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2505106
ชื่อสามัญ---Persian Lilac, Bastard cedar, White cedar, China berry tree, Bead-tree, Cape lilac, Syringa berrytree, Indian lilac, Philippine neem tree, Texas umbrella tree.
ชื่ออื่น---เกรียน, เฮี่ยน (ภาคเหนือ); เคี่ยน, เลี่ยน, เลี่ยนใบใหญ่ (ภาคกลาง) ;[AFRIKAANS: Maksering.];[ASSAMESE: Ghora Neem,Ghora-neem,Thamaga.];[BENGALI: Bakarjam.];[BANGLADESH: Goda neem.];[CHINESE: Lian, Ku lian, Lian shu, Zi hua shu, Sen shu, Chuan lian zi, Jin ling zi];[FIJI: Masese.];[FRENCH: Arbre à chapelets, Azedarach, Lilas des Antilles, Lilas des Indes.];[GERMAN: Chinesischer Holunder, Indischer Zedrachbaum, Paternosterbaum, Persischer Flieder, Zedarachbaum.];[HINDI: Bakain, Bakānā nīmba, Drek];[INDONESIAN: Marambung (Sumatra), Mindi, Gringging (Java).];[ITALIAN: Albero dei paternostri.];[JAPANESE: Sendan.];[KANNADA: Bevu.];[KHMER: Dâk'hiën, Sadau khmaôch.];[KOREAN: Meol gu seul na mu.];[LAOS: H'ienx, Kadau s'a:ngz.];[MALAYALAM: Malaveppu.];[MALAY: Mindi kecil.];[NEPALI: Bakena, Bakaina, Bakaino.];[NETHERLANDS: Galbessen, Paternosterboom.]; [PHILIPPINES : Bagaluñga, Balagañgo, Paraiso];[PORTUGUESE: Agrião, Amargoseira, Amargoseira-bastarda, Amargoseira-dos-himaláias, Azedaraque, Azufeifo, Conteira, Falso-sicómoro, Lilás-das-índias, Mélia-dos-himaláias, Sicómoro-bastardo, Arvore-dos-rosários, Arvore-santa.];[SANSKRIT: Dreka, Maha nimba, Ramyaka];[SINGAPORE: Mindi kechil.];[SPANISH: Arbol de cuentas, Arbol de los rosarios, Agriaz, Agrión, Arbol del para, Jacinta, Zedrak.];[SWEDISH: Zedrak.];[TAMIL: Kattu Vembhu, Malaivembu.];[TELUGU: Turka Vepa, Kali-yapa.];[THAI: Krian, Hian (Northern); Khian, Lian, Lian bai yai (Central).];[TURKISH: Tesbih ağacı, Tespih ağacı.];[VIETNAMESE: Cây xoan, Sâ dông].
EPPO Code---MEIAZ (Preferred name: Melia azedarach.)
ชื่อวงศ์---MELIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์ ---จีนตอนกลางและตอนใต้,ปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, ภูฏาน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลียตะวันออก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสามัญนั้นได้มาจากภาษากรีกคำว่า melia - manna ash ซึ่งหมายถึงความคล้ายคลึงของใบไม้กับ Fraxinus ornus ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'azedarach' มาจากเปอร์เซีย 'azad-darakht' หมายถึง 'ต้นไม้สูงส่ง' ประเภทนี้ได้รับการอธิบายอย่างเป็นทางการจากสายพันธุ์อินเดีย
Melia azedarachเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวมะฮอกกานี(Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัย การกระจายตัวตามธรรมชาติมีความไม่แน่นอน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียอาจมาจาก Baluchistan, (ปากีสถาน) และแคชเมียร์ (อินเดียและปากีสถาน) ( Troup, 1921 ; National Academy of Sciences, 1983 ) มีการกระจายอย่างกว้างขวางทั่วทั้งเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก มีการปลูกทั่วตะวันออกกลาง, เอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้, จีน, หมู่เกาะอินเดียตะวันตก, ทางใต้ของอเมริกา, เม็กซิโก, อาร์เจนตินาและบราซิล, ตะวันตกและแอฟริกาตะวันออก, ภูมิภาคแปซิฟิกรวมถึงปาปัวนิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอนและออสเตรเลีย พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นและที่ราบสูง  ที่ระดับความสูง สูงสุด 2,700 เมตร ในเทือกเขาหิมาลัย
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางมักต้องอาศัยขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดโปร่ง สูง 10-20 เมตรต้นอายุน้อยเปลือกเรียบสีน้ำตาลคล้ำ ต้นอายุมากเปลือกต้นจะแตกตามยาว ใบรวมเป็นแผง รวมช่อเป็นแบบสองชั้น ยาว30-90ซม.ใบย่อย 2 ถึง 5 คู่รูปไข่ถึงรูปไข่รูปแกมใบหอกยาว 4-8 ซม. ใบยอดเหนือช่อจะมีขนาดใบใหญ่กว่าใบอื่นๆในแผงเดียวกัน ขอบใบหยักฟันเลื่อย ใบอ่อนจะเห็นชัดเจน ดอกเป็นช่อสีม่วงอ่อนออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง เป็นช่อยาว5-10ซม.บานจากปลายมาหาโคนช่อ ดอกบานมีขนาด 2 ซม. เกสรตัวผู้เป็นสีม่วงเข้ม มีดอกดกมากและสวยงามสะพรั่งไปทั้งต้น ผลรูปไข่มีลักษณะเป็นรูปรียาวประมาณ 1.5 ซม. เมื่อแก่สีเหลืองอ่อน มีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีในที่ที่มีแสงแดดหรือมีร่มเงาบางส่วน ทนต่อสภาพการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างยากลำบาก รวมถึงดินตื้น ๆ ดินเค็มและด่างที่รุนแรง ดินที่ขาดธาตุอาหาร ชายขอบลาดชันและเต็มไปด้วยหิน และแม้แต่รอยแยกในหิน ไม่ชอบดินที่เป็นกรดสูง เติบโตได้ดีในพื้นที่ชายฝั่งทะเล มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมาก
ใช้ประโยชน์---เป็นต้นไม้ที่เนื้อไม้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย ต้นไม้ที่มีความสำคัญมากสำหรับคนในท้องถิ่น สำหรับคุณสมบัติที่มีประโยชน์มากมายเหล่านี้
-ใช้กิน ใบ - ปรุงสุก มีรสขมใช้เป็นสมุนไพร Pot herb
-ใช้เป็นยา ในยา Unani ในประเทศอาหรับและยาอายุรเวทในอินเดียใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, ยาแก้ปวด, ต้านการอักเสบ, ขับปัสสาวะ, ยาระบาย, ยาแก้ไข้, และลดความดันโลหิต -น้ำใบเป็นยาแก้พยาธิ, ยาแก้ท้องเฟ้อ, ยาขับปัสสาวะ-ยาต้มเป็นยาสมานแผลในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาโรคท้องร่วง-ดอกไม้และใบไม้ถูกนำไปใช้เป็นยาพอกในการรักษาโรคประสาทและปวดศีรษะ
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ในสวนทั่วไปในงานภูมิทัศน์ ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา มักจะปลูกเป็นต้นไม้ริมถนนและไม้ประดับแม้ว่ามันจะมีข้อเสียของการทิ้งดอกทิ้งใบจำนวนมาก
-วนเกษตร ถูกปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว
-ใช้อื่น ๆ ไม้ที่มีลักษณะคล้ายมะฮอกกานี แก่นไม้มีสีแดงถึงน้ำตาลออกแดง มีความมันวาวสดใส มีกลิ่นเหมือนชะมด ไม้มีความแข็งปานกลางค่อนข้างเปราะค่อนข้างทนทาน ง่ายต่อการทำงาน ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์ ผลิตอุปกรณ์การเกษตร ไม้อัดกล่องเสาเครื่องมือจับ ถูกใช้ในการทำตู้และในการก่อสร้างเพราะความต้านทานต่อปลวก สีย้อมสีแดงนั้นได้มาจากเปลือกไม้ เส้นใยที่ได้จากเปลือกจะใช้ในการทำเชือก สารสกัดจากน้ำและแอลกอฮอล์ของใบและเมล็ด ใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชไรและไส้เดือนฝอย -ผลไม้ใช้เป็นแหล่งของผงหมัดและยาฆ่าแมลง ใบขับไล่ยุงและแมลงอื่น ๆ-เมล็ดหอมทำลูกปัดในอุดมคติและใช้ในการทำสร้อยคอและลูกประคำ
รู้จักอันตราย--- ผลไม้มีพิษสูงต่อสัตว์เลือดอุ่น ผลไม้สุกมีพิษมากกว่าผลไม้ดิบสีเขียว ผลไม้เพียงไม่กี่ชิ้น สามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้กล้ามเนื้อกระตุกหรือแม้แต่เสียชีวิตในเด็ก -ทุกส่วนของพืชสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและตับและไตเสื่อมสภาพ ควรใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การดูแลของผู้ปฏิบัติที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ระยะเวลาออกดอก--- กุมภาพันธ์-มีนาคม ก่อนออกดอกจะทิ้งใบหมด แล้วเริ่มผลิใบพร้อมๆกับออกช่อดอก
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและตอนกิ่ง

79 จัน-อิน/Diospyros decandra


ชื่อวิทยาศาสตร์---Diospyros decandra Lour.(1790).
ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2769607
---Diospyros packmannii C.B.Clarke.(1882)
ชื่อสามัญ---Gold apple
ชื่ออื่น--จัน,จันโอ,จันขาว,จันลูกหอม,อิน;[THAI:Chan in, Chan khao, Chan luk hom, In, Chan.]; [VIETNAM: Thị, Trái thị, Hoàng phê, Thị muộn, Thị thập hùng, Mác chăng (Tày).].
EPPO Code---DOSDE (Preferred name: Diospyros decandra)
ชื่อวงศ์---EBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - เวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย พม่า
Diospyros decandra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333


ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในเวียดนาม,กัมพูชา,ลาว,ไทย,พม่าในประเทศไทยพบขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ
ลักษณะ จันอินเป็นไม้ต้น ไม่ผลัดใบ ขนาดความสูงโดยประมาณ10-20 เมตร ทรงต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลอมดำเรือนยอดเป็นพุ่มกลม หรือรูปกระสวยต่ำ หนาทึบ ยอดอ่อนมีขน ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนานหรือรูปวงรีกว้าง2.5-3ซม.ยาว7-10ซม. โคนใบมนหรือสอบแคบ ปลายใบสอบทู่ ขอบใบเรียบ เนื้อใบบาง ใบอ่อนจะมีขนสีแดงคลุมดอกเล็กขาวหรือเหลือง เป็นดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) ดอกเพศผู้เป็นช่อ ช่อหนึ่งประมาณ3ดอก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโทสีขาวนวล ดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยวลักษณะคล้ายกันกับดอกเพศผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ผลอินจันจะมีอยู่สองแบบคือ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแป้นเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-6 ซม. และมีกลิ่นหอมแรง ไม่มีเมล็ดหรือมีเมล็ดลีบ ผลมีรอยบุ๋มตรงกลาง รสฝาดหวาน มีกลิ่นหอม จะเรียกว่า ลูกจัน ส่วนผลที่มีลักษณะของผลเป็นรูปกลมและมีเมล็ด 2-3 เมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม มีรสฝาดหวาน จะเรียกว่า ลูกอิน โดยผลอินจันจะมีรสฝาด ต้องคลึงให้ช้ำก่อนรสฝาดจึงจะหายไป
ใช้ประโยชน์ ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าและยังได้รับการปลูก รอบ ๆ หมู่บ้านสำหรับผลไม้ที่กินได้ซึ่งขายในตลาดท้องถิ่น ต้นไม้ยังผลิตไม้ที่มีคุณภาพสูง และเป็นยา
-ใช้กินได้ ผลไม้ - ดิบ สุก เนื้อนุ่มและหวานหอม แต่มีความฝาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สุกเต็มที่ นิยมกินเป็นผลไม้สด หรือนำไปแปรรูปเป็นของหวาน ในเวียตนามนิยมมาก
-ใช้เป็นยา มีการใช้รากใบและผลไม้เป็นยาที่หลากหลาย จากงานศึกษาวิจัยผลไม้ในไทยพบว่า น้ำผลไม้ไทยจากลูกอินจัน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี  มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง  แก้ลม แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ดีพิการ ขับพยาธิ บำรุงเลือดลม บำรุงหัวใจ  บำรุงกำลัง ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงประสาท-ในเวียตนามใช้ผลแห้งเผาเป็นถ่านทาผงถ่านบนผิวหนังแก้โรคงูสวัด เปลือกรากใช้รักษาอาการอาเจียน อาการคัน ตัวหนอน ฝี แผลไหม้ และการเคลื่อนไหวของลำไส้-ในประเทศกัมพูชาผลไม้ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับและใช้เป็นยาเพื่อรักษาประจำเดือน
-นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมชลอไม้ใหญ่ ปัจจุบันนี้จัดเป็นไม้หวงห้าม เพราะหายากและใกล้สูญพันธุ์- มันเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในเวียดนามซึ่งปลูกในเขตเมืองและอยู่ใกล้กับวัด
-ใช้อื่น ๆ ไม้เป็นสีขาวมีเสี้ยนสีดำจำนวนมากและบางครั้งก็มีแก่นสีดำ พื้นผิวนั้นเรียบเนียนและมีความหนาแน่นสูงโดยเฉพาะในแก่นไม้ ความหนาแน่นของมันทำให้ยากต่อการทำงาน แต่จะได้พื้นผิวที่สวยงามภายใต้เครื่องมือที่คม เป็นไม้เนื้อแข็งยอดเยี่ยม เนื้อไม้ใช้กลั่นเป็นน้ำมันหอม ใช้ผสมทำเครื่องหอม เครื่องสำอางต่างๆ ทำน้ำอบไทย
-สำคัญ ต้นจันอิน เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี และ เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร-; เป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในประเทศเวียดนามและกัมพูชา (ชื่อท้องถิ่นว่า Chann Tree) ซึ่งปลูกในเขตเมืองและใกล้กับวัดต่างๆ ต้นไม้ที่เป็นมรดกของเมือง Hue เรียกว่า "cây thị" ในภาษาเวียดนามและได้ปรากฏในนิทานพื้นบ้านเวียดนาม เช่น The Story of Tam และ Cam
*(ส่วนตัว)-เรื่องเล่า ต้นจันอิน ในรูปซ้ายบน แรกทีเดียวนำต้นใหญ่มาปลูก อยู่ไปค่อยตายตั้งแต่ยอดลงมาเลย ตัดไล่ลงมาจนเหลือแต่ตอตรงกลางทิ้งไว้อยู่มาก็เป็นต้นแตกขึ้นมาอย่างที่เห็นส่วนรูปขวาได้ถ่ายภาพมาจากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระเทพฯจ.ระยอง*
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด โดยทั่วไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ Diospyros มีอายุสั้นมาก ดังนั้นควรหว่านโดยเร็วที่สุด

80 จิกสวน/Barringtonia racemosa


ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia racemosa (L.) Spreng.(1826)
ชื่อพ้อง ---Has 46 Synonyms
---Basionym: Eugenia racemosa L.(1753)
---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-313527
ชื่อสามัญ---Brackwater mangrove, Cassowary-pine, China-pine, Common putat, Cornbeefwood, Derbyshire-pine, Fish-poison-tree, Freshwater mangrove, Hippo apple, Mangobark, Mango-pine, Powderpuff-tree, Small-leaved Barringtonia,Wild guava,
ชื่ออื่น---จิกบ้าน, จิกสวน (กรุงเทพฯ); ปูตะ (มาเลย์-นราธิวาส);[AFRIKAANS: Poeierkwasboom.];[BRUNEI: Putat aying.];[BURMESE: Kye-bin, Kyi.];[CHINESE: Yu rui.];[CZECH: hrnečníkovité.];[FRENCH: bonnet d'évêque , manondro.];[INDONESIA: Butan darat, Butun darat, Penggung, Putat sungal.];[LAOS: Som pawng.];[MALAYSIA: Putat ayam, putat kampong (Peninsular); putat ayer (Sabah); putat padi, putat kampung, putat darat, putat kedul.];[PAPUA NEW GUINEA: Paopao.];[PHILIPPINES: Putat, Putad, (Tag.); Kutkut-timbalong (Sul.);  Tuba-tuba (C. Bis.).];[PORTUGUESE: massinhana.];[RUSSIAN: Barringtoniia kistevidnaia.];[SANSKRIT: Samudraphala.];[SWAHILI: Mtomondo.];[THAI: Chik ban, Chik suan (Bangkok).];[VIETNAMESE: Lộc vừng hoa chùm, Chiếc chùm.].
EPPO Code---BGTRA (Preferred name: Barringtonia racemosa.)
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---แอฟริกา มาดากัสการ์ เซเชลส์ เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Barringtoniaได้รับเกียรติจาก Daines Barrington (1727-1800) นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยา     ชาวอังกฤษ
Barringtonia racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก(Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Kurt Sprengel (1766–1833) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2369

 

ที่อยู่อาศัย มีการกระจายจากแอฟริกาตะวันออกและมาดากัสการ์ไปยังศรีลังกา, อินเดีย, พม่า, อินโดจีน, ตอนใต้ของจีน, ไต้หวัน, หมู่เกาะริวกิว, ไทย, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ทั่วภูมิภาคเมเลเซียนไปยังไมโครนีเซีย (ตะวันออกไปยังฟิจิและซามัว) และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปเป็นป่าฝนหลักและรองโดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำและที่ราบน้ำท่วมถึงตามลำธาร ขึ้นในบริเวณน้ำท่วมขัง ริมฝั่งแม่น้ำที่ไม่ห่างจากชายฝั่งทะเล และตามขอบป่าพรุ พบได้ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามชายป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น มักขึ้นใกล้แหล่งน้ำ  
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางผลัดใบ ขนาดความสูงประมาณ 4-10 เมตร  ลักษณะทรงต้นแผ่กว้าง ลำต้นมักเป็นปุ่มปม เปลือกเรียบถึงแตกเป็นแผ่นสีเทาถึงสีน้ำตาลอมเทา เปลือกชั้นในสีน้ำตาลเรื่อถึงชมพู มีเส้นใยเหนียว ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง รูปรีแกมรูปหอกกลับ ขนาดกว้าง5-15ซม.ยาว 20-40 ซม. โคนใบเว้ารูปหัวใจ ขอบใบจักฟันเลื่อยถี่ ปลายใบเรียวแหลมหรือยาวคล้ายหาง ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบบางและเหนียวคล้ายแผ่นหนังดอก แบบช่อเชิงลดมีก้าน ออกตามปลายกิ่งบางครั้งออกตามกิ่ง ช่อดอกห้อยลงยาว 30-60 ซม.ดอกย่อยขนาดใหญ่สีชมพูหรือขาวอมชมพูมีกลิ่นหอมขนาดดอกบานประมาณ 5 ซม. กลีบดอก4กลีบสีชมพู เกสรผู้สีขาวจำนวนมากเรียงซ้อนักนเป็นพู่5-6 ชั้น ก้านเกสรเเมียสีชมพูเข้ม
ผล แบบเมล็ดเดียวแข็งรูปรีถึงรูปไข่ ขนาด5-7 (-9) ซม. x 2-4 (-5.5) ซม โคนสอบปลายผลสอบแล้วตัด มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ ผลแก่สีเขียวอมม่วงแดง ผลแห้งไม่แตกมี1เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่ขนาด 2-4 ซม. x 1-1.5 ซม
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ชอบตำแหน่งในที่ร่มบางส่วน มีความต้องการดินเหนียวหนัก ดินร่วนหรือดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์
ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้เอนกประสงค์เป็นการเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งวัสดุ
-ใช้เป็นอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนกินดิบเป็นผัก เมล็ดมีกลิ่นหอม เมล็ดที่บดให้แป้งซึ่งทำเป็นเค้ก
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใบไม้ ผลไม้ เมล็ด - ยาแก้ปวดลดไข้ เปลือกต้นเป็นยาแก้ไข้ รักษาอีสุกอีใส รักษาโรคฝีไก่และเป็นยาพอกเพื่อบรรเทาอาการคัน รากใช้ระบายความร้อน-; เผ่าซูลูในแอฟริกาใต้ใช้ผลไม้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย ถูกนำมาใช้ภายนอกสำหรับอาการเจ็บคอและการปะทุของผิวหนัง-;ในประเทศมาเลเซียใช้ใบแบบดั้งเดิมรักษาความดันโลหิตสูงการศึกษาได้แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็ง
-ใช้ปลูกประดับ เป็นต้นไม้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าการประดับสูง
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้เป็นไม้สีน้ำตาลเหลืองอ่อนบางครั้งมีสีแดง ไม้มีน้ำหนักเบาอ่อนไม่ทนทาน ใช้สำหรับงานเบาที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมาก มันถูกใช้สำหรับการก่อสร้างชั่วคราว, สร้างบ้านในท้องถิ่น (เสาและคาน), กระดานปูพื้นทั่วไป  เครื่องใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์การเกษตร, กล่องและลังและพาเลทไม้ เหมาะสำหรับการผลิตแผ่นไม้อัด ในภูมิภาคแปซิฟิกนั้นไม้ยังถูกใช้เพื่อการแกะสลักและกลึง  น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง เมล็ดใช้เป็นยาฆ่าแมลง เบื่่อปลา
รู้จักอันตราย-เมล็ดมีซาโปนินและมีพิษ รากทุบผลไม้และเปลือกไม้ล้วนใช้เป็นสารพิษกับปลา ผลไม้ ใช้ในการวางยาพิษหมูป่า
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง

81 จิกน้ำ/Barringtonia acutangula


ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia acutangula (L.) Gaertn.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 49 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-313389
ชื่อสามัญ---Indian oak, Stream barringtonia, Cut nut, Itchy tree, Fresh water mangrove, Mango-pine.
ชื่ออื่น--- กระโดนทุ่ง, กระโดนน้ำ (หนองคาย); กระโดนสร้อย (พิษณุโลก); จิ๊ก (กรุงเทพฯ); จิกนา (ภาคใต้); จิกน้ำ (สตูล, ภาคกลาง); ตอง, ปุยสาย (ภาคเหนือ); ลำไพ่ (อุตรดิตถ์); [ASSAMESE: Hendol, Hinyol, Pani amra.];[BENGALI: Hijal.];[BURMESE: Kyeni, kyi.];[HINDI: Hijagal, Hijjal, Samundarphal.];[KANNADA: Mavinkubia, Niruganigily, Dhatripala.];[LAOS: Ka don nam, Ka don noy.];[MALAYALAM: Arru peḻ, Attampu, Attupelu, Nir perzha.];[MALAYSIA: Jurai-jurai, Putat nasi.];[MARATHI: Ttiwar, Newar, Sathaphala, Samudraphala.];[PHILIPPINEES: Apaling, Kalambuaia, Latuba, Putad, Sako, Tuba (Tagalog).];[SANSKRIT: Dhatriphal, Abdhiphala, Ambudhiphala, Ambuja.];[TAMIL: Aram, Kadambu, Kadappai, Samudra pazham.];[TELUGU: Kurpal.];[THAI: Kradon thung, Kradon nam (Nong Khai); Kradon soi (Phitsanulok); Chik (Bangkok); Chik na (Peninsular); Chik nam (Central, Satun); Tong, pui sai (Northern); Lam phai (Uttaradit).];[VIETNAMESE: Lộc vừng, Ngọc nhị, Tam lang, Cây vừng, Chiếc, Mưng.].
EPPO Code---BGTAC (Preferred name: Barringtonia acutangula.)
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย อัฟกานิสถาน ปากีสถาน บังกลาเทศ พม่า ภูมิภาคมาเลเซีย นิวกินี ออสเตรเลียตอนบน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลBarringtoniaได้รับเกียรติจากDaines Barrington (1727-1800) นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ; ชื่อสายพันธุ์คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "acutus, a, um" = เฉียบพลัน, คมชัดและ "angulus" สาระสำคัญ = มุม, จุด, การอ้างอิงถึงผลไม้ที่มีส่วน tetragonal มักจะและมุมที่โดดเด่น
Barringtonia acutangula เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก(Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2333

 

ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคเอเชียใต้และอัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ ไปจนถึงทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก  และทั่วไปในเขตร้อน ตามสถานที่เป็นแอ่งน้ำหรือชายฝั่ง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูงได้ถึง12- 20เมตร ตามธรรมชาติชอบขึ้นใกล้น้ำ เปลือก สีน้ำตาลเข้มหยาบ ใบเดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนานยาว 8- 14ซม. เรียงสลับ ดอกช่อแบบช่อกระจะ หรือช่อเชิงลด ห้อยลง ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบ ยาวได้ถึง45-60ซม.-1เมตร กลีบเลี้ยงสีเชียว 4 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอก 4 กลีบ ปลายกลีบม้วนออก กลีบดอกบิด ดอกร่วงง่าย ดอกสีชมพูหรือแดง บานกลางคืน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลรูปไข่ยาว3-4ซม.กว้าง1.5ซม.มีสันตามยาว4-8สัน ส่วนใหญ่มีเมล็ดเดียว เมล็ด รูปไข่ ยาว 1-4 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่ชื้น แต่มีการระบายน้ำที่ดีและมีแสงแดดส่องเต็มวัน
ใช้ประโยชน์--- พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นยา และแหล่งวัสดุ  
-ใช้เป็นอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อนกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ในฟิลิปปินส์ใช้เปลือกยาต้มเป็นยาขับถ่าย - เปลือกไม้นำไปใช้กับบาดแผล - ใช้ในยาพื้นบ้านต่าง ๆ สำหรับปวดข้อ, ประจำเดือน, ปวดหน้าอก, อักเสบ, ท้องเสีย นอกจากนี้ในฐานะเป็นยาขับลม ขับเสมหะยาบำรุงกำลัง  - ใช้สำหรับรักษาความอ่อนแอของน้ำเชื้อ ท้องเสียและโรคหนองใน ในอินเดียมีการใช้รากและเปลือกไม้สำหรับแผล - น้ำคั้นจากใบใช้แก้อาการท้องเสีย- ในสินธุผลไม้ใช้แก้อาการไอหวัดและโรคหอบหืด - เมล็ดใช้เป็นยา แก้อาการจุกเสียดและการคลอดก่อนกำหนดนอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคตา - ในศรีลังกาใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย- ในบังคลาเทศใช้สำหรับอาการท้องเสีย บิด หลอดลมอักเสบ ปวดเอว น้ำเชื้ออ่อนแอ หนองใน
-ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานสวนสำหรับ ปลูกริมน้ำหรือใกล้ศาลาในสวน ช่อดอกสวยงาม ทนน้ำท่วมขัง เหมาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่ชื้นและร่มรื่น
-วนเกษตร ต้นไม้ถูกปลูกเพื่อป้องกันลม ดอกไม้ผลิตน้ำหวานมากมายและดึงดูดผึ้งซึ่งผลิตน้ำผึ้งที่ดีจากมัน
-อื่น ๆ เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน -แก่นไม้มีสีชมพูอ่อนถึงแดงอมเทาหรือในบางกรณีเกือบขาว พื้นผิวมีความละเอียดปานกลางถึงละเอียด เนื้อไม้เป็นมันเงาและให้ความรู้สึกเรียบ ไม้มีน้ำหนักเบา และทนทานพอสมควร ใช้สำหรับการต่อเรือ, การก่อสร้างที่ดี,ครกตำข้าว ,เกวียน ไม้กลายเป็นสีดำหากถูกฝังอยู่ในโคลน
-รู้จักอันตราย เปลือกใช้สำหรับเบื่อปลา ทำให้มึนเมา
ระยะเวลาออกดอก---พฤศจิกายน-มีนาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง

82 จิกทะเล/Baringtonia asiatica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Baringtonia asiatica (L.) Kurz.(1875)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-313402
---Basionym: Mammea asiatica L.(1753)
ชื่อสามัญ --Asian barringtonia, Fish poison tree, Sea poison tree, Beach barringtonia, Box fruit.
ชื่ออื่น--- จิกเล, โดนเล (ภาคใต้); อามุง (มาเลย์-นราธิวาส) ;[AUSTRALIA: Asian barringtonia, Barringtonia, Beach barringtonia.];[CHINESE: Bin yu rui, Mo pan jiao shu.];[DOMINICAN REPUBLIC: Arbol del seminario, Calmante, Coco de cofresi.];[FIJI: Vutu, Vutugaga, Vutu vala.];[FRENCH: Arbre à barrette, Bonnet de prêtre.];[HAWAIIAN: Hutu.];[HAITI: Birrete de arzobispo, Bonete de arzobispo.];[INDIA: Kyee-bin.];[INDONESIA: Butun, Bitung, Keben-keben];[JAPANESE: Goban no ashi.];[LESSER ANTILLES: Arbre a barrette, Bishop's cap, Bonnet de pretre, Bonnet d'eveque, Mitre's cap, Pain tree.];[MALAYSIA: Putat laut, Butong, Butun, Pertun, Putat ayer, Putat gajah.];[MYANMAR: Kyi-git.];[PAPUA NEW GUINEA: Maliou.];[PHILIPPINES: Bitung, Boton, Botong, Motong-botong];[PUERTO RICO: Almendrota, Bonete de arzobispo, Coco de mar, Mudilla.];[RUSSIAN: Barringtoniia aziatskaia.];[SPANISH: Arbol de muertos, Arzobispo, Barringtonia.];[TAIWAN: Tin du yu rui.];[THAI: Chik le, Chik tha lae];[USA/HAWAII: Fish poison tree, Putat laut, Sea putat.];[VIETNAMESE: Bang qua vuong, Bàngbí, Chiếcbàng.].  
EPPO code---BGTAS (Barringtonia asiatica)
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุลBarringtoniaได้รับเกียรติจากDaines Barrington(1727-1800)นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ
เขตการกระจายพันธุ์---ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกจากมาดากัสการ์ เอเชีย ออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก
Baringtonia asiaticaเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก(Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2418


ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย ศรีลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น ภูมิภาคมาเลเซียรวมถึงฟิลิปปินส์ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงทางภาคเหนือของออสเตรเลีย และในหมู่เกาะโพลีนีเซีย ขึ้นทั่วไปตามชายฝั่งทะเลที่เป็นหาดหินหรือหาดทราย ในป่าชายเลนหรือหน้าผาที่ระดับความสูงไม่เกิน 350 เมตร
บทสรุปของการรุกราน---B. asiaticaเป็นต้นไม้ที่แพร่หลายในพื้นที่ชายฝั่งทะเลในอินเดีย แอฟริกา เอเชีย เมลานีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก สปีชีส์นี้รวมอยู่ใน Global Compendium of Weeds ( Randall, 2012 ) และปัจจุบันมีการระบุว่าเป็นการรุกรานของสาธารณรัฐโดมินิกันเท่านั้น ( Kairo et al., 2003 ) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าB. asiaticaมีความสามารถในการกระจายตัวที่ดีเยี่ยม และผลของมันสามารถคงอยู่และลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหลายเดือน โอกาสในการเข้าถึงและตั้งอาณานิคมพื้นที่ชายฝั่งทะเลใหม่มีสูง
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางสูง 7-15 เมตร เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง แตกกิ่งขนาดใหญ่ระดับต่ำ ตามกิ่งมีรอยแผลใบกระจายทั่วไป เปลือกสีเทาคล้ำ ขรุขระถึงแตกเป็นร่องตามยาวในต้นแก่ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง แผ่นใบขนาดใหญ่รูปไข่กลับ กว้าง 10-25ซม.ยาว 30-50ซม.โคนใบแหลมหรือเป็นรูปติ่งหูตื้นๆ ขอบใบเรียบปลายใบกลม เนื้อใบอวบน้ำคล้ายแผ่นหนังนุ่ม ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่า ก้านใบอวบสั้น ดอก แบบช่อเชิงลดมีก้านออกตามปลายกิ่งช่อดอกสั้นตั้งตรง แต่ละช่อมีประมาณ 7ดอกดอกย่อยขนาดใหญ่สีขาว ดอกบานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง7-10ซม.กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนติดแน่นเป็นเนื้อ เดียวกันในดอกตูม และเปิดออกเป็น2กลีบเมื่อบาน กลีบดอก4กลีบเรียงซ้อนเหลื่อมกันรูปรีโค้งออก เกสรผู้จำนวนมาก ผล แบบผลเมล็ดเดียวแข็งขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมฐานเว้า เส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15ซม.ผิวสีเขียวเป็นมัน ปลายผลมีกลีบเลี้ยง2กลีบติดอยู่ เปลือกผลเป็นเส้นใยหนาคล้ายเปลือกมะพร้าว ผลแก่ไม่แตก ผิวสีน้ำตาลเป็นมัน เบาลอยน้ำได้ อธิบายถึงการแพร่กระจายของต้นไม้ได้กว้างมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่ง แสงแดดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและระบายน้ำได้ดี ค่า pH 5.1 - 8.5 และทนต่อดินตื้นน้ำเค็มและขาดธาตุอาหาร พืชมีความอดทนต่อสภาวะน้ำเกลือและลมทะเล
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บ จากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้  มักจะปลูกเป็นต้นไม้ที่ร่มรื่นตามถนนและถนนเลียบทะเล
-ใช้กินได้ ในอินโดจีนผลไม้อ่อนต้มเป็นเวลานานแล้วกินเป็นผัก (แม้จะใช้เป็นยาพิษปลาก็ตาม)
-ใช้เป็นยา ในอายุรเวทใช้สำหรับแผลไฟลวก, ปวดท้อง, โรคไขข้อ, การติดเชื้อหนอน, ม้ามโตมาลาเรียและวัณโรค ในประเทศฟิลิปปินส์ใบมีการให้ความร้อนและนำไปใช้เป็นยาทาแก้ปวดท้อง - ใบสดใช้เป็นยาทาเพื่อรักษาโรคไขข้อ ในซามัวใช้ในการรักษาแผลที่ผิวหนัง ผลไม้และเปลือกใช้ในการรักษาโรคคุดทะราด; เมล็ดใช้สำหรับกลาก เปลือกไม้ที่ใช้ในการรักษาวัณโรค ในหมู่เกาะคุก เมล็ดบดผสมกับกะทิทาบนแผลไฟไหม้ ในฟิจิ มีการใช้ยาต้มใบไม้เพื่อรักษาไส้เลื่อน ยาต้มเปลือกใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกและโรคลมชัก ในการทดสอบวัสดุ ใบของสปีชีส์นี้ทำงานกับเนื้องอกบางชนิด
-ใช้ปลูกประดับ มักจะปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ร่มเงาไปตามถนนและถนนริมทะเล
-ใช้อื่น ๆ ไม้สีเหลืองถึงแดงอ่อนและแตกง่าย ใช้สำหรับงานเบาแกะสลักและทำเฟอร์นิเจอร์-เมล็ดรูปโคมไฟเรียกว่า Kinyav ใช้ในช่วงฤดูสงบในน้ำตื้นและน้ำลงสำหรับฆ่าปลา ปลาหมึกและอื่น ๆ ในการดำเนินการที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเก็บเกี่ยวเมล็ดประมาณ 1–3 กิโลกรัมจะได้ ปลาประมาณ 10 - 20 กิโลกรัมต่อการเดินทาง วิธีการจับปลานี้เป็นที่นิยมในหมู่ชนเผ่า Car Nicobari จนกระทั่งเกิดสึนามิครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนของชนเผ่า จากการอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลในอดีตไปยังพื้นที่ภายใน ความเสียหายของแนวปะการัง และต้นไม้ Kinyav ดังนั้นความนิยมของวิธีการตกปลาแบบนี้ต่อวันจึงลดลง
รู้จักอันตราย--- ผลไม้เป็นพิษ ผลสดใช้สำหรับเบื่อปลา ชื่อสามัญหลายชนิดของสายพันธุ์นี้สะท้อนถึงการใช้พิษกับปลา นำเมล็ดมาบดเป็นผงเพื่อทำให้ปลาตกใจหรือฆ่าปลาเพื่อให้จับได้ง่าย ทำให้ปลาหายใจไม่ออกโดยไม่ส่งผลต่อเนื้อปลา
สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated- IUCN Red List of Threatened Species (ไม่ได้รับการประเมิน)
ระยะออกดอก/ติดผล--- ระหว่างเดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

83 จิกนม/Barringtonia macrostachya

ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia macrostachya (Jack) Kurz.(1875)
ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms
---Barringtonia acuminata Korthals.(1848)
---Barringtonia fusicarpa Hu.(1963)
---Barringtonia pendens R. Knuth.(1939)
---Careya macrostachya Jack.(1820)
---Michelia macrostachya (Jack) Kuntze.(1891)
---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-313487
ชื่อสามัญ---Red putat.
ชื่ออื่น---นมยาน (หนองคาย), จิกนม, จิกนุ่ม (นครศรีธรรมราช), จิก (ภาคใต้) ;[CHINESE: Leng guo yu rui, Suo guo yu rui.];[INDONESIA: Kayu putat, Tuwah dotan (Sumatra); Panga ha (Morotai).];[MALAYSIA: Putat bukit putih, putat gajah (Peninsular); Putat Hutan, Putat Putih, Putat Utan, Putattalang (Malay); Karuk (Iban); semuting (Sarawak).];[MYANMAR: Thay nya oo.];[PHILIPPINES: Apalang (Tagalog); Karakauat (Negrito); Ulam (Tagbanua).];[THAI: Chik nom yan, Nom yan, Chik nom , Chik num, Chik (Peninsular).];[VIETNAM: Tam lang, Chiếc chùm to.].
EPPO Code---BGTMA (Preferred name: Barringtonia macrostachya)
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย
Barringtonia macrostachya เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก(Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Jack)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2418
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายจากจีนตอนใต้ พม่า ไปยังประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตราบอร์เนียวเหนือสุลาเวสี,โมลุกกะและฟิลิปปินส์  พบได้ในป่าชั้นต้นและป่าชั้นรองบนเนินเขาตามแม่น้ำหรือในพื้นที่น้ำท่วมเป็นระยะ ๆ หรือเป็นแอ่งน้ำส่วนใหญ่อยู่บนทรายหรือดินร่วนจากระดับน้ำทะเลสูงถึง 700 (-1300) เมตร
ลักษณะ จิกนมเป็นไม้ต้นสูงประมาณ 3-8 เมตรไม่ผลัดใบ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น30-30ซม.ตามลำต้นมีปุ่มปม แตกกิ่งจำนวนมาก เป็นพุ่มโปร่ง มีใบเฉพาะที่ปลายยอด ใบรูปใบหอก ขนาดของใบ กว้าง15-20ซม.ยาว40-90ซม. แผ่นใบหนา เส้นใบย่อยด้านบนเป็นร่องลึก ก้านใบมีขนาดยาว 2.5-10ซม. ดอกออกเป็นช่อ ยาว120-170 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมากถึง 150-250 ดอก เกสรเพศผู้ยาวสีชมพู ดอกบานเรียงจากโคนไปหาปลายช่อ ดอกย่อยทยอยบาน แต่ละช่อจึงบานอยู่หลายวัน กลิ่นหอมแรงในช่วงกลางคืนจนถึงช่วงสาย เมื่อแสงแดดแรงจัดและอากาศร้อน กลิ่นจะหายไป  ผลรูปไข่ ขนาด 5.5-9 ซม. x 2-4 ซม เมล็ดเป็นรูปไข่ขนาด 3-4.5 ซม.x1-2.5 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบอากาศเย็น ดินที่มีความชื้นสูง ระบายน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณริมตลิ่งหรือริมน้ำ
การใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยารักษาโรค
-ใช้เป็นยา ราก ตากให้แห้ง  บด เป็นผงใช้ทาแก้ขี้กลาก   แก้ตาเจ็บ  ใบ ตากให้แห้ง ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคแก้ปวดท้อง
-ใช้อื่น ๆ ไม่มีข้อมูล
ระยะเวลาออกดอก---มกราคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง-;เมล็ด - หว่านได้ดีที่สุดทันทีที่สุก ประมาณ 40% ของเมล็ดงอกภายใน 9 - 22 เดือน

84 มะคังขาว/Tamilnadia uliginosa

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Tamilnadia uliginosa (Retz.) Tirveng. & Sastre.(1979).
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.
---Basionym: Gardenia uliginosa Retz.(1781).
---Catunaregam uliginosa (Retz.) Sivar.(1982)
---(More).See all https://www.gbif.org/species/2891981
ชื่อสามัญ--- Divine jasmine, Grey emetic nut, Tamilnadia.
ชื่ออื่น---กระลำพุก มะคังขาว (ภาคกลาง ราชบุรี); ลุมพุก (ลพบุรี นครราชสีมา กาญจนบุรี); มอกน้ำข้าว มะข้าว (ภาคเหนือ); หนามแท่ง (ตาก); มะคัง (อุตรดิตถ์); ลุมปุ๊ก (ตะวันออกเฉียงเหนือ);[ASSAMESE: Bakhorbegena, Bon-bengena.];[BENGALI: Kusum.];[CAMBODIA: Kroam pouk (Central Khmer).];[KANNADA: Kare.];[MALAYALAM: Malankara, Karei, Punnankara, Pindichakka.];[MARATHI: Pendari, Kalaphendra.];[SANSKRIT: Pindalu, Pinditaka];[TAMIL: Peru-n-karai, Wagatta, Kalikarai.];[TELUGU: Kuka-elka.];[THAI: Kralam phuk, Talum phuk, Ma khang khao (Central, Southwestern); Mok nam khao, Ma khao (Northern); Ma khang (Uttaradit); Lup puk (Northeastern); Lum phuk (Lop Buri).];
ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ไทย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา และเวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลTamilnadia ตั้งตามชื่อรัฐ Tamil Nadu ในอินเดีย
Tamilnadia uliginosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anders Jahan Retzius (1742–1821)นักไลเคน, แพทย์ชาวสวีเดนและและศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ที่ Lund Universityและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกา.และ Claude Henri Léon Sastre (เกิดปี 1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2522


ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายตามป่าเบญจพรรณบริเวณใกล้น้ำ ที่ระดับความสูง 100-800เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 เมตร ผลัดใบ ตามต้นมีหนามแหลมยาว กิ่งยาวเป็นระยางค์ มักจะมีหนามออกตรงข้ามเป็นคู่ ๆ เปลือกสีน้ำตาลแดง หรือดำคล้ำ เป็นปมขรุขระ ใบเดี่ยว 5-18 x 2-8 ซม.รูปไข่กลับออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ตามบริเวณปลายกิ่ง เนื้อใบบาง เกลี้ยง มีหูใบ ก้านใบยาว 5-10 มม.ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบใกล้ปลายยอด กลีบเลี้ยงสีขาวมี 5 กลีบ โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอมมีกลีบดอก 5 กลีบโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายกลีบดอกมน กลีบดอกค่อนข้างหนา หลอดกลีบยาวกว่ากลีบดอก ยอดเกสรเพศเมียมีน้ำเมือกค่อนข้างมาก  เกสรตัวผู้มี 5 อัน อับเรณูสีเหลือง เกสรตัวเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีขาว ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก ปลายเกสรเพศเมียรูปถ้วย  มีกลิ่นหอม เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 ซม.ก้านดอกยาว1.5-3ซม.ผลสดทรงกลมรีเนื้อแน่น แข็งผิวเรียบ กว้าง 2.5 ซม.ยาว4- 6 ซม.เมื่อสุกเป็นสีเหลืองปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดรูปทรงกลมจำนวนมากเรียบสีเขียว เมล็ดมักฝ่อ
ใช้ประโยชน์-ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกประดับ ใชัจัดสวน และใช้ชื่อเรียกทางการค้าว่า "ระฆังเงิน" หรือ "พุดระฆังเงิน"
-ใช้เป็นยา ใช้เป็นสมุนไพร แก่นไม้ ต้มรวมกับมะคังแดง บำรุงกำลัง รากและผลใช้แก้โรคบิด
-อื่นๆ เนื้อไม้สีขาวปนน้ำตาลอ่อน ละเอียด สม่ำเสมอมาก ไม้ใช้ทำด้ามเครื่องมือต่างๆ ทำกระสวยใช้สำหรับกลึง และแกะสลักได้ดี
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

85 เฉียงพร้านางแอ/Carallia brachiata


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Carallia brachiata (Lour.) Merr.(1919 )
ชื่อพ้อง---Has 37 Synonyms
---Basionym: Diatoma brachiata Lour.(1790)
---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2698987
ชื่อสามัญ---Freshwater Mangrove, Corkwood, Corky Bark, Billabong Tree, Caralla Wood.
ชื่ออื่น---กวางล่าม้า (ชอง-ตราด); กูมุย (เขมร-สุรินทร์); แก็ก (ลำปาง); ขิงพร้า, เขียงพร้า (ประจวบคีรีขันธ์, ตราด); เขียงพร้านางแอ (ชุมพร); คอแห้ง (ภาคใต้); เฉียงพร้า (สุรินทร์); เฉียงพร้านางแอ, ต่อใส้ (ภาคกลาง); ตะแบง (สุรินทร์); นกข่อ (เชียงใหม่); บงคด (แพร่); บงมัง (ปราจีนบุรี, อุดรธานี); ม่วงมัง (ปราจีนบุรี); ร่มคมขวาน (กรุงเทพฯ); วงคด (ลำปาง); ส้มป้อง (เชียงใหม่); สันพร้านางแอ (ภาคกลาง); สีฟัน (ภาคใต้); สีฟันนางแอ (ภาคเหนือ); หมักมัง (ปราจีนบุรี); องคต (ลำปาง); โองนั่ง (อุตรดิตถ์);[ASSAMESE: Kathal boula,Kanthekera, Mahithekera, Daini-jan];[BENGALI: Kierpa.]; [BURMESE: Maniauga.];[CHINESE: Ngo shen muk, Nik nga tsai.];[KANNADA: Andipunar ,Andamuria,];[KHMER: Dom-trameng, Tromeng, Tromoung, Beng sa- kraham (Central Khmer).];[LAOS: Bong nang, Halay.];[MADAGASCAR: Amparimamy, Farimamy (Malagasy).];[MALAYSIA: Kesinga, Meransi, Sisek puyu.];[MALAYALAM: Varrungu, Vankana, Vankana /Kara Kandal.];[Mangrove Seen On Land].];[MARATHI: Panasi.];[NEPALI: Kathe kera.];[PHILIPPINES: Anosep, Bakawan gubat, Bakhaw bukid, Malabakhaw, Sigiran (Tagalog).];[TAMIL: Andimiriam.];[THAI: Kwang-la-ma (Chong-Trat); Ku-mui (Khmer-Surin); Khing phra, Khiang phra (Prachuap Khiri Khan, Trat); Khiang phra nang ae (Chumphon); Kho haeng (Peninsular); Chiang phra (Surin); Chiang phra nang ae, To sai, San phra nang ae (Central); Ta baeng (Surin); Nok kho (Chiang Mai); Bong khot (Phrae); Bong mang (Prachin Buri, Udon Thani); Muang mang (Prachin Buri); Nom khom khwan (Bangkok); Wong khot (Lampang); Som pong (Chiang Mai); Si fan (Peninsular); Si fan nang ae (Northern); Mak mang (Prachin Buri); Ong khot , Kaek (Lampang); Ong nang (Uttaradit).
EPPO Code---KRLSS (Preferred name: Carallia sp.)
ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Carallia มาจากชื่อพื้นเมืองที่ใช้เรียกไม้ต้นนี้ในภาษาเตลูกู ในอินเดีย “karalii”; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน“ brachiatus, a, um” = ramified
Carallia brachiata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2462
ที่อยู่อาศัย พบที่มาดากัสการ์ ศรีลังกา อินเดีย พม่า เวียตนาม ไทย จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ พบตั้งแต่มาเลเซียถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะโซโลมอน เติบโตในป่าดิบชื้นที่ลุ่มในศรีลังกาและมาดากัสการ์ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบแล้งป่าดิบชื้น ป่าพรุ ในทุกภาคของประเทศตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูง1,000เมตร
ลักษณะ เฉียงพร้านางแอเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ มีขนาดสูงได้ถึง30-35เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 - 70 ซม. ลำต้นเปลาตรง ทรงพุ่มแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลครีม หรือน้ำตาลออกแดง ผิวเปลือกค่อนข้างเรียบ มีรูอากาศมาก  ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้ามในแนวระนาบ รูปรีหรือรูปไข่กลับกว้าง3-10ซม.ยาว6-15ซม. ขอบใบเรียบมีซี่ประปราย ใบแก่เหนียว ด้านบนสีเขียวสดเป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเหลืองมีจุดสีเข้มกระจาย ดอก สีขาวหรือเขียวอมเหลืองอ่อนออกเป็นช่อกระจุกซ้อนตามกิ่ง ช่อยาว2-4ซม.ดอกมีขนาดเล็ก มี5-8กลีบ ไม่มีก้านดอก ผลกลมขนาด0.7ซม.สีส้มอมแดงอ่อนถึงม่วงอมแดงเข้ม ผลมีเส้นผ่าศูนย์กลาง0.7ซม.เนื้อบางสีส้มห่อหุ้มมีเมล็ดแข็งสีดำ มี 1-5 เม็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่โล่ง ทนต่อดินเปียกและน้ำขัง ต้นอ่อนหรือต้นปลูกใหม่ไวต่อความแห้งแล้ง
ใช้ประโยชน์--- ใช้กินได้ ผลสุก มีรสเปรี้ยวอมหวาน
-ใช้เป็นยา ใบและเปลือกไม้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์ท้องถิ่นเพื่อรักษาพิษติดเชื้อและคัน เปลือก ใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ระงับความร้อน แก้ไข้กล่อมเสมหะและโลหิต และ ยังแก้พิษร้อนภายในร่างกายแต่จะทำให้กระหายน้ำบ้าง เปลือกต้นที่ถูกบดจะใช้ถูทากับร่างกายในการรักษาโรคฝีดาษ
-วนเกษตร พืชที่เติบโตในประเทศจีนได้รับการพบว่าค่อนข้างทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษมาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ในการปลูกป่าและฟื้นฟูโครงการบนที่ดิน เสื่อมโทรมและมีมลพิษมาก
-ใช้เป็นไม้ประดับ ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับ การปลูกให้ร่มเงาตามถนนและใกล้กับอาคาร
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาลแดง ไม้มีน้ำหนักปานกลาง แข็งแรง ทนทานในที่ร่มมีหลังคา อยู่ในสภาพกลางแจ้งมีความทนระดับต่ำ เนื้อไม้มีลายสวยงามแต่แต่งยาก ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายใน พื้นไม้ปาร์เก้ เครื่องดนตรี มีค่าพลังงานสูงให้ไม้ฟืนและถ่านไม้คุณภาพดี
ระยะเวลาออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ ---ตอนกิ่ง เพาะเมล็ด ต้นกล้าอาจถูกเก็บไว้ในเรือนเพาะชำเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่จะย้ายลงตำแหน่งถาวร

 

สกุล Santisukia ได้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยลงตีพิมพ์ในวารสาร Kew Bull 47 : 436.1992 เพื่อเป็นเกียรติแก่ ศาสตราจารย์.ดร. ธวัชชัย  สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญพันธุ์ไม้ไทย ที่เป็นผู้ศึกษาพืชวงศ์แค และค้นพบพืชชนิดใหม่นี้

86 กาญจนิกา/Santisukia pagettii

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Santisukia pagettii (Craib.) Brummitt.(1992.)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonymsใhttp://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-318277
---Basionym: Barnettia pagetii (Craib) Santisuk.(1962)
---Radermachera pagetii Craib.(1922)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded.)
ชื่ออื่น---กาญจนิการ์, แคกาญจนิการ์, แคขาว (กรุงเทพฯ); ลั่นทมเขา (กาญจนบุรี); [THAI: Kan cha ni ka, Khae khao, Lan thom khao.]
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---พืชถิ่นเดียวประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Santisukia ตั้งเป็นเกียรติแก่ศาสตราจารย์ ดร. ธวัชชัย สันติสุขนักพฤกษศาสตร์ชาวไทย ; ชื่อสปีชีส์ 'pagettii'ตั้งเป็นเกียรติแก่ Paget ผู้เก็บตัวอย่างครั้งแรกจากกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. 2445
Santisukia pagettii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Richard Kenneth Brummitt (1937–2013) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2445
ที่อยู่อาศัย พืชถิ่นเดียวของประเทศไทยพบเฉพาะภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นบนเขาหินปูนที่แห้งแล้ง หรือใกล้ชายทะเล ขึ้นกระจายตั้งแต่จังหวัดอุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ พบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 50-200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 5-12 เมตรไม่ผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ยาว 17-35 ซม.มีใบย่อย 6-10 คู่ รูปไข่แกมรูปหอกโคนใบมนกลมหรือเบี้ยว ขอบใบเกือบเรียบ ปลายใบแหลม ช่อดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงออกตามปลายกิ่ง ยาว 15-30 ซม. มีดอกย่อยสีขาวจำนวนมาก โคนกลีบหลอดเรียวยาว 4-5 ซม.ขอบกลีบหยักเว้าและย่น เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 5-6ซม.ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาว 10-16 ซม.ติดฝักจำนวนมากเมื่อแห้งแล้วแตก เมล็ดแบนและมีปีกบางๆ เมล็ดขนาดยาวประมาณ 2.5 ซม. รวมปีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนการระบายน้ำดี เจริญเติบโตค่อนข้างช้า
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกประดับลงแปลงกลางแจ้ง ควรเลือกปลูกบนเนินสูงให้อยู่รวมกันเป็นแปลง หรือปลูกเดี่ยว แต่ไม่ควรปลูกร่วมกับพรรณไม้อื่นที่ต้องการดินแฉะหรือต้องรดน้ำมาก เพราะจะไม่ออกดอก หากมีช่วงแล้งยาวนานจะทิ้งใบและออกดอกพร้อมกันทั้งต้น
สำคัญ---เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดกาญจนบุรี
ระยะออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

87 มะค่าโมง/Afzelia xylocarpa

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib.(1912)
ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms   
---Afzelia cochinchinensis (Pierre) J.Léonard.(1950)
---Afzelia siamica Craib.(1911)
---Pahudia cochinchinensis Pierre ex Laness.(1886)
---Pahudia cochinchinensis Pierre.(1899)
---Pahudia xylocarpa Kurz.(1877)
ชื่อสามัญ---Makha Tree, Cambodia Beng Tree, Black rosewood, Pod mahogany
ชื่ออื่น-- เขง (เขมร-สุรินทร์); บิง (ชอง-จันทบุรี); เบง (เขมร-สุรินทร์); ปิ้น (ชาวบน-นครราชสีมา); มะค่าโมง (ภาคกลาง); มะค่าหลวง, มะค่าหัวคำ (ภาคเหนือ); มะค่าใหญ่ (ภาคกลาง) ;[CHINESE: Mian qie.];[KHMER: Beng, Kheng.];[LAOS: Kha, Te kha.];[THAI: Kheng, beng (Khmer-Surin); Bing (Chong-Chanthaburi); Pin (Chaobon-Nakhon Ratchasima); Ma kha luang, Ma kha hua kham (Northern); Ma kha mong, Ma kha yai (Central).];[VIETNAMESE: Gõ đỏ.].
EPPO code---AFZCO (Preferred name: Afzelia cochinchinensis)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Afzelia ตั้งตาม Adam Afzelius (1750-1873)นายแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน
Afzelia xylocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2455
ที่อยู่อาศัย พบในแอฟริกาและเอเชีย ตามป่าทึบและในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างป่าดิบแล้งและป่าเต็งรังเปิด ในป่าเบญจพรรณหรือป่าดิบแล้งบนดินเหนียวหรือดินลูกรังที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100 - 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่กึ่งผลัดใบสูงประมาณ 10-30 เมตร เรือนยอดกว้าง ลำต้นอ้วนสั้นเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นถึงหรือมากกว่า100ซม.กิ่งมักแตกสาขาออก ใกล้ๆโคนต้น เปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือชมพูปนน้ำตาล ผิวค่อนข้างขรุขระและมักมีปุ่มปม แตกเป็นสะเก็ด มีรูระบายอากาศกระจัดกระจาย กิ่งอ่อนมีขนคลุมบางๆ ใบ ประกอบแบบขนนกแบบปลายใบคู่ มีใบย่อย 3-5 คู่ ออกตรงข้าม รูปมนรีปลายป้านหรือมีติ่งเล็กๆ ฐานใบกลม ยอดอ่อนมีขนเล็กน้อย ใบแก่เรียบเกลี้ยง บางครั้งด้านล่างใบจะมีนวลเล็กน้อย ดอก ขนาด 2.5-3.5 ซม.เป็นดอกช่อแบบช่อแยกแขนงออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 4 กลีบสีเขียวสด กลีบดอก1กลีบ สีเขียวออกแดงหรือแดงปนชมพู ผล เป็นฝักแบบ เวลาแก่จะแตกออกเป็นสองซีก ขนาดกว้าง 7-9 ซม.ยาว 12-20 ซม.ผิวหนาและแข็งสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ แตกเป็น 2 ซีกมีเมล็ด 2-4 เมล็ด สีดำมีเนื้อสีส้มหุ้มที่ปลายด้านหนึ่ง มีเยื่อบางกั้นตามขวาง  
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---มะค่าโมงเป็นเป็นไม้กลางแจ้งทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ต้องการดินที่มีการระบายน้ำดี ดินร่วนปนดินหรือทรายบนดินเหนียวหรือดินลูกรังที่มีค่า pH เป็นกลาง สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
การใช้ประโยชน์--- เป็นองค์ประกอบ1ใน5ของไม้เบญจพรรณพบขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาค ตะวันออกของไทยเป็นส่วนมาก ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบทั่วไป นิยมปลูกตามบ้านเรือน ริมถนน สวนสาธารณะเพื่อความร่มรื่น การใช้สอยด้านอื่นๆและประโยชน์ทางด้านสมุนไพร ต้นไม้มีค่าสูงสำหรับไม้ ถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางจากป่าในอดีต ปัจจุบันมีอยู่ในนปริมาณน้อย เนื่องจากความขาดแคลนของต้นไม้ ทำให้ราคาสูงมาก  ในสวนทางตอนใต้ของจีนถูกปลูกเพื่อใช้เป็นยาและ ปลูกในขนาดเล็กเพื่อใช้ประโยชน์จากไม้
-ใช้กิน เนื้อในเมล็ดอ่อนกินได้
-ใช้เป็นยา พืชถูกใช้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันและโรคตา เปลือกต้นฝาด ใช้ในยาท้องถิ่น
-วนเกษตร ใช้ปลูกเพื่อปรับปรุงสภาพดินด้วยการตรึงไนโตรเจนและการร่วงหล่นของใบไม้
-ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้คุณภาพดีมาก  แก่นไม้สีน้ำตาลอมเหลืองอ่อนถึงเหลืองแก่  ไม้มีน้ำหนักมากแข็ง มีความหนาแน่นเนื้อละเอียดและทนทานมีมูลค่าสูงโดยเฉพาะในประเทศไทยเนื้อไม้สวยงามเป็นที่นิยม โดยเฉาะเนื้อไม้บริเวณโคน และปุ่มมะค่า มีราคาสูง มีค่ามากจนขายเป็นกิโลกรัม -; เปลือกต้นให้น้ำฝาดในการย้อมได้  ถูกนำมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆใช้ประโยชน์ในงานก่อสร้าง สำหรับไม้กลมเสาอาคาร ใช้เป็นไม้แปรรูป ทำเครื่องเรือน, เครื่องไม้อุตสาหกรรมและเครื่องใช้ในบ้าน, งานแกะสลักไม้, เฟอร์นิเจอร์
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการแสวงหาผลประโยชน์และการสูญเสียที่อยู่อาศัยในระดับสูง ต้นไม้ใหญ่จึงหายากถูกจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท "ใกล้สูญพันธุ์"
สถานะการอนุรักษ์---EN-ENDANGERED-IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะเวลาออกดอก----- กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์-----เพาะเมล็ด แยกต้นที่เกิดใหม่ เมล็ดโดยทั่วไป ความสามารถในการงอก 1 - 2 ปีเมื่อเก็บเมล็ดในอุณหภูมิต่ำ


88 เลือดแรด/Knema globularia


ภาพประกอบ---สวนสวรส: สถานที่ สวนพฤกษศาสตร์ (ภาคกลาง) พุแค จ.สระบุรี 2559
ชื่อวิทยาศาสตร์---Knema globularia (Lam.) Warb.(1897)
ชื่อพ้อง--- Has 12 Synonyms
---Basionym: Myristica globularia Lam.(1778)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-21800251
ชื่อสามัญ---Wild Nutmeg, Small-Leaved Nutmeg, Seashore nutmeg.
ชื่ออื่น---เลือดแรด(สระบุรี); เลือดม้า(นครศรีธรรมราช,นราธิวาส); เหมือดคน(พิจิตร); กระเบาเลือด(พิษณุโลก); กระฮั้น(สตูล); กาฮั้น(ชุมพร); ชิงชอง(ระยอง); ตีนตัง(อุดรธานี); ตูโมะยอ(มาเลย์,นราธิวาส); มะเลือด(นครพนม); ลาหัน(สงขลา); สมิงคำราม(พิจิตร,พิษณุโลก); สีซวง(ฉะเชิงเทรา); หัน, หันลัด (ภาคใต้);[CAMBOFIA: Sa a krabei (Central Khmer).];[CHINESE: Xiao ye hong guang shu.];[INDONESIA: Dara-dara (Iava), Ki Mokla (Sunda); Lan Thereu Pote (Madura).];[MALAYSIA: Chendarah Padi, Penarahan Padi.];[THAI: Lueat raet (Saraburi); Lueat ma (Nakhon Si Thammarat, Narathiwat); Mueat khon (Phichit); Krabao lueat (Phitsanulok); Krahan (Satun); Kahan (Chumphon); Chingchong (Rayong); Tin tang (Udon Thani); Thu-mo-yo (Malay-Narathiwat); Ma lueat (Nakhon Phanom); La han (Songkhla); Saming kham ram (Phichit, Phitsanulok); Si suang (Chachoengsao); Han, Han lat (Peninsular).];[VIETNAMESE: Máu chó, Máu chó cầu, Máu chó lá nhỏ.].
EPPO Code---KEMGL (Preferred name: Knema globularia.)
ชื่อวงศ์---MYRISTICACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
Knema globularia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จันทน์เทศ (Myristicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Otto Warburg (1859–1938)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2340


ที่อยู่อาศัย พบได้ในพม่า (ใต้), จีน (ยูนนาน), คาบสมุทรมาเลย์, อินโดนีเซีย (สุมาตรา, ชวาตะวันตก), ไทย, ลาว คำม่วน เกิดขึ้นในในป่าดิบชื้น ป่าปฐมภูมิและป่าทุติยภูมิริมฝั่งแม่น้ำในป่าเขาที่ระดับความสูง 150-1,200 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคพบตามป่าดิบชื้นตามที่ลุ่ม
ลักษณะ ต้นเลือดแรดหรือที่เรียกกันว่าต้นหันเป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 10-25 เมตร หรือกว่านั้น 4-5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 - 35 ซม ลักษณะทรงต้น เป็นรูปทรงสูงค่อนเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นเป็นสะเก็ด สีเทาเข้มหรือสีน้ำตาล เปลือกด้านในเป็นสีชมพู ที่ยอดอ่อนใบอ่อนและช่อดอกมีสะเก็ดเป็นขุยสีน้ำตาล ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม.ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปใบหอกหรือใบหอกแกมขอบขนาน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 3-4 ซ.ม. ยาว10-15 ซ.ม. ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน สีใบด้านล่างอ่อนกว่า เนื้อใบบางใบไม่แตกง่ายเมื่อแห้ง ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อสั้นๆขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนแกมน้ำตาล ด้านในดอกสีม่วงแดง ดอกเพศผู้(2-)6-9 กระจุกบนก้านช่อดอก 3-8 มม. ก้าน 4-11 มม. ดอกตูมทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 มม. มีขน ช่อดอกเพศเมีย 0.5-1 ซม.ดอกเพศเมียรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 4 มม.ก้านผล 3-10 มม ผลสดรูปกลมรี ผล 1-5ผล ขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 ซม.ยาวประมาณ 1.5-2 ซม. มีสันนูนตามความยาวของผล ผิวเปลือกมีขนสั้นสีน้ำตาล ผลอ่อนสีเขียวผลแก่เปลี่ยนเป็นสีส้มแตกเป็น2ซีก เนื้อในผลชั้นในเป็นสีขาวและมียางใส ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดเป็นสีดำเกลี้ยงปกคลุมไปด้วยเยื่อสีแดงหุ้มอยู่
ศัตรูพืช/โรคพืช--Bactrocera dorsalis (แมลงวันผลไม้ตะวันออก)-เป็นแมลงศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายอย่างมากแก่ผักและผลไม้ในประเทศไทย 
ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้เป็นน้ำมัน ไม้และใช้เป็นยารักษาโรค
-ใช้เป็นยา ตำรายาไทยจะใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและหิด เปลือกใช้ดองกับเหล้าเป็นยาชูกำลัง
-ใช้อื่นๆ  เนื้อไม้ใช้สำหรับการก่อสร้างภายในอาคารใช้ ทำจันทันในบ้าน เมล็ดมีไขมันประมาณ 27% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม ทำเป็นสบู่ยา ผลเป็นอาหารของสัตว์ป่า
รู้จักอันตราย---เมล็ดมีสารทำให้เบื่อเมา ห้ามนำมารับประทาน
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน---มกราคม/มิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด-แห้งง่าย สูญเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว และเก็บไว้ไม่ได้ หว่านได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่แรเงาในแปลงเพาะกล้า - การงอกมักจะค่อนข้างเร็วโดยเมล็ดของสปีชีส์ส่วนใหญ่จะแตกหน่อภายใน 2 - 17 สัปดาห์

89 มะค่าแต้/Sindora siamensis

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Sindora siamensis Teijsm.ex Miq.(1867)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46165
---Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain.(1897)
ชื่อสามัญ---Sepeti, Ma kha-nam, Makha-Tae.
ชื่ออื่น---กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง); กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา); ก่อเก๊าะ, ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์); แต้ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะค่าแต้ (ทั่วไป); มะค่าหนาม (ภาคกลาง, ภาคเหนือ); มะค่าหยุม (ภาคเหนือ) ;[CAMBODIA: K kaoh (Central Khmer).];[CHINESE: Thai You Nan.];[INDONESIA: Kayu Sindur.];[THAI: Kro-kot (Khmer-Phratabong); Kok-ko (Chaobon-Nakhon Ratchasima); Ko-ko, ka-ko (Khmer-Surin); Tae (Northeastern); Ma kha tae (General); Ma kha-nam (Central, Northern); Ma kha yum (Northern).];[VIETNAM: Gụ mật, Go Mat.].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ลาว กัมพูชา ไทย เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุลเป็นภาษามาเลย์ “sindor” ที่ใช้เรียกพืชในสกุลนี้หลายชนิด
Sindora siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ จากอดีต Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2410นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2410

ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนชื้นซึ่งสามารถพบได้ที่ระดับความสูงไม่เกิน 500 เมตร มีเขตการกระจายพันธุ์จากภูมิภาคอินโดจีนจนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าโคกข่าว ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าชายหาดที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ความสูงประมาณ20-35เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 80-100 ซม.ลำต้นอ้วนสั้น กิ่งก้านใหญ่แผ่กว้าง เรือนยอดกลม เปลือกต้นสีเทาคล้ำหรือน้ำตาลปนดำ มีรอยแตกเล็กน้อยและหลุดหลุดลอกเมื่อต้นแก่ เปลือกชั้นในสีชมพูเป็นเยื่อใย เรือนยอดแผ่เป็นรูปเจดีย์ต่ำหรือเป็นพุ่มแบกว้างคล้ายรูปร่ม ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับ ยาว15-25ซม.ใบย่อย3-4คู่ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายใบมนและหยักเว้าตื้น โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียวสีเขียวหม่น ผิวด้านบนมีขนหยาบเล็กๆ ด้านล่างมีขนละเอียดสั้นๆ  ดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งและซอกใบยาว 10-20 ซม.ดอกขนาด 0.5-0.7 ซม.สีแดงอมเหลือง กลีบเลี้ยงหนา 4 กลีบมีขนสีน้ำตาลทองหนาแน่น และมีหนามอ่อนสั้นๆประปรายด้านนอก ผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลมคล้ายตลับผิวของฝักมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ขนาดผลเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 ซม.สีเขียวแก่ ฝักแก่แตกอ้าออกมีเมล็ดแข็งสีดำอยู่ข้างใน1-3เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดด ดินลึก ทรายและดินร่วนปนสีเทาเหมาะที่สุดสำหรับสายพันธุ์นี้ เติบโตได้ในดินที่ขาดธาตุอาหารและเป็นหิน แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ
ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ให้ผลผลิตไม้ที่มีค่าและมักจะเก็บเกี่ยวจากป่า ให้แทนนิน เรซินและอาหารสำหรับใช้ในท้องถิ่น
-ใช้เป็นอาหาร เมล็ดคั่ว ใช้ในการทำเครื่องดื่มชาและเป็นส่วนหนึ่งของขนม ผลใช้เคี้ยวกับหมากพลู หรือแทนหมากพลู
-ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านใช้ เปลือกต้น แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก อาการสำคัญคือ เบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) ผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นยางนา เปลือกต้นหนามหัน และรากถั่วแปบช้าง ต้มน้ำดื่ม แก้อีสุกอีใส -น้ำมันไม้ (เรซิ่น)ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังได้
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกตามบ้านเรือน ริมถนน สวนสาธารณะ เพื่อให้ความร่มเย็นร่มรื่น การใช้สอยด้านอื่นๆและประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
-ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดงมีลายสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ค่อนข้างหยาบแข็งแรง ทนทานทนมอดปลวกได้ดี แต่ไสกบตกแต่งยาก พัฒนารูปลักษณ์ที่สวยงามเมื่อใช้เป็นเวลานาน ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี ทำพื้นแผ่นกระดาน เสาก่อสร้าง งานโครง เฟอร์นิเจอร์ ต่อเรือ ฯลฯ
สำคัญ---ต้นมะค่าแต้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์
รู้จักอันตราย---เมล็ดมีสารทำให้เบื่อเมา ห้ามนำมารับประทาน
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.1998
ระยะออกดอก/ติดผล----มีนาคม-พฤษภาคม/กรกฎาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์----เพาะเมล็ดและแยกต้นที่เกิดใหม่

อ้างอิง, แหล่งที่มา

---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙  (2539) ด่านสุทธาการพิมพ์
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                                                                    ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                                                               ---Plants of the World Online | Kew Science . www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org                 ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/


Check for more information on the species:    
        
---Plants Database -Names, synonymy and distribution-The Garden.org Plants Database.  https://garden.org/plants/
---Global Plant Initiative-Digitized type specimens, descriptions and use    
----หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ  www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
---Tropicos- Nomenclature, literature, distribution and collections-Tropicos - Home.  www.tropicos.org/
---GBIF-Global Biodiversity Information Facility-Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
---IPNI- International Plant Names Index- The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
---EOL-Descriptions, photos, distribution and literature-Global access to knowledge about life on Earth. Encyclopedia of Life eol.org/
---PROTA- Uses-The Plant Resources of Tropical Africa.https://books.google.co.th/
---Prelude-Medicinal uses-Prelude Medicinal Plants Database.    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google- Images-Images       

รวบรวมเรียบเรียง: Tipvipa..V
รูปภาพ : ทิพพ์วิภา วิรัชติ
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์  จำกัด
สวนเทวา-เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com












 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความคิดเห็น

  1. 1
    Preedee
    Preedee Preedee.suksan544@gmail.com 23/08/2023 19:25

    ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและมีความสำคัญในโลกธรรมชาติ เขาเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ เด่นออกมาเป็นอัญมณีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม ไม้ใหญ่ยืนต้นสามารถเป็นที่อยู่ของสัตว์เล็กๆ และพืชน้อยที่อาศัยอยู่ในร่มเงาของเขา รวมถึงการเป็นที่อยู่แห่งชีวิตและการจัดเก็บความชื้นในป่าธรรมชาติด้วย


    การมองหาความคิดเห็นในต้นไม้ใหญ่ยืนต้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความสงบและความสมดุลของธรรมชาติ การเยือนชมต้นไม้ใหญ่นั้นช่วยให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและความเล็กน้อยของเราเอง นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการรับรู้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพบเจอรอบตัวของต้นไม้ใหญ่นั้น ดังนั้นการรักษาและปกป้องต้นไม้ใหญ่ยืนต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาสมดุลของอุตสาหกรรมและธรรมชาติในระยะยาว


    แสดงถึงความยาวนานและความแข็งแกร่งของชีวิต ไม้ใหญ่ยืนต้นมักจะมีอายุที่สูงมากและเคยผ่านการเจริญเติบโตข้างในธรรมชาติในช่วงเวลาที่ยาวนานมาก่อนที่เราจะมีอยู่ ด้วยความทนทานและการรับมือกับสภาวะทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม้ใหญ่ยืนต้นจึงเป็นแม่แบบที่สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


    นอกจากนี้ มีความเชื่อที่กันมานานว่าต้นไม้ใหญ่ยืนต้นมีความเป็น sacredness และเป็นที่ยึดถือเป็นที่บูชาในศาสนาหลายๆ แนวคิด ซึ่งส่งผลให้การปกป้องและรักษาต้นไม้ใหญ่นั้นมีความหมายทางวิญญาณอีกด้วย


    ในสังคมมนุษย์ เรามักใช้ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสัญลักษณ์ของความคงทน ความสู้รบ และความหนาแน่นที่สามารถยืดยาวออกไปได้ ไม้ใหญ่ยืนต้นเชื่อถือว่าเป็นผู้เหล่านึงที่เคยเห็นและไปรับรู้เหตุการณ์หลายๆ อย่างตลอดชีวิตของเขา ดังนั้น การมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นการได้รับคำเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเดินทางของชีวิตและการเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรค


    โดยรวมแล้ว ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสิ่งที่มีความหมายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสัญลักษณ์ที่สร้างความรู้สึกและความคิดเห็นที่หลากหลายในคนจำนวนมาก


    นอกจากความยาวนานและความแข็งแกร่งของชีวิตที่สะท้อนในต้นไม้ใหญ่ยืนต้น เรายังสามารถเห็นการเชื่อมโยงที่มีอยู่ระหว่างต้นไม้แต่ละต้นกับสังคมและมนุษย์อีกด้วย การใช้ไม้ในการสร้างเรือน อาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ เป็นตัวอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ที่เรามีกับต้นไม้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นในพื้นที่เขตเมืองและการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองเป็นการดูแลและอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด


    เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นมีบทบาทสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาความสมดุลของอากาศ และเป็นแหล่งที่มาของวัสดุประกอบอย่างไม้ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กระดาษ PG SLOT ไม้เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน


    ด้วยทุกคุณค่าที่ถูกกล่าวถึง ไม้ใหญ่ยืนต้นจึงนับเป็นส่วนสำคัญที่สร้างเครื่องหมายและความหมายที่หลากหลายในโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชิงศาสนา วัฒนธรรม การอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือความคิดเห็นทางสังคม PGSLOT ไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นองค์กรณ์ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเรากับโลกรอบตัวอย่างสร้างสรรค์และหลากหลาย

  2. 2
    Dnamic Network
    Dnamic Network sabunpaya2@gmail.com 10/12/2022 12:55

    A well written post, I simply passed this to a https://putrapandawa.com/ workfellow who was doing some analysis on this. And I actually bought the dinner because I found it for him. 





  3. 3
    watson
    watson watson@waossonsd.com 12/03/2022 00:36

    When I was searching for the one right article to read. This one just popped up on the page read it and doing it again such an amazing post. Shop Drawings Services, MEP Shop Drawings Services, CAD Drafting Services

  4. 4
    Eric
    Eric eric@ericklhmogp.com 12/03/2022 00:23

    Amazing just Amazing you wrote this article extra ordinary I'll share this with my friends and will check this website again to read. Primavera Scheduling Services, Construction Management Services

  5. 5
    Tyrone
    Tyrone seoelectruicalesimtoaes@gmailc.om 12/03/2022 00:20

    Great Article by the way loved the points author mentioned thankyou for sharing a post like this. Electrical Estimator Electrical Estimating Outsourcing

  6. 6
    Denver Mike
    Denver Mike denvermike0001@gmail.com 03/03/2022 22:54

    As physical educators, we should prioritise building meaningful relationships with our students and providing a good learning environment for every child and adolescent that enters our gym. All kids should feel welcomed, safe, and capable of succeeding in PE. Those things don't just happen; they're the result of deliberate, purposeful activity of online course help. Joy is crucial for meaningful physical education experiences, and early meaningful PE experiences have a key role in lifelong participation in physical exercise. With the demands of grading, timetables, and everything else that instructors must handle, it is easy to lose sight of the importance of ensuring that our children enjoy PE.

  7. 7
    02/02/2022 22:51

    I'm glad to read your article and get to know new things, you can also read our post on which we have mentioned the few benefits of having Construction Estimating Services, Electrical Estimating Services, Quantity Takeoff Services and Lumber Takeoff.


    I really loved this post and expect a follow back from your side.

  8. 8
    SallieStevens
    SallieStevens SallieStevens@gmail.com 27/01/2022 09:49

    Backlinks are links from a page on one website to another. This is important to us and you are giving us a chance and opportunity to help each other. We are hoping to have the same goal for the future of ours. ole777

  9. 9
    Eric Clark
    Eric Clark EricClark044@gmail.com 22/12/2021 14:52

    Covid pandemic changed human lifestyle and Covid also facilitate to the employee, work from home!!!. Now many companies found remote or home base teams. All online work is controlled from home, especially content writing. Articles or content writing from home is very easy to handle. buy dissertation online

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view