เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
54,577,736 |
Page Views |
61,402,385 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
17/04/2023
View: 73,757
ไม้ยืนต้นขนาดกลาง-เล็ก 2
For information only-the plant is not for sale.
1 |
ชงโคฮอลแลนด์/Bauhinia × blakeana |
23 |
สะแกนา/Combretum Quadrangulare |
2 |
คำมอกหลวง/Gardenia sootepensis |
24 |
เพกา/Oroxylum indicum |
3 |
ชะมวง/Garcinia cowa |
25 |
เจ้าหญิงสีชมพู/Melicope elleryana |
4 |
ช้างน้าว/Ochna integerima |
26 |
ตานดำ/Diosperos montana |
5 |
ปรู/Alangium salviifolium |
27 |
ตานเสี้ยน/Xantolis siamensis |
6 |
มะเม่า/Antidesma puncticulatum |
28 |
ลำดวน/Melodorum fruiticosum |
7 |
มะพอก/Parinari anamense |
29 |
กระดังงาไทย/Cananga odorata |
8 |
ตะคร้อ/Schleichera oleosa |
30 |
กระดังงาสงขลา/Cananga odorata |
9 |
ตะคร้อหนาม/Sisyrolepis muricata |
31 |
จำปูน/Anaxagorea Javanica |
10 |
ตะคร้ำ/Garuga pinnata |
32 |
จำปี/Michelia alba |
11 |
ตะโกนา/Diospyros rhodocalyx |
33 |
จำปีสิรินธร/Magnolia sirindhorniae |
12 |
รกฟ้า/Terminalia alata |
34 |
จำปา/Magnolia champaca |
13 |
มะพลับ/Diospyros malabarica |
35 |
จำปาเทศ/Pterospermum littorale Craib |
14 |
ไคร้ย้อย/Elaeocarpus grandiflora |
36 |
จำปาแดง/Magnolia x soulangiana |
15 |
มะกอกน้ำ/Elaeocarpus hygrophilus |
37 |
ดีหมี/ Cleidion spiciflorum |
16 |
มะขวิด/Feronia limonia |
38 |
ขางปอยน้ำ/ Alchornea rugosa |
17 |
มะตาด/Dillenia indica |
39 |
มะเดื่อปล้อง/ Ficus hispida |
18 |
มะหาด/Artocarpus lakoocha |
40 |
มะกล่ำตาไก่/Adenanthera microsperma |
19 |
มะหวด/Lepisanthes rubiginosa |
41 |
มะกล่ำตาช้าง/ Adenanthera pavonina |
20 |
แดง/Xylia xylocarpa |
42 |
ปาโลแซนโตส/ Triparis cumingiana |
21 |
น้ำเต้าต้น/Crescentia cujete |
43 |
แหนนา/Terminalia glaucifolia |
22 |
ตีนเป็ดฝรั่ง/Crescentia alata |
|
|
|
---EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
|
ชงโคฮอลแลนด์/Bauhinia × blakeana
[bah-HIN-ee-uh] [blay-kee-AY-nuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia × blakeana Dunn.(1908) ชื่อพ้อง--Has 1 Synonyms. See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:481142-1 ---Perlebia × blakeorum (Dunn) A.Schmitz.(1973) ชื่อสามัญ ---Hong Kong Orchid Tree, Eye Candy, Clever Leaf, Kanchan Flower, Bauhinia Hybrid. ชื่ออื่น---ชงโคฮอลแลนด์, ชงโคออสเตรเลีย ;[BENGALI: Kanchan];[CHINESE: Hóng huā yáng tí jiǎ, Yáng zǐ jīng];[DUTCH: Rode orchideënboom.];[FRENCH: Arbre aux orchidées.];[GERMAN: Orchideenbaum.];[HONGKONG: Cōngmíng yè, Xiānggǎng lán];[PORTUGUESE: Bauínia-blaqueana, Bauhínia-de-hong-kong, Bauínia-de-flor-vermelha.];[VIETNAM: Dương tử kinh.]. Hybrid parentage: Bauhina purpurea L. × Bauhinia variegata L. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE) EPPO Code---BAUBL (Preferred name: Bauhinia x blakeana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---ฮ่องกง จีนตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bauhina' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สองพื่น้องนักพฤกษศาสตร์และนักสมุนไพรชาวสวิสในศตวรรษที่ 16 Johann (or Jean) Bauhin (1541–1613) และ Gaspard Bauhin or Caspar Bauhin (1560 –1624) โดยอ้างอิงถึงใบสองแฉกที่มีลักษณะเฉพาะของพืชสกุล ; ชื่อลูกผสม 'blakeana' Dunn ตั้งเป็นเกัยรติแก่ Sir Henry Arthur Blake (1840-1918) ผู้ชื่นชอบพืชพันธุ์และผู้ว่าการฮ่องกงตั้งแต่ปี 1898 ถึง 1903 และ Lady Edith Blake (1846–1926)) ภรรยาของเขา Bauhinia × blakeana เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Stephen Troyte Dunn ผู้กำกับการแผนกพฤกษศาสตร์และป่าไม้ ในปีพ.ศ.2451
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในฮ่องกง สายพันธุ์นี้ไม่ได้แปลงสัญชาติและสืบพันธุ์ในระบบนิเวศตามธรรมชาติ เป็นต้นไม้ที่แพร่กระจายจากลูกผสมที่ค้นพบในป่า เป็นลูกผสมระหว่าง Bauhinia purpurea และ Bauhinia variegata ถูกค้นพบบนชายฝั่งของเกาะฮ่องกงใน Pok Fu Lam ใกล้กับซากปรักหักพังของบ้านในปี 2423 (1880) โดย Sir Henry Blake ผู้ว่าการอังกฤษของฮ่องกงที่ชอบศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นลำต้นตั้ง ตรง สูง 5 – 15 เมตร เปลือกชั้นนอกสีเทา ผิวขรุขระ ใบ ประกอบ เวียนสลับ ระนาบเดียวกัน แผ่นใบรูปโค้งมน ปลายใบมนเข้าลึกแยกเป็นสองแฉก ผิวใบเรียบ มีไขนวลปกคลุม ใบสีเขียวอ่อน ขอบใบเป็นคลื่น ดอกเดี่ยว สมบูรณ์เพศ ขนาดดอก12.5-15ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 8 – 9 อัน กลีบดอกมีตั้งแต่สีชมพูถึงม่วงเข้ม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นหมันไม่ติดฝัก (ดอกมีกลิ่นหอมหวาน แต่อาจไม่มีกลิ่นแรงมากถึงขนาดแพร่กระจายไปไกล) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด แต่เติบโตได้ในร่มเงาบางส่วน ขึ้นได้ดีในดินร่วน ดินร่วนปนทราย ต้องการดินที่ อุดมสมบูรณ์ความชื้นปานกลางและมีการระบายน้ำดี สามารถเติบโตได้ดัในดินที่เป็นกรด ทนความแห้งแล้ง ระบบรากอ่อนไหวการย้ายหรือขุดล้อมปลูกต้องระมัดระวัง อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---ชอบสภาพแวดล้อมที่เป็นดินร่วนชื้น แต่ความต้องการน้ำต่ำถึงปานกลาง ควรปล่อยให้ดินรอบโคนต้นไม้แห้งก่อนรดน้ำครั้งต่อไป การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้ออกดอกน้อยลง การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งในขณะที่ยังเล็กเป็นสิ่งสำคัญมาก ตัดแต่งกิ่งในช่วง 2-3 ปีแรก จะทำให้พวกมันมีโครงสร้างที่มั่นคงและสร้างรูปทรงที่สม่ำเสมอให้กับยอดของต้นไม้ กิ่งตอนบนของต้นไม้มักจะร่วงหล่นเล็กน้อยเมื่อมันโตขึ้น และจำเป็นต้องตัดแต่งออก การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แบบเม็ดพื้นฐานผสมกับชั้นบนสุดของดิน ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปแล้วจะเป็นพืชที่แข็งแรงมาก แต่ก็ค่อนข้างอ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ ปัญหาศัตรูพืชหลักคือตัวหนอนที่กัดกินใบ ไรที่อาจทำให้ดอกไม้เหี่ยว และหนอนเจาะกินเนื้ออ่อนของลำต้นและกิ่งก้าน ระวังตัวด้วงกุหลาบจีน (Chinese rose beetle)/ ค่อนข้างไวต่อโรคใบจุดและใบไหม้ อาจมีแนวโน้มที่ต้นไม้จะขาดธาตุอาหาร เช่น โพแทสเซียม (K) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมเป็นประจำ -ปัญหาทั่วไป เนื่องจากมันเติบโตเร็วมาก ไม้ของต้นไม้ชนิดนี้จึงไม่หนาแน่นหรือแข็งแรงนัก ทำให้อ่อนแอต่อความเสียหายจากลมหรือการหักเมื่อเกิดพายุ การปลูกมันในที่ที่มีกำบังใกล้กับอาคารหรือโครงสร้างที่คล้ายกันสามารถช่วยป้องกันความเสียหายจากสภาพอากาศและลมได้ รู้จักอันตราย---ส่วนต่างๆ ของต้นไม้นี้ไม่เป็นพิษต่อสุนัข แมว หรือมนุษย์ แต่ไม่ควรกินเช่นเดียวกับพืชสวนอื่นๆ ที่ไม่ได้ปลูกเพื่อเป็นพืชอาหารโดยเฉพาะ ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา นี่คือประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญบางประการของ Bauhinia blakeana ที่ทำให้เป็นพืชที่มีคุณค่าสำหรับมนุษย์ -Bauhinia blakeana มีสารสกัดเอทานอลที่มีอยู่ในลำต้น สารสกัดนี้สามารถช่วยลดระดับยูเรียและครีเอตินินในเลือดได้ เพื่อให้ไตทำงานได้อย่างราบรื่น สามารถล้างสารพิษในเลือดและขับออกทางระบบทางเดินปัสสาวะ -ใบของ Bauhinia blakeana สามารถมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระตามที่แนะนำในการศึกษาทางการแพทย์ การมีส่วนประกอบของไฟโตสามารถช่วยลดภาวะไขมันในเลือดสูงได้อย่างมีนัยสำคัญ ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของใบสามารถป้องกันความเสียหายของเซลล์และฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาของร่างกาย -มีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งทำให้เป็นยาที่ดีในการลดอาการบวม สามารถบรรเทาบริเวณที่ติดเชื้อหรือบาดเจ็บได้ นอกจากนี้ยังสามารถรักษาปัญหาต่างๆ เช่น เจ็บคอ ข้ออักเสบ เหงือกอักเสบ และอื่นๆ อีกมากมาย พืชยังสามารถบรรเทาอาการแพ้เล็กน้อยถึงรุนแรง -ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าพืชสามารถปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลได้ สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เช่นกัน ช่วยในการผลิตอินซูลินซึ่งมีพืชเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ทำได้ -ในอายุรเวทใช้แก้ปัญหาภาวะพร่องไทรอยด์ และ รักษาอาการท้องผูกและริดสีดวงทวาร -ใช้ปลูกประดับ ดอกไม้ประจำถิ่นที่ไม่เหมือนใครนี้เป็นพิเศษของระบบนิเวศของฮ่องกง ต้นไม้ได้รับการปลูกและเผยแพร่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในฮ่องกงตั้งแต่ริมถนนไปจนถึงสวนสาธารณะในท้องถิ่นและในประเทศ และนิยมปลูกเป็นไม้ยืนต้นปลูกประดับกันทั่วไป เนื่องจากต้นไม้ เป็นลูกผสมไม่ติดฝัก จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเศษซากของฝักที่ร่วง สำคัญ---ดอกไม้ของ Bauhinia blakeana ถูกนำมาใช้โดยสภาเมืองเป็นสัญลักษณ์ดอกไม้ของฮ่องกงในปี 1965 และตั้งแต่ปี 1997 ได้เป็นส่วนหนึ่งของธงของฮ่องกงและได้กลายเป็นสัญลักษณ์ดอกไม้สำหรับเขตปกครองพิเศษฮ่องกง (SAR) ของ สาธารณรัฐประชาชนจีนและปรากฏบนเหรียญ ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี ดอกดก (พฤศจิกายน-มีนาคม) ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ
|
|
คำมอกหลวง/Gardenia sootepensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Gardenia sootepensis Hutch.(1911) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-88455 ---Gardenia massieana Pierre ex Pit.(1923) ชื่อสามัญ----Golden Gardenia ชื่ออื่น--- ไข่เน่า (นครพนม); คำมอกช้าง, คำมอกหลวง (ภาคเหนือ); ผ่าด้าม, ยางมอกใหญ่ (นครราชสีมา); สะแล่งหอมไก๋, หอมไก๋ (ลำปาง) ;[CAMBODIA: Bak dang (Central Khmer).];[CHINESE: Da huang zhi zi.];[THAI: Khammok luang, Khammok chang (Northern); Khai nao (Nakhon Phanom); Pha dam, Yang mok yai (Nakhon Ratchasima); Salaeng homkai, homkaii (Lampang).];[VIETNAM: Nam hương, Dành dành thái.];[Vernacular: Golden gardenia.]. ชื่อวงศ์---RUBIACEAE EPPO Code---GADSS (Preferred name: Gardenia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---ยูนนาน พม่า ไทย ลาว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Gardenia' ตั้งตามนักธรรมชาติวิทยาชาวอเมริกันที่เกิดในสกอตแลนด์ Alexander Garden (1730-1791) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'sootepensis' หมายถึง จากดอยสุเทพ เชียงใหม่ ประเทศไทย Gardenia sootepensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Hutchinson, OBE, FRS (1884–1972) นักพฤกษศาสตร์ นักอนุกรมวิธานและนักเขียนชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2454 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย พบที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ แพร่กระจายในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ตามป่าเต็งรัง ที่ความสูง จากระดับน้ำทะเลถึง 200-400 เมตร
Picture by: https://ntbg.org/database/plants/detail/gardenia-sootepensis ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 7-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30 ซม.ลำต้นบิดงอ เปลือกต้นสีครีมอ่อนหรือเทา ค่อนข้างเรียบหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามตั้งฉาก ก้านใบ 0.6-1.2 ซม. มีขนอ่อนหรือเป็นตุ่มนูน ใบรูปรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 3-10 ซม.ยาว 4-15 ซม.ใบอ่อนสีชมพูอ่อนมีขนสีเงิน ใบแก่ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างมีขนละเอียด เนื้อใบหนา แข็งกรอบ ร่วงหล่นง่าย ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ออกที่ซอกใบมักออกใกล้ปลายกิ่ง ก้านดอก 1-1.5 ซม. มีขนดก กลีบเลี้ยงมีขนหนาแน่น กลีบเลี้ยงโคนเป็น หลอดยาว 4-6 มม.ดอกสีเขียวอ่อนหรือขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองขนาดดอก 8-10 ซม. กลีบดอกโคนเป็นหลอดยาว 4.5-8 มม.ปลายกลีบแยกเป็น 5 กลีบ กว้าง 2-2.5 ซม.ยาว 3-4 ซม.ยอดเกสรเพศเมียรูปกระบอง ผลรูปรีหรือรูปขอบขนานขนาด 2.5-5.5 × 1.5-3.5 ซม.มีขนดก ผิวเรียบหรือมีเส้นตามยาว 5 หรือ 6 เส้น เมล็ดรูปขอบขนาน แบน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 มม.ดอกจะทยอยบานเต็มต้นเวลาใกล้เคียงกัน ดอกเริ่มแย้มช่วงเย็น พอใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมแรงมากขึ้นและร่วงตอนบ่ายวันต่อไป ส่งกลิ่นหอมอ่อนตลอดวันและหอมแรงขึ้นใกล้พลบค่ำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวัน (8ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดส่องถึง 4-6 ชั่วโมง ) อุณหภูมิ 18-21 ชอบดินร่วนที่เป็นกรดเล็กน้อย อุดมสมบุรณ์และระบายน้ำได้ดี pH 5.0 - 6.5 ในอุณหภูมิชื้น โดยเฉพาะระดับความชื้นที่สูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ อัตราการเจริญเติบโตของพืชปานกลาง การรดน้ำ--- ต้องการน้ำน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทนแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกดอกและออกผลหมดหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเม็ดอเนกประสงค์สูตรเสมอ ทุก 3-4 สัปดาห์ ในฤดูหนาวไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง (ใช้เพื่อช่วยให้ดินมีระดับเป็นกรดที่เหมาะสมสำหรับพืช) ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ย เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว และไรเดอร์ ฉีดพ่นใบพืชด้วยสารละลายสบู่เหลวหนึ่งส่วนและน้ำหนึ่งส่วน เพื่อให้ได้ผลจะต้องฉีดพ่นทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ/น้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรครากเน่าได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ชาวม้งจะกินเนื้อ ในเมล็ดแก่ -ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้าน ใช้เมล็ดต้มเคี่ยวกับน้ำผสมเป็นยาสระผมฆ่าเหา แก่นนำไปใช้ปรุงเป็นยารักษาโรคเบาหวาน แก่นคำมอกหลวงใช้ผสมกับแก่นมะพอก นำมาต้มรวมกันให้หญิงอยู่ไฟใช้อาบและสระผม -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับให้ดอกสวยงามดอกมีกลิ่นหอม คำมอกหลวงเป็นพรรณไม้ทนแล้ง ควรปลูกกลางแจ้งแสงแดดเต็มวัน ห่างต้นไม้อื่นสัก 4 - 5 เมตรหรือปลูกบนเนินในสนามหญ้า จะมีทรงพุ่มสวยงามออกดอกมากและมองดูเด่น หากปลูกในที่ราบ ชื้นแฉะหรือใต้ร่มเงาต้นไม้อื่นจะติดดอกน้อยและจะมีใบมากทรงพุ่มจะแน่นทึบ สำหรับต้นที่ทาบกิ่งสามารถปลูกให้ออกดอกเป็นไม้ประดับในกระถางได้ -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างและงานแกะสลัก ระยะเวลาออกดอก--- มีนาคม - เมษายน ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ทาบกิ่ง
|
ชะมวง/Garcinia cowa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Garcinia cowa Roxb. ex Choisy.(1824) ชื่อพ้อง ---Has 10 Synonyms. ---Cambogia crassifolia Blanco.(1845) ---Garcinia cornea Roxb. ex Sm.(1810) ---Garcinia dioica Sm.(1810) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2816786 ชื่อสามัญ---Cowa mangosteen, Cowa fruit, Brindal berry, Malabar tamarind. ชื่ออื่น---กะมวง (ภาคใต้); กานิ (มาเลย์-นราธิวาส); ชะมวง (ภาคกลาง); มวงส้ม (นครศรีธรรมราช); หมากโมก (อุดรธานี) ;[ASSAMESE: Kau thekera, Kujithekera, Kou-thekera.];[AYURVEDA: Paaraavata, Kowaa.];[BENGALI: Kau, Kowa.];[HINDI: Kattaphal,Tekra,Rengram.];[MALAYALAM: Kowa.];[NEPALI: Kaphal.];[SANSKRIT: Dvipaja,Dvipa-kharjuri.];[THAI: Ka muang (Peninsular); Ka-ni (Malay-Narathiwat); Cha muang (Central); Muang som (Nakhon Si Thammarat); Mak mok (Udon Thani).];[VIETNAM: Tai chua, Bứa cọng.]. ชื่อวงศ์---CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) EPPO Code---GANCO (Preferred name: Garcinia cowa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า มาเลเซีย ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Garcinia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Laurent Garcin (1681–1751) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Garcinia cowa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด (Clusiaceae หรือ Guttiferae) สกุลส้มแขก (Garcinia) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Jacques Denys (Denis) Choisy (1799–1859) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2367 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตะวันออก พม่า เนปาล ไทย ลาว กัมพูชา คาบสมุทรทางตอนเหนือของมาเลเซียและเวียดนาม นอกจากนี้ยังพบใน อันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ และยูนนานใต้และตะวันตกในจีน เติบโตในป่าผสมบนเนินเขาหรือในหุบเขา ตามป่าดิบชื้น ป่าเต็งรัง และป่าเนินทรายที่อยู่หลังชายหาด โดยทั่วไปอยู่ที่ระดับความสูง 400-900 เมตร บางครั้งลดหลั่นกันไปถึง 100 เมตร หรือขึ้นไปถึง 1,300 เมตร ในประเทศไทยพบได้ในป่าดิบชื้นตามที่ลุ่มต่ำทั่วไป และจะพบได้มากทางภาคใต้ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตรขึ้นไป
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูงประมาณ 8-12 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรงแคบเป็นทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15 - 20 ซม เรือนยอดเป็นพุ่มกลมรูปกรวยคว่ำแตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีน้ำยางสีเหลืองขุ่น ใบเดี่ยวรูปรีแกมขอบนานขนาดใบกว้าง 2.5-6 ซม. ยาว 6-15 ซม.ออกเรียงสลับกัน โคนใบมนปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 (-2) ซม.ใบอ่อนสีม่วงแดงหรือแดงอมเหลืองเป็นมัน ดอกแยกเพศอยู่แยกต้น (dioecious) ออกเป็นช่อขนาดเล็ก แตกออกจากโคนใบและปลายกิ่ง ดอกเพศผู้จะออกตามกิ่งเป็นกระจุก มีดอกย่อยประมาณ 3-8 ดอก ในดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้จำนวนมากเรียงกันเป็นรูปลูกบาศก์ ส่วนกลีบดอกเป็นสีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอม มีกลีบดอกแข็งหนา 4 กลีบ และกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายกลีบกลม ดอกเพศผู้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 ซม.ส่วนดอกเพศเมียจะออกเป็นดอกเดี่ยวตามปลายกิ่ง ดอกมีเกสรเพศผู้เทียมเรียงอยู่รอบรังไข่ มีก้านเกสรติดกันเป็นกลุ่ม ที่ปลายก้านมีต่อม 1 ต่อม ผลรูปกลมแป้น ผิวผลเรียบเป็นมันเปลือกบาง สีเหลืองมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5–6 × 4–5 ซม.จะเปลี่ยนเป็นสีส้มหม่นถึงสีน้ำตาลเมื่อแก่ และตามผลมีร่องตื้น ๆ ประมาณ 5-8 ร่อง ด้านบนปลายบุ๋ม และมีชั้นกลีบเลี้ยงเนื้อหนา สีเหลืองเข้มใประมาณ 4-8 แฉกติดอยู่ ภายในผลมีเมล็ดขนาดใหญ่ประมาณ 4-8 เมล็ด ยาว 13-20 มม. รูปขอบขนาน มีขนอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็ม 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือกึ่งร่มเงา (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันหรือครึ่งวันเช้า) ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบขึ้นในดินกร่อยหรือดินชายทะเลสิ่งสำคัญคือต้องทำให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดแต่งหลังออกดอกออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยละลายช้า ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนประมาณ 10-12" ปีละ 3 ครั้ง การใส่ปุ๋ยเม็ดใกล้โคนต้นและมากเกินไปจะทำให้รากเสียหายและอาจทำให้พืชตายได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอันตราย---สำหรับสตรีตั้งครรภ์ ไม่ควรกินชะมวง อาจทำให้แท้งได้
Pictures by: https://cuisineofvietnam.com/garcinia-cowa-the-cowa-mangosteen/ การใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อผลและใบที่กินได้ซึ่งใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน ส่วนของพืชที่กินได้ (ผลไม้กินได้ ใบกินได้ ลำต้นกินได้) คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักชะมวงจาก แกงหมูชะมวงที่ถือว่าเป็นอาหารลือชื่อที่สุดของคนภาคตะวันออก ใบอ่อนและผล มีรสเปรี้ยวใช้ปรุงอาหาร ให้วิตามินเอและวิตามินบีค่อนข้างสูง - ในเวียดนาม พืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากผลไม้ถูกใช้เป็นแหล่งความเป็นกรดในการปรุงอาหาร ใช้ผลไม้ใส่ปลาและซุปปูเพื่อให้มีรสเปรี้ยว - เป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซี - ใช้เป็นยาใช้ในตำรับยาพื้นบ้านของไทย รากเป็นสมุนไพรลดไข้ แก้กระหายน้ำ ขับเสมหะ เป็นยาระบาย แก้ปวดท้อง ใบและผลมีรสเปรี้ยว สรรพคุณแก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการ ช่วยระบายท้อง ผลไม้มีฤทธิ์เป็นกรดและฝาด ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะและโรคบิด ใบใช้เป็นยาขับเลือดเสีย ช่วยขับระดูของสตรี แก่นใช้ฝนหรือแช่กับน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการเหน็บชา -ในอินเดียตะวันออกใช้ผลไม้แห้งเพื่อรักษาโรคบิด -ในเวียตนามใช้เปลือกผลไม้ล้างพิษไข้ *เมื่อไม่นานมานี้ (ก.พ.56) ได้มีการค้นพบสารชนิดใหม่จากใบชะมวง และได้มีการตั้งชื่อว่า “ชะมวงโอน” (Chamuangone) ซึ่งสารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งได้ดี (ทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอดและเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคทางเดินอาหาร (เชื้อ Helicobacter pylori) ช่วยยับยั้งเชื้อโพรโทซัว Leishmania major (เป็นโรคระบาดที่เคยพบในภาคใต้) ได้เป็นอย่างดี*จากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) https://medthai.com -ใช้ปลูกประดับ ปลูกกลางแจ้งจะมีทรงพุ่มสวยปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาได้ -ใช้อื่น ๆ ทางภาคใต้ ชาวใต้ใช้ผลและใบของชะมวงมาหมักทำเป็นน้ำกรดสำหรับฟอกหนังก่อนแกะสลักทำตัว หนังตะลุง ส่วนเปลือกและยางไม่ละลายในน้ำแต่ใช้เคลือบ สามารถใช้ย้อมผ้าเป็นสีเหลืองได้ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของเม็ดสี ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้เป็นต้นตอสำหรับมังคุด-เมล็ดให้ผลผลิตน้ำมันประมาณ 9% -ไม้เนื้อแข็งมีลายหยาบมีปุ่มปมมากสีขาวอมเทามีความแข็งปานกลางมีแถบเนื้อเยื่ออ่อนที่เป็นคลื่น ละเอียด ไม่ได้ใช้ -พืชชนิดนี้บางครั้งปลูกโดยเฉพาะในฟิลิปปินส์เพื่อใช้เป็นกิ่งตอนสำหรับมังคุด (Garcinia Mangostana) ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/พฤษภาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง, เพาะเมล็ด (เราไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกส่วนใหญ่ในสกุลสามารถงอกได้ช้า แม้ว่าจะหว่านสดๆ มักใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป)
|
ช้างน้าว/Ochna integerrima
[OK-nah] [in-teg-er-EE-muh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ochna integerima (Lour.) Merr.(1935) ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-22800744 ---Basionym: Elaeocarpus integerrimus Lour. (1790) Unresolved. ---Ochna harmandii Lecomte.(1911) ชื่อสามัญ---Vietnamese Mickey Mouse Plant, Yellow Mai Flower ชื่ออื่น ---กระแจะ (ระนอง); กระโดงแดง, กำลังช้างสาร (ภาคกลาง); ขมิ้นพระต้น (จันทบุรี); ควุ (กะเหรี่ยง-นครสวรรค์); แง่ง (บุรีรัมย์); ช้างน้าว (นครราชสีมา); ช้างโน้ม (ตราด); ช้างโหม (ระยอง); ตาชีบ้าง (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); ตานนกกรด (นครราชสีมา); ตาลเหลือง (ภาคเหนือ); ฝิ่น (ราชบุรี); โว้โร (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ;[ASSAMESE: Khimdabeng.];[CAMBODIA: Angkea, Angkeasel, Angkea Loeung, Kongkea; Kong (Central Khmer).];[CHINESE: Jin lian mu.];[THAI: Krachae (Ranong); Kradong daeng, Kamlang chang san (Central); Khamin phra ton (Chanthaburi); Khwu (Karen-Nakhon Sawan); Ngaeng (Buri Ram); Chang nao (Nakhon Ratchasima); Chang nom (Trat); Chang hom (Rayong); Ta-chi-bang (Karen-Chiang Mai); Tan nok krot (Nakhon Ratchasima); Tan lueang (Northern); Fin (Ratchaburi); Wo-ro (Karen-Kanchanaburi).];[VIETNAM: Hoa mai, Mai vàng, Hoàng mai.]. ชื่อวงศ์ ---OCHNACEAE EPPO Code---OCNIT (Preferred name: Ochna integerima.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย เขตการกระจายพันธุ์ ---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้-อินเดีย ปากีสถาน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และคาบสมุทรมลายู นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ochna' มาจากภาษากรีก “ochne”=แพร์ป่า ที่ใช้เรียกพืชสกุลนี้; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'integerrima' เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน = จำนวนเต็ม พร้อมกับการอ้างอิงที่ชัดเจน Ochna integerima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ช้างน้าว (Ochnaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2478
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเวียตนาม พบที่อินเดีย (ตะวันออกเฉียงเหนือ อันดามัน นิโคบาร์) บังคลาเทศ พม่า ไทย คาบสมุทรมลายู จีน (ไหหลำ) อินโดจีน ลาว ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 300-1,400 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าสน และป่าชายหาด ที่ระดับความสูงใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 1,200 เมตร ลักษณะ ช้างน้าวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กผลัดใบและบางครั้งจะทิ้งใบทั้งหมดในช่วงปลายฤดูหนาว ผลิใบใหม่สีบรอนซ์ สูง 5-12 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องลึกตามยาว กิ่งเหนียวมาก ตามปลายกิ่งมีกาบหุ้มตาลักษณะแข็งและแหลม ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปหอกกลับ กว้าง 4-7 ซม.ยาว 8-16 ซม. ขอบใบหยักเป็นซี่แหลมเล็กๆ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมันทั้งสองด้าน ก้านใบยาวประมาณ 2-5 มม.ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ ออกตามปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง มี 5-7 (9) กลีบ ดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม.ก้านดอกยาว 1.5-3 ซม.เกสรเพศผู้จำนวนมาก 30-60 อัน ติดทน ผลย่อยติดบนฐานดอกที่ขยาย ผลสดรูปไข่กลับสีแดงขนาด 10-12 × 6-7 มม.เมื่อสุกสีดำมีเมล็ดแข็ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการ แสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน) เติบโตได้ในสภาพดินทุกชนิดแม้พื้นที่แห้งแล้ง แต่ชอบดินร่วนที่อุดมด้วยฮิวมัส และมีการระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ทนแล้งและทนไฟป่าได้ดี อัตราการเติบโต ปานกลางถึงช้า การรดน้ำ---ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง การรดน้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน เว้นช่วงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่หลังจากติดผล ช่วยให้ต้นไม้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา -เพื่อให้ต้น Mai Vang ออกดอกในช่วงตรุษจีนเวียตนาม ชาวสวนชาวเวียดนามจะเด็ดใบของต้นไม้ทั้งหมดประมาณหนึ่งเดือนก่อนวันดังกล่าว เพื่อการออกดอกที่งดงามซึ่งควรจะเป็นลางบอกเหตุให้โชคดีในปีใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยละลายช้า ปีละ 3 ครั้งห่างจากโคนต้นเล็กน้อย เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว -ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ รู้จักอ้นตราย---เมล็ดอาจมีพิษกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
การใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา อาหาร และแหล่งไม้ เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชียตะวันออก ซึ่งไม้ตัดดอกถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี -ใช้กิน ผลไม้-ดิบ สุก กินได้ -ใช้เป็นยา เปลือกรสขมเป็นยาบำรุงทางเดินอาหาร แก้โรคบิดถ่ายมีมูกเลือดนอกจากนี้ยังใช้รักษาอาการเจ็บคอ รากใช้เป็นยาระบายสำหรับรักษาพยาธิและเป็นยาสำหรับรักษาความผิดปกติของน้ำเหลือง -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนทั่วไป หรือปลูกเป็นไม้กระถาง เนื่องจากทนต่อลมและไอเกลือจากทะเล จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสวนริมชายฝั่ง -ต้นไม้จะถูกเก็บรวบรวมอย่างกว้างขวางโดยผู้ปลูกบอนไซเนื่องจากมันปรับให้เข้ากับกระถางตื้นขนาดเล็กที่ก่อตัวเป็นลำต้นและกิ่งที่งดงาม ดอกสีเหลืองและผลไม้ที่น่าดึงดูดและมีความสวยงามเทียบเท่ากับต้นไม้ต้นใหญ่ -อื่น ๆไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างกระท่อมแบบดั้งเดิม -ดอกไม้นี้ใช้ตกแต่งบ้านในช่วงTet Holiday ซึ่งก็คือเทศกาลตรุษจีนของเวียดนาม (Vietnamese Lunar New Year) และ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (Spring Festival หรือ Tết Nguyên Đán') ตำนาน/ความเชื่อ--- คนเวียดนามมีเทพนิยายเกี่ยวกับ Ochna integerrima เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่ใจดีและกล้าหาญ เธอต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อปกป้องชาวบ้าน น่าเสียดายที่เธอเสียชีวิตหลังจากการต่อสู้ ความกล้าหาญของเธอแตะต้องพระเจ้า ดังนั้นแม้ว่าเธอจะตาย แต่ทุก ๆ ปีใหม่ เธอจะได้รับพรให้กลับไปเยี่ยมครอบครัวและหมู่บ้านของเธอเป็นเวลา 9 วัน เมื่อพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตเธอเปลี่ยนเป็นต้นไม้ดอก ทุกครั้งที่ปีใหม่มาดอกไม้จะเบ่งบานเหมือนเสื้อเหลืองที่เธอมักจะสวมใส่ คนเวียดนามเชื่อว่าในวัน Tet Holiday, Ochna integerrima สามารถขับไล่ผีได้ตลอดทั้งปี มันเป็นพืชที่เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งต่าง ๆ มากมายรวมถึงความรักความมั่งคั่งและรากเหง้าของคนเวียดนาม สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดมุกดาหาร ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล----มีนาคม-เมษายน/พฤษภรคม-มิถุนายน ผลัดใบก่อนออกดอก ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง **การพูดคุยส่วนตัว-ช้างน้าวเป็นต้นไม้ในดวงใจอีกต้นหนึ่ง (ของใครหลายคน) ฟอร์มต้นสวยมาก หามาจัดสวนยาก นานๆจะเจอแบบฟลุ๊ค หรือต้องสั่งให้หา เปลือกผิวของลำต้นที่แตกเป็นร่องลึกตามยาวสีน้ำตาลเข้มดูแล้ว Antique มาก เหมือนไม้โบราณอายุมากๆ แต่ชาวบ้านเอาไปทำฟืนเผาถ่านซะเยอะ เพราะไม่รู้ว่าต้นอะไร ขึ้นอยู่ตามหัวไร่ปลายนาเกะกะบังร่มเงาพืชไร่ ก็สุมโคนเผาไฟ เสียดาย..มาก รูปภาพล่าสุดที่ได้มา (1/4/2018) ตอนนี้ดอกเริ่มน้อยลง ใบผลิใหม่มากขึ้นได้มาช่วงปลายระยะออกดอกติดผลแล้ว ช่วงตอกออกใหม่ ๆจะเต็มต้น**
|
|
ปรู/Alangium salviifolium
[al-LAN-jee-um] [sal-vee-eye-FOH-lee-um]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin.(1910) ชื่อพัอง ---Has 12 Synonyms. ---Basionym: Grewia salviifolia L.f.(1782) ---Alangium lamarckii Thwaites.(1859) ---Karangolum salviifolium (L.f.) Kuntze.(1891) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-5625 ชื่อสามัญ---Hill sack tree, Sage-leaved alangium, Stone mango. ชื่ออื่น---ปรู (ภาคกลาง); ปรู๋ (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ผลู (ภาคกลาง); มะเกลือกา (ปราจีนบุรี); มะตาปู๋ (เชียงใหม่) ;[BENGALI: Akarakanta];[CHINESE: Tu tan shu];[FRENCH: Alangier à feuilles de saule.];[HINDI: Akol, Ankul, Dhera, Nikochak, Thel.];[KANNADA: Ankole, Ankole mara, Kallu mavu, Guddada goni.];[MALAYALAM: Alinnil, Ankolam, Cem-maram];[MARATHI: Ankol.];[NEPALI: Amphee];[SANSKRIT: Kangarola, Dhela, Dirghakila, Gandhapuspa, Gudhamallika.];[TAMIL: Alangi, Alincil, Ankolam, Ankotam.];[TEJUGU: Ankolamu, Udugu.];[THAI: Pru (Central); Pru (Northeastern,Northern);Phlu(Central); Ma kluea ka (Prachin Buri); Ma tapu (Chiang Mai).];[TIBETAN:A go ta, A ke ta]. ชื่อวงศ์---CORNACEAE (ALANGIACEAE) EPPO Code---ALNSA (Preferred name: Alangium salviifolium.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย, ทวีปแอฟริกา เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ศรีลังกา อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ตอนเหนือของเวียตนาม มาเลเซีย-แอฟริกาตะวันออก - เคนยา, แทนซาเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Alangium' เป็นภาษาลาตินซึ่งมาจากภาษามาลายาลัม (Malayalam) ในอินเดีย “Alangi” ที่ใช้เรียกพืชชนิดนี้ ซึ่งในภาษา Kerala หมายถึง Alangium salviifolium ถูกตั้งชื่อในปี 1783 โดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'salviifolium' = มีใบคล้ายพืช Salvia Alangium salviifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ฝาละมี (Cornaceae หรือ Alangiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของ Carl Linnaeus และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Walther Wangerin (1884–1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2453 มีสายพันธุ์ย่อยที่ยอมรับได้ 2 สายพันธุ์คือ -Alangium salviifolium (L. f.) Wangerin เป็นไม้ยืนต้น -Alangium salviifolium subsp. hexapetalum (Lam.) Wangerin เป็นไม้เถาเลื้อยมีมือจับ
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เนปาล ศรีลังกา หมู่เกาะโคโมโรและแอฟริกาเขตร้อนตะวันออก (เคนยา, แทนซาเนีย) พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เติบโตในป่าไม้ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,200 เมตร ในภาคใต้ของจีน ป่าฝนที่ลุ่มและป่าริมแม่น้ำที่ระดับความสูงไม่เกิน 750 เมตร ในประเทศไทยพบได้ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปทางภาคกลางและภาคเหนือ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200-500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 8-10 เมตร ลำต้นมักบิดและคดงอ ส่วนโคนต้นมักเป็นพูต่ำ ๆ เปลือกต้นด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแดง แตกล่อนเป็นสะเก็ด ส่วนเปลือกด้านในและกระพี้เป็นสีเหลืองอ่อน และแก่นกลางเป็นสีน้ำตาลเขียว กิ่งก้านเกลี้ยง หรืออาจมีขนเล็กน้อยตามกิ่งอ่อน กิ่งแก่แคระแกรนปลายแหลมคล้ายหนาม จะผลัดใบหมดก่อนผลิดอก ใบเดี่ยวกว้างประมาณ 5-7 ซม.ยาวประมาณ 8-15 ซม. มักออกในระนาบ รูปไข่หรือไข่กลับ ปลายเป็นติ่งแหลมหรือป้าน ใบแก่เรียบเกลี้ยง ด้านล่างมีขนประปรายบนเส้นใบ ก้านใบยาว 0.5-1.5 ซม. ช่อดอกยาว 1.4-2.3 ซม.ก้านช่อดอกมักรวมกันเป็นกระจุก 4-8 ดอก หรือน้อยกว่า บางครั้งออกดอกเดี่ยว ดอกขนาด1.2-3.3 ซม.สีเหลืองอ่อนหรือครีมดอกแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล กลีบดอก 5 (7) กลีบอยู่ชิดกันแต่ไม่ซ้อนกัน กลีบเป็นเส้นยาวโค้งไปด้านหลังเมื่อดอกบาน มีกลิ่นหอม เกสรเพศผู้ 10–32 อัน อับเรณูแคบ ยาว 0.5–1.4 ซม.ผลรูปกลมหรือรูปไข่ มีชั้นกลีบเลี้ยงติดที่ปลายผล ผลเกลี้ยงหรือมีขนห่างๆบางทีมีเส้นเล็กๆ 12 สัน ขนาด 0.9-2.4 ×0.6-1.6 ซม.สีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งภายในมี 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด ดินชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางและมีการระบายน้ำที่ดี ทนต่อดินที่ไม่ดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางรดน้ำให้สม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้ง แต่ก็สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้พอสมควร รดน้ำในปริมาณที่มากขึ้นในฤดูร้อน เว้นช่วงระยะรดน้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดแต่งหลังออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเป็นครั้งคราวด้วยปุ๋ยสูตรสมดุลเพื่อให้พืชแข็งแรง ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเกียวกับศัตรูพืชหรือโรคพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---ไม่มีข้อมูล
Picture by: https://www.researchgate.net/figure/Alangium-kayuniga-KMWong-fruiting-branch -Photo-Muhammad-Ariffin_fig1_278023813 ใช้ประโยชน์--- พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าโดยเฉพาะในอินเดียเพื่อใช้ในยาแผนโบราณ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่มีคุณค่าของไม้ในท้องถิ่นและมักจะเติบโตเป็นไม้ประดับ -ใช้กินได้ ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม -ใช้เป็นยา เปลือกไม้ขมมากเป็นยาที่ใช้กันทั่วไปในอินเดีย ใบนำมาใช้ในการรักษาโรคหอบหืด ผลไม้ใช้เป็นยาถ่ายเสมหะขับลมและเป็นยาแก้พิษ น้ำผลไม้ถูกนำไปใช้กับดวงตาในการรักษาโรคตา และใช้ในการขับพยาธิและเพื่อรักษาท้องมาน, ความดันโลหิตสูง, ท้องร่วง, ไข้, อาการปวดหลัง, ความผิดปกติของเลือด, งูและหนูกัด, โรคเรื้อนและโรคผิวหนังอื่น ๆ ยาต้มของพืชทั้งหมดรวมกับมะพร้าวนำมาใช้ภายนอกสำหรับการรักษาไฟลวก น้ำร้อนลวก -ในอายุรเวท รากและผลใช้สำหรับรักษาโรคไขข้อและริดสีดวงทวาร เปลือกรากยังใช้ขับพยาธิ ( Platyhelminthes ) และปรสิตภายในอื่นๆ ออกจากร่างกาย ใช้เป็นยาขับลมและยาระบาย ภายนอกใช้สำหรับรักษาโรคพิษสุนัขบ้า (กระต่าย หนู งู แมงมุม และสุนัขกัด) -ตำรายาไทยใช้แก่นหรือเนื้อไม้เป็นยาบำรุงกำลัง เปลือกต้นมีรสฝาด ใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาบำรุงธาตุไฟ ปิดธาตุ ส่วนผลมีรสร้อนเบื่อ สรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ เปลือกรากนำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้พิษ เป็นยาทำให้อาเจียน -ใช้ปลูกประดับ สามารถใช้ปลูกเดี่ยว ๆในสวนขนาดเล็ก สำหรับจัดสวนในพื้นที่พิเศษ นอกจากนี้ยังมีการใช้ชาติพันธุ์วิทยาทำให้เป็นสวนสมุนไพร -ใช้อื่น ๆไม้เนื้อแข็งเนื้อไม้สีน้ำตาลมีความละเอียดและหนัก ลายไม้ชิดกัน มีความเหนียวและมีความสวยงาม นิยมใช้ในงานแกะสลัก ทำพานท้ายปืน ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องกลึง เครื่องประกอบเกวียน และเฟอร์นิเจอร์ -ในอินเดีย กิ่งไม้ ใช้เป็นแปรงสีฟัน -ส่วนผสมของผลไม้สุกรวมกับน้ำผึ้งและรากของAcorus calamus(ว่านน้ำ)ใช้เป็นยาฆ่าแมลงในการจัดการศัตรูพืชทางการเกษตร -ในเคนยาลำต้นนั้นใช้เพื่อทำหอก เนื่องจากมีปลายแหลม -น้ำมันที่กินไม่ได้จากเมล็ดพืชใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ในอินเดียถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และมีการสร้างวัดใกล้กับต้นไม้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
มะเม่า/Antidesma puncticulatum
[an-tid-ESS-muh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Antidesma puncticulatum Miq.(1861) ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-12276 ---Antidesma bunius var. thwaitesianum (Müll.Arg.) Trimen.(1885) ---Antidesma thwaitesianum Müll.Arg.(1866) ชื่อสามัญ---Mao Luang Fruit Tree, Mao luang, Mamao, Mao, Thai Blueberry ชื่ออื่น---หมากเม้า, บ่าเหม้า (ภาคเหนือ), หมากเม่า (ภาคอีสาน), มะเม่า, ต้นเม่า (ภาคกลาง), เม่า, เม่าเสี้ยน, หมากเม่าหลวง, มะเม่าหลวง, มัดเซ ;[THAI: Makmao, Bamao (Northern); Makmao (North Easthern); Mamao, ton mao (Central); Mao, Mao siean, Makmao luang, Mamao luang, Mao luang, Mut sae.]. ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE EPPO Code---ATDPU (Preferred name: Antidesma puncticulatum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย (อินโดจีนและมาเลเซีย) เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย (นิโคบาร์และอันดามัน), ศรีลังกา, เวียดนาม, กัมพูชา, ไทย, สุมาตรา, บอร์เนียว, ออสเตรเลีย, หมู่เกาะบิสมาร์คฒ เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และแอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Antidesma' มาจากภาษากรีก “anti”= ต่อต้าน และ “desma”= แถบหรือเชื่อมติดกัน อาจอ้างอิงถึงลักษณะของช่อผลที่ผลเป็นสายไม่เชื่อมติดกัน ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'puncticulatum' =No data Antidesma puncticulatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปีพ.ศ.2404
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีนและมาเลเซีย การกระจายใน อินเดีย (เฉพาะหมู่เกาะนิโคบาร์และอันดามัน), ศรีลังกา, เวียดนาม, กัมพูชา, ไทย, สุมาตรา, บอร์เนียว ออสเตรเลีย, หมู่เกาะบิสมาร์คฒ เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และแอฟริกา ได้รับการแนะนำใน เอเชีย-ทรอปิคอล อินโดจีน ประเทศไทย ขึ้นทั่วไปในป่าเต็งรัง ตามทุ่งหญ้าเนินเขาในที่โล่ง ที่โล่งลุ่มต่ำและป่าพรุ ที่ระดับความสูง 0-500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 25 ซม.dbh เรือนยอดแผ่กว้าง แตกกิ่งก้านมาก กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มทรงกลม กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขน เปลือกนอกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องตื้นๆตามยาวของลำต้น หรือแตกเป็นสะเก็ด เปลือกในสีแดงอมชมพู ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับรูปรีถึงวงรี กว้าง 3.5-4.5 ซม.ยาว 5-7 ซม.โคนใบหยักเว้าเล็กน้อยปลายใบทู่หรือมนกลม หูใบ 1 คู่ ใบสีเขียวเป็นมันเรียบเกลี้ยงดอก ออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก สีเขียวขนาดเล็ก เป็นแบบดอกแยกเพศอยู่คนละต้นกัน (dioecious) ดอกเพศผู้ยาว 1.5 มม.สีเขียวออกเหลือง มีกลิ่นเล็กน้อย เรียงห่างๆบนก้านชูที่ตั้งตรงมี 2-8 ช่อยาว 3-10 ซม.ส่วนดอกดอกเพศเมียขนาด 2.3 มม.ปลายเกสรเพศเมียแยกเป็น 3-4 แฉก หมอนรองดอกรูปถ้วยมีขนยาว ผลสดทรงกลมเบี้ยว ขนาด 0.3-0.5ซม.ผลดิบสีเขียวเมื่อเข้าสู่ระยะสุกผลเปลี่ยนเป็นสีแดงและสีดำเมื่อสุกจัด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในทุกพื้นที่ ต้องการแสงแดดจัด ทนแล้งได้ดี การรดน้ำ---ให้น้ำเดือนละ 1-2 ครั้ง ช่วงหน้าแล้งจะให้4-6 ครั้ง/เดือน ให้น้ำมากขึ้นในช่วงออกดอกติดผลให้น้ำทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดแต่งหลังออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมกับปุ๋ยคอก 1-2 ครั้ง/ปี ก่อนออกดอกและหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนแดงเจาะกิ่ง แมลงกินูน รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์--- ใช้กินได้-ยอดอ่อนกินเป็นผักสด ผลสุกใช้กินได้ ผลฉ่ำน้ำมีรสเปรี้ยว นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น แยม น้ำผลไม้ หรือนำไปทำเป็นไวน์เกรดคุณภาพสูง น้ำหมากเม่าหรือน้ำคั้นที่มาจากผลมะเม่าสุกสามารถนำไปทำสีผสมอาหารได้โดยจะให้สีม่วงเข้ม -ใช้เป็นยา คนสมัยโบราณมักนิยมกินสด หรือนำมาคั้นน้ำ ดื่มเพื่อใช้เป็นยาแก้ร้อนใน หรือถอนพิษไข้ จากการวิจัยพบว่าน้ำหมากเม่ามีสรรพคุณมากมาย อุดมไปด้วยสารอาหารทั้ง วิตามินบี 1 วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม เหล็ก และยังมีกรดอะมิโนอีก 28ชนิด สารแอนโทไซยานินที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์-มะเม่ามีศักยภาพในการช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV อีกด้วย (กัมมาลและคณะ, 2546) -ใช้ปลูกประดับ นำมาจัดสวน ให้ร่มเงาแล้วใช้ประโยชน์เป็นอาหารสมุนไพรได้ -อื่น ๆ เนื้อไม้ใช้ทำเป็นที่อยู่อาศัยหรือทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้ ระยะออกดอก/ผลสุก---มีนาคม-พฤษภาคม/สิงหาคม-กันยายน ขยายพันธุ์ ---เมล็ด
|
|
มะพอก/Parinari anamense
ชื่อวิทยาศาสตร์---Parinari anamensis Hance.(1877) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2984952 ---Parinari albida Craib.(1912) ---Parinari anamensis (Hance) JEVidal.(1964) ชื่อสามัญ---Annamese burada ชื่ออื่น---กระท้อนลอก (ตราด); จัด, จั๊ด (ลำปาง); ตะเลาะ (ส่วย-สุรินทร์); ตะโลก (เขมร-สุรินทร์); ท่าลอก (นครราชสีมา, พิษณุโลก, ปราจีนบุรี); ประดงไฟ, ประดงเลือด (ราชบุรี); พอก (อุบลราชธานี); มะคลอก (สุโขทัย, อุตรดิตถ์); มะพอก (ราชบุรี, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะมื่อ, หมักมอก, หมักมื่อ (ภาคเหนือ); หมากรอก (ประจวบคีรีขันธ์); เหลอะ (ส่วย-สุรินทร์) ;[CAMBODIA: Nakorkuk Thlok (=The land of the thlok tree); Thlok (Central Khmer).];[THAI: Kra thon lok (Trat); Chat (Lampang); Ta-lo, Loe (Suai-Surin); Ta-lok (Khmer-Surin); Tha lok (Nakhon Ratchasima, Phitsanulok, Prachin Buri); Pradong fai, Pradong lueat (Ratchaburi); Phok (Ubon Ratchathani); Ma khlok (Sukhothai, Uttaradit); Ma phok (Northeastern, Ratchaburi); Ma mue, Mak mok, Mak mue (Northern); Mak rok (Prachuap Khiri Khan)];[VIETNAM: Cây Cám, Cám]. ชื่อวงศ์---CHRYSOBALANACEAE EPPO Code---PNAAN (Preferred name: Parinari anamensis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม; แอฟริกา-มาดากัสการ์ แปซิฟิก; อเมริกากลาง อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Parinari' เป็นชื่อที่ใช้เรียกพืชในสกุลนี้ในแถบอเมริกาใต้ หมายถึงสายพันธุ์บราซิล; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'anamensis' = จากเมืองอันนัม ประเทศ เวียตนาม Parinari anamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพอก (Chrysobalanaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Fletcher Hance (1827–1886) เป็นนักการทูตชาวอังกฤษที่อุทิศเวลาว่างให้กับการศึกษาพืชจีน ในปีพ.ศ.2420
ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายอย่างกว้างขวางทั่วไปในเขตร้อน ; ในแอฟริกาใต้-จากเซเนกัลถึงซูดานและเคนยาและทางใต้สู่นามิเบียและนาตาล -ในมาดากัสการ์ตะวันออก; จากอินโดจีนผ่านอินโดนีเซียนิวกีนีทางเหนือของรัฐควีนส์แลนด์และแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ -ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ตั้งแต่คอสตาริกาจนถึงตรินิแดดและบราซิลตอนใต้ ฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดของผลไม้ Parinari มาจากยุคต้นของเอธิโอเปีย ปานามาและโคลัมเบีย ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดงดิบ ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณทั่วไปทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ที่ระดับน้ำทะเล 0-1500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ สูง 10-30 เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลปนเทา แตกแบบร่องยาวและลึก หรือแตกแบบเป็นเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมลอกหลุดได้ ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่กว้าง 4-9 ซม.ยาว 6-15 ซม.โคนใบมนสอบ ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม ขอบใบเรียบแผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างมีขนสีขาวปกคลุมหนาแน่น ดอกช่อออกแบบช่อแยกแขนง สีขาวออกตามปลายกิ่ง ยาว 5-10 ซม.ดอกย่อยที่บานขนาด 4-5 มม.เกสรเพศผู้ติดข้างเดียว 6-10 อันต่อดอก รังไข่อยู่ด้านข้างหรือปากท่อรองรับ ผลออกเป็นช่อประมาณ 3-15 ผล ผลกลมขนาด 0.30–0.40 x 0.30 ซม.มีเปลือกแข็งหนามีเนื้อไม้ ผิวผลหยาบไม่เรียบสีน้ำตาลปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทา มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 14 - 30°c แต่สามารถทนได้ 10 - 36°c เติบโตได้ดีที่สุดในดินเบา มักพบบนดินร่วนปนทรายสีน้ำตาลอ่อนถึงเหลืองอมแดง ดินร่วนปนทราย และดินเหนียวร่วนซุยสีแดงถึงแดงเข้ม ดินลูกรัง ชอบค่า pH ในช่วง 5.5 - 7 แต่ทนได้ 5 - 7.5 สามารถทนต่อความเข้มข้นของทองแดงในดินได้เล็กน้อย การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ทนแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโต ตัดแต่งหลังออกดอกและผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอ้นตราย---None known
Picture by---https://www.tradewindsfruit.com/parinari-anamensis-annamese-burada-seeds การใช้ประโยชน์---ใช้กินได้เนื้อผลสุก รอบ ๆ เมล็ด มีรสหวานหอม ใช้เนื้อของผลสุกนำมาบดผสมกับแป้งและน้ำตาล ทำเป็นขนมหวาน ซึ่งจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของมะพอก เนื้อข้างในเมล็ดมีรสมันคล้ายถั่ว -ใช้เป็นยา ตำรายาไทยใช้ แก่น ต้มน้ำดื่มและอาบแก้ประดง (อาการโรคผิวหนัง เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด คันมาก มักมีไข้ร่วมด้วย) แก้ผื่นคันแดงทั่วตัว ปวดแสบร้อน มีน้ำเหลืองไหลซึม -ยาพื้นบ้านใช้ แก่น ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่มแก้หืด -เปลือกต้น ประคบแก้ช้ำใน แก้ปวดบวม -อื่น ๆเนื้อไม้ กระพี้สีเหลืองอ่อน แก่นสีชมพูเรื่อ ๆ เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ทำฝา ฝ้า ทำกระดาน -น้ำมันจากเมล็ดใช้เป็นน้ำมันขัดเงากันซึม ใช้ในงานพิมพ์ -น้ำแช่ดอกไม้ ใช้เป็นเครื่องสำอางนำไปใช้หลังจากอาบน้ำ -ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) ระยะออกดอก/ระยะผลแก่---มีนาคม-เมษายน/มกราคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
ตะคร้อ/Schleichera oleosa
Species : [oh-lee-OH-sa]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Schleichera oleosa (Lour.) Merr.(1917) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50190963 ---Basionym: Pistacia oleosa Lour.(1790) ---Schleichera oleosa (Lour.) Oken.(1841) ชื่อสามัญ---Ceylon Oak, Macassar oil tree, Kusum tree, Malay Lac Tree, Honey Tree, Lac Tree, Gum lac tree. ชื่ออื่น---กาซ้อง, คอส้ม, ค้อ, เคาะจ้ก, มะเคาะ, มะจ้ก, มะโจ้ก (ภาคเหนือ), ตะคร้อไข่ (ภาคกลาง) ;[CAMBODIA: Kph p rong.];[FRENCH: Pongro, Quenettier rose.];[GERMAN: Macassaölbaum.];[HINDI: Koshamba, Kusum, Kusuma, Kosam, Kosumba.];[INDONESIA: Kesambi.];[KANNADA: Chakota, Kaakuta, Kaakada, Kendaale, Kendaala.];[MALAYALAM: Puvam, Doodalam, Poovam.];[MARATHI: Kusumb.];[SANSKRIT: Kusumbha.];[SRI LANKA: Koan.];[SWEDISH: Kussum.];[TAMIL: Kumbadiri, Poomarum, Coonjee marum, Poovam, Puvatthi, Karanachi, Pumaratha.];TELUGU: ay Roa Tanglia.];[THAI: Ta khro, Khor, Kho som, Makhor.];[VIETNAMESE: Dấu dầu.]. ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE EPPO Code---SHHOL (Preferred name: Schleichera oleosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Schleichera' มาจาก ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'oleosa' = Schleichera เป็นสกุล monotypic ของพืชในตระกูล Soapberry, Sapindaceae มีชนิดเดียวคือ Schleichera oleosa Schleichera oleosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เงาะ (Sapindaceae) หรือวงศ์ soapberry ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2460
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย-เอเซียใต้และในบางส่วนของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตามป่าผลัดใบ ป่าดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณทั่วไป พบที่ระดับความสูง 900–1200 ในประเทศไทยพบเกือบทุกภาค ตามป่าผลัดใบหรือป่าผลัดใบผสม ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 (40) เมตร สามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 2 เมตร แต่โดยทั่วไปจะน้อยกว่า แตกกิ่งก้านต่ำ เรือนยอดมีลักษณะเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง กิ่งก้านมักคดงอ ลำต้นเป็นปุ่มปมและพูพอน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเป็นสีน้ำตาลเทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนา ใบประกอบยาว 20 - 40 ซม. ใบย่อยรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขนาด 5-25 ซม. x 3-10 ซม มี2-4คู่ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ดอกสีเขียวอ่อน หรือแกมเหลือง ออกเป็นช่อห้อยลงจากปลายกิ่งหรือซอกใบ ผลรูปทรงกลมหรือรูปไข่ขนาด 15 - 25 มม. x 10 - 20 มม.สีเขียวสดแล้วเปลี่ยน เป็นสีน้ำตาล ปลายผลเป็นติ่งแหลม มีเมล็ด1-2 เมล็ดยาว 1.5 ซม.ผิวเรียบ สีน้ำตาล ห่อหุ้มด้วยเนื้อฉ่ำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดหรือร่มเงาบางส่วน อุณหภูมิในช่วง 30 - 42°c แต่สามารถทนได้ 10 - 47°c เมื่อพักตัว พืชสามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ลดลงถึง -4°c ทนต่อชนิดของดินได้หลายชนิดแต่ต้องมีการระบายน้ำที่ดี เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่ลึก และเป็นกรดที่อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 5 - 7.8 อัตราการเจริญเติบโตช้า เป็นต้นไม้ทนไฟ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ทนแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโต ตัดแต่งหลังออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ต้นไม้เป็นที่อยู่ของแมลงครั่ง Kerria lacca ซึ่งตัวเมียจะหลั่งเรซินที่เรียกว่าครั่ง เพื่อสร้างท่อคล้ายอุโมงค์ขณะที่มันลัดเลาะไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ รู้จักอ้นตราย---มีสารประกอบไซยาโนเจนซึ่งอาจทำให้เกิดความเวียนศีรษะและควรกำจัดออกหากใช้น้ำมันเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้เอนกประสงค์เป็นแหล่งอาหารและยา และสินค้าหลากหลายเพื่อใช้ในท้องถิ่น มันได้รับการปลูกเป็นครั้งคราวตลอดทั้งเขตร้อนโดยเฉพาะในอินเดีย -ใช้กิน ใบอ่อนและหน่ออ่อน - ดิบปรุงในซุปหรือนึ่งและเสิร์ฟพร้อมข้าว ผลสุกกินสดหรือดองรสเปรี้ยวอร่อย เนื้อของผลไม้มีรสฝาดทำให้เจริญอาหาร น้ำมันที่ได้จากเมล็ดเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองที่เรียกว่าน้ำมัน macassar บางครั้งใช้สำหรับการทำอาหาร -ใช้เป็นยา น้ำมันเมล็ดหรือที่เรียกว่า 'Kusum Oil' ใช้ในอายุรเวทสำหรับโรคผิวหนังต่างๆ เปลือกมีสารแทนนินประมาณ 10% และ lupeol ผสมเป็นยาแก้ปวด เปลือกใช้เป็นยาสมานแผลและใช้ในการรักษาโรคเรื้อน, ผิวหนังและแผลพุพอง -ในยาแผนโบราณน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนั้นจะถูกใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการคัน, สิวและโรคผิวหนังอื่น ๆ -น้ำมันจากเมล็ดใช้เป็นตัวกระตุ้นหนังศีรษะ ทั้งทำความสะอาดและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม -น้ำมันยังใช้เป็นยาระบายและป้องกันโรคอหิวาตกโรค -ใช้ภายนอกนวดรักษาโรคไขข้อ แก้ปวดศีรษะ -อื่น ๆ แก่นไม้สีน้ำตาลอมชมพูนั้นแข็งทนทานและยอดเยี่ยมในการทำสาก ล้อเกวียน เพลาคันไถ ด้ามจับเครื่องมือและลูกกลิ้งของโรงงานน้ำตาลและแท่นอัดน้ำมัน -ในภาคใต้ของอินเดีย น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดที่เรียกว่า 'Kusum oil' เป็นส่วนประกอบอันทรงคุณค่าของน้ำมันมากัสซาร์แท้ ที่ใช้ในการทำผม นอกจากนี้ยังใช้สำหรับให้แสงสว่าง น้ำมันยังใช้ในอุตสาหกรรมผ้าบาติก -ในอินเดียมันถูกใช้เป็นพืชสำหรับเลี้ยงครั่ง ผลิตภัณฑ์นี้เรียกว่า 'Kusum lac' และดีที่สุดในด้านผลผลิตและคุณภาพ -เมล็ดบดเป็นผงใช้กับบาดแผลและแผลของวัวเพื่อกำจัดหนอน ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มกราคม-เมษายน/มีนาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
|
ตะคร้อหนาม/Sisyrolepis muricata
Species : [mur-ee-KAY-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sisyrolepis muricata (Pierre) Leenh.(1977) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2582237 ---Basionym: Paranephelium muricatum Pierre.(1895) ---Delpya muricata (Pierre) Pierre ex Radlk.(1914) ชื่อสามัญ----None (Not recorded) ชื่ออื่น (Other Local Names)---เคาะหนาม, เคาะหยุม, ตะคร้อ, มะจ๊กหนาม, มะจ๊กหยุม (ภาคเหนือ); ค้อหนาม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ตะคร้อหนาม (ภาคกลาง); ตะค้อ (ตะวันตกเฉียงใต้); ปันรัว (เขมร-สุรินทร์) ;[THAI: Kho nam, Kho yum, Ta khro, Ma chok nam, Ma chok yum (Northern); Kho nam (Northeastern); Ta khro nam (Central); Ta kho (Southwestern); Pan-rua (Khmer-Surin).];[VIETNAM: Đàn bi]. ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE EPPO Code---1SAPF (Preferred name: Sapindaceae.) ถิ่นกำเนิด----ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'muricata' = มีหนามหยาบสั้น ๆ มากมาย อ้างอิงถึงหนามของผล Sisyrolepis เป็นสกุล monotypic ของพืชในตระกูล Soapberry, Sapindaceae มีชนิดเดียวคือ Sisyrolepis muricata Sisyrolepis muricata ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pieter Willem Leenhouts (1926–2004) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปีพ.ศ.2520
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดใน อินโดจีน (ไทย กัมพูชา เฉพาะเวียตนามใต้เท่านั้น) ถึงคาบสมุทรมาเลเซีย ขึ้นกระจายในป่าฝนเขตร้อนที่ระดับความสูงความสูง100-325 เมตร ในประเทศไทยพบทางทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะ ไม้พุ่มถึงไม้ต้นสูงได้ถึง 10 (-15) เมตร ใบประกอบเป็นคู่เชื่อมต่อกัน 4 จุด (jugate) รูปรีถึงรูปขอบขนาน กว้าง 7 ซม.ยาว18 ซม.ปลายใบกลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบเว้าตื้นถึงเฉียง ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายยอเป็นช่อแยกแขนงดออกเป็นช่อยาว (คล้ายกิ่ง) ยาวได้ถึง 32 ซม.กลีบเลี้ยงรูปไข่ขนาด 3–3.8 x 0.8–1.6 มม.สีขาว ก้านดอกยาว 0.6-0.8 ซม กลีบดอก 4-5 กลีบ วงรีสีขาว 4–7.2 x 3–4.7 มม., มักเล็กกว่า 2 กลีบ อับเรณูสีแดง ผลเป็นแคปซูลแห้งไม่แตกรูปค่อนข้างกลมขนาด 3.5–4 x 3.7–4 ซม..มีหนามอ่อนหลายอัน ยาวสูงสุด 3 ซม. เมล็ดมี 1-3 เมล็ดขนาด 1.5–2.1 x 1.6–1.7 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ทนแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงและเพื่อการเจริญเติบโต ตัดแต่งหลังออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---None known รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อในผลกินได้รสเปรี้ยวจัด -ใช้เป็นยา สรรพคุณ ลำต้น แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต แขนงหรือกิ่ง ต้มดื่มแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำต้นผสมกับรากสามสิบ รากเจตพังคี เปลือกต้นเสี้ยวใหญ่ ต้มน้ำดื่ม แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ผลใช้เป็นยาระบายอย่างดี -อื่น ๆเนื้อไม้แข็งมาก มีความทนทานสูง อดีตใช้ทำเสา ตะม่อและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ สถานภาพ---พืชหายาก (rare plant) ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-เมษายน (สิงหาคม)/มีนาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด **การพูดคุยส่วนตัว---ได้รูปตะคร้อหนามต้นนี้มาจากวัดเขาดีสลัก อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ถ่ายไว้เมื่อปี 2546 **
|
ตะคร้ำ/Garuga pinnata
[gah-REW-guh] [pin-NAY-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Garuga pinnata Roxb.(1819) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Garuga pharhad Buch.-Ham.(1835) ---Guaiacum abilo Blanco.(1837) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2817312 ชื่อสามัญ---Grey Downy Balsam, Garuga, Garuga Tree. ชื่ออื่น---กะตีบ, แขกเต้า, ค้ำ (ภาคเหนือ); ตะคร้ำ (ภาคเหนือ, ภาคกลาง); ปีชะออง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); มะกอกกาน (ภาคกลาง); หวีด (ภาคเหนือ); อ้อยน้ำ (จันทบุรี) ;[ASSAMESE: Thutmala, Pama, Kesh-kechi, Pani-amora, Rahimola.];[AYURVEDA: Paaranki, Kharpata.];[BENGALI: Jum, Kapila.];[BENGALI: Jum, Kapila.];[CHINESE: Jiā lǎn shǔ, Yǔ yè bái tóu shù ; Wài xiàng mù (yúnnán dǎizú yǔ).];[HINDI: Ghogar, Kharpat.];[KANNADA: Kaashthanelli, Aranelli, Biligadde.];[MALAYALAM: Annakkara, Eechakkara, Karuvembu, Kareyam, Kattukalasam, Kattunelli, Kosramba.];[MARATHI: Kakad.];[MYANMAR: Chinyok, Mai-kham, Sinyok, Taesap.];[NEPALI: Dabadabe, Ramasin.];[SANSKRIT: Kinikirath, Karnikarha];[SIDDHA/TAMIL: Karre Vembu, Arunelli.];[TAMIL: Arunelli, Karuvempu];[TELUGU: Konda Vepa, Garuga];[THAI: Katip (Northern); Khaek tao, Kham, wit (Northern); Ta khram (Central, Northern); Pi-cha-ong (Karen-Kanchanaburi); Ma kok kan (Central); Oi nam (Chanthaburi).];[VIETNAM: Dầu heo.]. ชื่อวงศ์---BURSERACEAE EPPO Code---GUGPI (Preferred name: Garuga pinnata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน,อนุทวีปอินเดีย,เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า,ไทย,มาเลเซีย อินโดนีเซีย,เวียดนาม,ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Garuga' จากภาษาเตลูกู ภาษาของชายฝั่ง Coromandel ของอินเดีย ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'pinnata' = รูปขนนก อ้างอิงถึงลักษณะใบ Garuga pinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะแฟน (Burseraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2362 ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นใน อนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศจีน เป็นพืชเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าเขา ป่าโปร่ง หุบเขาที่ระดับความสูง 400 -1,400เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นตามที่ราบป่าโปร่งและป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 550-1,200 เมตร
Pictures by---https://alchetron.com/Garuga-pinnata ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือทรงกระบอกมีความสูง 4-10 เมตร ลักษณะลำต้นเปลาตรง โคนมักเป็นพูพอน เปลือกต้นสีเทาออกชมพูหรือเทาออกน้ำตาลมีรอยแตกตื้นๆ ลอกเป็นสะเก็ดขนาดใหญ่ไม่สม่ำเสมอ เปลือกด้านในสีครีม มีเส้นริ้วสีชมพูและมีน้ำยางสีชมพู กิ่งอ่อนและก้านช่อดอกมีขนสีเทา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ออกเป็นกลุ่มที่ปลายกิ่ง ยาว 25-30 ซม.ตอนยังเป็นใบอ่อนมีขน ขนจะติดหนาแน่นตามปลายกิ่ง ใบแก่จะเกลี้ยง ใบย่อย 7-13 คู่ รูปขอบขนาน รูปรี หรือรูปหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ขอบใบหยักกลม โคนใบแหลม หรือมนเบี้ยว ก้านใบสั้นมาก ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกรวมเป็นช่อที่ยอดยาวประมาณ 15 ซม. กลีบดอก 5 กลีบ รูปขอบขนานหนาและงอที่ปลาย ดอกสีเหลืองกลิ่นหอมอ่อนๆ เกสรเพศผู้ 10 อัน ผลเป็นผลสดสีเขียวเหลืองกลมมนปลายผลมีติ่งเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2-1.8 ซม.มีเมล็ดกลม 1 มล็ด ขนาด 1.5-2 ซม. เมล็ดมีเนื้อนุ่มภายในมีผิวแข็งหุ้มเมล็ดสีเขียวอมเหลือง แก่จัดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดแดด อุณหภูมิอยู่ในช่วง 30 - 42°C แต่สามารถทนได้ 7 - 47°C ทนอุณหภูมิต่ำสุด 2°C ขึ้นได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางมีการระบายน้ำดี ชอบ pH ในช่วง 6-7 ทนได้ 5.5 - 8 การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง (ข้อควรสังเกตุ) การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้โครงสร้างโดยรวมของพืชเหี่ยวเฉาและอาจทำให้รากเน่าได้ ควรหยุดรดน้ำต้นไม้ทันที แต่ถ้าพืชขาดน้ำใบของพืชก็จะเหี่ยวเฉาแห้งและร่วงหล่นเหมือนกัน แต่ใบก็จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากรดน้ำเพียงพอ ในช่วงฤดูหนาว อยู่ในช่วงพักตัว สามารถรดน้ำทุกๆ 2 ถึง 3 สัปดาห์หรือบางครั้งก็ไม่รดน้ำเลย การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ตุ่มน้ำอาจเกิดขึ้นบนพืช ที่เกิดจากเชื้อ Phacopteron lentiginosum ( Psylloidea: Phacopteronidae )ซึ่งจำนวนประชากรอาจถูกควบคุมโดยปรสิต รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์ ---ใช้กินได้ ผลกินดิบหรือดอง -ใช้เป็นยา เปลือกมีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคมะเร็ง, ปัญหากระเพาะอาหาร, โรคเบาหวาน, โรคหอบหืด, โรคอ้วน, ม้ามโต, การติดเชื้อในปอด, รักษา opacities ของเยื่อบุตาและรักษาบาดแผล -ในอินโดจีนใช้เปลือกกับน้ำผึ้งเพื่อรักษาโรคหอบหืด (Perry 1980) ที่มา : พืชสมุนไพรของพม่า -สารสกัดด้วยน้ำและเอธานอลของใบมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต่อต้านการแพ้ -ใช้อื่น ๆ กระพี้เป็นสีขาวแก่นไม้สีน้ำตาลแดง ไม้ค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ทนไม่ค่อยมีการใช้งานมากนักอาจใช้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์คุณภาพต่ำ ใบใช้เลี้ยงสัตว์ เปลือกไม้ทาทำให้ผิวดำ ใช้ย้อมตอกสีดำ ใช้ฟอกหนัง เป็นเชื้อเพลิงที่ไม่ดี - ผลใช้เบื่อปลา-เปลือกเป็นแหล่งที่มาของแทนนิน -ต้นไม้ให้ยางใสมากมาย แต่มีค่าน้อย สารหลั่งสีเหลืองแกมเขียวของต้นไม้นี้ เรียกว่า 'curvambu' ประกอบด้วยเรซินและน้ำมันบางส่วน มีกลิ่นและรส terebinthiaceous -ต้นไม้ชนิดนี้ปลูกในสวนภายในบ้านในอินเดียเพื่อใช้เป็นผลไม้ที่กินได้และยังใช้เป็นไม้ค้ำยันสำหรับ Piper nigrum (พริกไท) ระยะออกดอก/ติดผล ---มีนาคม-พฤษภาคม/พฤษภาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ชำราก
|
ตะโกนา/Diospyros rhodocalyx
Genus : [dy-oh-SPY-ros]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Diospyros rhodocalyx Kurz.(1871) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2770430 ---Diospyros chevalieri Lecomte.(1928) [Illegitimate] ---Diospyros finetii Lecomte.(1928) ชื่อสามัญ---Ebony, Persimmon Tree, Tako, Ebony Bark Tree. ชื่ออื่น---โก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ตะโกนา (ทั่วไป); นมงัว (นครราชสีมา); มะโก (ภาคเหนือ); มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่) ;[CAMBODIA: Dangko.];[THAI: Ko (Northeastern); Tako-na (General); Nom ngua (Nakhon Ratchasima); Ma ko (Northern); Ma than fai phi (Chiang Mai).];[TURKISH: Veya abanoz, Veya hurma ağacı.]. ชื่อวงศ์---EBENACEAE EPPO Code---DOSSS (Preferred name: Diospyros sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธฺุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-จากพม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Diospyros' มาจากภาษากรีก 'dios'= ศักดิ์สิทธิ์ และ 'pyros' = ข้าวสาลีหรือธัญพืชสำหรับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ Diospyros rhodocalyx เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2414 ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 300 เมตร ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ และตามทุ่งนา ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 40-300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงได้ถึง 8-15 เมตร เปลือกสีเทาดำแตกเป็นร่องยาว ใบเป็นใบเดี่ยวกว้าง 2.5-7 ซม.ยาว 3-12 ซม.รูปไข่กลับ โคนใบสอบเป็นรูปลิ่ม ป้อมหรือป้าน ปลายใบโค้งมน เนื้อใบค่อนข้างหนาและเกลี้ยง ขอบใบเรียบแผ่นใบด้านล่างมีขนสั้นนุ่ม เส้นแขนงใบข้างละ 5-8 เส้น ก้านใบยาว 2-7 มม. ดอกออกเป็นช่อ เป็นแบบแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อกระจุกสั้น ๆ ตามซอกใบ ก้านดอกยาว 1-2 มม.กลีบเลี้ยงรูประฆัง ยาว 3-4 มม. ดอกรูปคนโท ยาว 0.8-1.2 ซม. มี 4 กลีบ แฉกตื้น ๆ เกสรเพศผู้ 14-16 อัน รังไข่ที่ไม่เจริญมีขน ดอกเพศเมียออกเดี่ยว ๆ ก้านดอกยาว 2-3 มม. รังไข่มี 4 ช่อง มีขนคล้ายขนแกะ ก้านเกสรเพศเมียมีขนหยาบ เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันมี 8-10 อัน ผลกลมแป้นเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม.มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลืองเกลี้ยง แห้งเปราะ ก้านผลยาว 2-5 มม.กลีบเลี้ยงแฉกลึกเกินครึ่ง มี 4 เมล็ด สีน้ำตาลดำแข็งทรงรี ขนาดประมาณ 1.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด ทนแล้ง ดูแลรักษาง่าย การรดน้ำ---เป็นไม้ป่าและเป็นพืชทนแล้ง การให้น้ำให้ในระยะแรก งดการให้น้ำในฤดูฝนและปล่อยตามธรรมชาติได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดกิ่งที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง แต่อาจเกิดโรคใบจุดได้ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้คล้ายมะพลับ เนื้อหุ้มเมล็ดมีรสฝาดหวาน ใช้เป็นยา--- รากแก้บวม ถ่ายพยาธิ แก้ฝีแก้แผลเปื่อยพุพอง -เปลือกราก แก้บวม ท้องร่วง แก้อาเจียน แก้บิด สมานแผล -เปลือกต้นลดน้ำตาลในเลือด บำรุงธาตุ ทำให้เกิดกำลัง แก้ปวดฟัน แก้อาเจียน -เปลือกผล ขับปัสสาวะ -เนื้อไม้ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร-ดอก,ผล แก้บวม พยาธิ -ยางต้น สมานแผล แก้ท้องเดิน แก้บิด น้ำกัดเท้า -ยางผลแก้ท้องร่วง แผลน้ำกัดเท้า ใช้ปลูกประดับ--- นิยมปลูกเพื่อใช้ทำไม้ดัดและบอนไซมากที่สุด นำมาใช้ตกแต่งสวน สนามหญ้า อาคาร ใช้อื่น ๆ--- เนื้อไม้สีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน แข็งแรง เหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด ใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน-ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้าให้สีน้ำตาล ความเชื่อ/พิธีกรรม--- เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนและอายุยืนเหมือนต้นตะโก ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/พฤษภาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
รกฟ้า/Terminalia elliptica
[ter-min-NAY-lee-uh] [ee-LIP-tih-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Terminalia elliptica Willd.(1806) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms. ---Terminalia alata B.Heyne ex Roth.(1821) ---Pentaptera tomentosa Roxb. ex DC.(1828) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:171100-1#synonyms ชื่อสามัญ---Laurel, Indian laurel, Laurel tree, Black murdah, Crocodile-bark Tree. ชื่ออื่น---กอง (สงขลา, ภาคเหนือ); คลี้ (ส่วย-สุรินทร์); จะลีก (เขมร-บุรีรัมย์); เชือก (สุโขทัย); เซียก, เซือก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); รกฟ้า (ภาคกลาง); สะพิแคล่ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); ฮกฟ้า (ภาคเหนือ) ;[BENGALI: Piasal.];[BURMESE: Taukyan.];[CHINESE: He zi shu.];[HINDI: Asan, Sain, Saj, Sadora, Piasal, Usan, Amari, Karimaridi.];[JAPANESE: Kuchinashi mirobaran.];[KANNADA: Banappu, Kirimatti, Sadada.];[LAOS: Suak 'mon, Suak, Suak kieng, Suak dam.];[MALAYALAM: Tehmbara.];[MARATHI: Ain, Ajn, Sadura, Yen.];[NEPALI: Saaj, Asanaa.];[ORIYA: Sahaju.];[SANSKRIT: Raktarjun, Dharaphala, Saradru.];[SINO-TIBETIAN: Kieng, Suak dam.];[TAMIL: Karra maruda.];[TELUGU: Tani, Thani.];[THAI: Kong (Northern, Songkhla); Khli (Suai-Surin); Cha-lik (Khmer-Buri Ram); Chueak (Sukhothai); Siak (Northeastern); Sueak (Northeastern); Rok fa (Central); Sa-phi-khlae (Karen-Chiang Mai); Hok fa (Northern).];[TRADE NAME: Indian laurel, Laurel.]. ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE EPPO Code---TEMAT (Preferred name: Terminalia elliptica.) ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตการกระจายพันธุ์--- อินเดีย เนปาล พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Terminalia' มาจากคำภาษาละตินว่า 'terminus'ซึ่งหมายถึงใบที่ปรากฏที่ปลายสุดของยอด; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'elliptica' หมายถึงรูปไข่โดยอ้างอิงจากรูปร่างใบ Terminalia elliptica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow (1765–1812) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2349
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย เนปาล พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ที่ระดับความสูง 200 - 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบมากในป่ากึ่งโล่งแจ้งแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ พบได้ทั่วไปตามป่าผลัดใบและป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 100-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูง 25- 35 เมตร มีรากแก้วลึก ลำต้นตรงยาว กิ่งก้านชูตั้งขึ้น เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาแตกเป็นร่องยาวลึกและเป็นเกล็ด เปลือกชั้นในสีแดง กิ่ง ใบอ่อนและช่อดอกมีขนนุ่มสีสนิมเหล็ก เมื่อแก่เกลี้ยง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามเยื้องกันเล็กน้อยรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 5-10 ซ.ม.ยาว10-15 ซม.ปลายใบแหลมหรือเกือบแหลม โคนใบมนหรือเบี้ยว เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอก สีขาวหรือสีเหลืองแกมเขียว ออกเป็นช่อแคบยาว 6-17ซม.กลีบเลี้ยงรูปถ้วยปลายแยกเป็นห้าแฉก รูปสามเหลี่ยม ปลายแหลมโค้ง มีขนประปราย ด้านในมีขนยาวแน่น ผลเป็นผลแห้งไม่แตกขนาด 4-6 cm x 2.5-5 ซม.มี 5 ปีกกว้าง 1-2 ซม.ผิวเกลี้ยงมีเส้นตามแนวนอน มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ในช่วง 22 - 35°C สามารถทนได้ 5 - 48°C ตายได้ด้วยอุณหภูมิ -1°C ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ดินที่อุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีการระบายน้ำดี เติบโตได้ดีที่สุดในดินเหนียวที่ชื้น ลึก หนัก ทนทานต่อดินตื้นที่ไม่ดี ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 แต่ทนได้ 4.5 - 7.5 ทนแล้ง ดูแลรักษาง่าย การรดน้ำ---เป็นไม้ป่าและเป็นพืชทนแล้ง การให้น้ำให้ในระยะแรกเริ่มปลูกประมาณ 6 เดือน งดการให้น้ำในฤดูฝน จากนั้นปล่อยตามธรรมชาติได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดกิ่งที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อาจเกิดเพลี้ยไฟและโรคใบจุดได้ รู้จักอันตราย---None known ใช้ประโยชน์ -ใช้เป็นยา เปลือกขับปัสสาวะ,ห้ามเลือด,ใช้ในการตกเลือด,แผล,กระดูกหัก,หลอดลมอักเสบ,ท้องร่วง,ไข้,ฝี -น้ำจากเปลือกต้นใช้ภายนอกพอกบาดแผล สามารถนำมาต้มแล้วขยี้ศีรษะเพื่อขจัดรังแคได้ -ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลเข้ม แต่งแต้มสีสันสวยงามด้วยลายเส้นสีเข้ม มันแบ่งเขตอย่างชัดเจนจากกระพี้สีขาวอมแดง พื้นผิวหยาบ ไม้แข็งแรงทนทาน ดีสำหรับสร้างบ้าน สะพาน ส่วนมากใช้งานในบ้าน ทำวงกบประตู หน้าต่าง และทำเครื่องเรือน -ใบไม้ถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ ใน Chota Nagpur ใบไม้นั้นถูกนำมาใช้มากในการให้อาหาร tasar ดักแด้ (ไหม) -ไม้เป็นไม้เชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมและให้ถ่านที่ดีเยี่ยม -เปลือกไม้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ให้สารแทนนิน pyrogallol และ catechol ซึ่งใช้ย้อมสีและใช้ฟอกหนังหนังสัตว์ ใช้ย้อมผ้าให้สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ Catechol เป็นผลึกของแข็งไม่มีสีที่ใช้เป็นผู้พัฒนาการถ่ายภาพ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และในการผลิตสีย้อมและยา Pyrogallol เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นผลึกสีขาวที่เป็นพิษ มีรสขม เป็นมันเงา ซึ่งใช้เป็นตัวพัฒนาการถ่ายภาพ และเป็นตัวดูดซับออกซิเจนในการวิเคราะห์ก๊าซ ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในพุทธศาสนานิกายเถรวาทกล่าวกันว่าต้นไม้ชนิดนี้ถูกใช้เป็นต้นไม้เพื่อการตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้าองค์ ที่ยี่สิบ (ตำราเล่มอื่นๆ ระบุว่า Azadirachta indica คือต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้าติสสะ) ระยะออกดอก/ติดผล--พฤษภาคม-มิถุนายน/กรกฎาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด สามารถหว่านในภาชนะบรรจุ หรือ ปลูกโดยตรงในแหล่งกำเนิด อัตราการงอกอยู่ที่ 5 - 50% โดยปกติเมล็ดจะเก็บได้อย่างน้อยสองปีเมื่อเก็บไว้ในที่เย็น
|
มะพลับ/Diospyros malabarica
[dy-oh-SPY-ros] [mal-uh-BAR-ih-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Diospyros malabarica (Desr.) Kostel.(1834) ชื่อพ้อง --- Has 13 Synonyms ---Basionym: Garcinia malabarica Desr.(1792) ---Diospyros biflora Blanco.(1837) ---Diospyros siamensis Hochr.(1904) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2770098 ชื่อสามัญ---Malabar ebony, Black-and-white ebony , Pale moon ebony, Indian Persimmon, Gaub Tree, Timbiri. ชื่ออื่น---มะพลับใหญ่, มะกั๊บตอง, มะสูลัวะ, มะเขือเขื่อน; ตะโกไทย(ทั่วไป); ตะโกสวน (ภาคเหนือ); พลับ (ภาคใต้);[ASSAMESE: Kandu, Kendu.];[BURMESE: Plab, Tako suam.];[CAMBODIA: Dângkaô khmaôch; Dangko (Central Khmer).];[FRENCH: Ebène de Malabar.];[HINDI: Gaab];[INDONESIA: Culiket (Sundanese), Kledung (Javanese).];[KANNADA: Holitupare.];[LAOS: Küa namz, Hnang hèèwx, Lang dam.];[MALAYALAM: Panancca];[MALAYSIA: Komoi, Kumun.];[MARATHI: Temburi];[RUSSIAN: Hurma malabarskaya.];[SWEDISH: Siamebenholts.];[TAMIL: Tumbika];[TELUGU: Bandadamara];[THAI: Tako thai (General), Tako suan (Northern), Phlap (Peninsular).];[VIETNAMESE: Thi dâù heo, Cu'ò'm thi.]. ชื่อวงศ์---EBENACEAE EPPO Code---DOSMA (Preferred name: Diospyros malabarica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย (อนุทวีป อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม ไทย คาบสมุทรมาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Diospyros' มาจากภาษากรีก 'dios'= ศักดิ์สิทธิ์ และ 'pyros' = ข้าวสาลีหรือธัญพืชสำหรับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'malabarica' = ได้มาจากชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย malabar Diospyros malabarica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Louis Auguste Joseph Desrousseaux (1753–1838) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Vincenz Franz Kosteletzky (1801–1887) นักพฤกษศาสตร์ชาวโบฮีเมีย ในปีพ.ศ.2377
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน อนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่กระจายค่อนข้างกว้างซึ่งขยายจากอินเดียตะวันออกและ พม่า, กัมพูชา, ลาว, เวียดนามมายังประเทศไทย (เป็นการเพาะปลูกเป็นส่วนใหญ่)คาบสมุทรมาเลเซีย และอินโดนีเซีย (ชวา สุลาเวสี) พบขึ้นตามรอยต่อระหว่างป่าบกกับป่าชายเลนโดยเฉพาะชายคลองน้ำกร่อย ห้วย หนองและชายป่าดิบชื้นถึงระดับความสูง 500เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูง10-15 เมตร เปลือกนอกสีเทาปนดำ เรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กตามยาว ถึงแตกล่อนเป็นสะเก็ดแล้วลอกหลุดเป็นแอ่งตื้นๆ เปลือกในสีน้ำตาลอมแดง กระพี้สีขาว กิ่งอ่อนเกลี้ยงยอดอ่อนสีน้ำตาลคล้ำ ใบเดี่ยวเรียงสลับแผ่นใบรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก ขนาด3-8 x 10-25 ซม.โคนใบสอบถึงรูปลิ่มมน ขอบใบเรียบ ปลายใบทู่หรือมน ก้านใบยาว 1-1.5 ซม.เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเกลี้ยงเรียบทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวคล้ำเป็นมัน ด้านล่างสีซีดกว่า ใบอ่อนออกสีชมพูสวยงามมาก ดอกมีดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน (dioecious) ดอกเพศผู้เป็นกระจุก กลีบเลี้ยง4กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูประฆังกว้างปลายแยกเป็นแฉก ดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว กลีบเลี้ยงและกลีบดอกคล้ายกับในดอกเพศผู้แต่ขนาดใหญ่กว่า การผสมเกสรต้องอาศัยแมลงและลมเป็นหลัก ผล แบบผลมีเนื้อหลายเมล็ด รูปทรงกลม ขนาด 2.5–4 x 2.5–5 ซม. ก้านผลยาว 0.2-1 ซม. ผลแก่นุ่มฉ่ำน้ำ ผลอ่อนมีขนกำมะหยี่ปกคลุม ผลสุกสีเหลืองอ่อนถึงส้ม โคนและปลายผลมักหยักบุ๋ม จุกผลรูปจานปลายแยกเป็นห้าแฉกแผ่กว้างออกแนบโคนผล มีขน สีน้ำตาลปกคลุมทั้งสองด้าน มีประมาณ 6 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด สามารถปลูกได้ในที่ร่มรำไร (ป่าลึก) กึ่งร่ม (ป่าโปร่ง) อุณหภูมิกลางวันทั้งปีอยู่ในช่วง 25 - 35°C แต่สามารถทนได้ 10 - 40°C ชอบดินชื้นร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ในช่วง 6 - 7 ทนได้ 5 - 7.5 การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งหลังออกผลหมด ตัดกิ่งที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือใส่สูตร 15-15-15 หลังจากทำการเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่งแล้ว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชร้ายแรง นก หรือแมลงวันผลไม้ ทำให้เกิดปัญหาบ้างเล็กน้อย /โรคที่มีความสำคัญต่อการปลูกพลับส่วนใหญ่จะเป็นโรค Grown gall ที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย โรครากปมที่เกิดจากไส้เดือนฝอย รู้จักอันตราย---None known ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในหลากหลายรูปแบบรวมไปถึงวัสดุย้อมสี หมากฝรั่ง ยารักษาโรคและผลไม้ที่กินได้ พืชได้รับการปลูก เป็นครั้งคราวสำหรับการใช้งานที่หลากหลายโดยเฉพาะในอินเดียและประเทศไทย ใช้กินได้--- ผลไม้สุกเต็มที่ รสหวาน แต่โดยทั่วไปไม่ค่อยอร่อย ใช้เป็นยา--- สรรพคุณทางยาของพืชส่วนใหญ่เกิดจากการมีสารแทนนิน -เปลือกใบดอกไม้และผลไม้มีการใช้มากในยาอายุรเวท ผลดิบรสฝาดมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและยารักษาพยาธิ ใช้ภายนอกเพื่อรักษาแผล ผลสุกมีประโยชน์ในการรักษาโรคท้องร่วงและโรคบิด โรคเลือด โรคหนองใน โรคเรื้อน และเป็นยาแก้พิษงู -น้ำคั้นจากเปลือกสดมีประโยชน์ในการรักษาอาการไข้สูง -เปลือกใช้ภายนอกสำหรับรักษาฝีและเนื้องอก เมล็ดใช้รักษาโรคท้องร่วงและโรคบิดเรื้อรัง น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดใช้เป็นยา -เมล็ดใช้เป็นยารักษาอาการท้องร่วงและบิดเรื้อรัง -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ มีทรงพุ่มและสีสันของผลที่สวยงามแปลกตา ใช้อื่น ๆ---ไม้เนื้อแข็งที่มีค่ามีความแข็งแกร่งแข็งหนาแน่นและทนทานมาก ใช้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์หรูหราและงานแกะสลักไม้ เป็นวัตถุดิบสำหรับเรือและสิ่งก่อสร้าง (อาคารสะพาน ฯลฯ ) -ผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่สุกมีเยื่อเหนียวที่อุดมไปด้วยแทนนินและเป็นแหล่งที่มาของหมากฝรั่ง (Gum) มันสามารถใช้ในการอุดรูรั่วเรือ เพื่อทาสีใต้ท้องเรือ เป็นสารกันบูด เป็นหมากฝรั่งและกาวในการทำปกหนังสือ -ใบและผลไม้สุกใช้ย้อมผ้าเป็นสีดำ ความเชื่อ/พิธีกรรม---พลับ เป็นคำที่มีความพ้องเสียงกับคำที่เป็นมงคลในภาษาจีน ชาวจีนจึงถือเป็นผลไม้มงคลอีกชนิดหนึ่งคล้ายๆ กับผลส้ม https://www.vichakaset.com สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด อ่างทอง ในประเทศไทย ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม/พฤษภาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ติดตา ตอนกิ่ง (เมล็ดพันธุ์มีอายุสั้นมาก ดังนั้นควรหว่านให้เร็วที่สุด เมล็ดสดที่หว่านหลังจากเก็บได้หนึ่งวัน มีอัตราการงอก 85% ภายใน 17 - 65 วัน ) นิยม การติดตา หรือตอนกิ่ง เนื่องจากทำให้ได้ต้นตอที่มีระบบรากแข็งแรง ไม่มีการกลายพันธุ์ และออกดอกออกผลเร็วกว่า
|
ไคร้ย้อย/Elaeocarpus grandiflora
[el-lee-oh-KAR-pus] [gran-dih-FLOR-us]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Elaeocarpus grandiflorus J.E. Sm.(1809) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Cerea radicans Thouars.(1805) ---Elaeocarpus lanceolatus Blume.(1825) ---Elaeocarpus radicans (Thouars) Hiern.(1900) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:833832-1#synonyms ชื่อสามัญ---Ceylon olive, Blue olive berry, Fairy Petticoats, Fringe bells, Lily of the valley tree, Rudraksha Tree, Shiva's Tears. ชื่ออื่น---สารภีน้ำ (เชียงใหม่), จิก, ดอกปีใหม่ (กาญจนบุรี), แต้วน้ำ (บุรีรัมย์), ปูมปา (เลย), คล้ายสองหู, ผีหน่าย (สุราษฎร์ธานี), มุ่นน้ำ (เพชรบุรี), อะโน (ปัตตานี);[INDONESIA: Anyang-anyang, Ki ambito, Kemaitan, Maitan.];[LAOS: Pherng’, Kok mark, Som pheung’.];[MALAYSIA: Ando, Andor, Andoi (Malay).];[MYANMAR: Ye saga.];[PHILIPPINES: Mala (Tag.)];[THAI: Khrai yoi, Mun nam, Phi nai];[VIETNAMESE: Côm lá thon.]. ชื่อวงศ์---ELAEOCARPACEAE EPPO Code---EAEGR (Preferred name: Elaeocarpus grandiflorus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า คาบสมุทรมาเลย์ สิงคโปร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Elaeocarpus' คือการรวมกันของคำสำคัญของกรีก "ἐλαία" (élaia) = มะกอกและ "καρπός" (carpos) = ผลไม้; ชื่อของสายพันธุ์คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "grandis" = ใหญ่และ "flos, oris" = ดอกไม้ที่มีนัยสำคัญ Elaeocarpus grandiflorus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มุ่นดอย (Elaeocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2352
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศกัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, พม่า, คาบสมุทรมาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทยและเวียดนาม ชอบขึ้นตามที่ลุ่มใกล้น้ำ ตามลำห้วย ลำธาร ตามป่าดิบและขึ้นทั่วไปตามป่าโปร่งและป่าเบญจพรรณ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 50-800 เมตร ลักษณะ ต้นสูงประมาณ 5-30 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่มทึบ ผิวเปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา ใบเดี่ยวรูปไข่ ขนาดใบกว้าง 2-5 ซม.ยาว7-19 ซม.ออกเรียงเวียนสลับ โคนใบและปลายใบแหลม หนา ด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนประปราย โคนใบสอบปลายใบเว้าเล็กน้อย ก้านใบยาว 0.5-4 ซม. ดอก เป็นดอกช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบและปลายกิ่ง ห้อยลงยาวประมาณ 6-10 ซม.ก้านดอกยาว 2.5 ซม. ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบรูปใบหอก ขนาด 1-1.5 คูณ 0.2 ซม. มีขนสั้น กลีบดอก 5 กลีบรูปไข่กลับ ขนาด ± 1.5 x 1 ซม.ที่โคนกลีบดอกด้านในจะมีกลุ่มขนเรียงตัวกันอยู่ เกสรเพศผู้ 25–60 อัน ยาว 9–10 มม.ดอกตูมสีน้ำตาลปนส้ม เมื่อบานเป็นช่อสีขาว ผลเป็นแคปซูลสดสีเขียวมีเนื้อหุ้มบางๆ ทรงกลมรีหรือรูปกระสวย กว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 3-4 ซม.ผิวผลบางเรียบเกลี้ยง ก้านผลยาว 2-6 ซม.มี 1 เมล็ด แข็ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงแดดแดดจัดต้องการแสงแดดปานกลาง หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิในช่วง 14 °C-24 °C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ประมาณ 0 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆ ต้องการดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ชุ่มชื้นและมีสภาพดี ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน ทนต่อดินที่มีธาตุอาหารต่ำ หากมีการระบายน้ำดี ทนต่อสภาพแห้งและระดับแสงที่ต่ำกว่า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวนเขตร้อนเนื่องจากต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อย อาจผลัดใบในช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นหรือแห้งแล้ง การรดน้ำ---ให้น้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนรู้สึกแห้งเล็กน้อยเมื่อพืชยังเล็ก เมื่อพืชโตแล้วก็ปล่อยตามธรรมชาติ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเจือจางได้ทุกๆ 4-6 สัปดาห์เมื่อต้นยังเล็ก อย่าให้ปุ๋ยในฤดูหนาว พืชชนิดนี้ไวต่อการใส่ปุ๋ยมากเกินไป ควรใส่ปุ๋ยเล็กน้อบหลังการตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนประมาณ 10 นิ้ว ปีละ 3 ครั้งโดยใช้ปุ๋ยละลายช้า ออสโมโค้ท 14-14-14 ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาโรคหรือแมลงศัตรูพืชที่รู้จัก/มีแนวโน้มที่จะดูดซับน้ำได้เร็ว การให้น้ำมากเกินไป ทำให้รากเน่าและติดเชื้อราได้ หลีกเลี่ยงการทำให้ใบไม้เปียก (รดน้ำเฉพาะโคนต้น) เพื่อป้องกันโรค รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา และปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้เป็นยา--- ใบ ผลไม้ เปลือกไม้และเมล็ด ถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณสำหรับโรคต่างๆ เปลือกไม้บดใช้พอกแผล ใบใช้สำหรับรักษาโรคซิฟิลิส เปลือกไม้เป็นส่วนผสมของยาแผนโบราณสำหรับโรคของผู้หญิง - ในประเทศอินโดนีเซียผลไม้ใช้สำหรับแก้ปวดบิดและกระเพาะปัสสาวะ เปลือกต้นสำหรับไตอักเสบและสำหรับแผลเฉพาะที่ -ในมาเลเซียใช้หลังคลอดเหมือนโทนิคทั่วไป เปลือก ใช้ในการผสมน้ำร้อนกับวัสดุจากพืชอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของโลหิตส่งเสริมการหดตัวของมดลูก, ขับลมและเป็นยาระบาย สารสกัดน้ำจากใบผลไม้และกิ่งไม้ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน ใช้ปลูกประดับ--- ใช้ปลูกในสวนทั่วไป สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ ใช้อื่น ๆ--- ไม้ใช้ในงานก่อสร้างสำหรับเรือ เฟอร์นิเจอร์และงานฝีมือ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---เดือน มกราคม-เมษายน/เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ;เมล็ดใช้เวลาการงอกช้ามากและเอาแน่เอานอนไม่ได้บางครั้งใช้เวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น
|
มะกอกน้ำ/Elaeocarpus hygrophilus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Elaeocarpus hygrophilus Kurz.(1874) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2785745 ---Elaeocarpus glandulosus Wall. ex Merr.(1952) ---Elaeocarpus madopetalus Pierre.(1888) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---มะกอกน้ำ, สมอพิพ่าย (ระยอง), สารภีน้ำ (ภาคกลาง), สีชัง ; [THAI: Makok nam,Samo phi-phai, Saraphi nam, Si chang.] ชื่อวงศ์---ELAEOCARPACEAE EPPO Code---EAEHY (Preferred name: Elaeocarpus hygrophilus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Elaeocarpus' คือการรวมกันของคำสำคัญของกรีก "ἐλαία" (élaia) = มะกอกและ "καρπός" (carpos) = ผลไม้ หมายถึงผลมะกอก; ชื่อของสายพันธุ์ 'hygrophilus' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "hygro" และ "philus" = 'ดูดความชื้น' อ้างอิงถึงการดัดแปลงให้เจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่ ชื้นแฉะหรือชื้น Elaeocarpus hygrophilus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มุ่นดอย (Elaeocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2417
ที่อยู่อาศัย มีเขตการกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบที่อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู และสุมาตรา ปัจจุบันนิยมปลูกกันทั่วไป ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามริมน้ำในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ตามชายฝั่งทะเล ตามป่าโกงกาง ป่าพรุ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาถึงขนาดใหญ่ผลัดใบแต่ไม่พร้อมกัน แตกกิ่งก้านสาขามาก ต้นสูง 10-25 เมตร เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ตื้น ๆ ตามความยาวของลำต้น ตามกิ่งมีรอยแผลใบชัดเจน ใบเดี่ยวออกแบบเรียงเวียนสลับหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน รูปไข่กลับ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายใบมน โคนสอบแคบเรียวแหลมติดก้านใบ ท้องใบและหลังใบเรียบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ก้านใบอ่อนเป็นสีออกแดงเข้ม ส่วนก้านใบแก่เป็นสีแดงอมน้ำตาล ยาวประมาณ 0.5-2 ซม. ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกยาวประมาณ 2-10 ซม.ก้านดอกยาวประมาณ 2-7 ซม.ดอกย่อยสีขาวห้อยลงคล้ายระฆัง มีขนาดประมาณ 4-8 มม.กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบดอกจักเป็นฝอยเล็กๆ กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ สีเขียว ปลายกลีบแหลม เกสรเพศผู้มีจำนวน 15-25 อัน ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 ซม.ยาว 3-4 ซม.ก้านผลยาวประมาณ 0.7-1 ซม.ผลอ่อนสีเขียวอ่อน ผิวเกลี้ยง เนื้อในนุ่ม ผลสุกสีส้มหรือสีแดงเข้ม ภายในมีเมล็ดขนาดใหญ่ 1 เมล็ด รูปกระสวย ผิวขรุขระและแข็งมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ลุ่ม ทนน้ำท่วม เติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงแดดปานกลางถึงร่มเซม.งา ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นและมีสภาพดี ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในทุกสภาพแสง ตั้งแต่แสงแดดจัด 80-100%(แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) จนถึงร่มเงา (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน ทนต่อดินที่มีธาตุอาหารต่ำ หากมีการระบายน้ำดี ชอบดินอุดมด้วยฮิวมัสและชื้น pH 6.1-7.8 อาจผลัดใบในช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นหรือแห้งแล้ง เป็นไม้โตเร็วที่สามารถเริ่มให้ผลได้หลังจากปลูก 3-4 ปี การรดน้ำ---ให้น้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนรู้สึกแห้งเล็กน้อยเมื่อพืชยังเล็ก เมื่อพืชโตแล้วก็ปล่อยตามธรรมชาติ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเจือจางได้ทุกๆ 4-6 สัปดาห์เมื่อต้นยังเล็ก อย่าให้ปุ๋ยในฤดูหนาว พืชชนิดนี้ไวต่อการใส่ปุ๋ยมากเกินไป ควรใส่ปุ๋ยเล็กน้อบหลังการตัดแต่งกิ่ง ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักใส่ปีละ 3 ครั้ง ให้ห่างจากโคนต้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาโรคหรือแมลงศัตรูพืชที่รู้จัก/มีแนวโน้มที่จะดูดซับน้ำได้เร็ว การให้น้ำมากเกินไป ทำให้รากเน่าและติดเชื้อราได้ หลีกเลี่ยงการทำให้ใบไม้เปียก (รดน้ำเฉพาะโคนต้น) เพื่อป้องกันโรค รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร ปลูกเพื่อกินผล หรือเป็นไม้ประดับ ใช้กิน--- ผลดิบ กินสดหรือดองในน้ำเกลือ ใช้เป็นยา--- เปลือกมีรสขมมาก ใบไม้เป็นส่วนผสมของยาแผนโบราณสำหรับโรคซิฟิลิส -ใช้สำหรับโรคของผู้หญิง เมล็ดเป็นส่วนผสมที่พบได้ทั่วไปใน 'Jamus' แบบดั้งเดิม มีคุณสมบัติขับปัสสาวะ มักจะรวมอยู่ในใบสั่งยาเพื่อบรรเทานิ่วในกระเพาะปัสสาวะและปัสสาวะขัด -ใน อินโดนีเซีย ผลไม้ใช้สำหรับแก้ปวดบิดและกระเพาะปัสสาวะ เปลือกต้นสำหรับไตอักเสบและสำหรับแผลเฉพาะที่ -ใน มาเลเซียใช้หลังคลอดเหมือนโทนิคทั่วไป เปลือกใช้ผสมน้ำร้อนกับวัสดุจากพืชอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตส่งเสริมการหดตัวของมดลูก, ขับลมและเป็นยาระบาย -สารสกัดน้ำจากใบผลไม้และกิ่งไม้ถูกนำมาใช้รักษาโรคเบาหวาน วนเกษตร--ปลูกริมน้ำกันดินพังทะลาย รากช่วยยึดหน้าดิน ใช้ปลูกประดับ--- ใช้ปลูกในสวนทั่วไป สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ -อื่น ๆ ไม้ใช้ในงานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ งานฝีมือ ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/มิถุนายน-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
มะขวิด/Limonia acidissima
Genus : [lee-MON-ee-a]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Limonia acidissima L.(1762) ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms. ---Feronia limona (L.) Swingle.(1914) ---Crateva balangas K.D.Koenig.(1800) ---Limonia ambigua DC.(1824) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:774113-1#synonyms ชื่อสามัญ--Curd Fruit, Gelingga, Kavath, Monkey Fruit, Wood Apple, Elephant apple, Indian Wood Apple, Burmese thanaka. ชื่ออื่น---ทานาคา (พม่า); มะขวิด (ภาคกลาง); มะฟิด (ภาคเหนือ) ;[ARABIC: Tuffâhh El Fîl.];[ASSAMESE: Kath-bel.];[BENGALI: Kapittha, Kath-bel, Kayetabela.];[CAMBODIA: Kramsang.];[FRENCH: Pomme d'éléphant, Pomme de bois.];[GERMAN: Elefantenapfelbaum.];[HINDIi: Dadhiphal, Pushpaphal, Katabel, Dantasath, Pushpaphal, Kavit.];[INDIA: Beli, Bhenta, Kaitha, Kawith, Nayi bel.]; [INDONESIA: Kawista (Java); Kusta (Bali).];[KANNADA: Baelada Mara, Manmatha Mara, Nayibel, Damtasata, Kapithha, Dadhiphala, Bela, Baelada Hannina Mara.];[LAOS: Mafit (Sino-Tibetan).];[MALAYALAM: Vilankaay, Vilankai, Naay Veelam, Vilarmaram, Vilavu.];[MALAYSIA: Belinggai, Gelinggai (Malay).];[MARATHI: Kavat, Kavant, Kavanti, Kapith.];[MYANMAR: Kwet , Mak-pyen-sum , Thi , San-phak (Kachin); Sanut-khar (Mon); Sansph-ka , Thanakha , Thi-ha-yaza , Thibin.];[SANSKRIT: Dadhiphala, Dadhittha, Danthashatha, Kapithama, Kapityama];[SWEDISH: Elefantäpple.];[TAMIL: Vila, Kavittam, Tantacatam, Kapittam, Vilamaram.];[TELUGU: Velagapandu, Kapitthhamu, Velaga.];[THAI: Tha-na-kha (Burmese); Ma khwit (Central); Ma fit (Northern).];[VIETNAM: Câǹ thǎng.] ชื่อวงศ์---RUTACEAE EPPO Code---FEOLI (Preferred name: Limonia acidissima.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย-ชวา บาลี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Limonia' จากภาษาละติน = มะนาว ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'acidissima' จากคำคุณศัพท์ภาษาละติน ' acidissimus' = ความเป็นกรด พร้อมการอ้างอิงที่ชัดเจน -ชื่อสามัญของสายพันธุ์ในภาษาอังกฤษได้แก่ Wood-apple และ Elephant-apple บางครั้งเรียกว่า Monkey fruit. Limonia เป็น Monotypic genus มีสปีชีส์เดียวที่อยู่ในสกุลคือ Limonia acidissima ที่มีสองรูปแบบ: แบบหนึ่งมีผลขนาดใหญ่ที่มีรสหวาน และอีกแบบหนึ่งมีผลขนาดเล็กที่เป็นกรด Limonia acidissima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2405
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดเกิดขึ้นตามธรรมชาติในอนุทวีปอินเดีย ได้แก่ ปากีสถาน อินเดีย (รวมถึงหมู่เกาะอันดามัน) บังคลาเทศ ศรีลังกา พม่า อินโดจีน ในมาเลเซียและอินโดนีเซีย (ชวา บาหลี) กระจายไปทั่วทุกทวีป มีการเพาะปลูกในหมู่บ้านและสวนสาธารณะตลอดแนวธรรมชาติ พบได้ในพื้นที่กึ่งทะเลทรายแห้งและป่าละเมาะ ที่ระดับความสูง 0-450 เมตรได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา) เมื่อนานมาแล้วเพื่อวัตถุประสงค์ในการทดลอง ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นมักจะผลัดใบ สูง 6-10 เมตร เปลือกสีเทาเข้มหรือสีดำแตกเป็นแนวยาว หนามตรงออกที่ซอกใบยาวถึง 2.5-4 ซม ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ มี 5-7 ใบ บางครั้งมี 3-6 หรือ 9 ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับขนาด 1.3-3.8 × 1.3 ซม. ขอบใบมักหยักกลม เนื้อใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ที่บริเวณขอบใบ มีกลิ่นหอมจาง ๆ เมื่อขยี้ ก้านใบและก้านใบย่อยมีปีกแคบ ๆ ยาวถึง 12 ซม.ดอกช่อออกที่ปลายกิ่งประกอบด้วยดอกเพศผู้และดอกสมบูรณ์เพศอยู่ในต้นเดียวกัน กลีบดอกสีเหลืองแกมเขียวปนแดง ผลสดรูปทรงกลมมีเปลือกแข็ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 10 ซม.สีเทาแกมน้ำตาลมีเปลือกแข็งหนาประมาณ 0.6 ซม.เนื้อผลเป็นเมือกเหนียว มีมล็ดสีขาวขนาดเล็กหลายเมล็ด ขนาดยาว 0.5-0.6 ซม.เปลือกหนา มีขน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อนกึ่งแห้งแล้ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 20 - 29°C ชอบดินร่วนปนทรายลึกที่ระบายน้ำได้ดี แต่ให้ความชุ่มชื้นเมื่อถูกแดดจัด ทนต่อดินหลากหลายชนิด ชอบ pH ในช่วง 5-6 อัตราการเติบโตช้า การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รดน้ำเมื่อหน้าดินเริ่มแห้ง เว้นระยะห่างในฤดูหนาว พืชอาจผลัดใบ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกดอกหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหลังการตัดแต่งกิ่งปีละ 1 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---มีหนามยาวแหลมคม
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เอนกประสงค์ที่แท้จริง ถูกรวบรวมมาจากป่าและปลูกเพื่อผลที่กินได้ รวมทั้งมีสรรพคุณทางยาและประโยชน์อื่นๆ มากมาย เป็นไม้ท้องถิ่นของอินเดียตอนใต้ มีการเพาะปลูกเพื่อใช้ผล ใช้กินได้--- ใบอ่อนดิบ กินเป็นผัก -ผลไม้-ดิบ และสุก เปลือกแข็งมากและต้องใช้ค้อนทุบ มีกลิ่นหอมรสเปรี้ยวอมหวานมีเนื้อบางส่วนที่กินดิบ ทำเป็นเยลลี่ แยมชัทนีย์ เชอร์เบ็ต ผสมกับกะทิและน้ำเชื่อมน้ำตาลปี๊บ เป็นเครื่องดื่มเมาหรือแช่แข็งเป็นไอศครีม น้ำผลไม้มีสีม่วงและคล้ายกับน้ำผลไม้ที่ทำจากแบล็คเคอแรนท์ -เนื้อผลไม้คิดเป็น 36% ของผลไม้ทั้งลูก ปริมาณเพคตินของเยื่อกระดาษอยู่ที่ 3-5% (ผลผลิต 16% ตามน้ำหนักแห้ง) และมีศักยภาพในการใช้งานที่หลากหลาย -เมล็ดมีน้ำมันรสจืด ไม่มีรสขม ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง รายงานไม่ได้ระบุชัดเจนว่าน้ำมันนั้นกินได้หรือไม่ ใช้เป็นยา---ผลไม้มีกรดผลไม้ วิตามิน และแร่ธาตุ ส่วนใหญ่ใช้เป็นยาบำรุงตับเพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหาร -ผลยังมีรสฝาดโดยเฉพาะเมื่อยังไม่สุกและเป็นยาบำรุงหัวใจ เนื้อของผลดิบใช้ในการรักษาโรคท้องร่วงและโรคบิด -ใบและดอก แก้ท้องร่วง แก้บวมและฟกช้ำ ตกโลหิต ขับลม เป็นยาฝาดสมาน และแก้พยาธิ -ยาง แก้ทองเสีย สมานแผล และเจริญไฟธาตุ ยางผงผสมกับน้ำผึ้งใช้แก้โรคบิดและท้องเสียในเด็ก -เปลือก แก้ฝีเปื่อย แก้บวม แก้อาการลงท้อง ตกโลหิด และแก้พยาธิ -ใบมีสารแทนนินและน้ำมันหอมระเหย มีรสฝาดและใช้ภายใน มักใช้ร่วมกับนมและน้ำตาลในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเสีย บิด (โดยเฉพาะในเด็ก) และริดสีดวงทวาร -น้ำมันที่ได้จากใบที่บดแล้วทาบนผิวหนังที่คัน -เปลือกนำมาเคี้ยวกับเปลือกของ Barringtonia แล้วทาบนบาดแผลที่มีพิษ -เป็นส่วนหนึ่งของยาพื้นเมืองของเมียนมาร์ โดยเปลือกของทานาคาใช้เป็นครีมบำรุงผิวและปกป้องผิวโดยผู้หญิงเมียนมาร์ เปลือกนำมาบดเป็นผงละเอียดสีเหลืองแล้วผสมกับน้ำให้เป็นเนื้อเหนียว สำหรับการป้องกันแสงแดดและบำรุงผิวทุกวัน -ในอินเดีย ใช้เป็นยาพื้นบ้านในการรักษาโรคต่าง ๆ และมีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านน้ำตาลในเลือดสูงและต่อต้านไขมันในเลือดสูง ใช้ปลูกประดับ---มักปลูกในสวนหน้าบ้านในเอเชียใต้และชวา ใช้อื่น ๆ---ไม้เป็นสีเหลืองเทาหรือสีขาวแข็งหนักทนทาน ชักเงาได้ง่าย ใช้สำหรับการก่อสร้างการทำรูปแบบอุปกรณ์การเกษตรและงานแกะสลักและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง -เปลือกไม้ให้ยางโปร่งใสสีขาวถูกใช้เพื่อทดแทนหรือเจือปนหมากฝรั่งอารบิกในการทำสีน้ำหมึก สีย้อมและสารเคลือบเงาของศิลปิน -ใบมีกลิ่นหอม ต้นไม้ใช้สำหรับเลี้ยงครั่ง -พืชถูกใช้เป็นต้นตอของพันธุ์ส้มเนื่องจากความทนทานต่อน้ำ พิธีกรรม/ความเขื่อ---ผลไม้ชนิดนี้่ป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ถือเป็นผลไม้มงคลที่จะถวายในพิธีบูชา พระอิศวรและพระพิฆเนศ วัดฮินดูส่วนใหญ่จะมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในวัดและเรียกว่า 'Sthala Vriksha.' ***มะขวิด เป็นหนึ่งในไม้ผลที่คนไทยโบราณ เชื่อกันว่า ไม่ควรปลูกในบริเวณที่พักอาศัย เพราะจะทำให้พบแต่อุปสรรคประสบปัญหา มีเรื่องให้ติดๆ ขัดๆ อยู่เสมอ เช่นวัสดุอุปกรณ์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ครบ ขาดโน่น ขาดนี่เสมอ ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ยั่งยืน หยิบโหย่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนไม่นิยมที่จะปลูกมะขวิดไว้เป็นไม้ผลในบ้านจนกลายเป็นอุปสรรคในการขยายตลาด รวมถึงทำให้ สุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ในอนาคต*** อ้างอิงจาก https://kaset.today ระยะออกดอกและติดผล--- กุมภาพันธ์-มีนาคม/ ผลสุกเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน -ในอินเดีย ผลไม้จะสุกตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง (เมล็ดงอกหลังจาก 2-3 สัปดาห์ในเรือนเพาะชำ อาจมีความงอก 80% สำหรับเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ต้นกล้าใช้เวลา 15 ปี ก่อนเริ่มผลิตผล) -ต้นไม้ขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำ ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ออกดอกใน 3 ปี
|
มะตาด/Dillenia indica
[dil-LEN-ee-uh] [IN-dih-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dillenia indica L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2768269 ---Dillenia elliptica Thunb.(1858) ---Dillenia indica f. elongata (Miq.) Miq.(1868) ---Dillenia speciosa Thunb.(1791) ชื่อสามัญ---Indian Catmon, Elephant Apple, Indian simpoh, Chulta, Chalta, Ouu, Ou tenga, Hondapara tree, ชื่ออื่น---แส้น (นครศรีธรรมราช,ตรัง); มะตาด (ภาคกลาง); ส้มปรุ, ส้านใหญ่, ส้านกว้าง, ส้านท่า (สุราษฎร์ธานี); ส้านป้าว (เชียงใหม่);[ASSAMESE: Outenga, Panchkol, Pascol-solta, Ou-tenga.];[AYURVEDA: Bhavya.];[CAMBODIA: Dk chan ryy phlou lvieng (Central Khmer).];[CHINESE: Wu ya guo.];[FRENCH: Dillénie à grandes fleurs.];[GERMAN: Elefantenapfelbaum, Indischer Rosenapfel, Ostindischer Rosenapfelbaum.];[HINDI: Karambel, Chalta.];[INDIA: Uvaa, Uvaa thekku, Ugaa kai, Mota-Karmal, Punna, Syalita, Chalita, Akku.];[KANNADA: Kaadu kanigala, Bettada kanigala.];[MALAYALAM: Vazchpunna, Pinnay, Punna, Syalita.];[MALAYSIA: Simpoh air (Malay).];[MARATHI: Karambel, Mota karmal.];[MYANMAR: Thabyu, Maisen (Kachin), Khwati (Kayin), Haprut (Mon).];[NEPALI: Thulo Tatri, Paanca Phal.];[PORTUGUESE: Dilénia, Fruta-estrela, Arvore-da-pataca, Arvore-do-dinheiro, Bolsa-de-pastor, Dilênia, Flor-de-abril, Maçã-de-elefante.];[RUSSIAN: Dilleniya indiyskaya.];[SANSKRIT: Avartaki, Bhavyam.];[SINGHALESE: Honda-para, Wampara.];[SPANISH: Manzano de los elefantes.];[TAMIL: Ugakkay, Kattaral.];[THAI: Saen (Nakhon Si Thammarat, Trang); Ma tat (Central); Som pru, San yai, San kwang, San ha (Surat Thani); San pao (Chiang Mai).]. ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE EPPO Code---DLNIN (Preferred name: Dillenia indica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย เขตการกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, ภูฏาน, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dillenia' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Jacob Dillen (1684-1747); ชื่อเฉพาะสายพันธฺุ์จากภาษาละติน 'indica' = 'of India' อ้างอิงถึงหนึ่งในแหล่งกำเนิดของมัน Dillenia indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พบตั้งแต่อินเดีย บังกลาเทศ และทางตะวันออกของศรีลังกาจรดทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน (มณฑลยูนนาน) เวียดนาม และทางตอนใต้ของไทยถึงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ชอบขึ้นตามป่าดิบและใกล้น้ำ ป่าฝนเขตร้อน ตามริมแม่น้ำ ในป่าไม้สัก ที่ระดับความสูงถึง 1,100 เมตร ลักษณะ เป็นต้นไม้ขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูง 10-15 เมตร ลำต้นเปลาเปลือกหนาสีเทาหรือน้ำตาลแดง เปลือกชั้นในสีชมพู เรือนยอดเป็นพุ่มกลมมีขนตามกิ่ง ใบรูปขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง 6-14 ซม.ยาว 15-35 ซม.เนื้อใบบางด้านบนสีเขียวสดเป็นมันด้านล่าง มีขนประปรายบนเส้นใบ ดอกใหญ่ขนาด15-20 ซม.สีขาวออกเดี่ยวๆตามง่ามใบกลีบดอกสีขาวบางร่วงง่าย กลีบรองดอกโค้งแข็งและอวบน้ำ ผลเป็นผลรวม (Syncarp) กลมใหญ่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-15 ซม.มีกลีบรองดอกสีเขียวหุ้มและโตพร้อมผล [ส่วนที่เป็นเนื้อของผลไม่ได้เกิดจากรังไข่ แต่มาจากกลีบเลี้ยงซึ่งกลายเป็นเนื้อเมื่อผลเจริญขึ้น Elephant Apple ผลิตเมล็ดจำนวนมาก ขนาดเล็ก หนา มีขนตามขอบ รูปรี ซึ่งอาจกระจายตามธรรมชาติโดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะช้าง).]ซึ่งชอบกินผลไม้ชนิดนี้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่สามารถยืนอยู่ในที่ร่มรำไรได้เป็นอย่างดี (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า4ชั่วโมงต่อวัน) อาจปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนที่มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า +10 °C แม้ว่าจะอยู่รอดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ที่อุณหภูมิใกล้ -2 °C ชอบดินร่วนปนทรายเป็นกรดอ่อน ๆที่ระบายน้ำได้ดี ทนน้ำท่วม ทนแล้ง เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่มีความเป็นกรดสูงเล็กน้อย ค่า pH ในช่วง 5.6-7.3 ทนได้ถึง 8 อ้ตราการเจริญเติบโตของพืชปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางถึงน้ำมาก รดน้ำต้นไม้ที่เพิ่งปลูกเป็นประจำในปีแรก การตัดแต่งกิ่ง---ในการเพาะปลูกจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพราะง่ายกับการเก็บเกี่ยว ตัดแต่งหลังออกผลหมด เพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ผลไม้มีรสชาดและกลิ่นคล้ายกับแอปเปิ้ลที่ไม่สุก เนื้อผลไม้มีรสเปรี้ยวและใช้ในอาหารอินเดียในแกงกะหรี่ แยม (ouu khatta) ทำเป็นเครื่องดื่มเยลลี่และเชอร์เบท หรือหมักในน้ำส้มสายชู ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้ ผลไม้เปลือกไม้ใบไม้ เปลือกและใบเป็นยาสมานแผล - ผลไม้เป็นยาระบายเล็กน้อย มากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดท้อง - น้ำผลไม้ผสม ของใบและเปลือกนำมารับประทานสำหรับการรักษาโรคมะเร็งและท้องเสีย - น้ำผลไม้ผสมกับน้ำตาลและน้ำใช้เป็นเครื่องดื่มเย็นแก้ไข้ และเป็นส่วนผสมของยาแก้ไอ - ในซาบาห์ใบอ่อนหรือเปลือกลำต้นทุบและนำไปใช้วางบนส่วนที่บวม หรือบนแผล- รากใช้แก้ไข้ ใช้ปลูกประดับ--- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เนื่องจากดอกมีกลิ่นหอมจึงมีการเพาะปลูกในเรือนกระจกในเขตอบอุ่น ใช้อื่น ๆ---ไม้ เนื้อแข็งปานกลาง แต่ไม่คงทน และมักโค้งงอ ใช้ทำสิ่งก่อสร้างในร่มและฟืน - ในประเทศไทย เนื้อผลใช้ทำแชมพูใช้สระผม - สีย้อมสีแดงได้มาจากเปลือกไม้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) ระยะออกดอก/ติดผล--- มิถุนายน - สิงหาคม/ธันวาคม - เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ (เมล็ดพันธุ์ใช้ระยะเวลาในการงอกประมาณ 1 เดือนที่อุณหภูมิ 20-25 °C เมื่อปลูกด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลา 8-10 ปี จึงติดผล)
|
มะหาด/Artocarpus lakucha
Genus : [ar-toe-karp-us]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Artocarpus lakucha Buch.-Ham.(1826) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Artocarpus benghalensis Roxb. ex Wall.(1831) ---Artocarpus lakoocha Roxb.(1832) ---Artocarpus cumingianus var. stenophyllus Diels.(1935) ---Artocarpus ficifolius W.T.Wang.(1957) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:927744-1 ชื่อสามัญ---Lok hat, Monkey-jack, Monkey-jack-tree, Monkey Fruit, Lakoocha Tree. ชื่ออื่น---กาแย, ตาแป, ตาแปง (มาเลย์-นราธิวาส); ทังคัน, ม่วงกวาง (ยะลา),มะหาด (ภาคใต้), มะหาดใบใหญ่ (ตรัง), หาด (ทั่วไป), หาดขน (นราธิวาส), หาดรุม, หาดลูกใหญ่ (ตรัง) ;[ASSAMESE: Bohot.];[AYURVEDA: Lakuch, Kshudra Panas, Granthiphala, Pitanaasha.];[BENGALI: Dahu, Dephal.];[CHINESE: Yě bō luó mì.];[HINDI: Barhar, Lakoocha, Lakooch, Lakoochi, Badahara, Dahu, Dahua.];[INDIA: lakoocha, lakuch.];[INDONESIA: Tampang ambong; Anjarubi, Asam, Beruni, Beto, Burinik, Dadah, Dadak, Darak, Dudak, Tampan, Tampang, Tampang wangi (Borneo).];[KANNADA: Chimpa, Lakucham, Pulinjakka.];[MALAYALAM: Chimpa, Lakucham, Pulinjakka.];[MALAYSIA: Tampang.];[MYANMAR: Myankdok.];[NEPALI: Badhar, Barhar.];[SANSKRIT: Airawata, Amlaka, Dahu, Dridha valkala, Granthimatphala.];[SIDHA/TAMIL: Ilangu, Irapala, Ottipilu.];[TAMIL: Tinippalavu, Irapala, Ilagusam.];[THAI: Ka-yae, Ta-pae, Ta-paeng (Malay-Narathiwat); Thang khan, Muang kwang (Yala); Ma hat (Peninsular); Hat (General); Hat khon (Narathiwat); Ma hat bai yai, Hat rum, Hat luk yai (Trang).];[TRADE NAME: Lakuch.]. ชื่อวงศ์---MORACEAE EPPO Code---ABFLA (Preferred name: Artocarpus lakoocha.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย (อนุทวีปอินเดีย และเอเซียใต้) เขตการกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว นิรุกติศาสตร์---Artocarpus : ชื่อ Xenéricu ที่มาจาก les pallabres griegues : artu = "pan" y carpus = "fruit" ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'lakucha' จากชื่อท้องถิ่นในภาษา Oriya 'lakoocha' ของสายพันธุ์นี้ หมายถึง ผลไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีน้ำยางข้นเหนียวจำนวนมาก Artocarpus lakucha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton (1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์ นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดียในปีพ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัย เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ที่เติบโตในทวีปเอเชีย พบได้ใน ศรีลังกา อินเดีย พม่า คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล100-1,300 เมตร ในป่าดิบชื้นและป่าผลัดใบพบที่ระดับความสูง 1,800 เมตร ในประเทศไทยพบ ขึ้นทั่วไปทั้งภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณทั่วไป ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัด สูงถึง 25 เมตร ลำต้นเปลาตรงเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ทรงพุ่มกว้าง 2.5-3 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลออกแดงหรือน้ำตาลเข้ม ต้นแก่ผิวจะหยาบและเป็นเกล็ด และบริเวณเปลือกของลำต้นมักจะมีรอยแตกและมียางไหลซึมออกมามีสีขาวหรือขาวแกม เหลืองตามยอดอ่อน กิ่งอ่อนมีขน นุ่มสีเทาถึงสีน้ำตาลออกแดง ปกคลุมหนาแน่น ใบเดี่ยวรูปไข่ขนาดของใบ กว้าง 5-11 ซม.ยาว10-25 (-30) ซม.ขอบใบเรียบเนื้อใบค่อนข้างหนาเหนียวคล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบสากคายมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 0.5-2 ซม. มีขน ใบของต้นอ่อนเป็นแฉก ดอกออกเป็นช่อกระจุกแน่นสีเหลืองหม่นถึงชมพูอ่อน ออกตามบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง ก้านช่อดอกยาว 0.8-3 ซม. มีขนสีเหลือง ช่อดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเพศผู้รูปขอบขนาน กลีบดอกมี 2-4 หยัก สีเหลือง ช่อดอกเพศเมียรูปเกือบกลม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสีแดงเข้ม ผลเป็นผลรวม (Syncarps) รูปร่างบิดเบี้ยวเป็นปุ่มปมขนาด 5-8 ซม.สีเหลืองอ่อนหรือส้ม ผิวนอกมีขนคล้ายกำมะหยี่ เนื้อในผลสีชมพูมีเมล็ดมาก เมล็ดขนาด 10 × 6 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดตลอดวัน ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1 °C) ปลูกได้ทุกสภาพดินที่การระบายน้ำดี ค่า pH 5-6.5 ทนได้ 4-7.5 ทนต่อสภาพแห้งแล้งสามารถทนต่อฤดูแล้งได้ถึง 3 เดือน การเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หรือน้อยที่สุดโดยมีการตัดแต่งกิ่งก้านสาขาหลักเมื่อยังเล็ก การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย อาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง (ความต้องการปุ๋ยไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ) ศัตรูพืช/โรคพืช---นกอาจเป็นปัญหาได้, Bactrocera carambolae (แมลงวันผลมะเฟือง) รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์--- พืชมีคุณค่าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ที่กินได้ซึ่งมักจะมาจากป่า ในอินเดียตอนเหนือผลไม้มักถูกขายในตลาดท้องถิ่น นอกจากนั้น ยังใช้เป็นยาและแหล่งวัสดุต่าง ๆ สำหรับใช้ในท้องถิ่นอีกด้วย ใช้กินได้-- ผลไม้สุก มีรสเปรี้ยวใช้สำหรับ Chutneys หั่นให้แห้งและนำมาใช้แทนมะขามสำหรับผู้ที่ไม่ควรรับประทานมะขามหรือเป็นสิ่งต้องห้ามในระหว่างการรักษา ชิ้นแห้งใช้ในแกงเนื้อและปลาโดยเฉพาะในอินเดียตะวันตก ให้รสชาติที่พิเศษมากกับแกงกะหรี่ เปลือกมีแทนนิน 8 - 9% และถูกเคี้ยวแทนหมากพลู ใช้เป็นยา--- และประโยชน์ทางด้านสมุนไพร เนื้อไม้ใช้เป็นยาสมุนไพร เปลือกใช้รักษาแผลติดเชื้อ เปลือกใช้แก้ปวดศีรษะ รากนั้นมีฤทธิ์ฝาดและใช้เป็นยาถ่าย ***ผงปวกหาด เตรียมได้จากแก่นมะหาดสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มเคี่ยวกับน้ำจนเกิดฟอง ช้อนฟอง ใส่ในผ้าขาวบาง ทำให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาตากให้แห้ง จะได้ผงสีนวลจับกันเป็นก้อน นำไปย่างไฟจนเหลือง เรียกก้อนที่ได้ว่า “ปวกหาด” ปวกหาดมีรสร้อนเมาเบื่อ -ตำรายาไทย ใช้ ผงปวกหาด เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้กระษัย แก้เบื่ออาหาร แก้กระหายน้ำ แก้ฝีในท้อง แก้ปวด แก้ลม ขับโลหิต แก้เคือง แก้ปัสสาวะกระปริดกระปรอย หรือนำผงมาละลายกับน้ำทาแก้ผดผื่นคัน แก่นมะหาดมีรสร้อน มีสรรพคุณ แก้ลม แก้โรคกระษัยไตพิการ แก้กระษัยดาน แก้กระษัยเสียด แก้กระษัยกร่อน แก้กระษัยลมพานไส้ แก้กระษัยทำให้ท้องผูก แก้ดวงจิตขุ่นมัว ระส่ำระสาย แก้นอนไม่หลับ แก้เบื่ออาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ถ่ายพยาธิ พยาธิตัวตืด แก้ท้องโรพุงโต แก้จุกผามม้ามย้อย แก้ฝีในท้อง แก้ปวด แก้เคือง กระจายโลหิต แก้เส้นเอ็นพิการ*** ข้อมูลอ้างอิง (Source) :https://apps.phar.ubu.ac.th/thaicrudedrug/main.php?action=viewpage&pid=83 ***ในปัจจุบันมีการนำสารสกัดมะหาดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวหรือ “ครีมมะหาด“, “โลชั่นมะหาด“, “เซรั่มมะหาด” เนื่องจากสารสกัดจากแก่นมะหาดนั้นมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase และมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเมลานิน จึงทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดมะหาดเพื่อให้ผิวขาว นอกจากจะต้องพิจารณาถึงความเข้มข้นของสาสกัดเป็นหลักแล้ว รูปแบบของผลิตภัณฑ์ก็มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของสารสกัดมะหาดเช่นกัน*** ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%94/ | Medthai ใช้เป็นไม้ประดับ--- นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันมากปลูกตามบ้านเรือน หรือตามสวนสาธารณะเพื่อให้ความร่มรื่น วนเกษตรใช้--- เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบวนเกษตรแบบดั้งเดิมซึ่งถูกรวมเข้ากับระบบการปลูกพืชแบบผสมกับพืชชนิดอื่น อื่น ๆ--- ไม้สีเหลืองมีความทนทาน ทนต่อปลวก เนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง ชักเงาได้ดีใช้ในงานก่อสร้าง ใช้ทำเครื่องเรือน ทำเครื่องดนตรี -ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยใช้ไม้ในการทำโปงลางซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้าน -รากให้สีเหลืองใช้ย้อมผ้า ใบเป็นอาหารสัตว์ ไม้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่สำคัญในท้องถิ่น สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย ระยะเวลาออกดอก/ผลสุก ---กุมภาพันธ์-เมษายน/มิถุนายน-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่งหรือแยกต้นที่เกิดใหม่ ; เมล็ดมีอายุสั้นมากดีที่สุดควรหว่านทันทีที่สุก ใช้ระยะเวลาการงอก 2-3 สัปดาห์
|
มะหวด/Lepisanthes rubiginosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh.(1969) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50009183 ---Basionym: Sapindus rubiginosus Roxb.(1795) ชื่อสามัญ-----Rusty sapindus, Kak Jam fruit, Mertajam, Kelat Layu, Terajah, Terajan. ชื่ออื่น---กะซำ, กำจำ, กำซำ, ชันรุ, ซำ, นำซำ, มะจำ (ภาคใต้); มะหวด (ภาคกลาง); มะหวดบาท (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); มะหวดป่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะหวดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); สีฮอกน้อย (ภาคเหนือ); หวดคา, หวดฆ่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงใต้); หวดลาว (ภาคเหนือ) ;[BANGLADESH: Bara harina, Chagalnadi.];[BENGALI: Kaakjaam.];[CAMBODIA: Chon, Daun kay ryy chon (Central Khmer).];[CHINESE: Chi cai];[FRENCH: Pancovier.];[INDONESIA: Kelat jantan, Mertajam.];[LAOS: Mak houat, Mak houat flang, Mak houat kongtèp.];[MALAYSIA: Borobogan (Sabah); Damai (Bajau); Lipupudsu (Dusun); Kelat Layu, Mertajam, Terajah, Terajam, Kelat Jantan (Malay).];[PHILIPPINES: Kalayo (Tag.).];[THAI: Kasam, Kam, Cham, Kam sam, Chan ru, Sam, Nam sam, Ma cham (Peninsular); Ma huat (Central); Ma huat bat (Southeastern); Ma huat pa (Northeastern); Ma huat ling (Southeastern); Si hok noi, Huat lao (Northern); Huat kha (Northeastern, Southeastern).];[VIETNAMESE: Cây kén kén, Nhãn dê, Nhãn rừng.]. ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE EPPO Code---LQZRU (Preferred name: Lepisanthes rubiginosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย เวียตนาม จีน นิวกินี ฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย. นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lepisanthes' เป็นภาษาละตินสำหรับดอกไม้ที่มีเกล็ด อ้างอิงถึงการมีเกล็ดบนพื้นผิวด้านในของกลีบดอกไม้ ; ชื่อเพาะสายพันธุ์ 'rubiginosa' เป็นภาษาละตินสำหรับสีสนิม ซึ่งหมายถึงขนสีน้ำตาลบนใบและกิ่ง Lepisanthes rubiginosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เงาะหรือวงศ์ soapberry (Sapindaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pieter Willem Leenhouts (1926 – 2004) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปีพ.ศ.2512
ที่อยู่อาศัย จากอินเดียตอนเหนือไปยังอินโดจีนและไทยผ่านแหลมมลายูไปจนถึงเขตร้อนของออสเตรเลีย พบได้ในพื้นที่เปิดโล่ง ในป่าผลัดใบ ตามขอบป่า ป่าโปร่ง ป่าละเมาะ ตลิ่งด้านในของป่าชายเลน ที่ระดับความสูง 300 เมตรบางครั้งถึง 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูง 5-10 (-15) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 16-28 ซม.พุ่มกลมค่อนข้างโปร่ง เปลือกเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู่ (paripinnate) ยาว 15- 50 ซม.เรียงสลับ ใบย่อย (2) 3-6 (9) คู่ ขนาดของใบย่อย กว้าง1.5-11 ซม.ยาว3-31 ซม.รูปร่างไม่แน่นอน แผ่นใบหนา ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ด้านบนเห็นเส้นแขนงเป็นร่อง ด้านล่างเส้นใบนูนเด่น ช่อดอกออกเป็นช่อเดี่ยวแตกกิ่งเพียง 1 ครั้ง (racemose) ออกที่ซอกใบ ออกเป็นช่อตั้งขึ้นยาว12 - 30 ซม. ดอกสีขาวหรือเหลืองอ่อนเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม.กลีบเลี้ยงย่อย 2-2.5 มม. กลีบดอก 4 กลีบ รูปไข่กลับ 5 มม.มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลอ่อนสีเขียวอ่อนเมื่อเริ่มแก่สีจะเปลี่ยนเป็นเหลืองและแดง พอแก่จัดจะเป็นสีม่วงดำ ผลขนาดประมาณ 1.2-1.5 x 0.5-0.7 ซม.เมล็ด 1-3 เมล็ด สีน้ำตาลถึงดำ มันเงาขนาด 9–11 x 4 x 4 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่แสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน เติบโตได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดีแต่สามารถทนต่อดินที่ขาดธาตุอาหารและมีน้ำขังในช่วงเวลาสั้นๆ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างเพียงพอทุกๆ 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ตลอดฤดูหนาวในช่วงพักตัวไม่ต้องรดน้ำเพิ่มเติม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง สามารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นได้ตั้งแต่ยังเล็ก ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย หรืออาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีศัตรูพืชรบกวน/ รดน้ำมากเกินไปจะมีใบเหลืองและอาจร่วงหล่น โครงสร้างโดยรวมของพืชเหี่ยวเฉาและอาจทำให้รากเน่าได้ น้ำน้อยเกินไปใบจะมีสีน้ำตาลหรือเปราะเมื่อสัมผัสควรแก้ไขโดยให้น้ำทันที พืชจะฟื้นฟูสภาพได้ รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นแหล่งอาหารยาและไม้ในท้องถิ่น มันได้รับการเพาะปลูกเป็นบางครั้งสำหรับผลไม้ที่กินได้ ใช้กิน--- ผลรสหวานฝาด ใบอ่อนกินได้ ในชวาใช้หน่อเป็นผัก ใช้เป็นยา--- รากและใบรักษาไข้ รากต้มใช้สำหรับรักษาอาการไอ รากนำมาต้มดื่มแก้อาหารเป็นพิษ รักษาฝีภายใน รักษาวัณโรค ลดอาการไอ รักษาโรคงูสงัด ช่วยขับปัสสาวะ น้ำต้มใช้อาบ ต้านเชื้อรารักษาโรคผิวหนัง -น้ำต้มเมล็ด ช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง ช่วยขับพยาธิ แก้ปัสสาวะขุ่น บรรเทาโรคหอบหืด แก้ซางในเด็ก -เปลือกลำต้นและแก่น ต้มน้ำดื่มช่วยแก้บิดมูกเลือก แก้ท้องเสีย นำมาอาบสำหรับรักษาโรคผิวหนัง นำมาบดใช้ประคบแผล ช่วยให้แผลแห้งลดน้ำเหลืองไหล -ในประเทศอินเดียพืชใช้สำหรับรักษาโรคเรื้อน ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับริมถนน ใช้ปลูกให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะ, สวนป่าและ สวนทั่วไป อื่น ๆ--- ไม้ มีคุณภาพดี แต่ใช้ทำภาชนะและอุปกรณ์เล็ก ๆ กล่าวกันว่าเป็นไม้ที่มีค่าในประเทศอินเดีย แต่ในมาเลเซียใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเพื่อผลิตเครื่องตำข้าวและด้ามสำหรับเครื่องมือเท่านั้น (Adema et al. , 1996) ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พืชพื้นเมืองของสิงคโปร์ ''กังวลน้อยที่สุด'' (LC) ระยะออกดอก/ติดผล----ออกดอกและติดผลตลอดปี ปีละ 2 ครั้ง ในประเทศไทยส่วนใหญ่ออกดอกตั้งแต่พฤศจิกายน-เมษายน/ ออกผลในเดือนตุลาคม-เมษายน ขยายพันธุ์----เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง (เมล็ดสดนำมาตากแดดให้แห้ง 7-10 วัน ก่อนนำไปเพาะ ใช้เวลาในการงอก 2-4 สัปดาห์)
|
แดง/Xylia xylocarpa
[ZY-lee-a] [zy-lo-KAR-puh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Xylia xylocarpa var. kerrii (Craib & Hutch.) I.C.Nielsen.(1980) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:886077-1#synonyms ---Xylia kerrii Craib & Hutch.(1909) ชื่อสามัญ ---Burma Ironwood, Iron wood, Ironwood of Burma, Irul, Jamba, Pyinkado ชื่ออื่น---เพ้ย (กะเหรี่ยง-ตาก); เพร่, ไคว (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); แดง (ทั่วไป); ไปรน์ (ศรีสะเกษ); กร้อม (นครราชสีมา); คว้าย (กาญจนบุรี,กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); จะลาน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน); ตะกร้อม (จันทบุรี); ปราน (ส่วย-สุรินทร์); ผ้าน (ละว้า-เชียงใหม่); สะกรอม (เขมร-จันทบุรี);[CAMBODIA: Sokram, So-krach.];[HINDI: Jambu, Suria,Tangan.];[INDIA: Jamba (Karnataka).];[LAOS: Tone dèng.];[MYANMAR: Pyinkado.];[THAI: Phoei (Karen-Tak); Phre, Khwai (Karen-Mae Hong Son); Daeng (General); Prai (Si Sa Ket); Krom (Chaobon-Nakhon Ratchasima); Khwai (Kanchanaburi, Karen-Chiang Mai); Cha-lan, (Shan-Mae Hong Son); Ta-krom (Chong-Chanthaburi); Pran (Suai-Surin); Phan (Lawa-Chiang Mai); Sa-krom (Khmer-Chanthaburi).];[VIETNAM: Căm xe.];[TRADE NAME: Iron wood, Jamba, Pyinkdo, Irul.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE) EPPO Code---XYLSS (Preferred name: Xylia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-อินเดีย-พม่า กัมพูชา ลาว ไทย เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Xylia' มาจากภาษากรีก “xylon” = เนื้อไม้ อ้างอิงตามลักษณะเนื้อไม้ที่แข็ง ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'xylocarpa' จากภาษาอังกฤษ 'xylocarp' = ผลไม้ที่มีเนื้อไม้แข็ง อ้างอิงถึงผลไม้ของพืชชนิดนี้ Xylia xylocarpa var. kerrii เป็นความหลากหลาย (variety) ที่ยอมรับได้ (accept) ของสายพันธุ์พืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ John Hutchinson, OBE, FRS (1884–1972) นักพฤกษศาสตร์ นักอนุกรมวิธานและนักเขียนชาวอังกฤษ.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ivan Christian Nielsen (1946–2007) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ.2523
Picture by---https://alchetron.com/Xylia-xylocarpa ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน ในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณถึงระดับความสูง 850 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบสูง 20-25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 40-60ซม. ลำต้นเรียวตรง กิ่งก้านลู่ลง เปลือกต้นบางสีครีมอมน้ำตาล หรือน้ำตาลอมแดง แตกล่อนเป็นแผ่นบาง เปลือกชั้นในสีชมพู เนื้อไม้สีส้มออกแดงกิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนละเอียดสีเหลือง ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้นปลายคู่ (Biparipinnate) มีก้านใบชั้นที่ 1 ใบเดี่ยว 1 คู่ ออกตรงข้ามยาว 10-30 ซม.ผิวเป็นมันเล็กน้อย ต่อมใต้รอยต่อของก้านใบ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มม.ใบย่อย 3–6 คู่ต่อยอด ก้านใบยาว 2–3 มม.ใบย่อยรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 3.8–14 x 2.4–6.7 ซม โคนใบสอบ ปลายใบแหลมมน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบบนจะใหญ่สุด ใบแก่ด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนสีน้ำตาลเล็กน้อย ก้านใบย่อยยาว (1.5–)3–6(–7) ซม.ผลิใบอ่อนระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน ภายหลังจากออกดอก ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกเดี่ยว ๆ หรือเป็นกระจุกคล้ายช่อกระจะสั้น ๆ สีเหลืองอ่อนถึงขาว เป็นช่อกลม ก้านช่อดอกยาว 2.5-9 ซม มีดอกย่อยประมาณ 20-90 ดอก ขนาด1.5-2 ซม.ออกเป็นช่อใกล้ปลายยอด ดอกย่อยคล้ายดอกกระถินมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นฝักรูปไต แบนรูปขอบขนาน เรียว เปลือกหนาแข็งและปลายโค้งงอสีน้ำตาลอมเทา ผิวเรียบขนาดกว้าง 3.5-6 ซม.ยาว 9.5-10.5 ซม. เมื่อแก่จะแตกออกตามแนวตะเข็บ เมล็ดทรงรี แบน แข็งสีน้ำตาลเข้ม มี 7-10 เมล็ด ขนาดเมล็ดกว้าง 7.5-9 มม. ยาว 12-14 มม.หนา1.5-2 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแดด แต่ยังประสบความสำเร็จในที่ร่ม อุณหภูมิที่เหมาะสม 16°C - 35°C สามารถทนได้ 8°C - 35°C ชอบดินทรายที่ลึกและระบายน้ำได้ดี ค่า pH ในช่วง 5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า -มีรายงานว่าอัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้เล็กค่อนข้างสูง: ในอินเดีย ต้นไม้สูงโดยเฉลี่ย 5.7 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 ซม. หลังจากผ่านไป 5 ปี; ในบังกลาเทศ สูง 16 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง19 ซม. หลังผ่านไป 10 ปี ต้นไม้อายุ 23 ปีที่เติบโตในสวนรุกขชาติของสถาบันวิจัยป่าไม้มาเลเซียมีความสูง 26 เมตรและเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซม -สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ เดิม เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของป่าเบญจพรรณ ปัจจุบันจำนวนลดลงเพราะถูกโค่น เนื่องจากเนื้อไม้มีคุณภาพดี เป็นพรรณไม้ที่ฟื้นตัวเร็วหลังจากเกิดไฟป่า จะงอกใหม่ได้ดี การรดน้ำ---พืชปลูกใหม่ รดน้ำวันละ 1 ครั้ง เช้าหรือเย็น การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเมื่อต้นไม้มีอายุน้อย เมื่ออายุได้ 5 ปี ตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ความสูงอยู่ที่ประมาณ 10 เมตร จากนั้นปล่อยตามธรรมชาติ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย อาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้งหลังตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนกินได้ เมล็ดดิบสดใหม่กินเป็นผัก นำมาคั่วสุกกินได้ ใช้เป็นยา--- เปลือกไม้มีแทนนินและฝาด ยาต้มใช้เพื่อกำจัดหนอนในร่างกาย ใช้รักษาโรคเรื้อน, อาเจียน, ท้องร่วง, โรคหนองในและแผล น้ำมันจากเมล็ดใช้ในการรักษาโรคไขข้อ โรคริดสีดวงทวารและโรคเรื้อน -ตำรายาไทยใช้ เปลือกต้น ซึ่งมีรสฝาด สมานธาตุ แก่น เข้ายาแก้โรคกษัยโลหิต (อาการมะเร็งที่มดลูกและรังไข่ในสตรี หรือมะเร็งปอดของบุรุษ) ดอก เข้ายาแก้ไข้ บำรุงหัวใจ -ยาพื้นบ้านใช้ เปลือกต้น ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ประดง (อาการโรคผิวหนังมีผื่นคัน เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผื่น คันมาก มักมีไข้ร่วมด้วย) วนเกษตร--- สายพันธุ์นี้เหมาะกับสภาพธรรมชาติในประเทศไทย ถูกใช้ในการปลูกป่าในบางพื้นที่ ที่เสื่อมโทรม ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---นิยมปลูกตามบ้านเรือน ริมถนน หรือตามสวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงา อื่น ๆ--- เนื้อไม้สีแดงเรื่อๆหรือสีน้ำตาลออกแดง เป็นไม้คุณภาพชั้นดี แข็งแรง เหนียวและทนทานมากใช้สร้างบ้าน นิยมใช้ทำเสา รอด ตงขื่อ พื้นกระดาน ทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง -ไม้นั้นมีค่าสำหรับเป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน ฝักไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการปรุงอาหาร - เปลือกและไม้เป็นแหล่งแทนนิน ดอกไม้ใช้ในอุคสาหกรรมผลิตน้ำหอมและเครื่องสำอาง เรซิ่นสีแดงได้มาจากลำต้น น้ำมันได้จากเมล็ด ใบใช้เป็นปุ๋ยพืชสด -ในประเทศไทยใบไม้จะใช้ในการรักษาบาดแผลของช้าง สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตาก ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์ --- เมล็ดกระจายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ, เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
|
น้ำเต้าต้น/Crescentia cujete
[kress-EN-tee-uh] [koo-JEE-tee]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Crescentia cujete L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms. ---Crescentia acuminata Kunth.(1819) ---Crescentia arborea Raf.(1838) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-320517 ชื่อสามัญ---Calabash, Calabash Gourds, Calabash-tree, Common calabash tree, Miracle fruit. ชื่ออื่น---น้ำเต้าอินเดีย, น้ำเต้าญี่ปุ่น, น้ำเต้าต้น (กรุงเทพฯ) ;[BAHAMAS: Calabash-tree, Tree calabash, Wild calabash.];[BERMUDA: Calabash.];[BOLIVIA: Porobamba, Totumo, Tutuma.];[BRAZIL: Arvore-de-cuia, Cabaceira, Coité, Cuia, Cuieira, Cuité, Cuiteseiva, Cujeté.];[CHINESE: Hu lu shu.];[COLUMBIA: Cuyabra, Tatuma, Totumo cimarrón.];[CUBA: Calabasa, Güira, Güira cimarrona, Güira común, Güira de vaca, Güira del monte, Güira jía, Güira larga, Güira redonda, Totuma.];[DUTCH: Kalebasboom.];[ECUADOR: Botote, Botote pilche, Cuya, Mate, Mate ancho, Pilche, Pilchimate.];[FRENCH: Arbre à calebasses, Coui, Crescentie, Calebassier.];[GERMAN: Kalebassenbaum.];[HONDURUS: Kabami.];[INDONRSIA: Berenuk, Majapahit.];[ITALIAN: Albero di zucca, Calebassa Guiana, Icara.];[MALAYSIA: Tabu kayu.];[MEXICO: Ayale, Bule, Cerial, Ccirian mazo, Jicaro.];[NICARAGUA: Saabang.];[NIGERIA: Igisogba.];[PANAMA: Calabazo, Totumo.];[PERU: Buhango, Huinga, Pate, Pati, Sacha huingo, Tapara, Tsapa, Wingo.];[PHILIPPINES: Kalabas, Cujete (Tag.); Miracle fruit (Eng).];[POLISH: Dzbaniwo kalebasowe.];[PORTUGUESE: Arvore-de-cuia, Coité, Cuieira, Cuité, Cujeté.];[RUSSIAN: Gorlyankovoye derevo, Kalebasovoye derevo.];[SAMOA: Fagu.];[SPANISH: Arbol de las calabazas, Calabacito de chicha, Crescencia, Güira de las Antillas, Güiro.];[SRI LANKA: Rum tree.];[SWEDISH: Kalebassträd.];[THAI: Namtao yipun, Namtao ton (Bangkok).];[USA: Calabash gourd, La’amia.];[VIETNAM: ĐàoTiên.];[VENEZUELA: Taparo.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---KTQCU (Preferred name: Crescentia cujete.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crescentia' ได้รับเกียรติจากนักปฐพีวิทยาชาวอิตาลี Pietro de' Crescenzi (1230-1321) ; ชื่อสายพันธุ์ 'cujete' มาจากชื่อท้องถิ่นของบราซิล Crescentia cujete เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในภาคกลาง, อเมริกาใต้,หมู่เกาะอินเดียตะวันตกและภาคใต้ของฟลอริด้า เติบโตในทุ่งหญ้าสะวันนาพุ่มไม้หนาทึบและที่ชายขอบของป่าบนดินเหนียวจากระดับน้ำทะเลสูงถึงประมาณ 800 เมตร ที่ระดับความสูงถึง 420 เมตรในจาเมกา ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กกึ่งผลัดใบต้นสูงประมาณ 4-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุดเกือบ 50 ซม.เปลือกต้นหยาบแตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เรือนยอดกลม ใบเป็นใบเดี่ยวยาว 4-20 ซม. และกว้าง 3-7 ซม. ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง ขนาดไม่เท่ากัน รูปไข่กลับแกมรูปช้อน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบสอบเป็นครีบ ดอกสีเขียวอมเหลืองมีลายสีม่วงแดง ออกเดี่ยวหรือคู่ออกตรงตามลำต้นและตามกิ่งก้าน (cauliflory) ก้านช่อดอกสั้น กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 2 แฉก เกสรเพศผู้ 4 อัน สั้น 2 ยาว 2 ดอกมีกลิ่นฉุน บานเฉพาะตอนกลางคืน ดอกไม้จะร่วงในตอนเที่ยงของวันต่อมา ผลสีเขียวสวยงามห้อยกระจายทั่วไปภายในทรงพุ่ม รูปกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-30 ซม.แรกเริ่มมีสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และสุดท้ายเป็นสีน้ำตาล เมื่อสุกมีเปลือกเรียบมีลักษณะเป็นไม้และแข็งเป็นพิเศษ เปลือกผลหนาประมาณ 0.5 ซม.เมล็ดรูปไข่แกมแบนสีน้ำตาลเข้มยาวประมาณ 0.7 ซม.และกว้าง 0.5ซม.มีจำนวนมาก ฝังอยู่ในเนื้อ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเฉพาะในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเท่านั้น ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แต่ไม่เจาะจงเกี่ยวกับดินแม้แต่ดินเหนียวและการระบายน้ำเพียงเล็กน้อยก็สามารถอยู่ได้ ชอบดินชื้นและทนแล้งได้ไม่ทนไอเกลือ เป็นต้นไม้ที่ไม่ต้องดูแลรักษามากนัก การบำรุงรักษาต่ำ อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางเฉพาะปีแรก 1ปี หลังปลูก ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและและควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นไม่ต้องรดน้ำเพิ่มเติมหรือเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---รูปทรงไม่ค่อยแน่นอน การตัดแต่งมีอิทธิพลต่อรูปทรงพันธุ์ไม้ประดับชนิดนี้ เล็มปลายกิ่งเป็นประจำเมื่อต้นยังเล็กเพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขาใกล้กับลำต้นมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางของกิ่งหลักและทำให้ทรงพุ่มหนาขึ้น ลำต้นสามารถฝึกให้ตั้งตรงได้โดยการปักหลัก และกิ่งด้านข้างให้ตั้งตรง การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย อาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรงบางครั้งก็อาจถูกรบกวนจากแมลงเต่าทอง และหนอนผีเสื้อ รู้จักอ้นตราย---เนื้อของผลไม้และเมล็ดมีพิษ เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็ก ๆ และนกต่าง ๆ พืชมีหนามแหลมคมใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กินไม่ได้ เนื้อผลไม้นั้นมนุษย์ไม่สามารถกินได้ ต้นน้ำเต้าดำ (Amphitecna latifolia) มีลักษณะหลายอย่างเหมือนกันกับน้ำเต้าต้น และมาจากตระกูลเดียวกัน ความสูงของต้นพอๆ กัน และออกใบและดอกที่คล้ายกันกับน้ำเต้าต้น อย่างไรก็ตามผลน้ำเต้าดำนั้นกินได้ อย่าสับสนระหว่างต้นไม้สองต้นนี้ ใช้เป็นยา--- พืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณโดยประชากรท้องถิ่นในประเทศต้นทาง ส่วนที่ใช้ ผล เปลือก - ใบตำพอกแก้ปวดหัว ผลช่วยระบาย ขับเสมหะ แก้บิด ขับปัสสาวะ สมานแผลทำให้ผิวนวล ลำต้น - ใช้ยาต้มจากเปลือกเพื่อทำความสะอาดแผล ลำต้น เปลือกและใบแสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพ ใช้ปลูกประดับ--- พืชมีรูปทรงกิ่งมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม ผลสุกปล่อยให้ร่วงเน่าแล้วเหม็นมาก ต้องคอยเก็บทิ้ง อย่าปล่อยให้เน่าคาสนาม เหมาะกับพื้นที่บริเวณกว้างมากกว่าปลูกไว้ในบ้านที่มีพื้นที่ไม่มากนัก สามารถใช้ปลูกบนสวนดาดฟ้า ทนต่อลมแรงได้ดี ไม่ทนไอเกลือ ไม่สามารถปลูกใกล้ทะเล ใช้อื่น ๆ--- ไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลอมเหลือง หนัก,ยืดหยุ่น,ใช้งานง่ายและทนทานต่อแมลงใช้ในการก่อสร้างสำหรับเรือและเครื่องมือประเภทต่าง ๆไม้แกะสลักได้ง่ายเมื่อยังเป็นสีเขียวแต่เมื่อตกแต่งและแห้งสนิทแล้วก็เหมือน 'เหล็ก'และอาจใช้เป็น 'หลายร้อยปี' -มีการใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณในลักษณะเดียวกับน้ำเต้าในหลายประเทศในละตินอเมริกา (โดยเฉพาะโคลัมเบียและคิวบา) ผลแห้งใส่เมล็ดพืชหลายชนิดใช้ในการทำ maracas (หรือเครื่องดนตรีสั่น) และงานฝีมืออื่น ๆ มักจะตกแต่งอย่างหรูหรา -กระดาษบุหรี่: ในบราซิลมีการใช้เยื่อบุที่เป็นเส้นบาง ๆ แทนกระดาษมวนบุหรี่ -ผลไม้ที่เรียกว่าJícara, Bule, Tecomate, Guaje, Morro หรือ Huacal ในเม็กซิโกถูกนำมาใช้ทำภาชนะขนาดเล็กสำหรับเสิร์ฟหรือดื่ม ความเชื่อ/พิธีกรรม---นอกเหนือจากการใช้งานจริงแล้ว ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณในชุมชนพื้นเมืองหลายแห่งทั่วอเมริกา มักเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ การปกป้องคุ้มครอง และใช้ในพิธีและพิธีกรรมต่างๆ ระยะออกดอกติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด และตอนกิ่ง (เมล็ดพันธุ์ใช้ระยะเวลาในการงอกอาจใช้เวลาตั้งแต่ 2-6 สัปดาห์)
|
ตีนเป็ดฝรั่ง/Crescentia alata
[kress-EN-tee-uh] [a-LA-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Crescentia alata Kunth.(1819) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://species.wikimedia.org/wiki/Crescentia_alata ---Crescentia ternata Sessé & Moc.(1889) ---Crescentia trifolia Blanco.(1837) ---Otophora paradoxa Blume.(1847 publ. 1849) ---Parmentiera alata (Kunth) Miers.(1868) ---Pteromischus alatus (Kunth) Pichon.(1945 publ. 1946) ชื่อสามัญ---Mexican Calabash, Winged calabash, Jicaro, Morro ,Morrito. ชื่ออื่น---ตีนเป็ดฝรั่ง (กรุงเทพฯ) ;[CHINESE: Chā yèmù, chā yè shù, sānchā mù, shízìjià shù.];[HINDI: Kamandal.];[JAPANESE: Kuresukentia.];[KANNDA: Sokeburude.];[MEXICO: Cirián, Cirial, Cirio, Huaje, Cuatecomate.];[PHILIPPINES: Krus-krusan (Tag.); Cross Blade (Eng).];[SPANISH: Hoja cruz, Jicara, Jícaro, Morrito, Tecomate.];[TAMIL: Tiruvottukay.];[THAI: Tin pet farang (Bangkok).];[VIETNAM: Đào tiên cảnh.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---KTQAL (Preferred name: Crescentia alata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง เม็กซิโก คอสตาริกา นืรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crescentia' ได้รับเกียรติจากนักปฐพีวิทยาชาวอิตาลี Pietro de' Crescenzi (1230-1321); ชื่อเฉพาะ 'alata' มาจากภาษาละติน 'alatus' = " มีปีก" อ้างอิงถึงก้านใบที่มีปีกของพืช Crescentia alata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2362
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกาจากเม็กซิโกและอเมริกากลางไปยังคอสตาริกา ที่สามารถพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 1,200 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ผลัดใบต้นสูง 4-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 7-10 ซม.เรือนยอดโปร่ง แผ่กว้างเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม ใบเป็นใบประกอบแบบใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) รูปใบหอก รูปไข่กลับค่อนข้างแคบ รูปช้อน หรือเป็นแถบยาวก้านใบมีปีกเด่นชัด ดอกออกเป็นกระจุกตามลำต้นและตามกิ่ง ดอกส่วนปลายสีเขียวอมเหลือง โคนสีม่วงเข้มถึงน้ำตาล มีลายสีม่วงแดง กลิ่นเหม็นหืน ออกเดี่ยวหรือคู่เป็นกลุ่ม 1-3 ดอก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 6 ซม.กว้าง 4 ซม. ปลายแยก 5 แฉก กลีบเลี้ยงแยกเป็นสองแฉกยาว1.5 ซม. โคนติดกันเล็กน้อย เกสรเพศผู้ 4 อัน สั้น 2อัน ยาว 2อัน ผล ค่อนข้างกลมรี เปลือกเข็งหนา ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดฝังอยู่ในเนื้อ ลักษณะที่แตกต่างจาก Crescentia cujete ---ผลเล็กกว่า กิ่งก้านเรียยาวกว่าและตั้งตรงกว่า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8ชั่วโมงต่อวัน) หรือกึ่งร่มเงา (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิเฉลี่ยต่อวันอยู่ระหว่าง 18°C - 29°C เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่ลึกและมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ทนความแห้งแล้งได้ดี อัตราการเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย รดน้ำเฉพาะปีแรก 1ปี หลังปลูก ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและและควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นไม่ต้องรดน้ำเพิ่มเติมหรือเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---รูปทรงไม่ค่อยแน่นอน การตัดแต่งมีอิทธิพลต่อรูปทรงพันธุ์ไม้ประดับชนิดนี้ เล็มปลายกิ่งเป็นประจำเมื่อต้นยังเล็กเพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขาใกล้กับลำต้นมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางของกิ่งหลักและทำให้ทรงพุ่มหนาขึ้น การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย อาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ทนต่อศัตรูพืชและโรค รู้จักอ้นตราย---None known (ไม่มีข้อมูลยืนยันความเป็นพิษของพืชชนิดนี้) ใช้ประโยชน์--- ผลไม้มักจะถูกรวบรวมจากป่าและใช้ทำภาชนะบรรจุ ถ้วย ฯลฯ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มักจะถูกวางขายทั้งในตลาดกัวเตมาลา และในพื้นที่อื่นที่ไกลจากสถานที่ที่ต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติเพื่อใช้เป็นยาในครัวเรือน ต้นไม้ได้รับการปลูกเป็นไม้ประดับและ ปลูกเพื่อใช้ไม้ ใช้กินได้--- เมล็ดกินได้และมีโปรตีนสูง มีรสหวานคล้ายชะเอมเทศ ในฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์และนิการากัว นำเมล็ดบดผสมกับส่วนผสมอื่น ๆใช้ทำเครื่องดื่ม ผสมกับข้าวดิบเมล็ดฟักทองคั่วเปลือกมะนาวน้ำตาล น้ำและน้ำแข็ง กลายเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็น horchata ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Semilla de jícaro และผลไม้บางครั้งจะกินหรือทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้เป็นยา--- ในกัวเตมาลาใช้สำหรับการอักเสบ โรคทางเดินหายใจ มีไข้และลดน้ำหนัก - ยาต้มจากใบไม้ใช้เป็นยาสมานแผลและแก้เลือดออก - มีการใช้มากในการรักษาโรคไอเป็นเลือด และโรคบิด - ใช้ในวนเกษตร ระบบรากที่กว้างขวางทำให้พืชมีค่าในโครงการรักษาเสถียรภาพของดิน ใช้ปลูกประดับ---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนทั้วไป ใช้อื่น ๆ--- แก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อน กระพี้นั้นเป็นสีชมพูอมน้ำตาลแดง ไม้นั้นแข็ง ถูกใช้ในท้องถิ่นสำหรับการทำเกวียนและก่อสร้าง - ผลที่มีลักษณะคล้ายน้ำเต้าถูกทำให้เป็นโพรงและทำให้แห้ง ใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม และนำมาทาสีในงานทำหัตถกรรม งานศิลปะ เช่นกระปุกออมสินและเครื่องประดับ พิธีกรรม/ความเชื่อ---***ผลไม้มีบทบาทในPopol Vuh (หนังสือตำนานอารยธรรมมายา ) หลังจากฝาแฝดฮีโร่รุ่นแรก 1 Hunajpu และ 7 Hunajpu ล้มเหลวและถูกฆ่าตายในเกมบอลใน Xibalba ปีศาจร้าย Xibalbans จะแขวนกะโหลกไว้ที่ต้นไม้นี้ ต่อมากะโหลกศีรษะถ่มน้ำลายลงในมือของเจ้าหญิง Xibalban Ixquic จึงทำให้เธอตั้งครรภ์และให้กำเนิด Maya Hero Twins รุ่นที่สองที่ประสบความสำเร็จ***อ้างอิงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Crescentia_alata ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก --- เกือบตลอดปี ดอกดกในช่วงฤดูหนาว ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
สะแกนา/Combretum Quadrangulare
Genus : [kom-BREE-tum]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Combretum Quadrangulare Kurze.(1874) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2732966 ---Combretum attenuatum Wall. (1831) [Invalid] ชื่อสามัญ---Bushwillows, Combretums, Sakae naa ชื่ออื่น--- แก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ขอนแข้, จองแข้ (แพร่); ซังแก (เขมร-ปราจีนบุรี); แพ่ง (ภาคเหนือ); สะแก, สะแกนา (ภาคกลาง) ;[CAMBODIA: Sangke (Central Khmer).];[JAPANESE:Takeo bushwillow];[THAI: Kae (Northeastern); Phaeng (Northern); Khon khae, Chong khae (Phrae); Sang-kae (Khmer-Prachin Buri); Sakae, Sakae naa (Central).];[VIETNAM: Trâm bầu, Chưng bầu, Tim bầu, Săng kê, Song re.] ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย คาบสมุทรอินโดจีน-เวียตนาม กัมพูชา พม่า ลาว ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Combretum' มาจากภาษาละติน 'comb' และ 'etum' = สวนหรือป่าละเมาะ อ้างอิงสถานที่ของพืช ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'Quadrangulare' จากภาษาละติน 'quadrangulus' = มี 4มุม อ้างอิงถึงผลไม้ที่มีครีบ 4 ครีบ Combretum Quadrangulare เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2417
ที่อยู่อาศัย เติบโตตามธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า ในประเทศไทยพบได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในที่โล่งและเปียก หรือเขาหินปูนเตี้ย ๆ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 250 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบหรือผลัดใบช่วงสั้นๆ สูง 4-10 เมตร เปลือกต้นสีขาวเรียบหรือมีร่องเล็กน้อย ขณะที่ต้นยังเล็ก กิ่งอ่อนล่างๆมักจะมีหนาม กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปไข่กลับหรือมนรี กว้าง 3-8 ซม.ยาว 5-19 ซม.โคนใบสอบปลายใบมน ขอบใบเรียบ เนื้อใบสีเขียวซีด ด้านหลังใบมีเกล็ดละเอียดแน่น ดอกอกเป็นช่อตรงโคนก้านใบ ยาว3-7 ซม.หลุดร่วงง่าย ดอกสีขาวแกมเหลืองขนาด 0.3-0.4 ซม.ผลรูปกลมมนเป็นครีบ มี 4 ครีบ ขนาด 2-4 ซม.สีน้ำตาลอมสีเขียวอ่อน เปลี่ยนเป็นเหลืองอมน้ำตาลเมื่อแก่จัด ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม 1 เมล็ด มีครีบ 4 ครีบ สีน้ำตาลแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดถึงบางส่วน ที่ขึ้นได้ในดินทุกชนิด แต่เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวที่ชื้นแต่มีการระบายน้ำดี การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำเช้า-เย็นทุกวัน จากนั้นให้ลดเหลือ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อต้นกล้ามีระบบรากที่แข็งแรง รดน้ำเป็นครั้งคราวเท่านั้น แล้วปล่อยตามธรรมชาติ แทบไม่ต้องดูแลอะไรอีก ทนแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง นอกจากตัดกิ่งใหญ่ไปใช้ประโยชน์ เช่นทำถ่านหรือทำฟืน การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยหรืออาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและแมลงร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---ผลข้างเคียงของ Combretum quadrangulare มักจะเชื่อมโยงกับปริมาณที่สูงหรือการใช้เป็นเวลานาน รวมถึง อาการวิงเวียนศีรษะ ชา คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ท้องผูก นอนไม่หลับ ผิวคล้ำ อาจทำให้เกิดความสับสนและสมองฝ่อได้ ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการแพทย์พื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉยงใต้ และมีความเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาทางชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงฤทธิ์ป้องกันตับ ลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้ปวดในลำไส้ และฤทธิ์ต้านพยาธิ - ส่วนที่ใช้ เมล็ด รากและใบ สารสกัดจากเมล็ดแสดงคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย - รากและไม้ ใช้รักษากามโรค ใบไม้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ - ในประเทศไทย ใช้เมล็ดเป็นยาถ่ายพยาธิ โดยจะคั่วผสมกับกล้วยสุก หรือทอดกับไข่ ใช้กับพยาธิตัวกลม,พยาธิตัวตืดและโรคระบบทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับพยาธิในลำไส้ในเด็ก - ในกัมพูขาใช้ราก เปลือกไม้และไม้ ต้มรวมกัน ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อทุกข์ทรมานจากอาการปวดกระดูก ส่วนผสมเดียวกันนี้ยังใช้ในการรักษามาลาเรีย - ในประเทศจีนใช้ เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการเจ็บคอและหวัด รวมถึงบรรเทาอาการปวดเล็กน้อย วนเกษตร--- ต้นไม้ปลูกเพื่ออนุรักษ์ดินและป้องกันลม ใช้ปลูกประดับ---ใช้ปลูกประดับให้ร่มเงาในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ อื่น ๆ---คนพื้นเมืองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคี้ยวหรือสูบบุหรี่ใบสดแล เพลิดเพลินไปกับคุณสมบัติกระตุ้นเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว ประชากรพื้นเมืองใช้พืชชนิดนี้เป็นทางเลือกของ kratom เนื่องจากมีฤทธิ์กระตุ้นที่คล้ายคลึงกัน (ในประเทศไทย kratom ถูกแบนตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 ปัจจุบัน (2566) ซื้อขายทั่วไป) - สารสกัดแอลกอฮอล์และสารสกัดอื่น ๆ จากรากและเมล็ดสามารถฆ่าไส้เดือนดิน - กิ่งไม้ใช้ทำฟืนและเผาถ่านไว้ใช้ในครัวเรือน ความเชื่อ/พิธีกรรม---***ทางภาคอีสานจะมีความเชื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับต้นสะแกว่า ต้นสะแกไหนที่มีอายุมากและมีขนาดต้นสูงใหญ่ จะเป็นแหล่งอาศัยของเทพผู้ปกปักษ์รักษาต้นพืช ช่วยดูแลไม่ให้พืชผลเสียหายไปกับภัยพิบัติ และยังช่วยให้การเพาะปลูกงอกงาม บางแห่งก็จะมีการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางในบริเวณใต้ต้นสะแกนี้ด้วย***อ้างอิงจาก https://kaset.today/ ระยะออกดอก----กุมภาพันธ์-มีนาคม ขยายพันธุ์---- เพาะเมล็ด
|
เพกา/Oroxylum indicum
[or-oh-ZY-lum] [IN-dih-kum]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Oroxylum indicum (L.) Benth. ex Kurz.(2013) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/114547191 ---Basionym: Bignonia indica L.(2013) ---Bignonia pentandra Lour.(2013) ---Calosanthes indica (L.) Blume..(2013) ชื่อสามัญ---Broken Bone tree, Broken Bones Plant, Damocles tree, Indian Trumpet Flower, Indian caper, Midnight horror, Scythe tree, Tree of Damocles. ชื่ออื่น --- มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ดังนี้: ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เบโด (มาเลเซีย-นราธิวาส) มะลิดไม้ มะลิ้นไม้ (เหนือ) ลิ้นฟ้า หมากลิ้นฟ้า บ่าลิ้นไม้ (เลย) ; [ASSAMESE: Toguna, Dingdinga, Bhatghila];[AYURVEDIC: Shyonak];[BENGALI: Sona];[CHINESE: Mu hu die, Mù hú dié shǔ.];[HINDI: Sonapatha, Putivriksha, Shallaka];[INDONESIA: Pong-porang (Sundanese); Bungli, Kajeng jaler, Kayu lanang, Mungli, Wungli (Javanese); Kapung-kapung (Sumantran.);[KANNADA: Sonepatta, Patagani.];[MALAYALAM: Palakapayyani, Valpathiri, Aralu, Vellapathiri.];[MALAYSIA: Kulai, Merkulai, Merulia, Merlai, Bonglai kayu, Bolai kayu, Boli, Boloi, Bongloi, Berak, Beka, Beka kampung, Bikir, Bikir hangkap, Kankatang, Misai kucing, Kulai.];[MARATHI: Tayitu, Tetu.]; [MYANMAR: Kyaung shar, Sot-gren-itg (Mon), Maleinka (Mak) (Shan).]; [NEPALI: Tatelo];[SANSKRIT: Shyonaka, Aralu]; [SRI LANKA: Thotil, Totila];[TAMIL: Cori-konnai, Paiyaralandai, Peiarlankei, Puta-puspam.];[TELUGU: Pampena, Suka-nasamu, Tundilamu, Manduka-parnamu.];[THAI: Ka-do-dong (Karen-Kanchanaburi); Dok-ka, Do-ka, Du-kae (Karen-Mae Hong Son); Be-ko (Malay-Narathiwat); Pheka (Central); Ma lit mai, Ma lin mai, Lit mai (Northern); Lin fa (Loei); Mak-lin-kang, Mak-lin-sang (Shan-Northern).];[UNANI: Sonapatha];[VIETNAMESE: Nuc nac, Nam hoang ba, Sò đo.];[TRADE NAME: Sonapatha.]. ชื่อวงศ์ --- BIGNONIACEAE EPPO Code---OOXIN (Preferred name: Oroxylum indicum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย-เทือกเขาหิมาลัย ภูฏาน จีนตอนใต้ อินโดจีน นืรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “Oros” ภูเขา และ “xylon” ไม้ หมายถึงต้นไม้ที่ใบหนาแน่นที่ยอดคล้ายภูเขา ; ชื่อเฉพาะ 'indicum' = คราม สีน้ำเงินอินเดีย (สีที่อยู่ระหว่างสีน้ำเงินและสีม่วง) - "Tree of Damocles" ( "ต้นไม้แห่งDamocles ") ชื่อสามัญชื่อหนึ่งที่ได้มาจาก ลักษณะลยาวโค้งลง คล้ายปีกของนกขนาดใหญ่หรือห้อยเคียวหรือดาบในเวลากลางคืน - เป็น Monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์ คือ Oroxylum indicum. Oroxylum indicum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2556
ที่อยู่อาศัย--- พบใน จีนตอนใต้ อินเดีย เนปาล ภูฏาน เมียนมาร์ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ พบขึ้นในที่โล่งแจ้งในป่าชั้นที่สอง ป่าเปิดโล่ง ริมถนน ทางลาด และพบในการเพาะปลูกเพื่อรับประทานผลอ่อน เติบโตที่ระดับความสูง 500 - 900 เมตร ในพม่าพบในธรรมชาติที่ระดับความสูง 1,220 เมตร ในประเทศไทย พบทุกภาค ลักษณะ--- เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง กึ่งผลัดใบ สูง 5-13 (-20) เมตร ลำต้นสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 40 ซม เปลือกต้นสีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน มีรอยแตกละเอียดและแผลเป็นของใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้นปลายคี่ (Tripinnate- imparipinnate) ออกที่ปลายยอด ยาวถึง 150 ซม. ก้านใบบนสุดแยกออก1ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้งและก้านใบล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม ใบย่อยขนาด 5-10 ซม.รูปไข่กลับปลายยาว ขอบใบเรียบ ก้านใบข้างและก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อดอก (Raceme) ตั้งขึ้นยาว 60-180 ซม.แต่ละช่อมีดอกบานครั้งละ 1-2 ดอก มักจะมีดอกและผลในช่อเดียวกัน ออกดอกตอนบนออกผลตอนล่าง ก้านดอกยาว 2-4 ซม. มีใบประดับเล็กน้อยที่ส่วนล่าง กลีบเลี้ยงตัดเป็นแฉกหรือเป็นแฉกตื้นๆ 2–4 x 1.3–1.8 ซม. ดอกสีเหลืองครีมแกมเขียว โคนกลีบสีม่วง ขนาดใหญ่ กว้าง 5-10 ซม.กลีบดอกไม้หนามาก เนื้อส่วนบนยาว 6-9 ซม.หลอดฐานยาว 1.2–1.6 ซม.แฉกย่นเป็นลูกคลื่น มีต่อมกระจายอยู่ข้างนอก มีต่อมขนหนาแน่นอยู่ข้างใน ดอกบานตอนกลางคืน มีกลิ่นค่อนข้างสาบฉุน และร่วงโรยก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มักพบดอกร่วงบนพื้นดินตอนเช้า กลีบมักมีรอยขีดข่วนเกิดจากค้างคาวที่มากินน้ำหวานจากดอกในตอนกลางคืน ผลแคปซูลมีเนื้อไม้ยาวโค้ง ยาวได้ถึง 1.5 เมตร ที่ห้อยลงมาจากกิ่งก้านเปล่า แห้งแล้วแตก เมล็ดมีปีก 35-40 x 58-60 มม.เมล็ดแก่มีเยื่อบางๆเป็นปีกสีขาวคล้ายกระดาษซ้อนกันอยู่ในฝักมากมาย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัดหรือมีแสงรำไร ดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสายพันธุ์ แต่ก็ขึ้นได้ดีในดินดำปานกลางถึงดินดำลึก ทนทานต่อดินหลากหลายชนิด มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย อัตราการเจริญเติบโตเร็ว ต้นไม้มีอายุค่อนข้างสั้น การรดน้ำ---ในปีแรก ให้น้ำปกติ 15 วัน ครั้ง ให้น้ำบ่อยขึ้นในช่วงฤดูร้อน (ช่วงละ 7-10 วัน) เว้นช่วงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ระวังปลวกโจมตีทำให้เปลือกรากเสียหายอย่างรุนแรงในพืชผลที่ปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง แมลงเหล่านี้สามารถควบคุมได้โดยใช้สเปรย์ Endosulphan 30 EC @ 0.03% ในน้ำ 2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน ทันทีที่ปลวกเข้าทำลายพืช รู้จักอันตราย---None known
Picture by---https://www.roddure.com/bio/plant/tree/oroxylum-indicum/ ใช้ประโยชน์---เป็นผักที่นิยมในท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชวาซึ่งมักจะขายในตลาดท้องถิ่น พืชชนิดนี้ยังใช้กันอย่างแพร่หลายในยาแผนโบราณหลายชนิด ใช้กิน---ใบอ่อนและดอกดิบหรือสุก รับประทานเปล่าๆ เป็นเครื่องเคียงกับข้าว โดยมักจะมีส่วนผสมของเครื่องเทศต่างๆ เช่น พริก หอมแดง ถั่วเทียน ตะไคร้ และขิง -ดอกตูมและฝักอ่อนที่ปรุงแล้วถือเป็นผัก ฝักเพกาแก่ ใช้ต้มหรือเผา "ต้องกินสุก"ซึ่งมีรสขมเล็กน้อย ถือว่าเป็นยาเย็นในทางสมุนไพร ใช้เป็นยา--- ตามตำรายาไทย มักจะใช้ "เพกาทั้ง 5" ได้แก่เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ และเมล็ด ใช้รากเป็นยาบำรุงธาตุ แก้บิด ท้องร่วง เมล็ดเป็นยาระบาย เปลือกต้น รสฝาด เย็น ขมเล็กน้อย ใช้เป็นยาฝาดสมาน ขับลมในลำไส้ -ใช้ในการแพทย์แผนโบราณ ใช้ในยาอายุรเวชของอินเดีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Shyonaka หรือ Sona Patha เปลือกรากเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่มีประโยชน์ในสูตรผสมในอายุรเวทและการเยียวยาพื้นบ้านอื่นๆ -ในพม่า ใช้ผงเปลือกผสมกับน้ำขิงและน้ำผึ้งสำหรับโรคหอบหืดและหลอดลมอักเสบ ของเหลวที่ผ่านการกรองจากผงนี้จะถูกแช่ในน้ำร้อนเป็นเวลา 2 ชั่วโมงและนำมารับประทานในตอนเช้าและตอนกลางคืนสำหรับอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง - น้ำจากเปลือกต้นใช้อมกลั้วปาก แก้อาการคอแห้งและผิวหนังแตกในปาก - เปลือกต้นและรากใช้เป็นยาสมานแผลและยาบำรุงในโรคบิด ท้องร่วง และโรคไขข้อ - ใบ : น้ำคั้นเป็นยาแก้พิษฝิ่น ใบนำมาต้มกินเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย - ผล : ต้มหรือคั่ว แก้อาหารไม่ย่อย คอพอก ท้องอืด ริดสีดวงทวาร รับประทานในสลัดเพื่อบรรเทาอาการฝีบนผิวหนัง ผลสุกผสมไก่รับประทานแก้หอบหืด การรับประทานผลสุกกับปลาช่อนแดดเดียว (Ophiocephalus striatus) ถือเป็นยารักษาโรคอหิวาตกโรคที่ให้กำลังวังชา แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ - เพื่อเป็นการรักษาอาการใจสั่นหรือความเหนื่อยล้าที่เกิดจากหัวใจที่อ่อนแอ ให้รับประทานผลไม้ที่ปรุงกับกุ้ง เพื่อลดอาการบวมน้ำ เพิ่มน้ำหนัก - ผลสุกผสมกับปลาหางนกยูง (Mastacembelus armatus) ใช้รับประทานเพื่อรักษาโรคบิด ที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอในผู้ชายและประจำเดือนในผู้หญิง รวมถึงโรคริดสีดวงทวาร - ราก: บดแปะแผลที่ยังคงเปื่อยเน่าแม้ว่าผิวหนังจะหายเป็นปกติ เปลือกรากใช้แก้ไข้ ปวดข้อ ท้องอืด ท้องเฟ้อ - ในอินโดจีนและฟิลิปปินส์ ใช้เปลือกลำต้นและรากแบบเดียวกับในพม่า ในคาบสมุทรมลายู เปลือกต้นใช้รักษาโรคบิด ใบต้มดื่มแก้โรคกระเพาะ โรคไขข้อ และสมานแผล; และนำมาทำเป็นยาร้อนเพื่อรักษาอหิวาตกโรค ไข้ และรูมาติกบวม ใบปรุงสุกใช้เป็นยาพอกแก้อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ระหว่างและหลังการคลอดบุตร แก้โรคบิดและแก้ปวดศีรษะปวดฟันได้ด้วย - ในอินโดนีเซีย เปลือกที่มีรสขมทำหน้าที่เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหาร และยังใช้เป็นยาชูกำลังและอาหารเรียกน้ำย่อย นอกจากนี้ เปลือกยังใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้ปลูกประดับ---มักนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เพราะมีลักษณะแปลกตา วนเกษตร---เป็นสายพันธุ์ที่เติบโตเร็ว เหมาะสำหรับใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิก -พบเห็นได้ในชีวนิเวศป่าของอุทยานแห่งชาติ Manasในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย พบปลูกเป็นจำนวนมากในพื้นที่ป่าใน เขต Banswaraในรัฐ Rajasthan ของอินเดีย อื่น ๆ--- เนื้อไม้นิ่ม มีเส้นใยยาวเหมาะสำหรับการผลิตเยื่อกระดาษ ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมีคุณภาพไม่ดี - เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้สีเขียว - ชาวจีน เรียกเพกาว่า "กระดาษพันใบ" เพราะ ลักษณะของเมล็ดที่ มีปีกสีขาวซ้อนกันอยู่ - ก้านฝักเพกาชูสูงขึ้นไปในอากาศ บนส่วนยอดสุดของลำต้น ฝักแบนใหญ่ห้อยลงมา แลดูคล้ายลิ้นขนาดใหญ่ห้อยอยู่ คงเป็นเพราะอย่างนี้ ชาวอีสานถึงเรียกเพกาว่า ลิ้นฟ้า -ในงานศิลปะ ชาวกลันตันและ ชาวชวา สร้าง Keris (กริช) ชนิดหนึ่งให้มีรูปร่างเหมือนฝักเมล็ดพืชที่เรียกว่า Keris buah beko ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในประเทศ เนปาลไทย ลาว ใช้พืชชนิดนี้ในพิธีแต่งงาน -บนเทือกเขาหิมาลัย ผู้คนจะแขวนรูปปั้นหรือพวงมาลัยที่ทำจาก เมล็ดพืชจากหลังคาบ้านโดยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครอง สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---มีรายงานอยู่ในรายชื่อพืชหายากใกล้สูญพันธุ์และถูกคุกคามของ Kerala (อินเดียใต้) นอกจากนี้ยังพบรายงานในศรีลังกา ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-สิงหาคม/ธันวาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด (แช่เมล็ดในน้ำอย่างน้อย 12 ชั่วโมง อัตราการงอกประมาณ 80%–90% ใช้เวลาในการงอก 19-25 วัน)
|
เจ้าหญิงสีชมพู/Melicope elleryana
Genus : [mel-ee-KO-pay]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Melicope elleryana (F. Muell.) T.G.Hartley.(1990). ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50261856 ---Basionym: Euodia elleryana F.Muell.(1865) ชื่อสามัญ ---Pink Flower Doughwood, Pink Doughwood Tree, Pink-flowered- Evodia, Evodia, Pink -Euodia, Spermwood, Cork wood, Pink Flowered Corkwood. ชื่ออื่น---เจ้าหญิงสีชมพู, เจ้าสาวสีชมพู (ทั่วไป) ;[CHINESE: Fěnhóngmì∙zhū yú, Xiǎoyóudì∙mù, Fěnhóngruǎnmù∙hú.];[THAI: Chao ying si chomphoo, Chao sao si chomphoo (General).]. ชื่อวงศ์---RUTACEAE EPPO Code---MLQSS (Preferred name: Melicope sp.) ถิ่นกำเนิด---ออสตราเลเซีย เขตการกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Melicope'มาจาก คำภาษา กรีก μελι (meli) = "น้ำผึ้ง" และ κοπη (kop ) = "ส่วน" ซึ่งหมายถึงต่อมที่ฐานของรังไข่ ; ชื่อเฉพาะ 'elleryana' เพื่อยกย่อง Robert L. J. Ellery (1827–1908) เป็นนักดาราศาสตร์และข้าราชการชาวอังกฤษ-ออสเตรเลีย ซึ่งทำหน้าที่เป็น นักดาราศาสตร์ของรัฐบาล วิกตอเรียเป็นเวลา 42 ปี Melicope elleryana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Ferdinand Jacob Heinrich von Mueller (1825-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-ออสเตรเลีย และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Gordon Hartley (1931 –2016) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2533
ที่อยู่อาศัย เติบโตตามธรรมชาติในคลาเรนซ์ริเวอร์ ในนิวเซาธ์เวลส์เขตร้อนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังพบในนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน มันมักจะพบในพื้นที่บนป่าฝนแม่น้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 12-20 เมตรหรือไม้เรือนยอดขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 35 เมตร ลำต้นทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 50 ซม.บางครั้งมีค้ำยัน (ค้ำยันมักไม่ใหญ่สูงไม่เกิน 2 เมตร) เปลือกต้นเป็นคอร์ก (corky) สีเทาหรือน้ำตาลอ่อน สีขาว (บางครั้งเป็นหย่อม) สีน้ำตาลอมเทา หรือสีน้ำตาลซีด หยาบเล็กน้อยหรือมักเรียบ ใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย (trifoliate) ใบกลางยาวกว่า2ใบข้าง ออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกิ่งก้าน แผ่นใบสีเขียวเข้มทั้งสองด้านเป็นมันเกลี้ยง ใบรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาด 8-19 x 3.5-7.5 ซม. ก้านใบยาว 3-6 ซม. ก้านของใบกลางยาวกว่าใบด้านข้างเล็กน้อย ดอกกะเทย (hermaphrodite) ออกเป็นช่อกระจุกกระจายตามลำต้นและกิ่ง เป็นช่อยาว 25–60 มม.กลีบเลี้ยงมีลักษณะกลมถึงรูปไข่ ยาว 1.3–2 มม.และเชื่อมติดกันที่ฐาน กลีบดอกมีสีชมพูถึงขาว ยาว 3.5–6.5 มม.และมีเกสรเพศผู้ 4 อัน.ออกดอกนานถึง 3 เดือน ผลไม้เป็น cocci แห้ง 2-4 เซลล์ เชื่อมติดกันที่ฐาน ยาวประมาณ 5-8 มม.ภายในมีเมล็ดแบนสีดำเป็นมันเงา เส้นผ่านศูนย์กลาง 2–3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือมีร่มเงาบางส่วน ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบดินที่ชื้นและอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำที่ดี อยู่ในที่กำบังจากลมแรง เจริญเติบโตเร็ว สามารถออกดอกเมื่ออายุเพียง 3 ปี การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ การรดน้ำต้องสม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งเกินไป หรือน้ำมากเกินไป เว้นช่วงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรงตัดแต่งหลังออกผลหมด และเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1-2 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน /การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ และจะทิ้งใบถ้าไม่มีแสงแดดเพียงพอ รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
Pictures by---https://davesgarden.com/guides/pf/showimage/293246/ ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและสำหรับไม้ซึ่งบางครั้งมีการแลกเปลี่ยน ใช้เป็นยา---ใบไม้ถูกบดในน้ำแล้วนำมาใช้เช็ดตัวรักษาไข้ ยาต้มเปลือกแห้งใช้ในการรักษาโรคมาลาเรีย น้ำผลไม้ที่บีบจากเปลือกสดผสมกับน้ำแล้วดื่มสักสองสามวัน นี่คือการคุมกำเนิดที่แข็งแกร่งที่ยังคงมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 2 - 3 ปี ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับมีค่า---นิยมปลูกประดับในสวนทั่วไป พืชมีระบบรากตื้นทำให้เหมาะสำหรับการจัดสวนริมถนน เติบโตอย่างรวดเร็วและผลิตดอกไม้สีชมพูจำนวนมากซึ่งเป็นที่ดึงดูดของนก - เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์สำหรับสวนชานเมือง สวนสาธารณะ และท้องถนน เนื่องจากจะทนทานต่อสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ที่จอดรถ เติบโตรวดเร็วสูงประมาณ 5-8 เมตรในสวน และสูงมากกว่านั้นในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ อื่น ๆ---ไม้สีขาวนุ่มมีกลิ่นเหม็นอับ เป็นไม้อเนกประสงค์ที่ใช้ประโยชน์ทั่วไป - ในนิวกินีมีการกล่าวกันว่าใช้เพื่อปรุงรสไวน์ปาล์มและสารหลั่งจากเปลือกใช้เป็นกาวสำหรับอุดรูรั่วเรือแคนูและใช้รักษาบาดแผล - มันเป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์อาหารหลักสำหรับตัวอ่อนของผีเสื้อ Ullyses ผีเสื้อสีน้ำเงินตัวใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะดังค์ (Dunk Island) ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์/กรกฎาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ***(การงอกไม่สามารถคาดเดาได้ เริ่มภายใน 30 วันหรือใช้เวลาหลายปี การแช่เมล็ดเป็นเวลาหลายวันอาจช่วยขจัดสารยับยั้งการงอกได้บางส่วน*** (จากวิกิพีเดีย ) **การพุดคุยส่วนตัว---รูปนี้ถ่ายเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 **
|
ตานดำ/Diosperos montana
[dy-oh-SPY-ros] [mon-TAN-a]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Diosperos montana Roxb.(1795) ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms. ---Diospyros cordifolia Roxb.(1795) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2770172 ชื่อสามัญ---Bombay ebony, Mountain persimmon, Mottled ebony, ชื่ออื่น---ดำดง (ประจวบคีรีขันธ์); ตานดำ, ตานส้าน (ภาคกลาง); ถ่านไฟผี (ภาคเหนือ); มะเกลือป่า (นครสวรรค์, ปราจีนบุรี); มะตูมดำ (สระบุรี); อิน (กาญจนบุรี) ;[AYURVEDIC: Visha-tinduka, Kaaka-tinduka.];[BENGALI: Tamal.];[CHINESE: Shān shì.];[HINDI: Bistendu, Kala dhao, Kendu, Dakanan.];[INDIA: Bistendu, Jagalkanti, Manjakara, Bankini, Vakkanai, Malayakathitholi.];[INDONESIA: Bidara gunung (Java), Morotoalah (Sumba), Morotombo (Sulawesi).;[MALAYALAM: Vakkana, Manjakara, Nanchimaram, Malayakathitholi.];[MALAYSIA: Mentua pungsu (Peninsular).];[MYANMAR: Gyok tawbut.];[PHILIPPINES: Antinagam (Ilocos Norte), Kamagong-bundok, Kamagong-liitan (Filipino).];[SANSKRIT: Tumala.];[SIDHA/TAMIL: Vakkanai, Vakkanatan.];[TAMIL: Karunthuvalisu, Vakanai, Vakkanatthi.];[TELUGU: Kakaulimera, Kakavulimidi, Kakiulimera, Makha.];[THAI: Dam dong (Prachuap Khiri Khan); Tan dam, Tan san (Central); Tan fai phi (Northern); Ma kluea pa (Nakhon Sawan, Prachin Buri); Ma tum dam (Saraburi).];[VIETNAM: Thị da đen.]. ชื่อวงศ์---EBENACEAE EPPO Code---DOSMN (Preferred name: Diosperos montana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์--- อนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์ข---ชื่อสกุล 'Diosperos' มาจากภาษากรีก 'dios'แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ และ 'pyros'แปลว่าข้าวสาลีหรือธัญพืชสำหรับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ ; ชื่อเฉพาะ 'montana' จากรูปแบบละติน = ภูเขา Diosperos montana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไม้มะเกลือ (Ebenaceae) สกุลมะพลับ (Diosperos) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2338 ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายใน อนุทวีปอินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม ; ตอนเหนือของคาบสมุทรมาเลย์ ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อย สุลาวาสี ฟิลิปปินส์และตอนเหนือของออสเตรเลีย เติบโตตามป่าดิบชื้น บนเขาหินปูนและป่าเต็งรัง อื่น ๆ ที่ระดับความสูง10-600เมตร ประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางที่ระดับความสูง 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางไม่ผลัดใบกิ่งก้านมักมีหนาม ต้นสูงประมาณ 8-16 เมตร เปลือกหยาบสีดำเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับอยู่ตามปลายกิ่ง รูปไข่กลับหรือรูปขอบขนานกว้าง 2-4 ซม.ยาว 5-12 ซม.โคนใบมนหยักเว้า ปลายใบแหลม ใบอ่อนมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 2-10 มม. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ออกตามซอกใบ ดอกเพศผู้ กลีบเลี้ยงรูประฆัง มี 4 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปถ้วย ปลายแยก 4 แฉก มีสีเขียว กลีบดอกรูปคนโทสีเหลือง ยาว 0.8-1 เซนติเมตร มี 4 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 14-20 อัน ดอกเพศเมียออกเดี่ยว ๆ มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกเหมือนดอกเพศผู้ รังไข่มี 8 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียมี 4 อัน มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน 4-12 อัน ผลสดมีเนื้อ (berry) กลมป้อม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-3 ซม.สีเขียว ก้านผลยาว 5–7 มม.ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 กลีบบานออกหรือพับงอกลับ สุกแล้วสีเหลือง
Picture 1 by---http://www.epharmacognosy.com/2021/04/diospyros-montana-roxb.html Picture 2 by---https://www.tradewindsfruit.com/diospyros-montana-mountain-persimmon-seeds ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในที่ค่อนข้างชื้น ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-2.2 ถึง -1.1 °C) ชอบดินร่วนโปร่งอุดมสมบูรณ์เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี pH 5.6-7.5 อัตราการเจริญเติบโตค่อนช้างช้าในช่วง 3-4 ปีแรก อาจเพียง 1 ฟุตต่อปี หลังจากนั้นมันเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น 2,3 เท่า การรดน้ำ---รดน้ำปกติในช่วงปีแรก ใช้หญ้าแห้งหรือวัสดุคลุมบริเวณโคนต้นเก็บความชื้น หลังจากนั้นปล่อยตามธรรมชาติ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หรืออาจ ตัดแต่งกิ่งเล็กน้อยเพื่อรักษารูปทรง ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ กิ่งที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักใส่ หลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง/อาจเกิดโรคใบจุดได้ รู้จักอ้นตราย---ผลไม้มีพิษ นี่อาจหมายถึงผลไม้ดิบ ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ใบอ่อนกินได้เหมือนผัก ผลไม้ดิบกินไม่ได้มีพิษ - ในอินเดีย (ราชสถานตะวันตก): ผลสุกกินได้ เปลือกและผลมักนำมาตำแล้วกิน ใช้เป็นยา--- เปลือกใช้รักษา โรคดีซ่าน เพ้อระหว่างไข้ เนื้อไม้และรากใช้ ขับพยาธิไส้เดือน ตัวตืด แก้พิษตานซาง ผลใช้ทาภายนอกเพื่อรักษาฝี สารสกัดจากเปลือกต้น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบลดไข้และระงับปวด ใช้ปลูกประดับ--- ต้นไม้ประดับภูมิทัศน์ที่ผลิตพืชอาหารที่กินได้ ใช้อื่น ๆ--- ไม้เป็นสีเทามักแต่งแต้มด้วยสีเหลืองหรือสีน้ำตาลมีแถบสีเข้มคล้ำเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกลาง แต่ไม่มีแก่นไม้ เนื้อไม้อ่อนถึงปานกลางแข็งและทนทานใช้ในงานแกะสลัก เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่สวยงาม หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงคุณภาพดี -ผลดิบตำรวมกับใบใช้เบื่อปลา ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กรกฎาคม/พฤษภาคม–พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดพันธุ์ มีอายุสั้นมาก จึงควรหว่านโดยเร็วที่สุด ควรเอาเนื้อออกเนื่องจากมีสารยับยั้งการงอก เมล็ดสดที่หว่านหลังการเก็บหนึ่งวัน มีอัตราการงอก 85% ภายใน 17 - 65 วัน
|
ตานเสี้ยน/Xantolis siamensis
Species : [sy-am-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Xantolis siamensis (H.R.Fletcher) P.Royen.(1957) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-215290 ---Basionym: Planchonella siamensis H.R.Fletcher.(1937) ---Pouteria siamensis (Fletcher) Baehni.(1942) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ตานเสี้ยน (กาญจนบุรี, ราชบุรี), นมพระสี มะนมนาง ;[THAI: Tan sian (Kanchanaburi, Ratchaburi); Nom phra si, Ma nom nang.]; ชื่อวงศ์---SAPOTACEAE EPPO Code---XAOSS (Preferred name: Xantolis sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อัสสัม, บังกลาเทศ, กัมพูชา, จีนตอนกลาง-ตอนใต้, หิมาลัยตะวันออก, ไหหลำ, อินเดีย, ลาว, เมียนมาร์, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ 'siamensis' ตั้งเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย Xantolis siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิกุล (Sapotaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Harold Roy Fletcher (1907-1978) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pieter van Royen (1923-2002) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปีพ.ศ.2500
ที่อยู่อาศัย หิมาลายาตะวันออกไปจนถึงฟิลิปปินส์ เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย พบทางภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 2 มกราคม พ.ศ. 2469 โดยหมอคาร์ ชาวไอริช ที่จังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะ ตานเสี้ยนเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กผลัดใบ สูงประมาณ 15-20 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งขนาดเล็กและเหนียว เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง มีรอยแตกลึกๆ บางครั้งมีหนามในต้นที่อายุน้อย เปลือกชั้นในสีแดงหรือส้มอมชมพู มีน้ำยางสีขาว เหมือนน้ำนม ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปมนรีกว้างถึงขอบขนาน กว้างประมาณ 5-8 ซม.ยาวประมาณ 9-15 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปหัวใจ ยอดอ่อนและตายอดมีขนสีเหลืองหรือออกน้ำตาล ใบแก่เหนียว เกลี้ยง เส้นใบ 9-14 คู่ โค้งและจรดกัน ที่ขอบใบเส้นใบย่อยสานกัน บางครั้งเกือบขนานกับเส้นใบข้าง ก้านใบเมื่ออ่อนมีขนสีเหลืองหรือน้ำตาล เมื่อแก่จะเรียบ เกลี้ยง กิ่งก้านมีรูอากาศ ดอกช่อสีขาวนวลกลิ่นหอม ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นสองชั้น ชั้นละ 5 กลีบ ผลสดกลมรี สีเหลืองหรือออกแดง ปลายมีติ่งแหลม เปลือกนอกแข็ง มี 1-5 เมล็ด สีน้ำตาลเข้ม เป็นมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลดิบ กินสดหรือดองในน้ำเกลือ รสหอมหวานอมเปรี้ยว -ใช้เป็นยา รากและเนื้อไม้-ใช้เป็นยาแก้พิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้หัด สุกใส ดำแดง แก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน แก้อาการปวดหลังปวดเอว สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).]* อ้างอิงจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ระยะออกดอก/ผลแก่---ธันวาคม –มกราคม/มีนาคม – มิถุนายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
ลำดวน/Melodorum fruiticosum
[mel-oh-DOR-um] [froo-tih-KOH-sum]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Melodorum fruiticosum Lour.(1790) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2364658 ชื่อสามัญ---White cheesewood ชื่ออื่น---ลำดวน (ภาคกลาง), หอมนวล (ภาคเหนือ);[CAMBODIA: Don.];LAOS: Dok damdouane.];[THAI: Lamdouane (Central), Hom nuan (Northern).];[VIETNAM: Cây Du Dê, Du dê, Du goi.] ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---MZWSS (Preferred name: Melodorum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย (เอเซียตะวันออกเฉียงใต้) เขตการกระจายพันธุ์ ---อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อภาษาละตินของสายพันธุ์ "fruticosum" = เป็นพวง, เป็นพุ่ม ซึ่งหมายถึงลักษณะกิ่งก้านของพืช Melodorum fruiticosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปีพ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ในประเทศไทย พบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออก และภาคกลาง ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงได้ถึง 8-12 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกนอกสีน้ำตาลเข้ม เรียบหรือแตกเป็นร่องตื้นตามยาวลำต้น เปลือกในสีชมพู ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปหอกแกมขอบขนานกว้าง 2-3 ซม.ยาว 5-12 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบแหลม ปรือเบี้ยว ขอบใบเรียบ ใบเกลี้ยง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีเขียวนวล ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก3กลีบรูปเกือบกลม กลีบดอก6กลีบแข็งหนามีขนนุ่ม ชั้นนอก3กลีบชั้นใน3กลีบ ดอกบานเต็มที่ขนาด 2-2.5 ซม. กลีบดอกสีเหลืองนวลแข็งหนา มีกลิ่นหอม โดยดอกจะเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมแรงตั้งแต่ช่วงเย็น วันรุ่งขึ้นจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆในช่วงกลางวัน ดอกบานวันเดียวและร่วงในวันต่อมา กลีบดอกที่ร่วงอยู่โคนต้นก็ยังส่งกลิ่นหอมไปได้ไกล ผลเป็นผลกลุ่ม สดแบบมีเนื้อ มีมากถึง 27 ผล ผลย่อยทรงกลมหรือรูปไข่ขนาด1-1.2 ซม.ผลสุกสีดำปนม่วง มีคราบขาวก้านผลยาว1ซม. มีเมล็ด1-2เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบความชื้นสูง และแสงแดดแบบเต็มวันถึงร่มเงาบางส่วน ทนอุณหภูมิต่ำสุด 4.5 °C ไม่ทนน้ำท่วม การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุก ๆ 5-7 วัน อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งเป็นเวลานาน และอย่ารดน้ำมากเกินไปจนหน้าดินแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 3 ครั้ง (3 เดือนต่อ1ครั้ง) เว้นช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน /การให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรครากเน่าได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ผลมีรสหวานรับประทานได้แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารนก กับกระรอก เสียก่อน ใช้เป็นยา--- ดอกแห้งมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง กระตุ้นการเต้นของหัวใจและบำรุงเลือด สารสกัดจากใบแสดงกิจกรรมต่อต้านการอักเสบ ดอกลำดวนแห้งจัดอยู่ใน "พิกัดเกสรทั้งเก้า" (ประกอบไปด้วย เกสรดอกบัวหลวง ดอกกระดังงา ดอกจำปา ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกมะลิ ดอกสารภี ดอกลำเจียก และดอกลําดวน) ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยชูกำลัง แก้อาการอ่อนเหลีบ ช่วยบำรุงหัว แก้พิษโลหิต แก้ลม ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้เนื้อไม้และดอกแห้ง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง แก้ลมวิงเวียน และเป็นยาแก้ไข้ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---นิยมนำมาใช้จัดสวนด้วยคุณสมบัติครบถ้วน ทรงพุ่มสวย ใบสวยดอกหอม หากนำต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดมาปลูก ควรเลือกต้นที่อวบอ้วนแข็งแรง แตกกิ่งรอบต้น ปลูกเดี่ยวๆหรือปลูกลงแปลง ให้ห่างจากต้นไม้อื่นประมาณ 5 เมตร จะได้ลำดวนที่ทรงพุ่มแผ่กว้างและโปร่ง จะปลูกชิดกันก็ได้แต่ดอกจะน้อย ถ้าต้องการให้ออกดอกในกระถางควรปลูกด้วยกิ่งตอน - ในกัมพูชาพบได้ทั่วไป ซึ่งมักปลูกเป็นต้นไม้ประดับในสวนสาธารณะ ใช้อื่น ๆ--- ดอกสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย โดยการต้มกลั่น ความเชื่อ/พิธีกรรม--- คนไทยเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นลำดวนหรือเป็นเจ้าของต้นลำดวน จะช่วยดึงดูดความรัก ช่วยเสริมดวงทางเสน่ห์เมตตา ทำให้มีแต่คนคิดถึงในแง่ดี ทำให้เป็นคนที่น่าจดจำ ใคร ๆ ก็มิอาจลืม และยังเชื่อด้วยว่ากลิ่นหอมของลําดวน สามารถช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทางจิตให้สงบและมีความใจเย็นมากขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้หญิงและควรปลูกในวันพุธ เพราะลำดวนเป็นไม้ของผู้หญิง โดยให้ปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน สำคัญ---เป็นหนึ่งในสองชนิดที่ถือว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2548 ได้รับการประกาศให้เป็น "ดอกไม้ประจำชาติ" - เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ และเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดศรีสะเกษ - เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง - ประเทศไทย เป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ ระยะเวลาออกดอก----ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
กระดังงาไทย/Cananga odorata
[kan-AN-guh] [oh-dor-AY-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cananga odorata (Lam.) Hook.f. & Thomson.(1855) ชื่อพ้อง --- Has 25 Synonyms ---Basionym: Uvaria odorata Lam.(1785) ---Unona odorata (Lam.) Dunal.(1817) ---Canangium odoratum (Lam.) Baill. ex King.(1892) ---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2695745 ชื่อสามัญ---Cananga, Ylang-Ylang, Ilang-Ilang, Macassar oiltree, Macassar-oil plant, Woolly-pine, Perfumetree, ชื่ออื่น---กระดังงา (ทั่วไป); กระดังงาไทย, กระดังงาใบใหญ่, กระดังงาใหญ่ (ภาคกลาง); สะบันงา, สะบันงาต้น (ภาคเหนือ) ;[CAMBODIA: Chhke sreng, Sreng chhke.];[CHINESE: Xiao yi lan, Yi lan, Yuan bian zhong.]:[FIJI: Mokosoi, Mokasoi, Mokohoi.];[FRENCH: Canang odorant, Ilang-ilang, Ilang-ilang de Bornéo, Ilang-ilang des Philippines, Ilang-ilang en arbre.]; [GERMAN: Ylang-Ylang-baum.];[HAWAII: Moto‘oi.];[HINDI: Ban champak.];[INDIA: Apurvachampaka.];[INDONESIA: Kenanga, Kernanga, Sepalen.];[JAPANESE: Iraniran noki, Ban reishi.];[LAOS: Ka dan nga thay.];[MALAYSIA: Bungan sandat (Bali), Kananga, Kenanga utan.];[MADAGASCAR: Ylang-ylang.];[MYANMAR: Sagasein, Kadatngan, Kadatnyan.];[PHILIPPINES: ylang-ylang (Tag)];[PORTUGUESE: Cananga.];[SAMOA: Moso‘oi.];[SANSKRIT: Vanachampaka, Lanji.];[SPANISH: Cadmia, Cananga, Ilang-ilang];[THAI: Kradang nga (Trang, Yala); Kradang nga thai, Kradang nga bai yai, Kradang nga yai (Central); Saban nga, Saban nga ton (Northern);[TONGA: Mohokoi.];[USA/Hawaii: Lanalana];[VIETNAM: Hoàng lan.];[TRADE NAME: Ilang-Ilang, Kenanga wood, Perfume tree, Sananga oil, Ylang-Ylang.] ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---CANOD (Preferred name: Cananga odorata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ -ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cananga' มาจากภาษามาเลย์ “kenanga” ที่ใช้เรียกกระดังงา ; ชื่อเฉพาะ 'odorata' จากภาษาละติน = มีกลิ่นหอม อ้างอิงถึงกลิ่นของดอกไม้ของพืชชนิดนี้ -; ชื่อสามัญ "Ilang-Ilang" ในภาษา ตากาล็อคแปลว่าความเป็นป่า (วิกิพีเดีย) Cananga odorata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2398 รวม 2 Infraspecifics (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์) ที่ยอมรับ https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:72580-1#children ---Cananga odorata var. Fruticosa (Craib) J. Sinclair.(1955)- กระดังงาพันธุ์แคระ หรือกระดังงาสงขลา ---Cananga odorata var. odorata-กระดังงาพันธุ์ใหญ่ หรือดระดังงาไทย
ที่อยู่อาศัย--- พืชพื้นเมืองของพม่า มาเลเซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านไปทางเหนือของออสเตรเลีย (ไกลออกไปทางตะวันออกเช่นเดียวกับหมู่เกาะโซโลมอนและหมู่เกาะแคโรไลน์) รวมถึงศรีลังกา, อินเดีย, จีนตอนใต้, ไต้หวัน, หมู่เกาะแปซิฟิก ฟลอริดา (สหรัฐอเมริกา), แคริบเบียน, โคลัมเบีย, แอฟริกาตะวันตก, มาดากัสการ์และเรอูนียง มันถูกพบตามธรรมชาติเติบโตในป่าที่รกร้าง, ป่าเปิดและตามแนวชายป่า หรือปลูกในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1200เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นในภาคใต้ตอนล่าง และมีปลูกทั่วประเทศ ลักษณะ--- กระดังงาไทยเป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นตรงเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซม เปลือกต้น เกลี้ยงสีเทา กิ่งลู่ลง ใบเดี่ยวขนาด 8-22 x 5-9 ซม.เรียงสลับ เนื้อใบเรียบเกลี้ยงขอบใบเป็นคลื่น รูปมนรีสีเขียวเข้ม โคนใบมนปลายใบแหลม ดอกเป็นดอกช่อออกเป็นกระจุก ตามปลายกิ่งที่ซอกใบ กลีบดอกสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียวมีลักษณะกลีบเรียวยาวมี 6 กลีบ ซ้อนกัน2ชั้น ชั้นละ3กลีบแต่ละกลีบม้วนบิดไปมา ขนาดดอกยาวประมาณ10 ซม. กลิ่นหอมมาก ผลเป็นผลกลุ่ม ขนาด 20-25 x 10-15 มม. บนก้านยาวประมาณ 10-15 มม. เมล็ดขนาด 8 x 5 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พันธุ์ไม้ชนิดนี้ต้องการแสงแดดจัดและปลูกกลางแจ้ง สามารถอยู่ได้ในที่ร่มรำไร แต่อาจไม่ออกดอกหรือดอกน้อย ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้น แต่เนื้อดีในที่ที่มีการระบายน้ำดี ค่ าpH ในช่วง 5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8 พืชสามารถทนต่อลมแรงได้ แต่ไม่สามารถทนต่อไอเกลือ อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ - ที่ระดับน้ำทะเล ต้นกล้าของต้นไม้ที่ปลูกจะออกดอกเมื่ออายุ 1.5 - 2 ปี และสูง 2 เมตร - ที่ระดับความสูง 500 เมตรจะออกดอกหลังจากผ่านไป 7 ปี การรดน้ำ---ต้นกระดังงาที่ปลูกใหม่ต้องการน้ำทุกวัน หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ แต่ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง แต่เพื่อรักษารูปร่างก็ควรตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อรูปทรงที่สวยงาม การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3 ครั้ง (3เดือนต่อครั้ง) ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยสูตรสมดุล ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--กระดังงาให้น้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมอย่างมากพร้อมกับการใช้งานที่หลากหลายพืชยังมีการใช้เป็นยาและเป็นแหล่งของไม้และไฟเบอร์ ใช้กินได้--- น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ถูกใช้โดยอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรสพีชและแอปริคอท มันถูกใช้ในลูกอม, ไอซิ่ง, ขนมอบ, เครื่องดื่มและหมากฝรั่ง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- เป็นพันธุ์ไม้ที่คนไทยนิยมปลูกประดับบ้าน ประดับสวนมาแต่สมัยโบราณ ตามสวนในบ้านและทั่วไป สามารถปลูกได้ในภาชนะขนาดใหญ่ที่มีการระบายน้ำดี ไม่สามารถปลูกริมทะเล วนเกษตรใช้---เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและความสามารถดึงดูดนกและค้างคาวกินผลไม้ จึงถูกใช้เพื่อการฟื้นฟูป่าฝนในออสเตรเลีย ใช้เป็นยา---ตำรายาไทยใช้ดอกปรุงเป็นยาบำรุงธาตุ หรือปรุงยาหอมบำรุงหัวใจ จัดอยู่ในเกสรทั้งเจ็ด -ในการแพทย์แผนโบราณ กระดังงาใช้แก้ไข้ ความดันโลหิต มาลาเรีย หอบหืด สภาพผิวต่างๆ เยื่อบุตาอักเสบ ความดันโลหิตสูง ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย อาการจุกเสียด และปวดฟัน เป็นต้น ใช้อื่น ๆ--- แก่นไม้มีสีชมพูอมชมพูเหลืองถึงเทาอ่อน ไม้มีน้ำหนักเบา ไม่คงทนเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากปลวก ใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไปและใช้เป็นเชื้อเพลิง - คนโบราณจะใช้ดอกทอดกับน้ำมันมะพร้าวทำน้ำมันใส่ผม ดอกกระดังงาไทยใช้สกัดน้ำมันมาปรุงน้ำอบ - ดอกไม้ถูกเก็บเกี่ยวในเวลากลางคืนและตากให้แห้งเพื่อฉีดหรือกลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหย - ดอกไม้มีกลิ่นหอมใช้สำหรับประดับและตกแต่งในงานรื่นเริงและงานเฉลิมฉลองอื่น ๆ ชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียชื่นชอบกลิ่นนี้มาก และผู้หญิงชอบซ่อนดอกไม้ไว้บนผม ดอกไม้สดใช้ในพิธีต่างๆ ในชวาและบาหลี ยังนำดอกไม้ไปใส่ในตู้เสื้อผ้าหรือโปรยไว้ข้างเตียง - รายได้ที่สร้างขึ้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของผู้ผลิตหลักสามราย ได้แก่ Union of Comoros, Madagascar และ Mayotte ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำ (เมล็ดพันธุ์สดงอกอย่างไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หลังจากเก็บไว้ 6-12 เดือน อัตราการงอกจะสูงขึ้น ใช้เวลานานในการงอก บางครั้งอาจถึงสี่เดือน)
|
|
|
กระดังงาสงขลา/Cananga odorata var. fruticosa
[kan-AN-guh] [oh-dor-AY-tuh] [froo-tih-KOH-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cananga odorata var. fruticosa (Craib) J. Sinclair.(1955) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Basionym: Canangium fruticosum Craib.(1922) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2695746 ชื่อสามัญ---Ilang.-Ilang, Drawf ylang ylang, Shrubby cananga. ชื่ออื่น---กระดังงาสงขลา, กระดังงาเบา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Xiao yi lan.];[RUSSIAN: Karlikovyi Ilang-Ilang.];[THAI: Kradang nga sonkhla, Kradang nga bao (General).]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---CANSS (Preferred name: Cananga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินโดจีน- ประเทศไทย, มาเลเซีย อินโดนีเซีย, นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษามาเลย์ “kenanga” ที่ใช้เรียกกระดังงา ; ชื่อเฉพาะ 'odorata' จากภาษาละติน = มีกลิ่นหอม อ้างอิงถึงกลิ่นของดอกไม้ของพืชชนิดนี้ -; ชื่อสามัญ "Ilang-Ilang" ในภาษา ตากาล็อคแปลว่าความเป็นป่า (วิกิพีเดีย) Cananga odorata var. fruticosa เป็นความหลากหลาย (Variety) ของสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Sinclair (1913–1968)นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปีพ.ศ.2498
ที่อยู่อาศัย-- พบใน อินโดจีน- ประเทศไทย, มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลักษณะ-- กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่มสูง1-2.5เมตร ทรงพุ่มแน่นทึบ แตกกิ่งมาก เปลือกสีเทาอมน้ำตาล และมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เปราะ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดของใบกว้าง5-8ซม.ยาว12-14ซม.โคนใบมนปลายใบแหลม ใบบางสีเขียวอ่อน ดอกช่อออกเป็นกระจุกออกตามกิ่งตรงข้ามใบ กลีบรองดอกมี3กลีบสีเขียวสั้นๆ กลีบในเรียงสองชั้น ชั้นนอก5กลีบชั้นใน15กลีบปลายกลีบเรียวแหลม โคนกลีบด้านในแต้มสีน้ำตาล เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียติดอยู่ที่ฐานกลางดอก ดอกอ่อนสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมแรง แต่หอมน้อยกว่ากระดังงาไทยแต่ดอกจะดกกว่าโดยปกติจะไม่ค่อยติดผล ถ้าติดผล ผลจะเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 8-10 ผลรูปกลมรี กว้าง 1.2 ซม.ยาวประมาณ 1.5-1.8 ซม.เปลือกเรียบสีเขียว เมื่อแก่จัดสีเขียวอมเหลืองจนถึงม่วงดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัดหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินที่มีอินทรียวัตถุมากๆ ค่า pH ของดิน 5.6 - 6.0 (ที่เป็นกรด) 6.1 - 6.5 (มีกรดเล็กน้อย) ถ้าปลูกได้สมบูรณ์ดีจะไม่มีวันที่ดอกจะขาดต้นเลย การรดน้ำ---ต้นที่ปลูกใหม่ต้องการน้ำทุกวัน หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ แต่ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง แต่เพื่อรักษารูปร่างก็ควรตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อรูปทรงที่สวยงาม การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3 ครั้ง (3เดือนต่อครั้ง) ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยสูตรสมดุล ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---กระดังงาสงขลา [Cananga odorata var. fruticosa (Craib) J. Sinclair] แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงจากธรรมชาติสำหรับผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องสำอางที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันหรือรักษาสัญญาณของริ้วรอยผิว ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง, เพาะเมล็ด
|
|
|
จำปูน/Anaxagorea Javanica
Species : [juh-VAHN-ih-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Anaxagorea Javanica Blume.(1830) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2636371 ---Fissistigma fuscum (Craib) R.E.Fr.(1955) ---Melodorum fuscum Craib.(1923) ---Mitrephora crassipetala Ridl.(1912) ชื่อสามัญ---Twin-seed ชื่ออื่น---จำปูน (กรุงเทพฯ, ภาคใต้) ;[INDIA: Girmo];[MALAYSIA: Kekapur, Sekobang kechil, Pali monyet (Peninsular); Bunga pompun, Mempisang, Bungasi, Pengasi, Pelir musang (Malay).];[THAI: Champuun (Bangkok, Peninsular).]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---AXGSS (Preferred name: Anaxagorea sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์ ---ชื่อสกุล 'Anaxagorea' ตั้งชิ่อเป็นเกียรติแก่ นักปรัชญากรีกยุคก่อนโสคราตีส Anaxagoras "lord of the assembly" ประมาณ 500 – ประมาณ 428 ปีก่อน คริสตกาล ) ; ชื่อเฉพาะ 'javanica' จากภาษาละติน "java" = "เกาะชวา" และ '-ana' = การเชื่อมต่อ' อ้างอิงถึงการรวบรวมเริ่มต้นจากเกาะชวา Anaxagorea Javanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2373 รวม 3 Infraspecifics (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์) ที่ยอมรับ https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:72037-1#children - Anaxagorea javanica var. dipetala Corner (1939) - Anaxagorea javanica var. javanica - Anaxagorea javanica var. tripetala Corner (1939)
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดตอนใต้ของฟิลิปปินส์ พบขึ้นกระจายในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตรา ชวาตะวันตกและบอร์เนียว เกิดขึ้นในป่าที่ลุ่ม, ระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ที่ระดับความสูง 300 (—1100) เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นมักพบอยู่ในเทือกเขาบรรทัด ภาคใต้ของไทย ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ ที่มักสูง 4-8 เมตร แม้ว่าจะมีการบันทึกตัวอย่างที่สูงถึง 15 เมตร เป็นไม้กิ่งก้านเกลี้ยงลำต้นเปลาตรง เปลือกเรียบสีเทาดำมีกลิ่นฉุน ลำต้นและกิ่งเหนียวมาก ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับขนาด 10-22 (-29) ซม. x 3-12 ซม ดอกออกเป็นดอก เดี่ยวมักออกตามยอดหรือโคนก้านใบ ดอกสีขาวเป็นมันคล้ายกระเบื้องเคลือบ มี 3 กลีบลักษณะแข็ง ๆเมื่อบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 2 ซม.มีกลิ่นหอมแรงและส่งกลิ่นหอมไกล เมื่ออกดอกจะหอมกรุ่นกลิ่นตลบในเวลากลางวันออกดอกตลอดปี มีดอกดกในช่วงฤดูฝน ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง ต้นที่อยู่ในที่ร่มและชื้นพอเหมาะจะออกดอกดก ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 4-10 ผล เมื่อผลแก่แล้วเมล็ดจะแตกตัวกระเด็นไปได้ไกล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและมีการระบายน้ำดี ค่า pH 5.6 - 6.0 (ที่เป็นกรด) 6.1 - 6.5 (มีกรดเล็กน้อย) อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้นที่ปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ (2วัน/ครั้ง) แต่ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในฤดูฝนอย่าให้น้ำขังดูเรื่องการระบายน้ำให้ดี ในฤดูแล้งควรให้น้ำมากขึ้น (วันละ 2 ครั้ง) การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวังหนอนเจาะลำต้นทำลายดอก ไส้เดือนฝอยทำลายราก รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น และปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้เป็นยา--- ดอก ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ทั้งต้นผสมกับ Desmos chinensis (สายหยุด) ใช้ในห้องอาบน้ำเพื่อฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด -ยาต้มจากรากใช้เป็น ubat meroyan (ยาที่ให้แก่สตรีในสามวันหลังคลอดบุตร แก้ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ) ใช้ปลูกประดับ---เป็นไม้ประดับยอดนิยม ใช้เป็นไม้ที่ให้ร่มเงาเหมาะสำหรับสวนสาธารณะหรือสวนขนาดเล็ก และดอกมีกลิ่นหอม สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ สำคัญ---จำปูนเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดพังงา สถานภาพ---เป็นพืชหายาก (rare plant) *[พืชหายาก (rare plants) คือ พืชชนิดที่มีประชากรขนาดเล็กซึ่งยังไม่อยู่ในสถานภาพใกล้จะสูญพันธุ์ (endangered) แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ พืชหายากเป็นพืชที่เราทราบจำนวนประชากรที่มีอยู่ตามแหล่งต่างๆ และส่วนใหญ่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ]* อ้างอิงจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง **การพุดคุยส่วนตัว เพราะความที่หอมมากใครก็อยากปลูก แต่จะปลูกให้งามค่อนข้างยาก ยิ่งให้ออกดอกดกอย่างใจแล้ว บางคนสิ้นหวังไปเลย เมื่อก่อนประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้ว (ประมาณปี 2538 ) มีจำปูนขุดล้อมมาจากทางใต้ กอใหญ่ ๆนำมาขายในตลาดต้นไม้จตุจักร ขายกอละเป็นเรือนหมื่นหลายหมื่นก็มี ดอกติดมาเต็มต้น แต่ก็จะอยู่ได้ระยะหนึ่งเพราะไม่สามารถปรับสภาพให้ปริมาณแสงแดดและความชื้นและการระบายน้ำให้เหมาะสมได้ เสียดาย ถ้าท่านจะซื้อขอแนะนำให้ซื้อต้นเพาะเมล็ด ถึงจะเล็กหน่อยก็ไม่เป็นไรให้ปลูกอิงร่มไม้ใหญ่ไว้ **
|
จำปี/Michelia alba
Genus : [mag-NO-lee-a]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Magnolia x alba (DC.) Figlar.(2000) This is an artifical hybrid---Magnolia champaca x Magnolia montana ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:20011680-1#synonyms ---ฺBasionym: Michelia × alba DC.(1817) ---Michelia longifolia Blume.(1823) ---Michelia × longifolia var. racemosa Blume. (1829) ---Sampacca × longifolia (Blume) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---White Champaka, White sandalwood, White jade orchid tree, Champak Tree, Hybrid champaca. ชื่ออื่น---จำปี (ภาคกลาง); จุมปี, จุ๋มปี๋ (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Bai yu lan.];[INDONESIA: Kantil (Jawa), Cempaka Putih.];[MALAYSIA: Cempaka Gading, (Malay); Pecari Putih (Bahasa Indonesia).];[PHILIPPINES: Tsampakang-puti (Tag.).];[SANSKRIT: Champaka.];[TAIWAN: Yü lan hua];[THAI: Champi (Central), Chumpi (Northern).];[USA/HAWAII: Pak lan.];[VIETNAM: Ngọc lan trắng];[TRADE NAME/USA: Michelia alba, White fragrant himalayan champaca.]. ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE EPPO Code---MAGAL (Preferred name: Magnolia x alba.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้- รวมทั้งอินเดีย และจีนตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลตั้งเป็นเกียรติแก่ Pierre Magnol (1638-1715) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ; 'alba' = สีขาว Magnolia x alba เป็นลูกผสมเทียมของ Magnolia champaca และ Magnolia montana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวงศ์จำปา (Magnoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Richard B. Figlar (fl. 2000) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2543
ที่อยู่อาศัย--- เป็นไม้ดอกที่มี ต้นกำเนิด ลูกผสมที่ปลูกกันทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเขตร้อนของเอเชียตะวันออก อาจ มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ หรือมาเลเซียและอินโดนีเซีย ลักษณะ--- จำปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่อาจสูงได้ถึง10-20 เมตร หรือกว่านั้นหากปลูกมานานปี ทรงพุ่มแผ่กว้างแตกสาขาได้เป็นพุ่มใหญ่ ใบหนาทึบ ลำต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอ่อน บริเวณที่เปลือกของลำต้นและกิ่งแก่ จะแตกเป็นร่องถี่ ๆเล็ก ๆคล้ายวงร่างแหเป็นแนวยาวไปตามลำต้น กิ่งก้านเปราะหักง่าย ใบเป็นใบเดี่ยวออกเวียนไปตามกิ่ง รูปใบมนรีปลายใบแหลมขอบใบเรียบเกลี้ยงขนาดของใบกว้างประมาณ 7-8 ซม.ยาว 18-22 ซม.ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามโคนก้านใบในส่วนบริเวณยอดของลำต้น ดอกซ้อนกัน 2 ชั้นมี 8-10 กลีบ ขนาดของกลีบดอกยาวประมาณ 5 ซม. ดอกสีขาวหรือเหลืองนวล เนื้อกลีบดอกค่อนข้างแข็ง หอมแรง และมีกลิ่นหอมจัดมากในเวลาเย็นจวนค่ำ เมื่อดอกโรยแล้วจะติดผล ผลเป็นกลุ่ม เมื่อแก่จะแห้งแตก ลักษณะคล้ายทรงไข่หรือทรงกลม บิดเบี้ยวเล็กน้อย ผลแก่มีสีแดง ด้านในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำประมาณ 1-4 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ทนอุณหภูมิต่ำสุด -1.1 °C ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและมีการระบายน้ำดี pH 5.6 - 6.0 (ที่เป็นกรด) 6.1 - 6.5 (เป็นกรดเล็กน้อย) อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ชอบที่จะได้รับน้ำบ่อยๆ แต่ในปริมาณที่ไม่มากในแต่ละครั้ง ต้นที่ปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ (2วัน/ครั้ง) ใน 2-3 ปีแรก ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในฤดูฝนอย่าให้น้ำขังดูเรื่องการระบายน้ำให้ดี ไม่ชอบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ในฤดูแล้งควรให้น้ำมากขึ้น (วันละ 2 ครั้ง) ทนต่อความแห้งแล้งได้ในระดับปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวังหนอนเจาะลำต้นทำลายดอก ไส้เดือนฝอยทำลายราก รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ดอก ผล บำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้คลื่นเหียน อาเจียน ดอกมีสรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยบำรุงประสาท ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี กลีบดอกมีน้ำมันหอมระเหย สามารถใช้ทาแก้อาการปวดศีรษะได้ ดอกตูมใช้สำหรับการรักษาอาการหลังการแท้งบุตร ใบใช้ต้มแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ใช้ต้มแก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ขับระดูขาวของสตรี น้ำที่สกัดจากใบมีฤทธิ์ช่วยระงับอาการไอ หอบได้ แต่ได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น -น้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกไม้ ในประเทศจีนซึ่งรู้จักกันในชื่อ bai lan ดอกไม้นี้ถูกนำมาใช้เพื่อเตรียมชายู่หลาน (yulan tea) ใช้เป็นไม้ประดับ--- ได้รับการปลูกเลี้ยงอย่างกว้างขวางว่าเป็นไม้ประดับในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ อื่น ๆ---เนื้อไม้นำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือนได้ ดอกใช้ทำอุบะร้อยมาลัย อบเสื้อผ้าให้มีกลอ่นหอม แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ใช้บูชาพระ -ในอินโดนีเซีย ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมถูกนำมาใช้และจัดร่วมกับดอกมะลิ ทำเป็นพวงมาลัยดอกไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าสาวที่สวมในพิธีแต่งงานตามประเพณี มีการใช้ดอกไม้ในลักษณะเดียวกันในประเทศไทย โดยเจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะสวมเป็นมาลัยแต่งงานแบบดั้งเดิม พิธีกรรม/ความเชื่อ---*ต้นไม้เหล่านี้ได้รับการปกป้องจากการตัดไม้ในพื้นที่บางส่วนของอินเดีย ซึ่งสวนบางแห่งถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูและชาวพุทธ* -*ตามความเชื่อของชาวทิเบต พระพุทธเจ้าในยุคต่อไปจะตรัสรู้ภายใต้เรือนยอดดอกไม้สีขาวของต้นไม้นี้* อ้างอิงจาก https://conservatoryofflowers.org/bloom/magnolia-x-alba/ ระยะออกดอก---ตลอดปี แต่ออกมากช่วงเดือน สิงหาคม - พฤศจิกายน. ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง
|
จำปีสิรินธร/Magnolia sirindhorniae
Genus : [mag-NO-lee-a]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Magnolia sirindhorniae Noot. & Chalermglin.(2000) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3153500 ---Michelia sirindhorniae (Noot.&Chalermglin) N.H.Xia & X.H.Zhang.(2005) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น ---จำปีสัก, จำปีสิรินธร (ทั่วไป) ; [THAI: Champi sak, Champi sirinthon (General).]. ชื่อวงศ์--- MAGNOLIACEAE EPPO Code---MAGSS (Preferred name: Magnolia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พืชเฉพาะถิ่น ประเทศไทย Magnolia sirindhorniae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จำปา (Magnoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hans Peter Nooteboom (born 1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และ Dr.Piya Chalermglin (also spelt Piya Chalermklin; fl. 2000) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย ในปีพ.ศ.2543
ที่อยู่อาศัย--- เป็นพันธุ์ไม้ใหม่เฉพาะถิ่นที่มีอยู่แห่งเดียวในโลกค้นพบโดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น นักวิชาการ 10 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบขึ้นแช่น้ำอยู่ในป่าพรุน้ำจืดในภาคกลางที่ซับจำปา อำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรี ในปีพ.ศ.2542 ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นสูง 20-25 เมตร ลำต้นใหญ่เปลาตรง ต้นแก่เปลือกแตกเป็นร่องตามยาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เนื้อไม้และกิ่งเหนียว พบว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นที่ระดับอก 50-200 ซม.กิ่งอ่อนสีเขียวอมน้ำตาล กิ่งที่อยู่ในระดับสูงมีเปลือกสีขาว มีช่องอากาศเป็นจุด หรือขีดนูนกระจายชัดเจนใบรูปรีปลายมนโคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ดอกสีขาวนวลออกเดี่ยวตั้งขึ้นตามซอกใบ กลีบดอกมี 12-15 กลีบ เรียงเป็นชั้นๆละ3กลีบ กลีบชั้นนอกรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 1.2-1.5 ซม. ยาว 4.5-5 เซม. ปลายกลีบมนกลม เมื่อเริ่มแย้ม โคนกลีบดอกด้านนอกมีสีเขียวอ่อน กลีบดอกชั้นในมีขนาดแคบและสั้นกว่าเล็กน้อย เริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมตั้งแต่พลบค่ำ ดอกบานอยู่ได้ ๒ วันเมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย ผลเป็นผลกลุ่มรูปกลม ผิวของผลมีซ่องอากาศเป็นจุดๆ สีขาว ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่แล้วเปลี่ยนสีน้ำตาลอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.มีผลย่อย 15-25 ผล ผลย่อยแตกตามแนวยาว แต่ละผลมี 1-6 เมล็ด เมล็ดสีแดงเข้มรูปกลมรี ยาว 4-6 มม, ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ลักษณะเด่นที่แตกต่างจากชนิดอื่นคือขึ้นแช่น้ำและสามารถเจริญเติบโตอยู่ได้ในป่าพรุน้ำจืดปกติจำปี จำปาทุกชนิดทั่วโลกจะขึ้นบนพื้นที่ดอน หรือบนภูเขาหรือตามพื้นดินที่มีการระบายน้ำดี เป็นพืชที่มีความแข็งแรง ทนทาน อัตราการเจิญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่สามารถควบคุมทรงพุ่มให้มีขนาดเล็กตามต้องการได้ ถึงแม้ว่าจะมีการตัดแต่งกิ่ง แต่จำปีสิรินธรก็จะแตกกิ่งใหม่และเจริญเติบโตต่ออย่างรวดเร็ว การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ในส่วนของจำปีสิรินธรที่มีการขยายพันธุ์ไปจากแหล่งกำเนิดเดิม แล้วนำไปปลูกในแหล่งกำเนิดใหม่ทั่วประเทศ มีการใช้ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงา กำบังลม และไม้โชว์ทรงพุ่ม -เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ ในด้านของการส่งเสริมการศึกษา -ดอกที่หอมและสวยงาม อาจนำมาร้อยมาลัย เป็นยาสมุนไพร สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย -สามารถใช้เป็นพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ นำไปผสมกับจำปีหรือจำปาชนิดอื่นๆ ซึ่งจะได้ลูกผสมต่างๆ ออกมาและสามารถคัดเลือกนำไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจได้ในอนาคต ระยะออกดอก/ผลแก่---มิถุนายน-กรกฏาคม/ตุลาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---การปักชำ การทาบกิ่ง การเสียบยอด การติดตา และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
|
จำปา/Magnolia champaca
[mag-NO-lee-a] [cham-PAK-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre.(1880) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Basionym: Michelia champaca L.(1753) ---Champaca michelia Noronha.(1790) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117504 ชื่อสามัญ--Champaca, Champak, Orange chempaka, Golden champa, Sonchampa, Joy perfume tree, Yellow jade orchid tree, Fragrant Himalayan champaca. ชื่ออื่น---จำปา (ทั่วไป); จำปากอ (มาเลย์-ภาคใต้); จำปาเขา (ตรัง); จำปาทอง (นครศรีธรรมราช); จำปาป่า (สุราษฎร์ธานี) ;[ASSAMESE: Tita-sopa.];[BENGALI: Champa.];[CHINESE: Huáng lán.];[FRENCH: Champac.];[HINDI: Champa.];[INDIA: Champakam, Shenbagam.];[INDONESIA: Cempaka.];[KANNADA: Sampige.];[MARATHI: Son Champa.];[PHILIPPINES: Tsampaka, Sampaka or sampaga.];[PORTUGUESE: Magnolia-amarela.];[SWEDISH: Parfymmichelia.];[TAMIL: Sambagan.];[TELUGU: Champangi.];[THAI: Champa (General); Cham-pa-ko (Malay-Peninsular); Champa khao (Trang); Champa thong (Nakhon Si Thammarat); Champa pa (Surat Thani).]. ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE EPPO Code---MIACH (Preferred name: Magnolia champaca.) ถิ่นกำเนิด---ประเทศอินเดีย เขตการกระจายพันธุ์---ทิเบต ยูนนาน อินเดีย, บังคลาเทศ, เนปาล พม่า, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลตั้งเป็นเกียรติแก่ Pierre Magnol (1638-1715) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ; ชื่อเฉพาะ 'champaca' คือชื่ออินเดียท้องถิ่น “champaka” ในภาษาสันสกฤต Magnolia champaca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จำปา (Magnoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henri Ernest Baillon (1827-1895)นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2423 รวม 2 Infraspecifics (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์) ที่ยอมรับ -Magnolia (Michelia) champaca var. champaca---Huang lan (yuan bian zhong) สูงถึง 30 เมตร บันทึกไว้ในจีน -Magnolia (Michelia) champaca var. pubinervia (Blume) Figlar---Mao ye mai huang lan สูงถึง 50 เมตรหรือสูงกว่านั้น บันทึกไว้ในจีน
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดใน เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - อินโดจีนและทางตอนใต้ของประเทศจีน กระจัดกระจายในที่ลุ่มปฐมภูมิถึงป่าดิบเขา เป็นพืชในเขตร้อนชื้นและเขตร้อน สามารถปลูกได้ในเขตอบอุ่น พบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 200–1,600 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 10-30 เมตร หรือกว่านั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 80 - 120 ซม เรือนยอดรูปทรงเจดีย์ แคบและสมมาตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบ เปลือกชั้นในสีครีมจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มเมื่อมีแผลตัด เนื้อไม้มียาง ตามลำต้นมีเส้นเป็นรอยควั่นอยู่เป็นข้อๆมองเห็นชัด ตลอดลำต้นและกิ่งมีตุ่มละเอียดเล็กๆเป็นรอยประทั่วไป ใบรูปไข่แคบค่อยๆสอบเข้าที่ปลาย ขนาดของใบยาว10-20ซม.กว้าง4-9ซม. ใบอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ดอกจำปาเป็นดอกเดี่ยวออกตรงซอกใบสีส้มเหลือง ขนาดดอก 4-6 ซม. มีกลีบแคบๆ 8-12 กลีบ ผลเป็นเครือรวมประกอบด้วยผลย่อยรูปร่างกลม เปลือกเขียวมีประจุดขาวเมื่อแก่จะแตกด้านเดียว เมล็ดสีแสดและเป็นสีน้ำตาลแก่ ดอกบานวันเดียวโรย เริ่มส่งกลิ่นหอมตั้งแต่พลบค่ำ จนถึงกลางวัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ทนอุณหภูมิต่ำสุด -1.1 °C ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและมีการระบายน้ำดี pH 4.5-5.5 ทนได้ 4-6 อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ชอบที่จะได้รับน้ำบ่อยๆ แต่ในปริมาณที่ไม่มากในแต่ละครั้ง ต้นที่ปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ (2วัน/ครั้ง) ใน 2-3 ปีแรก ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในฤดูฝนอย่าให้น้ำขังดูเรื่องการระบายน้ำให้ดี ไม่ชอบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ในฤดูแล้งควรให้น้ำมากขึ้น (วันละ 2 ครั้ง) ทนต่อความแห้งแล้งได้ในระดับปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวังหนอนเจาะลำต้นทำลายดอก ไส้เดือนฝอยทำลายราก รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้มีประโยชน์หลากหลายถูกเก็บเกี่ยวในท้องถิ่นเพื่อเป็นแหล่งอาหารยารักษาโรคและสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลายชนิด มันมีค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับน้ำมันหอมระเหยและเนื้อไม้ ใช้กินได้--- ผลกินได้ ใช้เปลือกที่มีกลิ่นหอมและขมขื่นในการเจือปนกับอบเชยใช้ปรุงแต่งกลิ่นรส ใช้เป็นยา--- เปลือกไม้ ใช้เป็นยาแก้ไข้ ยาต้มเปลือกและใบใช้หลังคลอด ดอกใช้ในการรักษาโรคเรื้อน ใช้ใบไม้เป็นยารักษาอาการจุกเสียด เมล็ดใช้รักษาผิวหนังที่มีรอยแตก น้ำมันไขมันที่สกัดจากเมล็ดแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้เป็นไม้ประดับ--- นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปอย่างแพร่หลายทั่วไปในเขตร้อน เพราะดอกสวยมีกลิ่นหอม สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ วนเกษตรใช้---ต้นไม้ ใช้ในโครงการปลูกป่า อื่น ๆ--- แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลมะกอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แก่นไม้มีความแข็งแรงทนทาน การใช้งานง่ายในการขัดมันให้เงา ใช้ในงานไม้ละเอียดทำเฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลักงานกลึง นิยมใช้ทำโลงไม้จำปา ในธรรมชาติมีจำนวนลดลงเนื่องจากมีการตัดเพื่อเอาไม้คุณภาพสูงไปใช้ ดอกไม้ให้น้ำมันหอมระเหยที่รู้จักกันในชื่อน้ำมันจำปา น้ำมันหอมระเหยอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าน้ำมันใบมิเชเลียสกัดจากใบ ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในอินเดียอุปมาให้ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพระลักษมี เทพธิดาแห่งความมั่งคั่ง เพิ่มความมั่งคั่งให้กับครอบครัว ดอกจำปานำมาใช้มากในพิธีทางศาสนา ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2014) ระยะออกดอก/ติดผล--กุมภาพันธ์ - สิงหาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดนำไปปลูก หรือด้วยวิธีตอน หรือสกัดไหลจากรากนำไปปลูกได้ ปัจจุบันนิยมใช้เป็นต้นตอสำหรับทาบกิ่งพืชชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน ต้นไม้ขยายพันธุ์จากเมล็ดใช้เวลา 8 - 10 ปีในการออกดอก ในขณะที่ต้นไม้ขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจะออกดอกใน 2 - 3 ปี **ปัจจุบันมีการคัดเลือกพันธุ์ที่ออกดอกได้ตลอดปี ดอกดก ขนาดใหญ่มีสีเข้ม ที่เรียกกันว่า จำปาทอง (ภาพขวา)**
|
|
จำปาเทศ/Pterospermum littorale
Genus : [ter-oh-SPER-mum]
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Pterospermum littorale Craib.(1912) ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name ---See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2551735 ชื่อสามัญ---None (Not recorded). ชื่ออื่น ---กะหนาย, ยวนปลา (ภาคใต้); ขนาน (ชลบุรี); จำปาเทศ, จำปีแขก (ภาคกลาง); หำอาว (หนองคาย) ; [THAI: Kanai, Yuan pla (Peninsular); Khanan (Chon Buri); Champa thet, Champi khaek (Central); Ham ao (Nong Khai) ชื่อวงศ์ --- MALVACEAE EPPO Code---PUFSS (Preferred name: Pterospermum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pterospermum' มาจากภาษากรีก “pteron” = ปีก และ “sperma” = เมล็ด อ้างอิงถึงเมล็ดมีปีก ; ชื่อเฉพาะ 'littorale' = ของชายทะเล Pterospermum littorale เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceaeceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2455 รวม 2 Infraspecifics (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์) ที่ยอมรับ https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:824780-1#children - Pterospermum littorale var. littorale - Pterospermum littorale var. venustum (Craib) Phengklai.(1995)-Syn. Pterospermum venustum Craib ที่อยู่อาศัย--- พบทั่วไปทุกภาคของไทย ขึ้นตามชายป่าดงดิบ ป่ารุ่นสองและป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูง 100-1,000 เมตร เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบครั้งแรกที่ ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยหมอคาร์ (A.F.G.Kerr) แต่มีการกระจายขึ้นอยู่ในแต่ละภาคทั่วประเทศ สถานภาพยังพอหาได้ในถิ่นกำเนิด ต้นที่อยู่ในถิ่นกำเนิดในธรรมชาติใบมีรูปทรงเปลี่ยนแปลงได้ตามอายุของต้น หรือกิ่ง เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นใบจะมีขนาดเล็กลงและขอบใบจักเว้าตื้น
ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกต้นแตกเป็นร่อง แตกกิ่งยาวและห้อยลู่ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุมทั่วไป ใบเดี่ยวเรียงสลับ ระนาบเดียวกัน มี 2 รูป ใบอ่อนรูปไข่กว้างหรือเกือบเป็นแผ่นกลม แผ่นใบเว้าเป็นแฉกลึก 5-7 แฉก เส้นใบออกจากโคนใบประมาณ 7 เส้น แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้ม เกลี้ยง ด้านล่างมีขนสีเทาอมเหลืองหนาแน่น ใบแก่รูปขอบขนานปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจขอบใบเว้าไม่สม่ำเสมอ แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีขาวออกเหลืองมีขนละเอียดสีเทาหนาแน่น ดอกสีขาวออกเป็นดอกเดี่ยวที่ซอกใบใกล้ปลายยอดขนาดดอก 5-8 ซม.มีกลิ่นหอม บาน 1-2 วันแล้วโรย กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ เป็นแผ่นหนาแข็งสีเขียวอมเหลือง ด้านในมีขนคล้ายกำมะหยี่สีขาว ด้านนอกมีขนสีน้ำตาล กลีบดอกมี 5 กลีบ บาง เรียงเวียนซ้าย ผลแห้งแตกคล้ายสาแหรก เปลือกผลแข็งมีพู 5 พู มีเมล็ดจำนวนมาก รูปไข่หรือรูปรีแบน ด้านบนมีปีกยาวบางใสสีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพรรณไม้ที่มีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือ แสงแดดบางส่วน [Part Sun (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกันโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย).] หรือ ร่มเงาบางส่วน [Part Shade (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องกันในช่วงเช้า).] ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและมีการระบายน้ำดี pH 6.1 - 7.5 (เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย) อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ชอบที่จะได้รับน้ำบ่อยๆ แต่ในปริมาณที่ไม่มากในแต่ละครั้ง ต้นที่ปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ (2วัน/ครั้ง) ใน 2-3 ปีแรก ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในฤดูฝนอย่าให้น้ำขังดูเรื่องการระบายน้ำให้ดี ไม่ชอบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ในฤดูแล้งควรให้น้ำมากขึ้น (วันละ 2 ครั้ง) ในช่วงฤดูหนาว ควรลดการให้น้ำลงและควรรดน้ำเมื่อดินแห้งเท่านั้น การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปลายฤดูแล้งหรือก่อนฤดูฝน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวังหนอนเจาะลำต้น ไส้เดือนฝอยทำลายราก รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ตามสวนสาธารณะ และตามสวนทั่วไปเพราะให้ร่มเงาได้ดี มีดอกสวยงามกลิ่นหอม สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).]* อ้างอิงจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ธันวาคม/พฤศจิกายน-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ดตอนกิ่ง ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีพุ่มสวยงามกว่า ต้นที่ได้จากกิ่งตอน
จำปาแดง/Magnolia x soulangiana
[mag-NO-lee-a] [soo-lan-jee-AH-nuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Magnolia x soulangiana Soul.-Bod.(1826) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Magnolia × brozzonii Millais.(1927) ---Magnolia × lenneana (Lem) Koehne.(1893) ---Magnolia × lennei Van Houtte.(1867) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117840 ชื่อสามัญ---Saucer Magnolia, Chinese magnolia, Tulip Magnolia. ชื่ออื่น ---จำปาแดง, จำปีแดง, แมกโนเลีย, [Thai: Champar daeng, Champi daeng, Mag-no-lia] ชื่อวงศ์ --- MAGNOLIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีแยุโรป เขตกระจายพันธุ์---ยุโรป อเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Magnolia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Pierre Magnol (1638-1715) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ; การแต่งตั้งลูกผสม 'soulangiana' เป็นเกียรติแก่ Chevalier Etienne Soulange-Bodin (พ.ศ. 2317-2389) ผู้อำนวยการสถาบันราชบัณฑิตยสถานฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ผสมข้ามสายพันธุ์นี้ในช่วงต้นทศวรรษ 1800 -ชื่อสามัญ "Saucer Magnolia" เป็นชื่อสามัญที่มักจะใช้ค่อนข้างหลวม ในขณะที่ในทางเทคนิคหมายถึง M. x soulangiana แต่ก็มักจะใช้เช่นกันเพื่ออ้างถึงต้นไม้ที่คล้ายกันในสกุล Magnolia ที่มีดอกไม้ขนาดใหญ่ Magnolia x soulangiana เป็นลูกผสม (hybrid) ในครอบครัววงศ์จำปา (Magnoliaceae) สกุล Magnolia เกิดจากการผสมข้ามระหว่าง Magnolia denunata และ Magnoliia liliiflora การแต่งตั้ง hybrid ได้รับเกียรติจาก Chevalier Etienne Soulange-Bodin (1774-1846) ผู้อำนวยการสถาบันราชบัณฑิตยสถานแห่งฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2369 ที่เมืองฟรอนท์ใกล้กรุงปารีส ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือเป็นไม้พุ่ม ผลัดใบ สูง 2-6 เมตร (บางครั้งสามารถผลิตหลายลำต้น) แตกกิ่งมาก เปลือกต้นนิ่มและมีกลิ่นฉุน ผิวใบด้านล่างสากคาย ดอกตูมมีใบเกล็ดหุ้มดอก 2 กลีบ มีขนสีทองปกคลุมแตะละกลีบหนาแน่น ดอกบานกลีบดอกด้านนอกสีแดงอมม่วงด้านในสีขาว เรียงซ้อนกันอยู่ 3 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่ เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 ซม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในตอนเช้า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งในที่ที่มีแสงแดดจัดแต่สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องกันในช่วงเช้า) อากาศแบบหนาวเย็น ทนอุณหภูมิต่ำสุด -34.4 °C ชอบดินที่ชื้นและลึก ดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำที่ดี ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ pH 4.5-6.0 มีชื่อเสียงในด้านการปลูกง่าย ทนต่อดินหลากหลายชนิด (ทนต่อดินเหนียว) และมีความทนทานต่อลมและดินอัลคาไลน์ การรดน้ำ---ในช่วงปีแรกของการปลูก ให้รดน้ำต้นไม้ให้ลึกและบ่อยครั้งรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากนั้นให้น้ำเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ทนต่อความแห้งแล้งได้ในระดับปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งให้เป็นต้นไม้ขนาดเล็กได้โดยการตัดแต่งกิ่งในปีแรก ๆ เพื่อให้มีลำต้นกลาง ตัดแต่งกิ่งได้ในช่วงกลางฤดูร้อนเมื่อดอกไม้ร่วงโรย อย่าตัดกลับมากเกินไป การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย อาจใส่ปุ๋ยละลายช้าที่สมดุล ปลายฤดูแล้งหรือก่อนฤดูฝน เพื่อช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง โรคใบจุดและโรคแคงเกอร์อาจเป็นปัญหาได้ แมลงเกล็ด ในปลายฤดูใบไม้ผลิและโรครา น้ำค้างอาจทำให้ดอกไม้เสียหายได้ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกไม้ที่สวยงามทำให้เป็นที่ชื่นชอบใช้ปลูกในสวน สามารถปลูกเดี่ยวหรือเป็นแถวทั้งในสวนสาธารณะและภูมิทัศน์ และสามารถนำมาปลูกเป็นไม้กระถางให้ออกดอกและตัดแต่งทรงพุ่ม ทำไม้แคระหรือบอนไซได้ -เป็นหนึ่งในแมกโนเลียที่ใช้กันมากที่สุดในพืชสวนที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเกาะอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ของอังกฤษ ; และในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก -เป็นแมกโนเลียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวันนี้ด้วยพันธุ์ลูกผสมจำนวนมาก ที่มีอยู่ในการค้าในขณะนี้ มีดอกไม้ในเฉดสีขาว ชมพูกุหลาบ ม่วง และม่วงเบอร์กันดี ตัวอย่าง สายพันธุ์ที่นิยม ของพืชชนิดนี้ ;- ---'Rustica Rubra' ( M. x soulangiana 'Rustica Rubra') ต้นสูง3-8 เมตร ดอกสีแดง ---'Alexandrina' ( M. x soulangiana 'Alexandrina') หรือที่เรียกว่า "Alexander's Magnolia" ต้นสูง 3-5 เมตร ดอกสีชมพู ---'Bronzzonii' ( M. x soulangiana 'Bronzzonii') ต้นสูง 7-10 เมตร ดอกสีขาว ได้รับรางวัล AGM (Award of Garden Merit) จาก Royal Horticultural Society ระยะออกดอก---ทยอยออกดอกตลอดปีเป็นช่วงๆโดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ จะมีดอกบานเต็มต้น ขยายพันธุ์---ปักชำ ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เพาะเนื้อเยื่อ
ดีหมี/ Cleidion javanicum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cleidion javanicum Blume.(1826) ชื่อพ้อง---No synonyms are reccorded for this name.See https://powo.science.kew.org/taxon/341255-1 ชื่อสามัญ--- None (Not recorded) ชื่ออื่น---เซยกะชู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); กาไล,กำไล (สุราษฎร์ธานี); กาดาวกระจาย (ประจวบคีรีขันธ์); คัดไล (ระนอง); จ๊ามะไฟ, มะดีหมี (ภาคเหนือ); ดินหมี, ดีหมี (ลำปาง) ;[CHINESE: Bang bing hua, San tai hua.];[INDONESIA:-Bali:Putian (Javanese); Borneo: Entupak (Iban).; Java: Hura batu (Sundanese).];[MALAYALAM: Yellari.];[NEPALI: Hara-bepari, Bepari];[PHILIPPINES: Saligao, Tayokan, Agipos, Kayugkog, Malagasaba (Tag.); Hantatampsi (C. Bis.); Malatuba (Bik.); Lapo-lapo (Ilk.), Tubataba (Tagbanua).];[SINHALESE: Okuru.];[THAI: Soei-ka-chu (Karen-Mae Hong Son); Kalai, kamlai (Surat Thani); Ka dao krachai (Prachuap Khiri Khan).]; Khat lai (Ranong); Cha ma fai, Ma di mi (Northern); Din mi, Di mi (Lampang).];[VIETNAMESE: Phân loại khoa học, Mo chim, Com gao.]. ชื่อวงศ์ --- EUPHORBIACEAE EPPO Code---ACCSS (Preferred name: Acalypha sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา มาลายา นิวกินี ออสเตรเลีย และแปซิฟิกตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกล 'Cleidion' จากภาษากรีกโบราณ ' kleidíon' = “ little key ” ; ชื่อของสายพันธุ์เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน "javanicus, a, um" = 'จากชวา' โดยอ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดแห่งหนึ่ง Cleidion javanicum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ.2369 3 Accepted Infraspecifics;- - Cleidion javanicum var. alongense (Bennet & Sum.Chandra) Chakrab. & N.P.Balakr.(2007) - Cleidion javanicum var. javanicum - Cleidion javanicum var. longipedicellatum Chakrab. & M.Gangop. (1988 publ. 1989)
ที่อยู่อาศัย--- เกิดขึ้นในอินเดียและศรีลังกาผ่านมลายาถึงนิวกินี ออสเตรเลีย และแปซิฟิกตะวันตก เติบโตในหุบเขาในป่าดิบชื้นหรือป่ามรสุมและพบทั่วไปในป่าชั้นล่างมักจะใกล้บริเวณธารน้ำ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 400-800 (-1400) เมตร ในประเทศไทยพบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ที่ระดับความสูง 30-1,100 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบสูง 4-10 เมตร เรือนยอดทึบเปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ลำต้นและกิ่งก้านเกลี้ยง ใบเดี่ยวขนาดกว้าง 3.5-8 ซม.ยาว10-25 ซม.รูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลม ขอบใบมีซี่ตื้นคมห่างๆ แผ่นใบหนาเรียบเป็นมันและเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีอ่อน ที่ซอกของเส้นใบด้านท้องใบจะมีต่อมกระจัดกระจาย โดยปกติจะมองเห็นต่อมแบนหนึ่งหรือสองอันที่ด้านใดด้านหนึ่งของเส้นกลางใบที่ผิวด้านบนที่ฐานของใบ ก้านใบ ยาว 2-8 ซม. บวมที่โคน ปลายด้านบนเป็นร่อง ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) หรืออาจมีดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious)ซึ่งหายาก ออกตามซอกใบ ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวประมาณ 8-21 ซม. มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ ดอกเพศผู้จำนวนมาก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มม.ดอกเพศเมียออกเดี่ยวๆเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-14 มม.ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 2-3 แฉก ผลแคปซูลสีเขียวค่อนข้างกลมแห้งแฃ้วแตกได้ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม.มีพู 2 พู ชัดเจนน้อยที่จะมี 3 พู ผิวนอกเหนียว เนื้อชั้นในบางสีน้ำตาล แยกได้ 2 ซีก เมล็ดกลมเกลี้ยง เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.2 ซม.สีน้ำตาลเข้ม มีจุดสีน้ำตาลอ่อน
Pictures by---https://efloraofindia.com/2013/11/11/cleidion-javanicum/ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบอากาศค่อนข้างชื้นและมีแสงแดดส่องรำไร ขึ้นได้ในดินหลายชนิดที่ระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติในช่วงเริ่มปลูกปีแรก วันละครั้ง หลังจากนั้น ปล่อยตามธรรมชาติได้ การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งให้เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่มได้ใน 2-3 ปีแรก การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ รู้จักอ้นตราย---พืชที่มีรายงานว่ามีพิษ ใบต้มมีพิษ นำมาใช้เป็นยาต้องระวังมาก สตรีมีครรภ์แท้งบุตรได้ ใช้ประโยชน์ --ใช้กินได้ ใบสดลวกกินกับเมี่ยงได้ ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ เมล็ด ใบ - ตำรายาไทยใช้แก่นต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ หรือจะใช้ทั้ง 5 ส่วน (ราก, ต้น, ใบ, ดอก, ผล) นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ตัวร้อน ช่วยดับพิษไข้ก็ได้ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้ลมพิษในกระดูก - ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงจะใช้ราก ต้น หรือใบ นำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบเป็นยาแก้ไข้ รักษาไข้มาลาเรีย - ในหมู่เกาะโซโลมอน ยาต้มจากเปลือกไม้ใช้ภายนอกสำหรับอาบน้ำให้เด็กที่เป็นโรคหิด ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-มิถุนายน/พฤษภาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ขางปอยน้ำ/ Alchornea rugosa
[al-KOR-nee-uh] [roo-GO-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Alchornea rugosa (Lour.) Müll. Arg.(1865) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms. ---Basionym: Cladodes rugosa Lour.(1790) ---Adelia glandulosa Blanco.(1837) ---Alchornea hainanensis Pax & K.Hoffm.(1914) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:338454-1#synonyms ชื่อสามัญ---Alchorn Tree ชื่ออื่น---เนียมกาง, ขางต้นเดียว (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); เปล้าน้ำ, กระบือต้น, ขางปอย (ภาคเหนือ); ก้ามปู, ดับยาง, ลับยาง (ภาคตะวันออก); ขางปอยน้ำ (ภาคกลาง); ซ่าหมากไฟ (เลย); สะไบบาง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้);[CHINESE: Yǔ mài shān má gān];[MALAYSIA: Julong jantan, Akar serimbong, Rabu kumbang (Peninsular).];[INDONESIA: Kedung leutik, Ki bewok (Sundanese); Drejeg (Javanese); Mentulan, Meranak, Ki sengat.];[MALAYSIA: Menjing (Malay).];[PHILIPPINES: Aguioi (Tagalog).];[THAI: Niam kang, Khang ton diao (Northeastern); Plao nam, Krabue ton, Khang poi (Northern); Kam pu, Dap yang, Lap yang (Eastern); Khang poi nam (Central); Sa mak fai (Loei); Sabai bang (Southeastern).];[VIETNAM: Bọ nẹt, Sóc dại, Đom đóm.]. ชื่อวงศ์--- EUPHORBIACEAE EPPO Code---AHQSS (Preferred name: Alchornea sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้- อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ไทย อินโดจีน เมลเซีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะ 'rugosa' คำคุณศัพท์ภาษาละติน 'rūgōsus' หมายถึงรอยย่น Alchornea rugosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปีพ.ศ.2408
ที่อยู่อาศัย--- ขึ้นกระจายอยู่ใน จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ,ยูนนาน) อินเดีย (อัสสัม, นิโคบาร์) พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี ทางตอนเหนือของออสเตรเลียและหมู่เกาะบิสมาร์ก ที่อยู่อาศัยในป่าทุติยภูมิและป่าเสื่อมโทรม ทุ่งหญ้าบ่อยครั้งในสถานที่เปียกชื้นเช่นหนองน้ำหรือตามทางน้ำ เป็นพืชเขตร้อนชื้นซึ่งมักพบได้ในระดับความสูง 600-1,000 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ประมาณ 1.5-5 (-10) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์ต้นไม่เกิน 20 ซม.dbh ยอดอ่อนมีขนเมื่อขยี้มีกลิ่นเหม็นเขียว ก้านใบ 0.5-3 ซม.ใบเดี่ยว 6.5-14 x 3-6.5 ซม.เรียงสลับใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับหรือรูปรีถึงรูปใบหอกกว้าง ฐานป้านหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย มีต่อม 2 ต่อม ขอบใบหยัก ปลายแหลม เส้นใบยกขึ้นบนผิวใบด้านบน ดอกเป็นดอกช่อแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (Monoecious) ดอกเพศผู้มีหนามแหลมและแตกกิ่งยาวประมาณ 10-20 ซม.หรือมากกว่า กลีบเลี้ยง 2 หรือ 3 กลีบ รูปไข่ เกสรเพศผู้เรียงสลับ 2 แถว เส้นใยก่อตัวเป็นวงแหวน ดอกเพศเมีย ดอกแหลมหรือช่อดอกยาวประมาณ 10-15 ซม.กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม ผลแคปซูลมี 3 พู ขนาด 7-8 x 9-10 มม เมล็ดรูปรีแบน สีน้ำตาลเป็นมันขนาด 6 x 4-5 มม.
Picture 1 by---http://www.phytoimages.siu.edu/imgs/benctan/re/Euphorbiaceae_Alchornea_rugosa_32764.html Picture 2 by---http://phytoimages.siu.edu/imgs/pelserpb/r/Euphorbiaceae_Alchornea_rugosa_64273.html ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งร่มเงาบางส่วน [Part Sun (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกันโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย).]ขึ้นได้ในดินหลากหลายชนิด ในป่ามักจะอยู่บนหรือใกล้กับหินปูนส่วนหนึ่ง ดินเหนียว ดินลึก อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติในช่วงเริ่มปลูกปีแรก วันละครั้ง หลังจากนั้น ปล่อยตามธรรมชาติได้ การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งให้เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่มได้ใน 2-3 ปีแรก การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์--- บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นแหล่งอาหารและยาในท้องถิ่น -ใช้กินได้ ใบปรุงและกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา น้ำต้มรากและใบดื่มเป็นยาลดไข้และแก้ไข้มาลาเรีย เมล็ด เป็นยาถ่าย -ใช้อื่น ๆ ใบใช้มวนบุหรี่ มวนยาเส้น ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) -ชนิดนี้ได้รับการบันทึกว่าน่าเป็นห่วงน้อยที่สุดในจีน, น่าเป็นห่วงน้อยที่สุดในควีนส์แลนด์ และสูญพันธุ์ไปแล้วในสิงคโปร์ (EX) ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
มะเดื่อปล้อง/ Ficus hispida
[FY-kus] [HISS-pih-duh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Ficus hispida L.f.(1782) ชื่อพ้อง---Has 35 Synonyms. ---Covellia assamica Miq.(1848) ---Gonosuke hispida (L.f.) Raf.(1838) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2810756 ชื่อสามัญ---Hairy Fig, Boombil, Devil Fig, Rough-leaved Fig, Rough-leaf stem fig, Opposite-leaved Fig-tree. ชื่ออื่น --- เดื่อปล้อง (นครศรีธรรมราช, สระบุรี, ภาคเหนือ); เดื่อป่อง (กรุงเทพฯ); เดื่อสาย (เชียงใหม่); ตะเออน่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); มะเดื่อปล้อง (ภาคกลาง); เอาแหน่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ฮะกอสะนียา (มาเลย์-นราธิวาส) ;[ARABIC: Tinebarri.];[ASSAMESE: Jongiya-dimoru];[AYURVEDA: Kakodumbara, Kakodumbur, Malayu, Malpu Phalgu.];[BENGALI: Kakdumul, Kathdurnul, Kakadumbar, Dumar, Kako-dumar.];[CHINESE: Dui ye rong];[GERMAN: Fluss-Feige.];[HINDI: Phalgu, Kagsha, Gobla, Katguleriya];[INDONESIA: Luwing, Leluwing (Java); Bisoro (Sunda)];[KANNADA: Kada Atthi,Kad-atthi,Paare Mara.];[MALAYALAM: Erumanakku, Parakan, Perimteragam, Peyatti];[MALAYSIA: Ara Bumbong, Ara Sungai, Ara Senigai, Ara Lempong, Seniah, Seniyah, Senil];[MARATHI: Kala Umbar, Bokeda, Dhed Umbar, Karavati, Bokheda, Bokhada.];[NEPALI: Kothaya-dumari];[PAKISTAN: Dagurin, Katgularia, Daduri.];[PORTUGUESE: Figueira-de-folhas-opostas.];[SANSKRIT: Phalgu, Phanika, Kakodumbarika, Malayuhu];[SIDTHA/TAMIL: Peyathi.];[TAMIL: Chona-atthi, Pei-atthi, Peyatti,Paeiathi];[TELUGU: Vetti-athi, Bedama-midi.];[THAI: Duea plong (Northern, Nakhon Si Thammarat, Saraburi); Duea pong (Bangkok); Duea sai (Chiang Mai); Ao-nae, Ta-oe-na (Karen-Mae Hong Son); Ma duea plong (Central); Ha-ko-sa-ni-ya (Malay-Narathiwat).];[UNANI: Anjir Dashti, Kathgular.]. ชื่อวงศ์---MORACEAE EPPO Code---FIUHS (Preferred name: Ficus hispida.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย กัมพูชา ไทย ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา สุลาวาสี หมู่เกาะซุนดาน้อย ปาปัวนิวกินี ออสเตรเลีย- รัฐควีนส์แลนด์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ficus' มาจากชื่อภาษาละตินของมะเดื่อที่กินได้ ; ชื่อเฉพาะ 'hispida' จากภาษาละติน หมายถึงขนหยาบ โดยอ้างอิงถึงการแตกหน่อที่พบในใบและผลอ่อน Ficus hispida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของ Carl Linnaeus ในปีพ.ศ.2325
ที่อยู่อาศัย--- พบตลอดช่วงเทือกเขาหิมาลัยด้านนอกจาก Chenab ทางตะวันออกไปจนถึงเบงกอลภาคกลางและภาคใต้ของอินเดีย หมู่เกาะอันดามัน ศรีลังกา ยังพบในภูฏาน เนปาล จีน อินโดจีน รัฐควีนส์แลนด์ในออสเตรเลีย ตามที่ราบ ริมลำธาร ที่ระดับความสูง 500-1,100 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโปร่ง ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และริมลำธาร ลักษณะ--- เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้น สูงได้ถึง 15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 25 ซม.เปลือกต้นสีเทา ต้นและกิ่งมีลักษณะเป็นข้อปล้องชัดเจน ทุกส่วนมีน้ำยางขาว ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ปลายใบแหลมโคนใบมน ผิวใบสาก กว้าง5-13 ซม.ยาว11-28 ซม. ขอบใบมีซี่หยักละเอียด โดยเฉพาะครึ่งปลายบน ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งและลำต้น บางทีพบออกตามโคนต้น ผลกลมแป้นรูปลูกข่างสีเขียวออกเหลืองมีจุดสีซีดกว่า ขนาด 2.5-4 ซม.ผลแก่สีเหลือง -ต้นไม้ผลิตดอกไม้สามชนิด ดอกเพศผู้เพศเมียมีลักษณะยาวและเพศเมียมีลักษณะสั้น มักเรียกว่า gall flower. ดอกไม้ทั้งสามประเภทมีอยู่ในโครงสร้างที่เรามักคิดว่าเป็นผลไม้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดแต่จะขึ้นได้ดีในที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องกันในช่วงเช้า) ดินควรอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี การรดน้ำ---ให้น้ำเป็นประจำ ปล่อยให้หน้าดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ลดการรดน้ำในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ควบคุมความสูงและการเจริญเติบโต การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่สมดุลทุกเดือน เดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง แมลงศัตรูพืชที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ เพลี้ยอ่อน ด้วงแตงกวา แมลงหวี่ มวนง่าม หนอนกระทู้ผัก/อาจพบการเน่าของดอก, โรคเหี่ยวฟิวซาเรี่ยม, โรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย, โรคราน้ำค้างและโรคราแป้ง รู้จักอันตราย---ผลไม้ทำให้เกิดการระคายเคืองในลำไส้ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ใช้ประโยชน์---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยา ใช้กินได้---ช่อดอกกินเป็นผักสด ผลอ่อนดิบสีเขียวปรุงสุกเป็นผัก ในขณะที่ผลสุกจะกินสด (แต่มักไม่นิยมกินเพราะข้างในมีแมลง) บางครั้งนำผลสุกมาทำแยมบ้าง ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้: เปลือกผลไม้ ใบไม้ ราก ใช้กันอย่างแพร่หลายในยาแผนโบราณและมีผลทางเภสัชวิทยาหลายอย่างที่สามารถรองรับการใช้งานแบบดั้งเดิม เป็นยาแผนโบราณที่ใช้ในในอินเดีย จีน ศรีลังกา ออสเตรเลียและพม่าในการรักษาโรคท้องร่วง, แผลในกระเพาะอาหาร, โรคโลหิตจาง, โรคเบาหวาน, การอักเสบและมะเร็ง-น้ำผลไม้ รากใช้ในการรักษาไข้ เปลือกนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระแก้อารมณ์แปรปรวนและใช้เป็นยาชูกำลัง น้ำผลไม้ ใช้ในการรักษาปัญหาตับ ใช้อื่น ๆ---เส้นใยที่ได้จากเปลือกชั้นในนั้นใช้สำหรับทำเชือก สายระระโยงระยาง - มีการเพาะปลูกในอินเดียเพื่อสรรพคุณทางยา เช่น แก้ท้องเสีย - ในเนปาลใช้เป็นอาหารสัตว์ ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม/เเมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
มะกล่ำตาไก่/Adenanthera microsperma
[ad-en-AN-ther-uh] [my-kro-SPERM-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Adenanthera microsperma Teijsm. & Binn.(1864) ชื่อพ้อง--- Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:472162-1#synonyms ---Adenanthera pavonina var. microsperma (Teijsm. & Binn.) I.C.Nielsen.(1980) ---Adenanthera tamarindifolia Pierre.(1899) ชื่อสามัญ--- Acacia coral, Red beads, Red bead tree, Bead tree. ชื่ออื่น ---- บนซี (สตูล); มะกล่ำตาไก่ (ภาคเหนือ); ไพ, ไพเงินกล่ำ (ภาคใต้);[CAMBODIA: Chraèh phnôm, Muntrèi, Phlëu ni:ëng.];[CHINESE: Hǎi hóngdòu (Hong Kong); Xiǎo shí kǒngquè dòu (Taiwan).];[LAOTIAN: Lam ta khouay.];[MALAY: Kenderi (Indonesia), Segawe (Java), Sigawe (Indonesia, Java).];[SINHALESE: Madatiya, Vang aepala.];[THAI: Bon see (Stun); Ma glam dtaa gai, Maklam takai (Northern), Ma glam dton, Ma khlam ton, Phai, Phai ngoen klam (Peninsular).];[VIETNAMESE: Chi chi, Muồng nước, Muồng ràng ràng, Rang ràng.]. ชื่อวงศ์ ---- FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE) EPPO Code---ADEMI (Preferred name: Adenanthera microsperma.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ พม่า ไทย กัมพูช าลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Adenanthera' เป็นการรวมคำศัพท์ภาษากรีก "aden" = ต่อม และ "anthera" = อับเรณู จากคำว่า "anthos" = ดอกไม้ โดยอ้างอิงถึงต่อมเล็กๆ บนอับเรณู ; ชื่อเฉพาะ 'microsperma' จากรูปแบบละตินของ 'mikros' ขนาดเล็ก = และจากภาษากรีก 'sperma' = เมล้ดพันธุ์ อ้างอิงถึงเมล็ดที่เล็กในสกุล Adenanthera microsperma เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Simon Binnendijk (1821–1883) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์.ในปีพ.ศ.2407
Picture 1 by---https://efloraofindia.com/2011/02/02/adenanthera-microsperma/ Picture 2 by---https://sites.google.com/site/efloraofindia/species/a---l/f/fabaceae/adenanthera/adenanthera-microsperma ที่อยู่อาศัย--- พบตามธรรมชาติใน จีนตอนใต้ พม่า ไทย กัมพูช าลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ เกิดขึ้นในหุบเขา ตามลำธารป่าไม้ จากระดับน้ำทะเล 600 - 1,000 เมตร พบตามป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ หรือตามชายป่าเปิด ที่ระดับความสูงไม่เกิน 700 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 90 ซม.ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) เรียงสลับกันใบย่อย 8-16 คู่ รูปวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 1-3.5 ซม. ยาว 2-5.5 ซมใบย่อยเรียงสลับรูปรี ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อตามซอกใบมีลักษณะเป็นแกน สีเหลืองอ่อน มีขนประปราย ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงรูปถ้วยยาว0.5-0.8 มม. ปลายแยกเป็นแฉกสั้น 5 แฉก กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ยาว 2-3 มม.ผลเป็นฝักรูปแถบบิดเวียน กว้าง 8-12 มม.มีรอยคอดตามรูปเมล็ดชัดเจน เมื่อแก่แตกตามยาวและบิดเพื่อกระจายเมล็ด เมล็ด รูปค่อนข้างกลม แข็ง สีแดงเลือดนกหรือแดงส้ม ผิวมัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ค่า pH 5.6 - 6.0 (ที่เป็นกรด) 6.1 - 6.5 (มีกรดเล็กน้อย) อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง- -สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้นที่ปลูกใหม่ในช่วงปีแรก ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากนั้น 2-3 เดือน รดน้ำอย่างเพียงพอทุกๆ 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ลดการให้น้ำในฤดูหนาว ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอันตราย--- เมล็ดมีพิษ ห้ามรับประทาน ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนลวกรับประทานได้ ใช้เป็นยา--- ตำรายาไทย ใช้ต้มกินแก้โรคปวดข้อ บำรุงธาตุ แก้ท้อง ร่วงและบิด รากใช้ขับเสมหะ เมล็ดบดพอกดับพิษ รักษาแผลหนองและฝี -ในกัมพูชาผู้คนใช้ฝักสดหรือแห้งต้มดื่มแก้โรคบิด ใช้ปลูกประดับ---ใช้ปลูกให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป อื่น ๆ---ไม้สีเหลืองสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลแดง มีความแข็งแรง แข็งหนักทนทาน ได้รับความนิยมอย่างมากใช้สำหรับสร้างบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ทำอุปกรณ์ที่ใช้ในร่มได้ดี ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน - ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
มะกล่ำต้น, มะกล่ำตาช้าง/ Adenanthera pavonina
[ad-en-AN-ther-uh] [pav-ON-ee-nuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Adenanthera pavonina L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. ---Adenanthera gersenii Scheff. ---Adenanthera polita Miq. ---Corallaria parvifolia Rumph. ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-2 ชื่อสามัญ---Red bead tree, Circassian seed, Circassian-bean, Coral bean tree, Coral wood, Crab's eyes, False sandalwood, False red sandalwood, False wiliwili, Jumbie bead, Peacock flower-fence, Peacock tree, Polynesian peanut, Red sandalwood, Red sandalwood tree, Red wood, Saga bean tree ชื่ออื่น ---มะแค้ก, หมากแค้ก (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน); มะแดง, มะโหกแดง, มะหัวแดง(ภาคเหนือ); มะกล่ำต้น, มะกล่ำตาช้าง(ทั่วไป); อีหลำ (อุบลราชธานี) ;[ASSAMESE: Chandan, Ku-sandan, Raktchandan, Ronga-chandan.];[CAMBODIA: Chan’ trèi.];[BENGALI: Ranjana.];[BRAZIL: Adenantero, Árvore-coral, Carolina, Falso-sândalo.];[BURMESE: Mai-chek.];[CHINESE: Hai hong dou, Xiang si dou.];[CUBA: Mato colorado.];[DUTCH: Koraalboom.];[FRENCH: Adénanthère, Bois de condori, Bois de corail, Crête de paon.];[GERMAN: Condoribaum, Indischer Korallenbaum, Rotes Sandelholz, Roter Sandelholzbaum.];[HINDI: Ratan gunj.];[INDIA: Rajana, Condori.];[INDONESIA: Kitoke laut (Sundanese); Saga telik, Segawe sabrang (Java).];[ITALIAN: Pavoncina minore, Semi di corallo.];[LAOS: Lam.];[MADAGASCAR: Bonaramena, Conori, Kafe bonara.];[MALAYSIA: Saga telik, Segawé sabrang (Java); Saga tumpul (Peninsular).];[MEXICAN: Madera rosada.];[MYANMAR: Mai-chek, Ywe, Ywe-gyi, Ywe-ni.];[PHILIPPINES: Malatinglin.];[PORTUGUESE: Acácia-coral, Acácia-espiral, Olho-de-dragão, Olhos-de-pavão, Sándalo-vermelho, Tento-vermelho.];[SPANISH: Arbol de coral, Caralillo, Caralín.];[SRI LANKA: Mas-moca.];[SWEDISH : Korallträd, Rött sandelträd.];[TAIWAN: Kǒngquè dòu.];[TAMIL: Anaikuntumani, Anikundumani.];[THAI: Ma-khaek, Mak-khaek (Shan-Mae Hong Son); Ma daeng, Ma hok daeng, Ma hua daeng (Northern); Ma klam ton, Ma klam ta chang (General); I lam (Ubon Ratchathani).];[TONGA: Legliz.];[USA/HAWAII: False wili wili.];[VIETNAMESE: Cây gió, Kiền kiện, Muồng nước, Trạch quạch, Thuốc rắn.]. ชื่อวงศ์--- LEGUMINOSAE (FABACEAE)-MIMOSOIDEAE EPPO Code---ADEPA (Preferred name: Adenanthera pavonina.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากศรีลังกาจนถึงหมู่เกาะโซโลมอน นิรุกติศาสตร์---ชื่อของพืชสกุล'Adenanthera' เป็นการรวมคำศัพท์ภาษากรีก "aden" = ต่อม และ "anthera" = อับเรณู จากคำว่า "anthos" = ดอกไม้ โดยอ้างอิงถึงต่อมเล็กๆ บนอับเรณู ; ชื่อของสายพันธุ์มาจากภาษาละติน "pavo, -onis" = นกยูง ดังนั้นจึงคล้ายกับนกยูง Adenanthera pavonina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 2 Accepted Infraspecifics;- -Adenanthera pavonina var. luteosemiralis (G.A.Fu & Y.K.Yang) X.Y.Zhu.(2007) -Adenanthera pavonina var. pavonina
ที่อยู่อาศัย---เป็นพืชเฉพาะถิ่นทางตอนใต้ของจีนและอินเดียมีการกระจายอย่างกว้างขวางไปยัง มาเลเซียตะวันตกและแอฟริกาตะวันออกรวมถึงเกาะส่วนใหญ่ในภูมิภาคแปซิฟิกและแคริบเบียน พบได้ในป่าชั้นต้นและป่าชั้นรอง รวมถึงป่าดิบชื้น ป่าแห้งตามฤดูกาล ทุ่งหญ้าสะวันนาเปิด ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ขอบป่า ป่าไม้และพื้นที่ชายฝั่งทะเล และสามารถพบได้ทั่วไปในเขตร้อนชื้น ที่ระดับความสูงถึง 300-400 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้น ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดิบชื้นทั่วไป ทั่วทุกภาคของประเทศ ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบระยะสั้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง15-20 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 45 ซม กิ่งก้านใหญ่แผ่กว้าง ลักษณะเปลือกต้นชั้นนอกของมะกล่ำตาช้าง มีสีน้ำตาลแก่หรือออกเทา เปลือกชั้นในนุ่มสีครีมอ่อน ใบประกอบแบบขนนก2ชั้น ใบย่อยขนาดกว้าง 1-2 ซม.ยาว 1.5-3.5 ซม.ฐานไม่สมมาตร ด้านบนใบสีเขียวอมเทา ด้านล่างสีอ่อนกว่ามีนวลเล็กน้อย ช่อดอกแคบยาว ออกในซอกใบบนๆหรือแตกแขนงที่ปลายกิ่ง ช่อยาว 7.5-20 ซม.ดอกขนาด 0.3 ซม.สีเหลืองครีม ดอกแก่เปลี่ยนเป็นสีส้ม ดอกมีกลิ่นหอมในตอนเย็นคล้ายกลิ่นดอกส้ม ผล เป็นฝักแบนยาว 15-22 x 1.3-1.5 (-2) ซม.บิดเป็นเกลียวแน่น แตกได้เป็น 2 เส้น เมล็ดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.5-9 มม.แบนเกลี้ยงและเป็นมันสีแดงสด มี 8-12 เมล็ด ติดอยู่ในฝักเป็นเวลานาน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เติบโตได้ในดินหลากหลายชนิด ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางและมีความชื้นพอเหมาะ ระบายน้ำได้ดีค่า pH ในช่วง 5 - 7 ซึ่งทนได้ 4.5 - 7.5 ทนทานต่อความแห้งแล้ง อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง -สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้นที่ปลูกใหม่ในช่วงปีแรก ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ1ครั้ง) หลังจากนั้น 2-3 เดือน รดน้ำอย่างเพียงพอทุกๆ 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอันตราย---เมล็ดดิบ มีพิษ ห้ามรับประทาน
ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ได้รับการปลูกอย่างแพร่หลายในเขตร้อนสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ใช้กินได้--- ในหลาย ๆ เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก (เช่นเมลานีเซียและโพลินีเซีย) สายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ 'ต้นไม้อาหาร' เมล็ดสีแดงสดใสมีรสชาติเหมือนถั่วเหลืองมีน้ำมัน 25% และโปรตีน 39% เมล็ดจะถูกคั่วและกินโดยมนุษย์ ใบอ่อนจะถูกกินเป็นผัก ใช้เป็นยา--- ในอินเดีย มาเลเซียและอินโดนีเซีย สปีชีส์นี้ใช้ในการแพทย์แผนโบราณกับโรคไขข้ออักเสบ, ไมเกรน, ปวดหัว; และโรคบิด เมล็ดใช้ตำพอกดับพิษรักษาแผลหนองฝี ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- นิยมปลูกตามบ้านเรือน วัดวาอาราม สวนสาธารณะ ปลูกริมถนนและในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ร่มเงา ปลูกตามแนวเขตของสนามซึ่งเป็นการบังลม เป็นไม้ประดับให้ร่มเงาได้ดีที่นิยมปลูกกันอย่างกว้างขวาง ในระบบวนเกษตร--- ปลูกเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชอาหารสัตว์และปุ๋ยพืชสดเพื่อการปรับปรุงดิน ในอินโดนีเซียและมาเลเซียมีการปลูกต้นไม้เพื่อบังแดดในสวนกาแฟ กานพลูและสวนยาง ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีเหลืองสดใส เนื้อไม้มีความแข็งแข็งแกร่งทนทาน และถูกใช้สำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์ไม้ตกแต่งเช่นเดียวกับการก่อสร้างสะพานและของใช้ในครัวเรือน (คานเสาไม้ค้ำและคาน) เกวียน ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง ใช้ทำงานที่ละเอียด -เปลือกอุดมไปด้วยซาโปนินและสามารถใช้เป็นสบู่สำหรับซักเสื้อผ้า ฯลฯ นอกจากนี้ยังใช้เป็นแชมพูสระผม -เป็นไม้ฟืนที่ได้รับความนิยมในหมู่เกาะแปซิฟิกเนื่องจากไม้ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วและให้ความร้อนจำนวนมาก-เมล็ดสีแดงมันวาวใช้สำหรับทำสร้อยคอและของประดับตกแต่ง ใช้สำหรับทำสายประคำ -ในอดีตเมล็ดถูกนำมาใช้แบบดั้งเดิมโดยเภสัชกรและช่างทองใช้เป็นน้ำหนักเนื่องจากเมล็ดมีความสม่ำเสมอและมีการเปลี่ยนแปลงน้อย (แต่ละเมล็ดหนัก 0.25 กรัม) -เมล็ดมีน้ำมันมาก น้ำมันที่ได้จากเมล็ดมีปริมาณที่ประเมินค่าได้ ประมาณ 20% ของlignoceric acid ซึ่งไม่ค่อยพบในน้ำมันของสายพันธุ์อื่น -พืชเป็นแหล่งของสารย้อมสี สีย้อมสีแดงนั้นได้มาจากเปลือกไม้ฝอย สีย้อมนี้ใช้สำหรับการย้อมผ้าและใช้โดยฮินดูสของอินเดียสำหรับเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์วางบนหน้าผาก ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอกติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปาโลแซนโต / Triparis cumingiana
[TRIP-la-ris] [kum-ing-ee-AH-na]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Triplaris cumingiana Fisch. & C.A.Mey.(1845) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2513062 ---Triplaris arnottiana Meisn.(1856) ---Triplaris auriculata Meisn.(1856) ---Triplaris guayaquilensis Wedd.(1849) ---Triplaris lindeniana Wedd.(1849) ชื่อสามัญ --- Ant Tree, Long John, Palo santo, guayabo hormiguero, vara santa ชื่ออื่น---ปาโลแซนโต ; [BRAZIL: Pau-formiga.]; [JAPANESE: Toripurarisu kumingiana.];[SPANISH: Dilla, Fernán Sánchez, Guayabo hormiguero, Muchín, Muchina, Palo mulato, Palo santo, Roblón, San Fernando, Tangarana, Vara santa]. ชื่อวงศ์ --- POLYGONACEAE EPPO Code---TPJSS (Preferred name: Triplaris sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-บราซิล เปรู อิควาดอร์ โคลัมเบีย เวเนซูเอเล่า, อเมริกากลาง- ปานามา นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Triplaris' มาจากภาษาละติน “triplex” = สามเท่าโดยอ้างอิงถึงส่วนต่าง ๆ ของดอกไม้ เนื่องจากส่วนประกอบของดอกไม้มีสามส่วน ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'cumingiana' ได้รับเกียรติจาก Hugh Cuming (1791-1865) นักธรรมชาติวิทยาและนักสะสมพันธุ์พืช ชาวอังกฤษ - ชื่อสามัญ 'Ant Tree' มาจากต้นไม้นี้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับมด มดกินสารที่หลั่งออกมาจากต้นไม้ และมดให้ความคุ้มครองแก่ต้นไม้ Triplaris cumingiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักไผ่ (Polygonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Alfred Fischer (1858 – 1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และ Carl Anton von Meyer (1795 –1855) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ. 2378
ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมียกลีบดอกร่วงหมดแล้ว
ที่อยู่อาศัย-- มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้เขตร้อน ถูกเรียกว่า Ant Tree เพราะในลำต้นและกิ่งก้านที่ เป็นโพรง อาศัยอยู่โดยมดที่ดุดันเป็นพิเศษ ( Pseudomyrmex triplaridis Forel) ซึ่งปกป้องต้นไม้จากสัตว์กินพืช ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ สูง 6-10 (20) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10- 30 (-45) ซม เปลือกต้นหนาเรียบสีน้ำตาลอ่อนหรือเทา กิ่งก้านเป็นโพรง แตกกิ่งจำนวนมากแผ่เป็นพุ่มกว้าง ใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่ยาว 10- 30 ซม.และกว้าง 4 -12 ซม.โคนใบมนเบี้ยวปลายแหลมแผ่นใบหนาเหนียว ก้านใบยาว 1-2 ซม.ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่คนละต้น (Dioecious) ช่อดอกเพศผู้ออกที่ซอกใบ มีหนามแหลมมีหลายแขนงยาวได้ถึงกว่า 30 ซม.มีดอกย่อยเล็กๆจำนวนมากดอกสีขาวแกมเขียวยาวประมาณ 0.5 ซม.ดอกย่อย (เกือบไร้ก้าน) เกิดจากกลีบเลี้ยงรูปกรวยมีขน 6 แฉก เกสรเพศผู้สีเหลืองอมเขียว 9 อัน ต้นเพศเมียออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่งหรือที่ปลายกิ่ง ช่อดอกเพศเมียสีแดงสดยาวได้ถึง 20 ซม.มีดอกบนก้านช่อยาว 0.2-0.8 ซม. เกิดจากกลีบเลี้ยงรูปหลอดยาวประมาณ 1 ซม. มีสามแฉก กลีบแรกสีขาวและมีกลีบดอก 3 กลีบ แฉกหลังจากเปิดดอกจะยืดออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามปีกยาวสูงสุดประมาณ 4.5 ซม. และกว้าง 0.6 ซม.สีชมพูอมแดง ผลรูปรีมีขนสั้น ยาวประมาณ 1.2 ซม.มีปีกติดทน 3 ปีกจากกลีบเลี้ยง ยาว 3 - 4.5 ซม.ผลอ่อนสีเขียวหรือแดง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ มีเมล็ดแหลม 1 เมล็ด มีส่วนสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 1 ซม.สีน้ำตาลมันวาว.เมื่อผลแแตกเมล็ดจะปลิวไปตามลม ดอกทยอยบานและบานทนอยู่ได้1สัปดาห์ ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน หากเป็นต้นใหญ่ที่ออกดอกจำนวนมากจะหอมแรงจนฉุน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็ม [Full sun (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน).] หรือร่มเงาบางส่วน [Part Shade (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องกันในช่วงเช้า).] ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดถึง -2 °C ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ใบจะได้รับความเสียหาย ชอบดินที่อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุ เป็นกรดเล็กน้อยหรือเป็นกลาง ความชื้นในดินสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้นที่ปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน (วันละ 1 ครั้ง) หลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ สามารถลดการให้น้ำลงได้ (2 วัน/ครั้ง) แต่ยังคงต้องรดน้ำเป็นประจำหากฝนไม่ตกเพื่อให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในฤดูแล้งควรให้น้ำมากขึ้น (วันละ 2 ครั้ง) ทนต่อความแห้งได้ในช่วงสั้นๆ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่หลังออกดอกและออกผลหมด การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา ถ้าตัดกลับจะแตกหน่อจากตอทันที การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเม็ดอเนกประสงค์สูตรสมดุล เดือนละ 1 ครั้ง ให้ปุ๋ยต้นไม้ ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้ง หลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่พบปัญหาศัตรูพืชหรือโรค ต้นไม้ชนิดนี้จะสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันกับมด ซึ่งสามารถปกป้องต้นไม้จากผู้บุกรุกด้วยการกัดที่เจ็บปวด รู้จักอ้นตราย---กิ่งก้านมีขนและกลวง เป็นที่อาศัยอยู่ของมดที่ดุร้ายเป็นพิเศษ [Pseudomyrmex triplaridis Forel (เป็นมดตาโตเรียวมีลักษณะคล้ายตัวต่อ).] พวกมันจะลงมาเป็นฝูงและโจมตีสิ่งมีชีวิตบนลำตัว อย่างอุกอาจ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ต่างประเทศที่ทนแล้งได้ดี ทรงพุ่มแผ่กว้างสวยงาม ใช้เป็นยา--- ยาต้มเปลือกใช้ในการรักษาโรคบิด โรคท้องร่วง ใช้อื่น ๆ--- แก่นไม้เป็นสีเทาเทาน้ำตาลถึงชมพูอมน้ำตาล เนื้อไม้ไม่คงทนมากมีความอ่อนไหวต่อการถูกโจมตีจากการสลายตัวของเชื้อราและความเสี่ยงต่อปลวก ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์เช่นชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์กล่องและลัง ก่อสร้างภายใน แผ่นใยไม้อัดและไม้อัด ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลางอก 2-6 สัปดาห์และโดยการปักชำ
แหนนา/Terminalia glaucifolia
Genus : [ter-min-NAY-lee-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Terminalia glaucifolia Craib.(1928) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. No synonyms are record for this name. ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น ---แหน (ทั่วไป); แหนขี้นก (ภาคเหนือ); แหนนก,แหนนา (ภาคกลาง,ภาคเหนือ); แหนปีกใหญ่ (ชลบุรี,นครสวรรค์,อุทัยธานี); ตีนนก (นครราชสีมา,ปราจีนบุรี); หางแหน (บุรีรัมย์) ; [THAI: Hnae (General); Hnae khi nok (Northern); Hnae nok, Hnae na (Central, Northern); Hnae pik yai (Chon Buri, Nakhon Sawan, Uthai Thani); Tin nok (Nakhon Ratchasima, Prachin Buri); Hang hnae (Buri Ram).]; ชื่อวงศ์ --- COMBRETACEAE EPPO Code---TEMSS (Preferred name: Terminalia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย- ประเทศไทย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ลาว นิรุกติศาสตร์---ชื่อพืชสกุลนี้ 'Terminalia' มาจากคำในภาษาละติน ว่า 'terminus'ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดของใบที่ปลายยอด ; ชื่อสกุล 'Terminalia' ; ชื่อเฉพาะ 'glaucifolia' จากภาษากรีก 'glaukos' หมายถึงใบไม้สีเทาหรือสีเขียวอมฟ้า Terminalia glaucifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2471 ที่อยู่อาศัย--- พบใน อินเดีย พม่า ลาว ตามป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 250-850 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นสูง 8-20 เมตร ลักษณะทรงต้นเรือนยอดกลม เปลือกสีเทาเข้ม ใบเดี่ยวรูปรี หรือรูปรี แกมรูปไข่กว้าง 4.5-6.5 ซม.ยาว 10-15ซม. ผิวใบเกลี้ยงด้านล่างมีนวล มักมีต่อมอยู่บริเวณกลางก้านใบ ดอกสีเหลืองอมน้าตาลออกเป็นช่อตามซอกใบยาวประมาณ 12-17 ซม.กลีบเลี้ยงรูปถ้วยปลายแยกเป็น 5 แฉกรูปสามเหลี่ยม เกสรเพศผู้ 10 อัน รังไข่รูปรีมีขนแน่น ดอกบานมีกลิ่นเหม็น ผลเมล็ดเดียวแข็ง กว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 3.5-5 ซม.มีปีก 2 ปีก ปีกกว้างเท่ากับความยาว ส่วนกลางผลหน้าตัดกลม เมื่อแห้งมีสัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ทนต่อร่มเงา ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้นมีการระบายน้ำได้ดี ทนต่อดินส่วนใหญ่ pH 4.6 ถึง 7.8 ใช้ประโยชน์--- ผลแห้งใช้เป็นไม้ประดับแห้ง เนื้อไม้ไม่ทน ใช้งานไม่แพร่หลาย ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม/ ตุลาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
อ้างอิง, แหล่งที่มา ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Ministerพิมพ์ครั้งที่1พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดยมูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ ---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are ---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku ---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm ---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm ---https://whatflower.net/about/ ---https://gd.eppo.int/search ---http://www.worldfloraonline.org REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species: Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ Global Plant Initiative --- Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ----Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI --- International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA --- Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images --- Images
รวบรวมเรียบเรียง: Tipvipa..V รูปภาพ : ทิพพ์วิภา วิรัชติ บ. สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา-เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
UP DATE---9/4/2023
|
|
|