สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 19/03/2024
สถิติผู้เข้าชม 17,219,351
Page Views 23,359,654
 
« March 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      

ปาล์ม 5

ปาล์ม 5

 ืื

PALM 5

ไม้ยืนต้น 5 (ประเภท หมาก, ปรง, ปาล์ม)

For information only- the plant is not for sale

1 ปาล์มหางกระรอก/ Wodyetia bifurcata Irvine 32 ปาล์มพัดจีบ/ Licuala grandis
2 อินทผลัม/ Phoenix sylvestris (L.) Roxb. 33 ปาล์มบังสูรย์/ Johannesteijsmannia altifron
3 หมากเขียว/ Ptychosperma macarthurii 34 หมากงาช้าง/ Nenga pumila 
4 หมากเหลือง/ Dypsis lutescens 35 หมากหอม/ Arenga australasica
5 หมากแดง/ Cyrtostachys renda 36 หมากเตี้ย/ Areca catechu 'Dwarf'
6 หมากนวล/ Adonidia merrillii 37 ปาล์มสะดือเหลือง/ Coccothrinax argentata
7 ปาล์มแชมเปญ/ Hyophorbe lagenicaulis 38 ปาล์มมิรากัวม่า/ Coccothrinax miraguama
8 ปาล์มน้ำมัน/ Elaeis guineensis 39 มะพร้าว/ Cocos nucifera 
9 ปาล์มเป็ตติโค้ต/ Washingtonia robusta 40 มะพร้าวแคระ/ Syagrus schizophylla
10 ตาลฟ้า/ Bismarckia nobilis  41 ปาล์มไพลิน/ Chamaedorea metallica 
11 ตาลน้ำเงิน/ Latanai loddigesii  42 เต่าร้างยักษ์ดอยภูคา/Caryota obtusa
12 ตาลเหลือง/ Latania verschaffeltii  43 ปาล์มหงส์เหิน/ Copernicia baileyana
13 ปาล์มเคราฤาษี/ Coccothrinax crinita 44 ช้างไห้/ Borassodendron machadonis
14 ปาล์มอ้ายหมี/ Copernicia macroglossa 45 ลานกบินทร์/ Corypha lecomtei
15 เปาโรติส/ Acoelorraphe wrightii 46 ลานเมืองเหนือ/ Corypha umbraculifera 
16 ปาล์มคาร์เพนทีเรีย/ Carpentaria acuminata 47 ลานพรุ/ Corypha utan 
17 ปาล์มจีน/ Livistona chinesis 48 ปาล์มโคฮูน/ Attalea cohune
18 แวกซ์ปาล์ม/ Copernicia prunifera 49 ปาล์มซามูไร/ Syagrus coronata
19 ปาล์มไผ่/ Chamaedorea seifrizii 50 ปรงญี่ปุ่น/ Cycas revoluta.
20 ปาล์มขวดยักษ์/ Roystonea oleracea var. 51 ปรงเม็กซิกัน/ Zamia furfuracea
21 ปาล์มขวด/ Roystonea regia 52 ปรงแมคโครซาเมีย/ Macrozamia moorei
22 คิงปาล์ม/ Archontophoenix alexandrae 53 ปาล์มชาแมรอปส์/ Chamaerops humilis 
23 ปาล์มเจ้าเมืองถลาง/ Keriodoxa elegans 54 ปรงทะเล/ Cycas edentata
24 ปาล์มเจ้าเมืองตรัง/ Licaula peltata var.
55 ปรงป่า/ Cycas siamensis 
25 เต่าร้าง/ Caryota urens  56 ปรงเขา/Cycas pectinata
26 เต่าร้างแดง/ Caryota mitis 57 ปรงเขาชะเมา/Cycas chamaoensis 
27 หมากสง/ Areca catechu 58 ปรงสีฟ้า/Cycas cairnsiana 
28 อินทผลัมกินลูก/ Phoenix dactylifera 59 สิบสองปันนา/ Phoenix loureiri
29 ปาล์มพัด/ Pritchardia pacifica 60 ปาล์มศรีสยาม/ Arenga hookeriana 
30 ปาล์มชวา/ Saribus rotundifolius 61 จาก/ Nypa fruticans
31 ปาล์มสามทาง/ Dypsis decaryi 

For information only-the plant is not for sale.

          ไม้ใหญ่ยืนต้นเพื่อใช้ในการจัดสวน มีหลายชนิดที่นำมาใช้ในงานได้สวยงามและเพื่อประโยชน์ให้ร่มเงา
ขนาดความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น  ที่ใช้ ก็แล้วแต่ความเหมาะสม ถ้าเป็นตามบ้านพักอาศัยมีพื้นที่ไม่กว้างนัก(เฉพาะส่วนของสวนพื้นที่ประมาณ ไม่เกิน100ตารางเมตร = 25ตารางวา ) ควรเลือกต้นไม้ ที่ทรงพุ่มไม่ใหญ่มาก และใบไม่หนาทึบเกินไป เพราะจะต้องพบกับปัญหาในการตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอ ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ความใหญ่และความหนาทึบของทรงพุ่มจะทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอึดอัดและบีบคั้น แทนความรู้สึกร่มรื่นเย็นสบาย
           อีกปัญหาคือเรื่องของระบบราก ที่ต้องระวัง ต้นไม้บางชนิด ระบบรากรุนแรง ถ้าปลูกใกล้บ้านเกินไปอาจเกิดปัญหาระบบรากรบกวนโครงสร้างฐานรากได้ จะเห็นว่าไม้ต้องห้ามตามความเชื่อแต่โบราณนานมาที่ห้ามปลูกในบ้าน นั้นมีเหตุและผลอยู่ในตัวเอง เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ต้นไทร, ต้นโพธิ์  ซึ่งเป็นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไปได้ไกล ซึ่งเชื่อว่าปลายใบตกที่ใดปลายรากอยู่ที่นั่น ทำให้เป็นข้อห้ามที่ไม่ให้ปลูกไว้ใกล้เรือน
           ไม้ใหญ่ที่ขายอยู่ทั่วไปตามตลาดต้นไม้ หรือตามสวนจตุจักร มีอยู่ 2 ลักษณะคือ
1---ต้นไม้ที่ปลูกไว้ขายเพื่อการขุดล้อม คือปลูกเป็นแปลงเป็นชนิด เป็นขนาด แล้วขายต้นที่ปลูกในดิน ใครจะซื้อก็มาขุด มาล้อม มาบอน แล้วขนขึ้นรถกันเอง เจ้าของยืนรอรับตังอย่างเดียว ต้นไม้ประเภทนี้ หลังจากขุดได้แล้วจะมีการนำไปบรรจุขุยมะพร้าวรดน้ำและยาเร่งรากเพื่อให้ออกรากและผลิใบก่อนการนำไปวางขาย ป้องกันปัญหาต้นไม้หลุดตายคาสนามลูกค้า

2---ต้นไม้ที่ขุดล้อมมาจากป่าสดๆดิบๆ งานนี้เป็นของพวกขุดล้อมมืออาชีพ พวกเขาจะเสาะหาต้นไม้ตามหัวไร่ปลายนา เมื่อพบชนิดของต้นไม้ที่มีผู้สั่งหรือต้องการซื้อตามออเดอร์ ก็ขุดสดๆ หลังจากแต่งรากแต่งกิ่งก็จะยกต้นไม้ส่งไปเลย แต่ถ้าเป็นต้นไม้ชนิดที่ขุดไปสดๆแล้วเสี่ยงต่อการตายภายใน3วัน7วัน ก็จะทำการบอนต้นไม้ก่อน การบอนต้นไม้ก็คือการขุดล้อมบริเวณรากตัดรากแขนงรอบๆรากแก้ว แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ1เดือนเป็นอย่างน้อยแล้วแต่ชนิด เรียกว่าทำให้ต้นไม้รู้สึกตัว หลังจากนั้นค่อยตัดรากแก้วแล้วยกขึ้นรถ อย่างข้อ2 นี้ ถ้าผู้ซื้อไม่มีความรู้ความชำนาญในการดูต้นไม้ว่าเป็นอย่างไหนก็จะเสี่ยงซื้อต้นไม้ที่อาจตายเมื่อนำไปปลูกต่อได้ สนนราคาอาจถูกกว่าข้อ1พอดู แต่จะอธิบายคำถามของลูกค้าที่ว่า ทำไมชั้นซื้อถูก คุณซื้อแพง ได้
       -ข้อสังเกตุในการเลือกซื้อต้นไม้อย่างข้อ2และมีความเสี่ยงน้อย ให้ดูที่ยาง ถ้าต้นไม้มียางอัตราการตายจะน้อยเพราะเป็นพวกไม้เนื้ออ่อน เช่น ลั่นทม เหลืองปริดิยาธร พญาสัตบรรณ จะออกรากง่าย แค่ระวังอย่ารดน้ำมากจนรากเน่าก็พอ ส่วนไม้เนื้อแข็ง เช่น พยอม, ลำดวน,บุนนาค ต้นไม้พวกนี้ไม่มียางออกรากยาก ทำให้สะอื้นได้เชียวนะเพราะราคาไม่ใช่น้อย
       -สำหรับปาล์ม ขุดดิบ ดีที่สุด คือขุดแบบข้อ1 เช่น ปาล์มหางกระรอก ปาล์มเป็ตติโค๊ด ปาล์มน้ำมัน ส่วนพวกอินทผลัม ตาลฟ้า ตาลน้ำเงิน ตาลแดง ให้ขุดแบบข้อ2คือบอนไว้ก่อน
ทีนี้เป็นเรื่องการเลือกต้นไม้ใหญ่เพื่อนำมาปลูกในบ้านตามขนาดพื้นที่ดังกล่าว เดี๋ยวโชว์รูปให้ดูดีกว่าว่ามีต้นอะไรบ้าง ค่อยๆเรียงลำดับจำแนกประเภท เป็นหมวดหมู่ ไปเรื่อยๆ สนใจก็คอยติดตามเอาเพราะต้นไม้ที่นำมาใช้ ในงานจัดสวนมีมากมายจริง
        -สำหรับในหน้านี้ และต่อไปนี้ จะพูดถึงพวก หมาก ปรง ปาล์ม ก่อน เพราะเป็นพวกดูแลรักษาง่าย ถึงบางชนิดจะทิ้งใบแก่ก็เก็บงำไม่ยาก การเปลี่ยนแปลงรูปทรงหน้าตาของสวนที่จัดเอาไว้ก็ไม่ค่อยเกิด เพราะ โตช้านานหลายปีกว่าจะคับบ้าน ปุ๋ย ยาก็นานๆครั้ง สรุปแล้ว..ชอบ.. แต่อุปสรรคของการจัดสวนด้วยต้นไม้พวกนี้ก็มีเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง ... ฮวงจุ้ย ...ซินแส..มา.... นักจัดสวน สถาปนิก วิศวกร อินทีเรีย มัณฑนากร ช่างไฟฟ้า ช่างประปา จะหนาว สั่นไปตามๆกัน......
อีกนิด ข้อความข้างบนทั้งหลายและในอีกหลายบทความ  ขอขยายว่าเป็นของเว็บนี้ทั้งหมด Confirm ตั้งแต่ปี 2008 มีผู้นำไปใช้หลายแห่งโดยไม่ได้เครดิต เมื่อก่อนมันไม่มีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง  ก็ไม่เป็นไรช่วยๆกันไป แต่ตอนนี้ 2018 ขอสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเท่านั้น เดี๋ยวจะเข้าใจว่าก๊อปเว็บอื่นมาราคาตกเลย

---EPPO code---รหัสEPPOคือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int

Phonetic spelling of Latin names by edric.https://www.palmpedia.net/wiki/


                                       ปาล์มที่ปลูกในประเทศไทย
สกุล Normanbya (nor-mahn'-bee-ah) เป็น Monotypic genus มีเพียง 1สายพันธุ์ในสกุลคือ Normanbya normanbyi หรือที่เรียกว่า "Black Palm"เป็นพันธุ์ปาล์มเฉพาะถิ่นของป่าฝนเขตร้อนที่ลุ่มทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย
                          1 ปาล์มหางกระรอก/Normanbya normanbyi

[nor-MAN-bee-uh] [nor-MAN-bee-yi]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Normanbya normanbyi (W.Hill) L.H.Bailey. (1930)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/normanbya-normanbyi-2/?lang=en
---Basionym: Cocos normanbyi W.Hill.(1874) https://www.gbif.org/species/2735065
---Areca normanbyi (W.Hill) F.Muell.(1874)    
---Drymophloeus normanbyi (W.Hill) Benth. & Hook.f. ex Becc.(1885)    
---Normanbya muelleri Becc.(1885)   
---Ptychosperma normanbyi (W.Hill) F.Muell.(1880)    
---Saguaster normanbyi (W.Hill) Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---Black Palm, Queensland Black Palm.
ชื่ออื่น---ปาล์มหางกระรอก (ไทย) ; [THAI:Pam hang kra-rok)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---NRBNO (Preferred name: Normanbya normanbyi.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย นิวกินี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Normanbya' และชื่อสายพันธุ์ 'normanbyi'ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักการเมืองชาวอังกฤษ George Augustus Constantine Phipps Normanby (1819-1890)ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐควีนส์แลนด์(1871-1874)                                                            
Normanbya normanbyi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Walter Hill  (1820‒1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Liberty Hyde Bailey (1858-1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2473

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในรัฐควีนส์แลนด์ตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียและในนิวกินี เติบโตในป่าดงดิบและป่าเถาวัลย์ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 700 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มไม่มีหนาม ต้นสูงประมาณ 20-30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-20 ซม.ลำต้นเรียบเรียว มีแหวนใกล้ ๆ กัน สีเกือบดำเมื่อต้นปาล์มมีอายุมากขึ้นใบรูปขนนก (pinnate) ทางใบยาว 2-3 เมตร ประกอบด้วยแผ่นใบย่อยแคบ ๆ จำนวนมาก75-95ใบในแต่ละด้านของทางใบ กาบใบยาวถึง 120 ซม. สีเขียวอ่อนก้านใบมีเกล็ดหนาแน่น ใบย่อยยาวประมาณ 45ซม.ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีเงินจัดเรียงเป็นวงกลมรอบ ๆ ก้านใบ ซึ่งทำให้มีลักษณะเป็นพวงคล้ายกับต้นหางสุนัขจิ้งจอก(Wodyetia bifurcata) ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) สีเขียวยาว 90 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก(ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ยกเว้นในส่วนขั้วของ rachillae (การแตกกิ่งรองของช่อดอก) ที่มีเฉพาะดอกเพศผู้ที่อยู่โดดเดี่ยวหรือเป็นคู่ ดอกเพศผู้มีสีเขียวเข้มกลีบเลี้ยงสีเขียวกลีบดอกสีเหลืองครีม เกสรตัวผู้ 24-40 อัน ดอกเพศเมียมีกลีบเลี้ยงสีเขียวกลาง กลีบดอกสีเขียวอ่อน ช่อดอกหนึ่งช่อประกอบด้วยดอกเพศผู้ประมาณ 1,900 ดอกและดอกเพศเมีย 800 ดอก ผลสีชมพูถึงน้ำตาลแดงเมื่อสุก รูปไข่ยาว 3.5-5 x กว้าง 2.5-3.9 ซม มีปลายผลเป็นจะงอยแหลม เมล็ดยาว 35 มม. x กว้าง 25 มม. เอนโดสเปิร์มหนาเปลือกหุ้มเมล็ดสีแดงอมส้ม โดยเฉลี่ยจะมีผลสุกประมาณ 280 ผลต่อต้น การสุกของผลจะใช้เวลา 21 สัปดาห์
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---เหมาะกับสภาพอากาศเขตกึ่งร้อนชื้น (USDA Zone 9b-11) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 °C ในช่วงสั้น ๆต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไป ไม่มีขอบเขตบน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินที่ลึกและร่วนซุยซึ่งอาจมีความเป็นกรดเล็กน้อยและมีความชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำที่ดี ความทนทานต่อเกลือต่ำ อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ต้นปาล์มชนิดนี้ไม่ชอบให้แห้งชอบความชื้นสูง ดังนั้นแนะนำให้รดน้ำใบไม้บ่อยๆ ในสภาพอากาศร้อน และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะต่อเนื่อง
การตัดแต่งกิ่ง---ปาล์มสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องตัดกิ่งที่ตายหรือกำลังจะตายออกจากต้นไม้ด้วยตนเอง เนื่องจากใบไม้จะร่วงเองตามธรรมชาติ
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มโดยเฉพาะ 13-5-8 หรือ 13-5-11 หรือใส่ปุ๋ยละลายช้าปีละ 3 ครั้ง ห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ปุ๋ยควรมีไนโตรเจนมาก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบให้เขียวชอุ่ม ปุ๋ยควรมีความสมดุลและมีธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง ใส่ปุ๋ยในช่วง ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง งดการใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---Unknown 
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ มีคุณค่าทางภูมิท้ศน์ที่โดดเด่น ใช้ปลูกเดี่ยว ๆ ปลูกลงแปลงเป็นแถวหรือปลูกเป็นกลุ่ม ตามบ้าน  ในสวนสาธารณะและสวนทั่วไป
-อื่น ๆชาวพื้นเมืองใช้ ด้านในของลำต้นแข็งและดำใช้ทำงานหัตถกรรมต่างๆและใช้ในงานก่อสร้าง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามโดยการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย ถูกวางไว้ใน IUCN Red List (สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ประเภท “อ่อนแอ” (มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในป่า)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE A1c - ver 2.3 - IUCN. Red List of Threatened Species.(1998)
source: Dowe, J.L. 1998. Normanbya normanbyi. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38615A10138925. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38615A10138925.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38615/10138925
- มีชื่ออยู่ในพระราชบัญญัติอนุรักษ์ธรรมชาติ (Nature Conservancy Act (Queensland) 1994.  
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกสูงสุดในฤดูแล้ง ในขณะที่การติดผลจำกัดเฉพาะในฤดูฝน ลักษณะทั่วไปของการออกดอกและการติดผลของ N. normanbyi เป็นไปตามรูปแบบทุกๆ ครึ่งปี โดยมีแนวโน้มสูงไปสู่รูปแบบที่ต่อเนื่องกัน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน ที่อุณหภูมิ 24-26 °C

สกุล Wodyetia (woh-dye-SHE-ah) เป็นสกุล Monotypic มีเพียงสายพันธุ์เดียวในสกุล คือ Wodyetia bifurcata หรือที่เรียกว่า "Fox-tail Palm"เป็นพืชเฉพาะถิ่นไปยังพื้นที่ห่างไกลในรัฐควีนส์แลนด์, ออสเตรเลียในCape York คาบสมุทรที่พวกมันเติบโต

  ปาล์มหางจิ้งจอก/ Wodyetia bifurcata

[woh-dye-SHE-ah] [by-fur-KAY-tah]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Wodyetia bifurcata A.K.Irvine. (1983)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:903383-1
ชื่อสามัญ---Foxtail palm, Wodyetia palm
ชื่ออื่น---ปาล์มหางจิ้งจอก, ปาล์มหางหมาป่า, ปาล์มหางกระรอก ;[CHINESE: Hu wei ye zi, Qian si.];[FRENCH: Palmier queue de renard.];[NORWEGIAN: Revehalepalme.];[PORTUGUESE: Rabo-de-raposa (Brazil).];[SPANISH: Wodyetia.];[THAI: Palm hang kra rok, Palm hang maa paa.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- WOYBI (Preferred name: Wodyetia bifurcata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Wodyeti'เพื่อยกย่องชาวอะบอริจินคนสุดท้ายซึ่งเชี่ยวชาญในประเพณีท้องถิ่น ชื่อWodyeti ; ชื่อระบุชนิดสำหรับสายพันธุ์ 'bifurcata' มาจากภาษาละติน แปลว่า "แบ่งออกเป็นสองส่วน" โดยอ้างอิงถึงเส้นใยที่แยกออกเป็นสองส่วน ("bifurcate") ที่ปกคลุมเมล็ด                                                                                                                                                                     ชื่อสามัญ 'Foxtail Palm' นั้นมาจากลักษณะใบที่มีลักษณะเป็นพวงที่ดูแปลกตาและดูคล้ายกับหางของสุนัขจิ้งจอกจริงๆ                       Wodyetia bifurcata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Anthony Kyle Irvine (เกิดปี 1937) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ในปีพ.ศ.2426
- ปาล์มนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับปาล์มทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์อีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ Normanbya normanbyi

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดเฉพาะถิ่นในเทือกเขา Cape Melville ภายในอุทยานแห่งชาติ Cape Melville ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เติบโตในพื้นที่ป่าละเมาะที่เต็มไปด้วยหินและมีน้ำท่ว ที่ระดับความสูงระหว่าง 60-400 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยวไม่มีหนาม สูงได้ถึง 6-15 เมตร ลำต้นทรงกระบอก สีน้ำตาลอมเทาอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 20-25 ซม. ปลายคอดกว่าส่วนโคน สีเขียว  ใบประกอบแบบขนนก(pinnate) เรียงเวียนสลับ ยาว 2-2.50 เมตร ใบย่อยรูปขอบขนานออกเป็นกระจุกแผ่ออกทุกทิศทางเป็นพวง กว้าง 2-5 ซม.ยาว 45-75 ซม.ปลายเรียวแหลม โคนรูปลิ่ม แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง สีเขียว ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงตามซอกโคนกาบใบ (Interfoliar) สีขาว ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ยกเว้นในส่วนขั้วของ rachillae (การแตกกิ่งรองของช่อดอก) ที่มีเฉพาะดอกเพศผู้ที่อยู่โดดเดี่ยวหรือเป็นคู่ ผลสดมีเนื้อเมล็ดเดียว ผลสุกสีส้มแดง เมล็ดรูปทรงกลมรี ขนาด 5-6 ซม.ในความเป็นจริง Wodyetia bifurcataและN. normanbyi ปาล์มทั้งสองชนิดนั้นแยกได้ยากมากความแตกต่างที่สำคัญคือ N. normanbyi มีสีเงินอยู่ด้านล่างของใบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---Wodyetias ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถปรับตัวได้สูงและเติบโตในสภาพอากาศที่เหมาะสมทั่วโลก ( USDA Zones 10-11) ในสถานที่ที่แตกต่างกัน สามารถต้านทานอุณหภูมิที่ลดลงเป็นพิเศษและยาวนานมาก ในช่วงฤดูหนาว ใบไม้อาจเปลี่ยนสีชั่วคราวเนื่องจากความหนาวเย็นและน้ำค้างแข็งที่ชื้น อยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ต่ำถึง -2 °C ในช่วงสั้น ๆโดยไม่มีความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ปรับตัวให้เข้ากับสภาพต่าง ๆได้ดี ไม่มีปัญหากับ pH ของดิน มีความแข็งแรงและอดทนต่อการถูกทอดทิ้ง มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว ได้รับการบันทึกไว้ว่า 60-90 ซม./ปี ภายใต้เงื่อนไขที่ดี การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ไม่ชอบดินที่เปียกแฉะหรือรดน้ำมากเกินไป เพราะมักทำให้ลำต้นหรือรากเน่า
การตัดแต่งกิ่ง---ปาล์มสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องตัดกิ่งที่ตายหรือกำลังจะตายออกจากต้นไม้ด้วยตนเอง เนื่องจากใบไม้จะร่วงเองตามธรรมชาติ แต่เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพดีและน่าดึงดูดที่สุด ควรตัดแต่งกิ่งปาล์มเมื่อใบแก่ตาย ควรตัดแต่งกิ่งเหล่านี้ออกและปล่อยให้โคนใบแห้ง แต่อย่าตัดแต่งหากใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง ต้นปาล์มรีไซเคิลสารอาหารจากใบที่ตายแล้วนำไปใช้เพื่อให้ใบมีสุขภาพดีขึ้น
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มโดยเฉพาะ 13-5-8 หรือ 13-5-11 หรือใส่ปุ๋ยละลายช้าปีละ 3 ครั้ง ห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ปุ๋ยควรมีไนโตรเจนมาก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบให้เขียวชอุ่ม ปุ๋ยควรมีความสมดุลและมีธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง ใส่ปุ๋ยในช่วง ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ไม่ต้องใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนร้ายแรง/ ค่อนข้างทนทานต่อโรคใบเหลืองตาย (LY- lethal yellowing disease.)
รู้จักอ้นตราย---Unknown
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นหนึ่งในปาล์มที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากที่สุด นิยมใช้ในงานจัดสวน ปลูกเดี่ยวลงแปลงกลางแจ้งหรือปลูกเป็นกลุ่ม ทนทานต่อความแห้งแล้งและความทนทานต่อความร้อน ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมในเมืองที่รุนแรง สามารถปลูกในสวนใกล้ทะเล เพราะต้านทานแรงลมและละอองน้ำทะเลที่เค็มจัดได้
อื่น ๆ---ได้รับการอธิบายไว้ในปี 1978 และจัดว่าเป็นปาล์มหายาก ทั้งในควีนส์แลนด์ และอยู่ในบัญชีแดงของสายพันธุ์ที่ถูกคุกคามของ IUCN หลังจากที่มันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมล็ดพันธุ์ของ Foxtail Palm ก็เป็นที่ต้องการอย่างมากหลังจากนั้น การค้าขายในตลาดมืดที่เฟื่องฟูได้ก่อตัวขึ้น โดยนักสะสมที่ผิดกฎหมายเกือบจะทำลายประชากรในแหล่งกำเนิด - สายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่ายในการเพาะปลูกและท้ายที่สุดก็ช่วยลดแรงกดดันต่อประชากรป่า ในที่สุดได้มีการกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก โดยมีการปลูกกันอย่างต่อเนื่องจนเป็นหนึ่งในต้นปาล์มที่ "ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก"
ภัยคุกคาม---ได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท "ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง/การอนุรักษ์ที่ต่ำกว่า "
สถานะการอนุรักษ์--- Lower Risk/conservation dependent - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.(1998)
source: Dowe, J.L. 1998. Wodyetia bifurcata. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38733A10146773. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38733A10146773.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38733/10146773
- ประชากรทั้งหมดได้รับการคุ้มครองภายในอุทยานแห่งชาติเคปเมลวิลล์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวได้ดี สายพันธุ์นี้มีชื่ออยู่ในพระราชบัญญัติอนุรักษ์ธรรมชาติ (ควีนส์แลนด์) ปี 1994
ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-กุมภาพันธ์ /ตุลาคม-ธันวาคม
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดงอกง่ายมาก โดยจะใช้เวลา 1-3 เดือนหากเก็บไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 30° C  
- การเจริญเติบโตจะรวดเร็วหากรดน้ำและใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ

2 อินทผลัม/ Phoenix sylvestris

[FEE-niks] [sil-VESS-triss]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix sylvestris (L.) Roxb.(1871)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://www.gbif.org/species/5293177             
---Basionym: Elate sylvestris L.(1753)
---Elate versicolor Salisb.(1796)
ชื่อสามัญ ---Silver date palm, Indian date, Sugar date palm, Wild date palm
ชื่ออื่น---อินทผลัมใบเงิน ;[ASSAM: Khaajuri, Bonoriya-khejur.];[AYURVEDIC: Kharjuuri.];[BENGALI: Khejura, Kharjura.];[FRENCH: Dattier indien.];[GERMAN: Silber-Dattelpalme, Walddattelpalme.];[HINDI: Sendhi, Khajoor, Khajur.];[MALAYALAM: Kaattiintha, Kaattiinthal, Niilanthent, Kattinta.];[PORTUGUESE: Tamareira-do-açucár, Tamareira-Selvagem, Tamareira-silvestre, Tamareira-brava.];[RUSSIAN: Lesnaya finikovaya pal'ma.];[SANSKRIT: Kharjuri, Kharjurh.];[SIDDHA/TAMIL: Periyaitcham, Icham.];[SWEDISH: Indisk dadelpalm.];[TAMIL: Inthupaanai, Kattinchu.];[TELUGU: Ita.];[THAI: Inthapalam bai ngeon.]
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PHXSY (Preferred name: Phoenix sylvestris.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Phoenix เป็นคำภาษาละตินสำหรับคำภาษากรีกที่แปลว่า "ต้นอินทผลัม" ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ 'sylvestris' แปลจากภาษาละตินว่า "ของป่า"
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ จีน อินเดีย มอริเชียส เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา
Phoenix sylvestris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) อธิบายครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาชาวสวีเดนและได้รับชื่อปัจจุบันโดย William Roxburgh (1751-1815)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พศ.2414

ที่อยู่อาศัย--- พบใน บังคลาเทศ จีนตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย มอริเชียส เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกาและเทือกเขาหิมาลัยตะวันตก เติบโตจากที่ราบไปจนถึงชายฝั่งในพื้นที่รกร้าง ป่าไม้และพื้นที่ที่ถูกรบกวน พบได้ที่ระดับความสูง1,500 เมตร
ลักษณะ--- อินทผลัมเป็นปาล์มต้นเดี่ยวมีหนาม มีความสูงประมาณ 10-16เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น40ซม.บนต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า รากอากาศมักจะอยู่ที่โคนลำต้นใบประกอบแบบขนนก(pinnate) ขนาดใบยาว 3-4.5 เมตร ใบสีเขียวอมฟ้าเทามีหนามสั้น ๆ สองสามอันที่ฐาน ใบย่อย (pinnules) จำนวนมากเชิงเส้น200 - 250 ใบยาว 15-45 ซม. และกว้าง 2-2.5 ซม ใบย่อยด้านล่างดัดแปลงเป็นหนาม จัดเป็นกลุ่มละ 2 หรือ 3 ใบ มักไขว้กัน ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar)สีขาวแตกแขนงออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น(dioecious) มีต้นเพศผู้เพศเมีย ดอกไม้มีขนาดเล็กมีกลิ่นหอม ดอกเพศผู้สีขาว ดอกเพศเมียสีเขียว ช่อผลยาวประมาณ 90 ซม. ผลสดมีเนื้อรูปรียาว 2.5-3.2 ซม. สีเหลืองอมส้มเมื่อสุก เมล็ดยาวประมาณ 1.7 ซม. ร่องลึกปลายมน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มที่80-100 % (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบ pH ในช่วง 5.5 - 7.5 ทนได้ 5 - 8 ดินมีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อุณหภูมิการอยู่รอด -5.5 ° C อัตราการเติบโต ช้าถึงปานกลาง การบำรุงรักษา ปานกลาง
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รักษาความชื้นอย่างต่อเนื่องหลังปลูกวันละ 1ครั้ง ต้นไม้โตเต็มที่ต้องการน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเก่าที่ตายแล้วออก หลีกเลี่ยง “skirt”ของใบเก่าที่ตายแล้ว
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ในฤดูปลูก ปุ๋ยที่ใช้ควรมีโพแทสเซียม (K) สูงที่สุด ตามด้วยไนโตรเจน (N) และฟอสฟอรัส (P)
ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบบ่อยที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือเพลี้ยแป้งและเพลี้ยอ่อน ด้วงมะพร้าวและไรเดอร์/ โรค Lethal bronzing คือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลกระทบต่อปาล์มทุกชนิดทั่วโลก อันตรายถึงชีวิตได้
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชมีความสำคัญทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของน้ำตาล
ใช้กิน--- ผลกินได้รสหวาน ใช้กินเป็นบางครั้ง แหล่งที่มาหลักแห่งหนึ่งของน้ำตาลในเบงกอลได้มาจากช่อดอกที่ยังไม่ได้เปิด สามารถเคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมหรือหมักเป็นแอลกอฮอล์
ใช้เป็นยา--- ผลไม้ช่วยแก้อาการหัวใจวาย ปวดท้อง ไข้ อาเจียนและหมดสติ ผลไม้โขลกผสมกับอัลมอนด์ เมล็ดมะตูม ถั่วพิสตาชิโอและน้ำตาลเป็นยาฟื้นฟู บำรุง
ใช้ปลูกประดับ--- นิยมปลูกเดี่ยว ๆหรือปลูกลงแปลงกลางแจ้งเป็นกลุ่ม ตามสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ทั่วไป หลีกเลี่ยงการปลูกใกล้ทางสัญจร ควรระวังอันตรายจากหนามและควรคำนึงถึงความสูงของระดับปลายใบ
อื่น ๆ---ใบใช้ทำกระเป๋าและเสื่อ ลำต้นใช้ในการทำพื้นบ้าน
ระยะออกดอก/ติดผล---เดีอนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม /ผลแก่ เดือนกันยายน-เดือนตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด  การงอกมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือน


3 หมากเขียว/ Ptychosperma macarthurii

 [tee-koh-SPEHR-mah] [mah-kahr-thur'-ee]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ptychosperma macarthurii (H.Wendl. ex H.J.Veitch) H.Wendl. ex Hook.f.(1884)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Basionym: Kentia macarthurii H.Wendl. ex H.J.Veitch (1879).https://www.gbif.org/species/2733897
---Actinophloeus macarthurii (H.Wendl. ex H.J.Veitch) Becc. ex Raderm.(1925)
---Saguaster macarthurii (H.Wendl. ex H.J.Veitch) Kuntze.(1891)
---See More https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:55245-3#synonyms
ชื่อสามัญ---MacArthur Palm, Hurricane Palm, Macarthur Feather Palm, Cluster Palm.
ชื่ออื่น---หมากเขียว ;[Maak Khieo.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- PPMMA (Preferred name: Ptychosperma macarthurii.)
ถิ่นกำเนิด---เกาะนิวกินีและตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์
---ชื่อสกุล 'Ptychosperma' มาจากภาษากรีก 'Ptyche' = "รอยพับ" และ 'sperma' = "เมล็ด" อ้างอิงถึงร่องบนเมล็ด ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ 'macarthurii'ได้รับการตั้งชื่อตาม Sir William Macarthur (1800–1882)  นักพืชสวนชาวออสเตรเลีย
Ptychosperma macarthurii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Harry James Veitch (1840–1924) นักพฤกษศาสตร์และพืชสวนชาวอังกฤษ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland และ Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ  ในปีพ.ศ.2427 

 

ที่อยู่อาศัย---พบเฉพาะในพื้นที่ทางตอนเหนือและควีนส์แลนด์ในออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่อื่นๆ ในเขตร้อน เจริญเติบโตเป็นไม้ยืนต้นในป่าดิบชื้น ป่าริมแม่น้ำใบกว้าง และบริเวณหนองน้ำ ในสถานที่ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่โค่นลงมาจนได้รับแสงสว่างมากกว่าปกติ
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กสูงได้ถึง 8-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 7-10 ซม.ผิวเรียบสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลปนเทา เห็นข้อปล้องชัดเจน ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนรูปลิ่ม แผ่นใบสีเขียวเข้ม ชาอดอกออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ (Infrafoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก)สีเหลืองอมเขียว มีจำนวนมาก ผลสดแบบมีเนื้อรูปไข่เกลี้ยงยาว 12-16 มม.เมื่อสุกสีแดงสด มีเมล็ดเดียวรูปกลมรี มีร่อง 6 ร่อง ยาว 9-10 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 มม. มีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA hardiness zones: 10B -11) อุณหภูมิปกติไม่ควรต่ำกว่า 5°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงบางชั่วโมงต่อวัน ต้องการความชื้นในบรรยากาศสูง ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินอินทรีย์ ดินร่วนปนทราย หรือดินทราย ยกเว้นดินที่เปียกตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม สามารถปรับเปลี่ยนได้รวมถึงสารที่มีความเป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และเป็นด่างเล็กน้อย ปรับตัวให้เข้ากับสภาพต่าง ๆได้ดี มีความแข็งแรงและอดทนต่อการถูกทอดทิ้ง  อัตราการเจริญเติบโตเร็วมาก การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รักษาความชื้นอย่างต่อเนื่องหลังปลูกวันละ 1ครั้ง ต้นไม้โตเต็มที่ต้องการน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเก่าที่ตายหรือเริ่มเหลืองออก ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน เลี้ยงแต่ต้นแม่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ในฤดูปลูก ปุ๋ยที่ใช้ควรมีไนโตรเจน (N) สูงที่สุด ตามด้วย โพแทสเซียม (K) และฟอสฟอรัส (P)
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ /ปาล์มนี้ต้านทานโรคเหลืองตาย (LY- Lethal yellowing) อาจยุบตัวจากเชื้อรา Phytophthora หากรดน้ำมากเกินไป
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
การใช้ประโนชน์---ใช้ปลูกประดับ หมากเขียวนี้เมื่อต้นเล็กปลูกเป็นไม้กระถางในร่มได้ เปลี่ยนกระถางไปเรื่อยตามขนาด พอโตมากก็ย้ายปลูกลงดิน ปลูกตามแนวถนนหรือริมรั้ว หรือปลูกเป็นกลุ่มในพื้นที่ขนาดใหญ่
ถานะการอนุรักษ์---จัดอยู่ในประเภทใกล้สูญพันธุ์ใน Northern Territory ซึ่งมีการกระจายอย่างจำกัด แต่ในรัฐควีนส์แลนด์ ถูกระบุว่าน่าเป็นห่วงน้อยที่สุด ในเดือนพฤษภาคม 2021
-ไม่ได้อยู่ในรายการ Red List ของ IUCN
ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน / ฤดูใบไม้ร่วง
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน และสามารถขยายพันธุ์โดยการแบ่งหน่อที่งอกออกมาจากต้นแม่ได้อย่างอิสระ

4 หมากเหลือง/ Dypsis lutescens

[DIP-sis] [loo-TESS-enz]

          

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dypsis lutescens (H.Wendl.) Beentje & J.Dransf.(1995)
ชื่อพ้อง:---Has 3 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:985360-1#synonyms  
---Basionym: Chrysalidocarpus lutescens H.Wendl.(1878)
---Areca flavescens Voss.1895
---Chrysalidocarpus glaucescens Waby.(1923)
ชื่อสามัญ---Golden cane palm, Golden-yellow palm, Areca palm, Yellow palm, Yellow Butterfly palm.
ชื่ออื่น ---หมากเหลือง ;[CHINESE: Sàn wěi kuí.];[FRENCH: Palmier doré, Palmier papillon.];[GERMAN: Goldblattpalme.];[JAPANESE: Arekayashi, Yamadoriyashi.];[MADAGASCAR: Rehazo, Lafahazo, Lafaza (Betsimisaraka).];[PORTUGUESE: Areca-bambu, Palmeira-areca, Palmeira-amarela, Palmeira-bambu, Palmeira-dourada.];[SWEDISH: Guldpalm.];[THAI: Maak lueang.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CWCLU (Preferred name: Dypsis lutescens.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์, หมู่เกาะอันดามัน,รีอูเนียง, เอลซัลวาดอร์, คิวบา, เปอร์โตริโก, หมู่เกาะคานารี, ฟลอริดาตอนใต้, เฮติ, โดมินิกัน, จาไมก้า
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dypsis' ที่มาของชื่อไม่เป็นที่รู้จ้ก ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์จากภาษาละติน 'lutescens' =  'กลายเป็นสีเหลือง' โดยอ้างอิงถึงดอก ลำต้น และทางใบสีเหลือง
Dypsis lutescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดยHermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henk Beentje (เกิดปี 2494) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และJohn Dransfield (เกิดปี 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2538

ที่อยู่อาศัย--- พืชพื้นเมืองของมาดากัสการ์และในหมู่เกาะอันดามัน, รีอูเนียง, เอลซัลวาดอร์, คิวบา, เปอร์โตริโก, หมู่เกาะคานารี, ฟลอริดาตอนใต้, เฮติ, โดมินิกัน, จาไมก้า  พบที่ระดับความสูงในท้องถิ่น 5-35 (-500) เมตร สายพันธุ์นี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่แอ่งน้ำตามเนินทรายสีขาวบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย แต่ก็อาจพบได้ในลุ่มน้ำที่ระดับความสูงที่สูงกว่ามาก (สูงถึง 300 เมตร.) ใน Mananara Avaratra, Makira และ Daraina
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอที่ ความสูงที่สูงเต็มที่ได้ถึง 10 เมตรเมื่อนำมาปลูกลงดิน ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 5-10 ซม. ร่องรอยของรอยต่อของใบไม้ที่ร่วงหล่นสามารถมองเห็นได้ บนวงแหวนเป็นข้อปล้องชัดเจน ลำต้นและคอใบหุ้มด้วยกาบใบสีเหลืองส้มจนถึงเขียวและเคลือบด้วยคราบขี้ผึ้งสีขาว ห่อหุ้มลำต้นอย่างเต็มที่โดยมีความสูงประมาณ 50 ซม.ใบรูปขนนก (pinnate) ทางใบยาว 2 เมตร ก้านใบยาว 40-60 ซม. ใบย่อย 40-60 คู่ เรียงเป็นรูปตัว V เปิด ใบย่อยยาวถึง 70 ซม.ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) เสมอ ผลรูปรี ขนาด 2-2.5 ซม. มีเมล็ดสีเหลืองถึงแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นหนึ่งในต้นปาล์มที่ได้รับการปลูกฝังมากที่สุดในประเทศที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเ(USDA Zone 9a-11) เติบโดได้ดีทั้งในที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และที่สว่างแสงส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรงบางชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิที่เหมาะสมระหว่าง 16° C - 24° C ทนอุณหภูมิต่ำสุดในระยะสั้นได้ถึง 0° C เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่เป็นกรดเล็กน้อยและปนทราย ชอบดินที่ชื้นและมีการระบายน้ำได้ดี pH 6.1-6.5 (เป็นกรดเล็กน้อย) ทนทานต่อความแห้งแล้ง อัตราการเจริญเติบโตระหว่าง 6” ถึง 10” ต่อปี ในที่ร่มมีอายุการใช้งานประมาณ10 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำเพียงพอเพื่อให้ดินชุ่มชื้น รดน้ำต้นปาล์มทุกครั้งที่ดินเริ่มแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากจนทำให้ดินชื้นแฉะตลอดเวลา ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังปลูกรักษาความชื้นอย่างต่อเนื่อง วันละ 1ครั้ง ต้นไม้โตเต็มที่ต้องการน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งมากนัก รอเพื่อกำจัดใบที่กำลังจะตายออกจนกว่าพวกมันจะมีสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกมันยังคงมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงได้ ให้ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน ตัดทิ้งหรือแยกไปปลูกใหม่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสำหรับพืชในร่มที่สมดุลทุก 2 เดือน งดใส่ปุ๋ย ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเมื่อพืชพักตัว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง แมลงและโรคที่อาจเกิดได้ แต่รักษาได้ง่าย : แมลงศัตรูพืช ได้แก่แมลงเกล็ด, whiteflies (แมลงหวี่ขาว) และไรเดอร์./Candidatus Phytoplasma palmae [(โรคใบเหลืองที่ทำให้ถึงตาย (LY) เป็นโรคร้ายแรงของต้นปาล์ม (แพร่กระจายโดยเพลี้ยกระโดด).] ที่อาจเกิดขึ้นกับพืชที่ปลูกกลางแจ้ง
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้จัดสวนได้อยู่ไม่เสื่อมคลายทุกยุคทุกสมัย ขนาดที่นำมาใช้ช่วงประดับที่กำลังสวยงาม ระหว่าง 0.50-4 เมตร แพร่หลายอย่างมากในการเพาะปลูกทั่วเขตร้อน นำมาใช้ในงานภูมิทัศน์ได้หลากหลาย ใช้ปลูกตกแต่งภายในร่มหรือปลูกเป็นไม้กระถางได้อย่างดี
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยจากการขยายพื้นที่การเกษตรและการเก็บเกี่ยวพืชจากป่าเพื่อส่งตลาดพืชสวนในท้องถิ่น ด้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ถูกระบุว่าใกล้ถูกคุกคาม
สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - Version 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
source: Rakotoarinivo, M. & Dransfield, J. 2012. Dypsis lutescens. The IUCN Red List of Threatened Species 2012: e.T195960A2436709. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2012.RLTS.T195960A2436709.en. Accessed on 03 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/195960/2436709
- ได้รับการคุ้มครองในพื้นที่คุ้มครอง Masoala และ Mananara Avaratra
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและวิธีการแยกกอ เมล็ดใช้เวลา 2-6 เดือนในการงอก


5 หมากแดง/ Cyrtostachys renda

[sir-toh-STAY-kiss] [REN-dah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyrtostachys renda Blume.(1838)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666411-1#synonyms
---Basionym: Bentinckia renda (Blume) Mart.(1853) https://www.gbif.org/species/5950094
---Areca erythropoda Miq.(1861)
---Areca erythrocarpa H. Wendl
---Cyrtostachys lakka Becc.(1885)
---Cyrtostachys lakka var. singaporensis Becc.(1885)
---Pinanga purpurea Miq.(1861)
---Pinanga rubricaulis Linden
---Ptychosperma coccinea Teijsm. & Binn
ชื่อสามัญ---Lipstick palm, Rajah wax palm, Maharajah palm, Red candle-wax palm, Red sealing wax palm, Sealing-wax palm, Sumatra wax palm.
ชื่ออื่น---หมากแดง;[CHINESE: Feng la zong, Hong bing lang.];[FRENCH: Palmier rouge, Palmier à tronc rouge.];[GERMAN: Siegellack-Palme, Rotstiel-Palme.];[INDONESIAN: Palem merah, Pinang rajah.];[JAPANESE: Beniyashi, Himeshôjôyashi.];[MALAYSIA: Pinang raja, Maharajah Palm (Malay).];[PORTUGUESE: Palma-de-cera, Palmeira-lacre, Palmeira-laka, Palmeira-laca-vermelha.];[SPANISH: Palmera roja, Palmera de lacre, Palma de tallo rojo.];[THAI: Maak Daeng.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CZYRE (Preferred name: Cyrtostachys renda.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
กระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-บอร์เนียว มาเลซีย สุมาตรา ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลคือคำรวมกันของคำกรีกสองคำ 'cyrto' =โค้งงอ 'Stachys' = "รวงข้าวโพด" หรือหนามแหลมสำหรับดอกแหลม อ้างอิงถึงช่อดอกโค้ง ; ชื่อระบุชนิด 'renda' มาจากชื่อท้องถิ่นภาษามาลายูดั้งเดิมสำหรับปาล์ม
Cyrtostachys renda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ.2381

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ,มาเลเซีย ,เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียวในอินโดนีเซีย เติบโตในป่าพรุที่ราบต่ำโดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่ง ที่ระดับความสูง 0-500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ--- หมากแดงเป็นปาล์มแตกกอประมาณ3ต้นขึ้นไปความสูงที่ใช้จัดสวน สูงประมาณ3-5เมตร แต่ถ้าปลูกลงดิน ปล่อยให้เจริญเต็มที่อาจสูงได้ถึง12 เมตร เส้นผ่านศุนย์กลางลำต้นประมาณ 5-7 ซม.ใบประกอบแบบขนนก (pinnate)ใบย่อยรูปขอบขนานเชิงเส้น ใบย่อบมี  26-40ใบในแต่ละด้านมีสีขาวคล้ายขี้ผึ้งตามแนวแกน ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(monoecious) ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ(Interfoliar) ยาวถึง 90 ซม แตกแขนงออกเป็น 2 ลำดับ ( อาจมากถึง 3) สีเขียวอ่อน ผลมีเนื้อเมล็ดเดียว ผลรูปไข่ยาว10มม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม ออกเป็นทะลาย ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ในตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (ไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และที่สว่างแสงส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง) แสงแดดบางส่วนเหมาะที่สุด (แสงแดดต่อเนื่อง 4-6 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเช้า) อุณหภูมิที่เหมาะสม 24 °-30 ° C ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้น ดินร่วนเป็นกรดเล็กน้อย ดินที่มีการระบายน้ำได้ดี เป็นพืชที่ค่อนข้างยุ่งยากและอัตราการเจริญเติบโตช้าต้องการความชื้นสูงและน้ำปริมาณมาก ไม่ทนต่อความแห้งแล้ง ลม ไอเค็มจากทะเล หรืออุณหภูมิที่เย็นจัด
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ดินชุ่มชื้น รดน้ำก่อนที่ดินจะมีโอกาสแห้ง ความถี่ของการรดน้ำจะแตกต่างกันไปตามสถานที่ อาจต้องรดน้ำทุกวันวันละ 2 ครั้งในฤดูร้อน
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งมากนัก แตกต่างจากพืชจัดสวนอื่น ๆ การตัดแต่งกิ่งไม่ได้กระตุ้นให้ต้นพืชเติบโตมากขึ้น ดังนั้นควรตัดเฉพาะใบที่เสียหายหรือเป็นโรคออกเพื่อรักษาลักษณะที่สะอาดและมีสุขภาพดี
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลปีละ 2 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ แต่อาจมีปัญหา ถ้าพืชที่ปลูกอยู่ในที่ร่ม มักมีความอ่อนไหวต่อไรเดอร์และแมลงเกล็ด
รู้จักอ้นตราย---None
ใช้ประโยชน์--- ใช้กิน ชุมชนท้องถิ่นในเกาะสุมาตรากินส่วนปลายของลำต้นที่โตขึ้น (หัวใจปาล์ม)
ใช้ปลูกประดับ--- หมากแดงเป็นปาล์มแตกกอ โตช้า และเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอจึงเป็นปาล์มยอดนิยมที่ยังครองใจคนทุกยุคทุกสมัยไม่เปลี่ยนแปลง ลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างจากปาล์มชนิดอื่นๆ เป็นเพราะสีแดงสวยของกาบที่หุ้มลำต้นและแกนกลางใบสีแดงเข้ม ความสง่างามของฟอร์มต้น ทำให้หมากแดงเป็นที่นิยมอย่างยาวนานในประเทศที่อยู่ในเขตร้อนทั่วไป นิยมนำมาปลูกประดับจัดสวน ตามสวนสาธาณะ และตามถนน ใช้เป็นไม้ประดับปลูกลงกระถางไว้ในที่รำไรได้ ไม่เหมาะกับสวนใกล้ทะเล
ระยะออกดอก---มีนาคม-มิถุนายน
การขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด และแยกหน่อ เมล็ดสดจะงอกช้ามากตั้งแต่อย่างน้อย 2-3 เดือนถึง 1 ปี


สกุล Adonidia (ah-doh-nih-DEE-ah) เป็นMonotypic genus มีเพียง 1สายพันธุ์ในสกุล คือ Adonidia merrillii หรือที่เรียกว่า Manila Palm, Christmas Palm  ชื่อสามัญอื่น ๆ ของต้นปาล์มเป็นผลมาจากผลไม้ที่น่าดึงดูดซึ่งกำลังจะสุกเป็นสีแดงสดในปลายเดือนธันวาคม

6 หมากนวล/ Adonidia merrillii

[ah-doh-nih-DEE-ah] [mer-IL-ee-eye]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Adonidia merrillii (Becc.) Becc.(1919)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:663990-1#synonyms
---Basionym: Normanbya merrillii Becc.(1909) https://www.gbif.org/species/2738434
---Veitchia merrillii (Becc.) H.E.Moore.(1957)
ชื่อสามัญ---Manila Palm, Christmas Palm
ชื่ออื่น---หมากคอนวล, หมากเยอรมัน ;[CHINESE: Ma ni la ye zi.];[DUTCH: Kerstpalm, Kerstmispalm.];[FRENCH: Palmier de Noel, Palmier de Manille, Palmier Paul et Virginie.];[GERMAN: Manilapalme, Weihnachtspalme.];[JAPANESE: Manira yashi.];[MALAYSIA: Palma Manila (Malay).];[PHILIPPINES: Bunga de Jolo, Bungang tsina, Oring-Oring (Tag.); Lugos (Sul.); Dapiau (Batan).];[PORTUGUESE: Palmeira-de-Manila, Palmeira-véitia-merriles.];[RUSSIAN: Rozhdestvenskaya pal'ma.];[SPANISH: Bunga de China, Palma de Manila, Chaguaramo enano.];[SWEDISH: Manilapalm.];[THAI: Maak naun, Maak khor nuan.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---VTHME (Preferred name: Adonidia merrillii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ -ฟิลิปปินส์ แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Adonidia' มาจากภาษาละติน 'Adonis, nidis' = ซึ่งเป็นที่รู้จักในตำนานกรีก เนื่องจากความงามของเขา ; ชื่อระบุขนิดสายพันธุ์ 'merrillii' เป็นเกียรติแก่ Elmer D.Merrill (1876-1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน นักวิชาการด้านพืชแห่งฟิลิปปินส์
- ชื่อสามัญ “Christmas palm” หมายถึงช่วงเวลาของปีในซีกโลกเหนือเมื่อผลไม้สุกจากสีเขียวเป็นสีแดง
- ชื่อสามัญ "Manila palm" หมายถึงพันธุ์ไม้พื้นเมืองในฟิลิปปินส์
Adonidia merrillii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปีพ.ศ.2462


ที่อยู่อาศัย--- ต้นปาล์มพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ (เกาะปาลาวันและเกาะดันจูกัน) มาเลเซีย ( Sabah )และกระจายไปทั่วแคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ถิ่นอาศัยพบในพื้นที่ชายฝั่งในป่าเปิดบนเนินเขาหินปูนที่สูงชันและปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อนเช่นฮาวายและฟลอริดา เกิดขึ้นตามธรรมชาติในดินทรายของป่าชายหาดและในหน้าผาหินปูนที่ระดับความสูง 10–100 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงประมาณ 4.5-7.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-20 ซม.ลำต้นมักมีรอยแผลเป็นของใบไม้เก่าที่ร่วงหล่น กาบใบเป็นรูปทรงกระบอกสีเขียวที่ด้านบนของลำต้น ใบประกอบแบบขนนก(pinnate) ใบย่อยรูปขอบขนาน กว้าง 5 ซม.ยาว 45-75 ซม.ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง แตกแขนงออก 3-4 ครั้งที่โคน  ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ดอกเพศผู้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ดอกเพศเมียมีขนาดเล็กสมมาตร สีเหลืองนวล ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว สุกแล้วสีส้มแดง ผลกลมรี ขนาด ยาว 3 ซม.กว้าง 1.5 ซม.  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรงต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ดินที่มีการระบายน้ำได้ดี (ดินร่วนปนทรายด่างเล็กน้อยหรือเป็นกรด) pH 6.6 - 7.5 (เป็นกลาง) 7.9 - 8.5 (เป็นด่าง) อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ 22 ° C ถึง 32 ° C ไวต่อความหนาวเย็นมาก ทนเค็มได้ปานกลาง ต้านทานแรงลมและทนน้ำท่วมขัง อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---พืชจะทนแล้งได้ในระยะเวลาสั้นๆ รดน้ำทั่วถึงสม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งเป็นเวลานาน
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เนื่องจากต้นไม้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ แต่อาจนำใบไม้หรือผลไม้ที่ตายแล้วออกจากโคนต้นไม้เพื่อช่วยป้องกันการเข้าทำลายหรือการเจริญเติบโตของเชื้อรา สามารถลดการติดผลของต้นไม้ได้โดยการตัดก้านดอกออกอย่างระมัดระวังด้วยกรรไกรตัดแต่งกิ่ง
การใส่ปุ๋ย---มีแนวโน้มที่จะขาดธาตุโบรอน มันขึ้นได้ดีในดินที่มีปริมาณธาตุอาหารต่ำ แต่สามารถชดเชยการขาดได้โดยใช้ปุ๋ยสูตรพิเศษสำหรับปาล์มโดยเฉพาะ
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปเป็นปาล์มที่ปลูกง่าย อย่างไรก็ตาม ต้นปาล์มมะนิลามีความไวต่อโรคแบคทีเรียที่รักษาไม่หายซึ่งเรียกว่าโรคใบเหลือง (lethal yellowing) สามารถประสบกับการขาดธาตุโบรอน
รู้จักอ้นตราย---None
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดเนื้อถูกนำมาใช้แทนหมากพลู   
ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มภูมิทัศน์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมและเติบโตได้ง่ายพบเห็นได้ในพื้นที่เขตร้อนส่วนใหญ่ทั่วโลก มักจะปลูกเป็นไม้ประดับในสวนและเป็นไม้กระถาง ปลูกกลางแจ้ง เป็นแถวต้นเดียวตามริมถนนและทางเท้าหรือปลูกเป็นกลุ่มในสวนและสวนสาธารณะ  มีอีกชนิดเรียกว่าหมากนวลสีทอง(Adonidia merrillii 'Golden' ) ที่ทุกส่วนของลำต้นเป็นสีทอง โดยเฉพาะส่วนของใบย่อยและคอ (ตามรูปด้านบน)
อื่น ๆ---ในท้องถิ่นเมล็ดสีน้ำตาลใช้เป็นแหล่งของลูกปัด โดยทั่วไปจะใช้ร่วมกับเมล็ดพืชอื่น ๆ เพื่อทำสร้อยคอประดับ
-ได้รับการยกย่องจากคนเลี้ยงผึ้งสำหรับน้ำหวานที่มีคุณภาพ
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยจากการขยายพื้นที่การเกษตรและการเก็บเกี่ยวพืชจากป่าเพื่อส่งตลาดพืชสวนในท้องถิ่น ได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ B2ab(i,ii,iii) (มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE B2ab(i,ii,iii) - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species. (2020)
source: Energy Development Corporation (EDC) . 2020. Adonidia merrillii. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T38747A67530097. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-3.RLTS.T38747A67530097.en. Accessed on 05 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38747/67530097
- ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าใกล้ถูกคุกคามในรายการแดงของ IUCN และมีความเสี่ยงในรายการแดงของฟิลิปปินส์ (Johnson 1998, DENR-BMB 2017)
- บัญชีแดงของฟิลิปปินส์ได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยคำสั่งทางปกครองนี้ตามพระราชบัญญัติสาธารณรัฐฉบับที่ มาตรา 9147 หรือพระราชบัญญัติการอนุรักษ์และคุ้มครองทรัพยากรสัตว์ป่าปี 2001 เป็นการยับยั้งการดัดแปลงสายพันธุ์จากแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติอย่างผิดกฎหมายและมากเกินไป รวมถึงสายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบุไว้ในนั้น จะถูกยับยั้ง การใช้ประโยชน์ การค้าขาย และการรบกวนที่เกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษตามกฎหมาย  
- นอกจากนี้ประชากรย่อยส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่คุ้มครอง ปาลาวันได้รับการยอมรับว่าเป็นเขตสงวนชีวมณฑล
- ในขณะที่ส่วนหนึ่งของเอลนิโดได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรที่ได้รับการจัดการ
- สุดท้ายนี้เป็นการอนุรักษ์ นอกถิ่นที่อยู่อาศัย (BGCI 2019)
ระยะออกดอก/ติดผล--- ผลสีแดงสดและสุกในฤดูหนาว (ซึ่งเป็นชื่อสามัญที่แพร่หลายมากที่สุดชื่อหนึ่งว่า “Christmas palm”)
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด เมล็ดใช้ระยะเวลาในการงอก 1-2 เดือน

7 ปาล์มแชมเปญ/ Hyophorbe lagenicaulis

[hy-oh-FOR-bee] [lag-en-ee-kAW-liss]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hyophorbe lagenicaulis (L.H.Bailey) H.E.Moore.(1976)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667453-1#synonyms
---Basionym: Mascarena lagenicaulis L.H.Bailey.(1942)https://www.gbif.org/species/2735592
---Mascarena revaughanii L.H.Bailey.(1942)    
ชื่อสามัญ---Bottle palm, Palmiste gargoulette (French), Champagne Bottle Palm
ชื่ออื่น---ปาล์มแชมเปญ ;[CHINESE: Jiu ping ye zi.];[FRENCH: Palmiste bouteille, Palmiste gargoulette.];[GERMAN: Flaschenpalme, Faßpalme.];[HUNGARIAN: Palackpálma.];[INDONESIAN: Palem botol.];[ITALIAN: Palma bottiglia.];[JAPANESE: Shirotaehimawari, Tokkuri yashi.];[KOREAN: Ju pyeong ya cha.];[MALAYSIA: Palma botol (Malay).];[MAURITIUS: Palmier bonbonne.];[PORTUGUESE: Palmeira-garrafa.];[SPANISH (Español): Palma botella.];[SWEDISH: Kalebasspalm.];[THAI: Paam cham-pain.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---HFBLA (Preferred name: Hyophorbe lagenicaulis.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---มอริเชียส  มัสคารีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hyophorbe' เป็นการรวมคำของภาษากรีก 'hys,hyos' = หมูและ 'phorbe'= อาหาร อ้างอิงถึงผลไม้ที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ ; ชื่อของสายพันธุ์คือการรวมกันของคำละติน 'lagoena' = ขวด, กระติกและ 'caulis' = ลำต้น โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของลำต้น
Hyophorbe lagenicaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Liberty Hyde Bailey (1858-1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2519 

 

ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของมอริเชียส (เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาสคารีน) ในมหาสมุทรอินเดีย เติบโตตามธรรมชาติในป่าบนที่สูงและสะวันนาชายฝั่งรอบหมู่เกาะ  
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวโตเต็มที่สูงประมาณ 3-4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.50-0.70 เมตร บวมที่โคน ใบมี 4-6 ใบเท่านั้น เป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อยประมาณ140 ใบเว้นระยะเท่ากันตามแนวขนนกและจัดขึ้นในรูปทรง V- ผิวใบบนและล่างมีสีเขียวถึงเทาเขียว ใบอ่อนมีสีแดงหรือสีส้ม ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) แยกแขนง ยาวประมาณ 80-100 ซม.ดอกไม้สีขาวครีมทั้งสองเพศ ผลออกเป็นทะลายยาวประมาณ30 ซม.ผลรูปลูกรักบี้ ขนาด1-1.5 ซ.ม ผลอ่อนสีเขียวอ่อน เมื่อแก่สีเขียวเข้ม และเมื่อสุกผิวจะนิ่ม กลิ่นเหมือนกล้วยหอม เปลือกข้างในเป็นสีดำและแข็งคล้ายกะลามะพร้าว มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำดี  pH 6.6-7.5 ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 ° C ทนเค็มได้ดีมาก อัตราการเจริญเติบโต ช้า เป็นปาล์มที่ง่ายต่อการบำรุงรักษา
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมอทุกๆ 2-3 วัน ในช่วง 6 ถึง 8 เดือนแรกหลังปลูก หลังจากนั้นให้รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหากฝนไม่ตก ในช่วงฤดูร้อนรดน้ำเมื่อดินแห้ง อย่าปล่อยหน้าดินแห้งเป็นเวลานาน และอย่ามากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา   
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีสูตรต่อเนื่องปีละสองครั้ง(ปุ๋ย 6 เดือนห่างจากโคนต้น 15 ซม.)ควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารรองเพิ่มปีละ 3 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่สำคัญ Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวรบกวนปาล์ม)/การรดน้ำมากเกินไปอาจนำไปสู่การติดเชื้อรา Phytophthora
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง : พืชเป็นพาหะของโรคพืช Lethal Yellow Palm Disease (โรคเหลืองตาย) จึงผิดกฎหมายในแคลิฟอร์เนียและสถานที่อื่นๆ บางแห่ง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่มีเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับภูมิทัศน์ขนาดเล็ก ปลูกลงแปลงกลางแจ้งหรือปลูกเป็นไม้กระถางขนาดใหญ่ภายใน สามารถใช้จัดสวนใกล้ทะเล
ภัยคุกคาม---เนื่องจากเป็นต้นปาล์มชนิดหนึ่งที่ในธรรมฃาติหายากที่สุดในโลกมีประมาณ 10 ต้นสุดท้ายที่อยู่รอดบริเวณรอบเกาะ ปัจจุบันเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่นักวิจัยเข้าถึงได้เท่านั้น ได้รับการประเมินใน IUCN Red List ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 ถูกระบุว่า "ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต" ภายใต้เกณฑ์ D แต่การอยู่รอดของสายพันธุ์นั้นมั่นใจได้เนื่องจากมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วทั้งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเป็นไม้ประดับ
สถานะการอนุรักษ์---CR- CRITICALLY ENDANGERED D - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species. (1998)
source: Page, W. 1998. Hyophorbe lagenicaulis. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38580A10126445. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38580A10126445.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38580/10126445
- การฟื้นฟูเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระต่ายและแพะถูกกำจัดให้หมดไปจากเกาะ เกาะนี้เป็นเขตสงวนที่ได้รับการจัดการ
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4-6 เดือน

8 ปาล์มน้ำมัน/ Elaeis guineensis

[el-LEE-iss] [gin-ee-EN-sis]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Elaeis guineensis Jacq.(1763)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Elaeis melanococca J. Gaertn.(1788)
---Elaeis dybowskii Hua.(1895)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666806-1
ชื่อสามัญ---Oil palm, African oil palm, Macaw-fat.
ชื่ออื่น---ปาล์มน้ำมัน ;[ARABIC:  Nakhlet ez zayt.];[BRAZIL: Ababaia, Dendenzeiro.];[CZECH: Palma olejná.];[CHINESE: You zong.];[FRENCH: Crocro, Corossier, Corojo de Guinea, Crocro guinée, Palmier a huile.];[GERMAN: Afrikanische Ölpalme, Steinfrüchte, Ölpalme.];[HINDI: Tel maad.];[ITALIAN: Palma da olio.];[JAPANESE: Opiri yasi, Abura yashi.];[MALAYSIA: Kelapa sawit (Malay); Tee (Mandinka).];[MYANMAR: Si-htan, Si-ohn.];[PORTUGUESE: Dendê, Palmeira-andim, Palmeira-do-azeite, Palmeira-do-dendê, Palmeira-de-óleo-africana.];[SPANISH: palma africana, palma de aceite.];[SWAHILI: Mchikichi, Mjenga.];[SWEDISH: Oljepalm.];[THAI: Pam namman.];[UGANDA: Munazi, Mubira.];[VIETNAM: Dua dâu, Co dâu.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---EAIGU (Preferred name: Elaeis guineensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ ,ศรีลังกา ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย, เวสต์อินดีส และอีกหลายเกาะในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก 'elaion' = น้ำมัน ; ชื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ 'guineensis' หมายถึงชื่อของ 'Guinea' หนึ่งในประเทศต้นกำเนิด (ไม่ใช่ประเทศนิวกินีในปัจจุบันซึ่งมีชื่อนี้)
Elaeis guineensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin.นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ , เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ในปีพ.ศ.2306

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดไปทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะพื้นที่ระหว่างแองโกลาและแกมเบีย บนพื้นที่ราบลุ่มจากลุ่มน้ำ ตั้งแต่ทุ่งหญ้าสะวันนาจนถึงป่าดิบชื้น นำเข้าและเพาะปลูกทั่วเขตร้อนที่หลากหลาย โดยมีพื้นที่เพาะปลูกในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮอนดูรัส โคลัมเบีย และอื่น ๆ ในเอกวาดอร์ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 500 เมตร และบางครั้งก็เห็นเป็นไม้ประดับ เช่น ทางตอนใต้ของฟลอริดา
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงใหญ่ ขนาดความสูง 20-30 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงถึง 75 ซม.ลำต้นมีลักษณะเป็นฐานใบเรียงต่อกันเป็นวงและมีใบขนาดใหญ่จำนวน 20-40 ใบพุ่มใบแผ่กว้างประมาณ 5 เมตร ดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันเป็นช่อดอกเดี่ยวอยู่บนต้นเดียวกัน (monoecious) แต่เปิดในเวลาที่ต่างกันดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการผสมเกสรข้ามกัน ช่อดอกเพศผู้มี 700-1200 ดอกและอาจให้เกสร 80 กรัมในช่วง 5 วัน ดอกเพศเมียมีขนาดใหญ่กว่าและเปิดรับละอองเรณูได้นาน 36-48 ชั่วโมง การพัฒนาผลไม้เริ่มทันทีหลังการปฏิสนธิ ผลไม้ผลิตเป็นกระจุกประมาณ 100 ผล ผลคล้ายพลัมรูปไข่แกมรูปรียาวถึง 3.5 ซม. และกว้างประมาณ 2 ซม. สีดำเมื่อสุกสีแดงที่โคน มีเนื้อสีขาวงาช้างหนาและมีโพรงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัด (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 5-6 ชั่วโมงทุกวัน)ไม่สามารถเติบโตในที่ร่มได้ อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปี  27-35°C ระดับความชื้นในอากาศ 80% ดินลึกที่มีความอุดมสมบูรณ์ปราศจากเหล็ก ชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี  สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่เป็นกรดจัด pH ในช่วง 4.5 - 6 ทนได้ 3.2 - 8
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอวันละ1ครั้งในตอนเย็นในช่วง2-3เดือนแรก หลังจากนั้น รดน้ำทุก 2 สัปดาห์
การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งทางใบ คือการตัดทางใบปาล์มที่ตาย ทางใบที่เกิน ทางใบที่เป็นโรคออกไป ทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 3 ครั้ง/ปี ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ-ต้นฤดูใบไม้ร่วง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง แมลงและโรคที่อาจเกิดได้ Tirathaba mundella (มอดปาล์มน้ำมัน)/ เห็ดหลินจือ และโรคใบจุดอาจเกิดขึ้นกับพืชที่ปลูกในบริเวณที่มีความชื้นมากเกินไป
รู้จักอ้นตราย---ผลเป็นพิษหากกินเข้าไปและอาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้
ใช้ประโยชน์---ปาล์มน้ำมันเป็นต้นไม้เอนกประสงค์ที่มีความสำคัญอย่างมากในแอฟริกาซึ่งเป็นแหล่งอาหารยาและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมายให้กับประชากรในท้องถิ่น การเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สายพันธุ์นี้กลายเป็นพืชที่ได้รับการเพาะปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมล็ดพืชและผลไม้ที่มีน้ำมัน
ใช้กิน--- น้ำมัน ได้รับน้ำมันสองประเภทจากพืช น้ำมันปาล์มได้จากผล มีประโยชน์หลายอย่างรวมถึงการทำเนยเทียม เนยใส เบเกอรี่ ไอศกรีมและเป็นน้ำมันปรุงอาหาร ในขณะที่น้ำมันที่ได้มาจากเมล็ดเป็นน้ำมันที่ไม่ทำให้แห้งและสามารถใช้แทนน้ำมันมะพร้าวได้ ได้มาในอัตราส่วนปริมาตรประมาณ 9: 1 น้ำมันปาล์มเป็นที่นิยมในแอฟริกาตะวันตกและมาเลเซียสำหรับการปรุงอาหารและปัจจุบันอินเดียนำเข้าเพื่อตอบสนองการขาดแคลนน้ำมันบริโภคในท้องถิ่นซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันพืชอื่นหลายชนิด
ใช้เป็นยา--- มีการใช้ยาแผนโบราณในแอฟริกามากมาย หัวใจปาล์มใช้ในการรักษาโรคหนองใน เยื่อหุ้มสมอง ปวดท้อง ขับปัสสาวะ รากเป็นยาแก้ปวด น้ำมันจากเยื่อทำให้ผิวนวลและใช้เป็นยาทาขี้ผึ้งสมุนไพร ใช้ในการรักษาอาการปวดบวมและอาการบวมของขาที่เกิดจากไฟลามทุ่งและการติดเชื้อของ Filaria
ใช้ปลูกประดับ--- ปลูกเป็นไม้ประดับสวนและตามถนน เหมาะปลูกในพื้นที่กว้าง กลางแจ้ง ตอนเล็กปลูกเป็นไม้กระถางได้ โดยปลูกลงใส่กระถางขนาดใหญ่
อื่น ๆ--- น้ำมันทั้งสองชนิดยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายรวมถึงการทำผงซักฟอก แชมพู เครื่องสำอาง สารเติมแต่งน้ำมันหล่อลื่น
-เปลือกเมล็ดถูกขัดเงาและแกะสลักเป็นวงแหวนประดับและลูกปัด
-เปลือกเมล็ดใช้เป็นเชื้อเพลิงที่มีความร้อนสูง
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4-8 เดือน โดยมีอัตราการล้มเหลวมากกว่า 40%


สกุลWashingtonia (Washing-tohn-EE-ah) เป็นสกุลของปาล์มพัดสามชนิด ได้แก่
-Washingtonia robusta -Mexican fan palm
-Washingtonia filifera -California fan palm
-Washingtonia filibusta (W. filifera x robusta)
มีถิ่นกำเนิดในทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา(ในแคลิฟอร์เนียภาคใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐแอริโซนา )และทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก(ในบาจาแคลิฟอร์เนียและโซโนรา ) (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)

9 ปาล์มเป็ตติโค้ต/ Washingtonia robusta

[Washing-tohn-EE-ah] [roh-BUS-tah)


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Washingtonia robusta H.Wendl.(1883)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Neowashingtonia robusta (H.Wendl.) A.Heller.(1898)
---Neowashingtonia sonorae (S.Watson) Rose
---Pritchardia robusta (H.Wendl.) Schröt.(1931)
---Washingtonia gracilis Parish
---Washingtonia sonorae S.Watson.(1889)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:670278-1#synonyms
ชื่อสามัญ ---Petticoat Palm, Skyduster, Washington palm, Mexican fan palm, Mexican washingtonia
ชื่ออื่น ---ปาล์มเป็ตติโค้ต ;[ALBANIAN: Vashingtonie.];[FRENCH: Palmier du Mexique, Palmier mexicain, Washingtonia mexicain, Washingtonia robuste.];[GERMAN: Fädige Washingtonpalme, Mexikanische Washingtonpalme, Petticoatpalme.];[ITALIAN: Palma messicana.];[PORTUGUESE: Palmeira do México, Palmeira-de-leque-do-méxico, Palmeira-de-saia, Palmeira-washingtonia-robusta, Washingtônia-do-sul.];[RUSSIAN: Vashingtoniya krepkaya.];[SPANISH: Palmera de abanico mexicana, Palmera mexicana, Washingtonia colorada.];[SWEDISH: Tradpalm.];[TURKISH: Ince vaşingtonya.].
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---WATRO (Preferred name: Washingtonia robusta.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์ ---สหรัฐอเมริกา และตอนเหนือของเม็กซิโก : ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย หมู่เกาะคานารี อิตาลี สเปน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Washingtonia' เป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา George Washington (1732 – 1799) ;    ชื่อของสายพันธุ์ 'robusta' มาจากภาษาละติน 'robustus'
Washingtonia robusta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ. 2426


ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในหุบเขาทะเลทรายและหุบเขาของ Sonora และ Baja ของเม็กซิโก เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันทั่วไปในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา, ตะวันออกกลาง, ภาคใต้ของยุโรปและทวีปแอฟริกา พบได้ใน แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา ฮาวาย เม็กซิโกตะวันตกเฉียงเหนือ ลาเรอูนียง และสเปน
ลักษณะ--- ปาล์มต้นเดี่ยวเมื่อโตเต็มที่สูงได้ถึง 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 80 ซม.ขยายที่ฐาน ลำต้นแก่สีเทาและสีน้ำตาลแดงเมื่ออายุยังน้อย ล้อมรอบด้วยรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบ ใบรูปพัด (costapalmate) สีเขียวสดใส มีเส้นใยสีขาวซึ่งมักจะหายไปในพืชที่โตเต็มวัย ก้านใบมีหนามสีน้ำตาลแดงตลอดความยาว ทางใบจะแห้งติดแน่นรอบคอและค่อยหลุดร่วงเมื่อผ่านไปหลายปีทิ้งรอยแผลเป็นไว้รอบลำต้นเรียบเกลี้ยงสีเทา การที่ใบไม้ตายแห้งถาวรตกลงห้อยแนบกับลำต้นโดยไม่ร่วงหล่น เรียกว่าเป็นการสร้างเอฟเฟกต์ "กระโปรงฮูลา" "hula skirt" ช่อดอกออกตามซอกใบภายในมงกุฎ (Interfoliar) ยาวมากกว่าใบ ช่อดอกมีจำนวนมาก แตกแขนงออกเป็นอย่างน้อย 3 ลำดับ ยาวประมาณ 2-3 เมตร ดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) สีขาว ผลกลมสีดำเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และที่สว่างแสงส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง) ทนต่อร่มเงาได้ ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง−8 °C ดินทุกประเภทที่มีการระบายน้ำได้ดี pH 6.1-6.5 (mildly acidic) เป็นหนึ่งในปาล์มที่มีอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุด เติบโตได้ถึง 1.2 เมตร ต่อปี อายุยาวนานได้ถึง 500 ปี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติ น้ำเท่าที่จำเป็นในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งแต่ใบเก่า (และฐานก้านใบ) สามารถตัดออกได้โดยการตัดชิดโคนใบให้เหลือแต่ต้นเพื่อสร้างลวดลายที่เรียบร้อย หลีกเลี่ยงการเกิด "hula skirt" ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าทุกชนิด เช่น นก งู หนู แมลง เป็นต้น และก็เป็นอันตรายจากไฟไหม้เช่นกัน
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยเม็ดหรือปุ๋ยน้ำสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ปัญหาแมลงน้อย แต่ระวังไรเดอร์ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน และแมลงเกล็ด (scale insects) /การขาดโพแทสเซียมสามารถทำให้เกิดเนื้อร้ายปลายใบ ใบเปลี่ยนสี และใบแก่ก่อนวัยอันควร โรคเชื้อราสามารถทำให้ลำต้นเน่าได้
-ควบคุมแมลงศัตรูพืชเหล่านี้โดยใช้ สเปรย์สบู่ฆ่าแมลงหรือหากความสูงของต้นปาล์มทำให้ไม่สามารถเข้าไปหาแมลงเหล่านี้ได้หรือยากมาก การใช้ยาฆ่าแมลงในระบบที่รดลงในดินและรากของต้นปาล์มจะช่วยได้ อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนใช้สารเคมี
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้กินได้ เนื้อบางแต่ก็มีรสหวาน
ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อากาศแบบทะเลทรายและเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพืชภูมิทัศน์ที่ได้รับความนิยมในฟลอริดา แคลิฟอร์เนียและแอริโซนาและในพื้นที่เขตต่างๆทั่วโลก ตำแหน่งที่ปลูก ปลูกข้างตึกสูงดูดี ในพื้นที่สวนโล่งกว้าง ปลูกตามทางเดินริมชายหาดยาว ตามทางเดินในสวน
- สำหรับอีกต้นที่เป็นสายพันธุ์ใกล้ชิดและได้รับความนิยมมากคือ Washingtonia fififera ชื่อสามัญคือ Califonia Palm เป็นปาล์มที่มีถิ่นกำเนิดเดียวกันแต่สายพันธุ์นี้มีลำต้นที่เอ้วนและสั้นกว่า ลำต้นตั้งตรงสูง 15 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง1-1.5เมตร
ระยะออกดอก---ปลายฤดูใบไม้ผลิ-กลางฤดูร้อน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด เมล็ดใช้เวลาในการงอกประมาณ 1-2 เดือน


สกุล Bismarckia (biz-mark'-ee-ah)เป็นMonotypic genus มีเพียง1สายพันธุ์ในสกุล คือ Bismarckia nobilis

10 ตาลฟ้า/ Bismarckia nobilis

[biz-MAR-kee-uh] [NO-bil-iss]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bismarckia nobilis Hildebr & H.Wendl.(1881)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664859-1#synonyms
---Medemia nobilis (Hildebr. & H.Wendl.) Gall.(1904)
ชื่อสามัญ---Bismark Palm, Bismarckia Palm, Nobilis Palm.
ชื่ออื่น ---ตาลฟ้า ;[DUTCH: Zilverpalm.];[FRENCH: Bismarckia, Palmier de Bismarck.];[GERMAN: Bismarckpalme, Bismarck-Palme.];[MADAGASCAR: Satrabe, Satrana, Satrapotsy (Malagasy).];[MALAYSIA: Palma Bismark (Malay).];[PORTUGUESE: Palmeira-de-bismarck, Palmeira-Azul.];[RUSSIAN: Bismarkiya blagorodnaya, Pal'ma Bismarka.];[SPANISH: Palmera noble, Palmera majestuosa, Palmera de Bismarck.];[SWEDISH: Bismarckpalm.];[THAI: Tan Faa.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---BIMNO (Preferred name: Bismarckia nobilis.)
ถิ่นกำเนิด---มาดากัสการ์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Bismarckia' ตั้งชื่อตามนายกรัฐมนตรีคนแรกของจักรวรรดิเยอรมัน Otto von Bismarck (1815-1898) ; ชื่อสกุล 'nobilis'จากภาษาละติน=สง่างาม เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสายพันธุ์นี้เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม้ประดับที่โอ่อ่าที่สุดของครอบครัววงศ์ปาล์ม
Bismarckia nobilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Hermann Gustav Hildebrand (1835–1915) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและHermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2424

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในมาดากัสการ์ เติบโตในที่ราบของที่ราบสูงตอนกลางเกือบถึงชายฝั่งตะวันตกและทางตอนเหนือในทุ่งหญ้าสะวันนาซึ่งมักอยู่ในดินลูกรัง
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 25 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40-50 ซม.ในส่วนตรงกลาง สูงถึง 80 ซม. ที่ฐานปกคลุมด้วยเศษฐานทางใบในต้นอ่อน ลำต้นมีสีน้ำตาลเทาและมีรอยแผลเป็นจากฐานทางใบและรอยแยกแนวตั้งหนาในต้นโตเต็มวัย  แผ่นใบรูปพัดแกนโค้งกว้าง 2-3 เมตร สีฟ้าเงินอมขาว เมื่อต้นยังเล็กขอบใบและก้านใบมีสีชมพูหรือสีแดง ก้านใบยาว 1.5-2 เมตร ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกันในต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย ช่อดอกแตกแขนงออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) เกิดจากแกนหลักที่มีกิ่งก้านด้านข้างจับกลุ่มที่ปลายยอดถึง 9 ดอกในต้นเพศผู้ กิ่งก้านมีดอก 15 ดอก สีน้ำตาลแดงยาว 25 ซม.โดยปกติในต้นเพศเมียจะมีจำนวนน้อยกว่า ดอกมีขนาดเล็กและมีสีขาว รูปไข่หรือกลม ยาว 3-6 ซม.สีน้ำตาลเข้มมี 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในการปลูกปาล์ม Bismarck ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4ชั่วโมงต่อเนื่อง) การปลูกเลี้ยง ตาลฟ้าปลูกได้ในดินหลากหลาย สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นกรดด่างได้ดี แต่ที่สำคัญคืออย่าให้น้ำแฉะขัง ต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดในระยะสั้นได้ถึง -4 °C ทนต่ออากาศที่แห้งและร้อนจัด สามารถต้านทานต่อช่วงฤดูแล้งที่ยาวนานเมื่อโตเต็มวัย อัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว การบำรุงรักษาปานกลาง
การรดน้ำ---*การให้น้ำเป็นสิ่งสำคัญเมื่อต้นปาล์มยังเล็ก แต่ต้นปาล์มที่ปลูกแล้วนั้นทนแล้งได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดเฉพาะใบที่ตายแล้วเท่านั้น การตัดใบที่ตายแล้วบางส่วนจะทำลายแมลงศัตรูพืชและทำให้โพแทสเซียมในปาล์มหมดไป
การใส่ปุ๋ย--- หากการทดสอบดินพบว่ามีข้อบกพร่อง ดินขาดโพแทสเซียมแมกนีเซียมหรือโบรอน ให้แก้ไขโดยใช้ปุ๋ยเม็ดควบคุมการปลดปล่อย 8-2-12 รวมธาตุอาหารรอง* Read more at Gardening Know How: Bismarck Palm Care: Learn About Growing Bismarck Palms https://www.gardeningknowhow.com/ornamental/trees/bismarck-palm/growing-bismarck-palms.htm
ศัตรูพืช/โรคพืช---มอดปาล์มเมตโต (Palmetto weevils) อาจเป็นปัญหาได้/อ่อนแอต่อโรคบรอนซิง (lethal bronzing disease) และเห็ดหลินจือเน่า, การขาดโบรอนและโพแทสเซียมเป็นเรื่องปกติ, การขาดแมกนีเซียมและแมงกานีสพบได้เป็นครั้งคราว, การช็อกของการปลูกถ่าย หรือปัจจัยอื่นๆ ดินที่ระบายน้ำไม่ดีและชื้นเกินไปทำให้รากเน่าได้
รู้จักอ้นตราย---ผลไม้อาจดูน่ารับประทานสำหรับเด็กเล็ก แม้ว่าจะไม่เป็นพิษ แต่ผลไม้ก็มีเมล็ดแข็ง ซึ่งอาจสำลักเป็นอันตรายได้
ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นปาล์มประดับและปาล์มภูมิทัศน์ที่มีมูลค่ามหาศาล เนื่องจากรูปร่าง ขนาด และสีของใบ มีการแพร่กระจายที่โดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ควรใช้ปลูกเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม โดยต้อง เว้นพื้นที่ว่างไว้รอบ ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติอย่างเต็มที่ ไม่เหมาะกับสวนขนาดเล็ก
อื่น ๆ---ลำต้นใช้ในท้องถิ่นในการก่อสร้างและใบใช้คลุมที่อยู่อาศัย
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2010 ถูกระบุว่า 'มีความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
source: Rakotoarinivo, M. & Dransfield, J. 2012. Bismarckia nobilis Hildebr. & H.Wendl.. The IUCN Red List of Threatened Species 2012: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2012.RLTS.T195991A2440090.en  เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/195991/2440090
- เนื่องจากมีความหลากหลาย สายพันธุ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองจำนวนหนึ่ง
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 1-2 เดือน  
**การพูดคุยส่วนต้ว---เป็นปาล์มสีฟ้าเงินขนาดใหญ่ที่สวยงามและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงสิบถึงยี่สิบปีที่ผ่านมา (ก่อน2008) ต้นด้านซ้ายในรูปนี้ปลูกไว้หน้าบ้านประมาณอายุได้ 3-4 ปี สงสัยต้องล้อมออกเบียดกำแพงพังแน่ ตอนเอามาปลูกต้นสูงประมาณ 50 เซนติเมตร รู้ทั้งรู้ว่าผลจะเป็นอย่างนี้แต่ใจมันชอบ เสียดาย ถ้าปลูกกลางสนามจะแผ่ศักยภาพได้สวยงามมาก ดูความงามแล้วคงไม่ต้องบรรยายความ แถม โตเร็วด้วย ต้นนี้โตเต็มที่สูงได้ถึง 25 เมตรขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น30-45 ซ.ม.(ภาพซ้ายมือรูปบนกับรูปล่างระยะเวลาห่างกัน 1ปีพอดี โตเร็วขนาดไหนลองพิจารณา) ส่วนภาพด้านขวาถ่ายจาก สวนพฤกษศาสตร์พุแค สระบุรี  2/10/2559 ปลูกเดี่ยวๆโดดๆ โชว์สวยเต็มที่ 


สกุล Latania (lah-tah-NEE-ah)ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นปาล์ม latanหรือปาล์ม Latania เป็นพืชพื้นเมืองในหมู่เกาะ Mascareneในภาคตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย สกุลประกอบด้วยสามชนิด คือ (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)
-Latania loddigesii Mart.-blue latan palm (ตาลน้ำเงิน) แข็งแรงและแข็งแกร่งที่สุดในสามชนิดในสกุลนี้
-Latania lontaroides (Gaertn.) H.E.Moore-red latan palm (ตาลแดง)
-Latania verschaffeltii Lem.-yellow latan palm (ตาลเเหลือง)

11 ตาลน้ำเงิน/ Latania loddigesii

[la-TAN-ee-a] [low-dih-GEEZ-ee-eye]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Latania loddigesii Mart.(1838)
ชื่อพ้อง--- Has 4 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667782-1#synonyms
---Cleophora loddigesii (Mart.) O.F.Cook. (1941)
---Chamaerops excelsior Boje.(1837)
---Latania glaucophylla Devansaye.(1875)
---Cleophora dendriformis Lodd. ex Baker.(1877)
ชื่อสามัญ---Blue Latan Palm, Silver latan palm, Blue latan
ชื่ออื่น---ตาลน้ำเงิน ;[CHINESE: Lan zong lü, Lan se la ta zong.];[FRENCH: Latanier de Maurice, Latanier de l'Ile Ronde, latanier de Maurice, Latanier bleu.];[GERMAN: Blaue Latanie, Blaue Latanpalme, Mauritiuspalme.];[PORTUGUESE: Latânia-azulada, Latânia-glauca.];[THAI: Tan nam-ngoen.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LTALD (Preferred name: Latania loddigesi.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---เกาะมัสคารีน มอริเชียส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Latania' มาจากภาษาฝรั่งเศส 'latanier' ชื่อพื้นเมือง (Mauritius vernacular name.); ชื่อสายพันธุ์ได้รับเกียรติจาก Joachim Loddiges (1738-1826)ชาวเยอรมันผู้ก่อตั้ง vivariumที่มีชื่อเสียงในย่านลอนดอนและเป็นคนแรกที่แนะนำพืชแปลกใหม่จำนวนมากในยุโรป
Latania loddigesii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2381

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะ Mascareneทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย เป้นพืขเฉพาะถิ่น (endemic) ของ Round Island (Ile Ronde) ในหมู่เกาะมาสคารีน (มอริเชียส)
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมาก สูงประมาณ 6-8 เมตรหรืออาจสูงได้ถึง10 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25-30 ซม.ใบรูปพัด (Costapalmate) มีสีเทาอมฟ้าขนาดใหญ่หนาและแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 1,5-2,5 (-3) เมตร.ก้านใบยาว 1,5 เมตร.ตอนต้นเล็กขอบใบและก้านใบจะมีสีชมพูหรือสีทับทิม เมื่อต้นแก่จะมีสีน้ำเงินปนเทา ก้านใบมีขนสีขาวเป็นนวลคลุมอยู่ ลักษณะต้นจะคล้ายตาลแดง แต่ใบจะคล้ายตาลฟ้า ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกที่มีดอกเพศผู้สั้นกว่า ยาวถึง 1 เมตร.และมีกิ่งก้านสาขามากกว่าดอกเพศเมีย ยาวถึง 2 เมตร ดอกสีเหลืองอมชมพู ผลไม้เป็นรูปขอบขนาน กว้างไม่เกิน 2.5 ซม.และยาว 7.5 ซม.สีน้ำตาลอมเขียว ผลไม้มีลักษณะคล้ายกับลูกพีชหรือแอปริคอตตรงที่มี "หลุม" ที่เป็นเนื้อไม้ซึ่งมีพื้นผิวเป็นลายล้อมรอบเมล็ดรูปอัลมอนด์ที่เรียบ โดยทั่วไปมี 3เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4ชั่วโมงต่อเนื่อง) ทนแดดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย อุณหภูมิที่เหมาะสม 20°C ถึง 22°C ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิ 1-2 °C ถึงต่ำกว่าศูนย์ได้ เว้นแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ 60% ขึ้นได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ไม่ว่าจะเป็นดินทราย ดินเหนียว ดินเป็นกรดเป็นด่างแม้แต่ในที่แห้งแล้งก็อยู่ได้ ทนเค็มได้ปานกลาง ระบบรากของปาล์มน้ำเงินค่อนข้างอ่อนไหวการขุดล้อมเปลี่ยนถ่ายนำมาปลูกในที่ใหม่ค่อนข้างยาก อัตราการเติบโต ช้าถึงปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ไม่ควรให้น้ำมากเกินไปหรือน้ำน้อยเกินไป จำเป็นต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ปล่อยให้ พื้นผิวของดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำอีกครั้ง (รดน้ำทุก 2 หรือ 3 วัน) ฉีดพ่นละอองบนใบไม้ทุกวันเพื่อสร้างความชื้น ลดการให้น้ำในช่วงพักตัวในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดเฉพาะใบตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือที่ตายแล้วเท่านั้น อย่าลิดใบที่ยังมีสีเขียวอยู่บ้าง ต้นปาล์มรีไซเคิลสารอาหารจากใบที่ตายแล้วหรือกำลังจะตาย และใช้มันเพื่อสุขภาพใบที่แข็งแรงขึ้น ต้นปาล์มมีจำนวนใบใหม่ที่สามารถแตกหน่อและเติบโตได้ต่อปีเท่านั้น การตัดใบออกจะไม่เพิ่มจำนวนใบ หากตัดใบปาล์มมากกว่าที่จะปลูกในแต่ละปี อาจเหลือใบปาล์มโล่งเตียน
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์ทุก 2 สัปดาห์ หยุดใส่ปุ๋ยตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงมีนาคมและเมษายน
ศัตรูพืช/โรคพืช---Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวรบกวนปาล์ม)/ไวต่อโรค Lethal yellowing disease ถึงตายได้
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นหนึ่งในปาล์มประดับที่ดีที่สุด เป็นไม้ประดับที่มีค่ามาก นิยมใช้ปลูกประดับสวนทั่วไป ยังเหมาะสำหรับสวนริมทะเล ปลูกเดี่ยว หรือปลูกลงแปลงเป็นกลุ่ม เมื่อต้นยังเล็กใช้ปลูกเป็นไม้กระถางโชว์ก้านใบและขอบใบสีแดงสวยงาม
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย ประชากรย่อยที่เหลือในป่าถูกจำกัดอยู่ที่เกาะนอกชายฝั่ง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Latania loddigesii ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ C2a
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED C2a - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species. (1998)
source: Johnson, D. 1998. Latania loddigesii Mart.The IUCN Red List of Threatened Species 1998: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38588A10128456.en เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38588/10128456
- การฟื้นฟูเป็นสิ่งที่ดีตั้งแต่การกำจัดแพะและกระต่าย พันธุ์นี้นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4-6 เดือน


12 ตาลเหลือง/ Latania verschaffeltii

[la-TAN-ee-a] [vehr-chaf-FELT-ee]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Latania verschaffeltii Lem.(1859)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/667787-1#synonyms
---Cleophora verschaffeltii (Lem.) O.F.Cook.(1941)
---Latania aurea B.S.Williams.(1870)
---Latania flavescens Pynaert.(1898)
ชื่อสามัญ---Yellow Latan Palm, Yellow latan, Latania tree
ชื่ออื่น---ตาลเหลือง ;[ARABIC: latan 'asfar.];[CHINESE: Huang la ta zong, Huang zong lü.];[FRENCH: Latanier de Rodrigues, Latanier jaune.];[GERMAN: Gelbe Latanpalm, Gelbe Latanie.];[THAI: Tan lueang.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LTASS (Preferred name: Latania sp.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---เกาะโรดรีเกสในหมู่เกาะมัสคารีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Latania' มาจากภาษาฝรั่งเศส 'latanier' ชื่อพื้นเมือง (Mauritius vernacular name.) ; ชื่อสายพันธุ์เป็นเกียรติแก่ Ambroise Colette Alexandre Verschaffelt (1825 – 1886) นักพืชสวนชาวเบลเยี่ยมซึ่งเป็นคนแรกที่แนะนำในยุโรป
Latania verschaffeltii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Charles Antoine Lemaire (1800-1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2402

ที่อยู่อาศัย--- ปาล์มเฉพาะถิ่นของเกาะโรดรีเกสในหมู่เกาะมัสคารีน (Rodriguez เป็นเกาะกึ่งอิสระของสาธารณรัฐมอริเชียสในหมู่เกาะ Mascareneในมหาสมุทรอินเดีย) ที่ระดับความสูง 10--390 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงประมาณ 8-12 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25-30 ซม.โคนต้นป่องออกแล้วค่อยเรียวขึ้นตรง ใบรูปพัด(Costapalmate) เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 เมตร แบ่งลึกด้วยแฉกเรียวยาวหลายแฉก มีใบ 8 ถึง 24 ใบ สีเหลืองอมเขียว ไม่ทิ้งใบ ใบแห้งคาต้น เมื่อต้นยังเล็ก ก้านใบและสะดือใบมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ(Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) ช่อดอกเพศผู้ยาวเกือบ 3 เมตร ช่อดอกเพศเมียยาวได้ถึง 1.7เมตร.ดอกสีขาวอมเขียว ผลรูปไข่ขนาด 5 ซม. เมื่อสุกมีสีเขียวอมน้ำตาล มีเมล็ด1-3 เมล็ด
-แยกแยะได้ง่ายโดยเฉพาะเมื่อยังเล็กตามสีของก้านใบที่พวกเขาตั้งชื่อ ด้วยก้านใบและขอบใบสีเหลืองมันวาว และใบที่หย่อนกว่าสายพันธุ์อื่นในสกุล Latania verschaffeltii จึงเป็นพืชสกุลเล็กที่สวยงามน่าทึ่งที่สุด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะกับเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปากน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในภูมิภาคที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (USDA hardiness zones 10b-11) ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4ชั่วโมงต่อเนื่อง) ทนแดดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย อุณหภูมิที่เหมาะสมไม่ควรต่ำกว่า 18 °C ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  –2ºC ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ 60% ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินทราย ดินเหนียว ดินเป็นกรดเป็นด่างแม้แต่ในที่แห้งแล้งก็อยู่ได้ แต่ต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ชอบดินร่วนปนทรายที่ชื้นสม่ำเสมอ ทนแล้ง ทนเค็มได้ปานกลาง ระบบรากของปาล์มค่อนข้างอ่อนไหวการขุดล้อมเปลี่ยนถ่ายนำมาปลูกในที่ใหม่ค่อนข้างยาก อัตราการเติบโตมักจะช้า แต่ค่อนข้างเร็วในสภาพอากาศเขตร้อนชื้น การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ไม่ควรให้น้ำมากเกินไปหรือน้ำน้อยเกินไป จำเป็นต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ปล่อยให้ พื้นผิวของดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำอีกครั้ง (รดน้ำทุก 2 หรือ 3 วัน) ลดการให้น้ำในช่วงพักตัวในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดเฉพาะใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือที่ตายแล้วเท่านั้น อย่าตัดใบที่ยังมีสีเขียวอยู่บ้างออก
การใส่ปุ๋ย---ต้องใส่ปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรอง หรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องมีแมกนีเซียม จำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ 
ศัตรูพืช/โรคพืช---Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวรบกวนปาล์ม)/ไวต่อโรคเหลืองตาย( Lethal yellowing disease )
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ปลูกประดับสวนทั่วไป ปลูกเดี่ยว หรือปลูกลงแปลงเป็นกลุ่ม เมื่อต้นยังเล็กใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานที่ชายทะเลเนื่องจากมีความทนทานต่อเกลือในระดับปานกลาง
อื่น ๆ---การใช้งานแบบดั้งเดิม ในอดีตพบได้ในทุกส่วนของเกาะซึ่งมีการใช้งานที่หลากหลาย ไม้มีความแข็งและทนทานมากมีลักษณะสีดำเป็นจุด ๆมักใช้ในงานก่อสร้าง
สถานภาพ---เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของเกาะโรดรีเกสในหมู่เกาะมัสคารีน  *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ประชากรที่เหลืออยู่ประมาณ  350–450 ต้นโดยจำกัดเฉพาะ Anse Quitor, Riviere Cocos, Baie aux Huitres (ปลูกหลายแห่ง), Vainquer, Port Sud-Est, Riviere Banane, Riviere Baleine, Bassin Banane ในปี 2019 นับต้นไม้ได้ 111 ต้นในสถานที่ 15 แห่ง (six locations, sensu IUCN).ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2021 Latania verschaffeltii ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งภายใต้เกณฑ์ C2a(i)
สถานะการอนุรักษ์---CR- Critically Endangered C2a(i) - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2021)
source: Tatayah, V., Jhangeer-Khan, R. & Bégué, J.A. 2021. Latania verschaffeltii. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T38590A164117223. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-2.RLTS.T38590A164117223.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38590/164117223
- Latania verschaffeltii ได้รับการดูแลในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Anse Quitor โดยการ กำจัดวัชพืชจากพืชต่างถิ่นที่รุกราน เช่น Lantana camara , Pongamia pinnata และ Acacia nilotica บางครั้งจะมีการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้หลายแห่งเพื่อขยายพันธุ์ในเรือนเพาะชำ และเพื่อนำกลับคืนหรือเพื่อการปลูกไม้ประดับ  
- พันธุ์นี้ปลูกในสวนพฤกษศาสตร์และทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มีการคุกคามของการผสมพันธุ์กับลาตาเนียอื่นๆ บนโรดริเกซและที่อื่นๆ
ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน /ผลอ่อนจะพบเห็นได้ในเดือนกุมภาพันธ์และสุกในเดือนเมษายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะกล้าจากเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน


13 ปาล์มเคราฤาษี/ Coccothrinax crinita

[koh-koh-THRY-naks] [krin-EE-tah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Coccothrinax crinita (Griseb. & H.Wendl. ex C.H.Wright) Becc.(1908)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.plantlist.org/tpl/record/kew-44397
---Basionym:Thrinax crinita R.D.Hoyt.(1894) https://www.gbif.org/species/2735230/metrics
---Antia crinita (Becc.) O.F.Cook.(1941)
ชื่อสามัญ---Mat Palm , Old man palm, Thatch palm
ชื่ออื่น---เคราฤาษี ;[CHINESE: Gu ba yin lü.];[CUBA: Palma petate, Guano petate, Guano barbudo, Palma petale.];[FRENCH: Palmier barbu de Cuba, Vieux palmier d'homme.];[GERMAN: Bartpalme, Kubanische Bartpalme.];[ITALIAN: Palma pedata.];[PORTUGUESE: Homem barbudo, Homem-velho.];[RUSSIAN: Kokotrinaks volosistyy.];[SPANISH: Guano barbudo, Palma del Anciano, Palma Abuelo, Palma petate.];[THAI: Pam Khrao Ruesi.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CCXCR (Preferred name: Coccothrinax crinita.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---คิวบา แคริบเบียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cocothrinax' มาจากภาษาละติน 'coccus'  = "berry" และ thrinax = "trident" ; ชื่อของสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'crinatus, a, um' = crinite โดยมีการอ้างอิงที่ชัดเจน
Coccothrinax crinita เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและHermann Wendland (1825–1903) จากอดีต C.H.Wright ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปีพ.ศ.2451
Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666033-1#synonyms
ปาล์มเคราฤๅษีมีสองชนิดย่อย (subspecies)ที่ได้รับการยอมรับ คือ;-
- Coccothrinax crinita subsp. crinita
- Coccothrinax crinita subsp. brevicrinis Borhidi & O.Muñiz (1981 publ. 1982) (The short hair Old man palm): มีเส้นใยกาบใบสั้นกว่าและหนาแน่นน้อยกว่าซึ่งปกคลุมลำต้น พบได้ในภาคกลางของคิวบา 

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในคิวบา มักจะเติบโตในสะวันนาที่ถูกน้ำท่วมตามฤดูกาล และพบเป็นครั้งคราวในพื้นที่ที่เป็นภูเขา ที่ระดับความสูงถึง 500 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 2- 10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 8-10 (-20) ซ.ม.ลำต้นคลุมด้วยฐานใบเก่าที่ปกคลุมลำต้นด้วยเส้นใยทอหนาแน่นเป็นชั้น ๆ โดยมีปลายใบยาวห้อยยื่นออกมาจากลำต้นดูเหมือน "เครา" ขนาดใหญ่  “เครา” นี้ทำให้ต้นปาล์มที่มีก้านแคบดูเทอะทะและอ้วน ใบรูปพัด (palmate) 15 ถึง 25 ใบ เกือบกลมสมบูรณ์ขอบใบจักเว้าลึก แผ่นใบกว้าง1.5-1.8 เมตร และยาว 0.90 เมตร ก้านใบยาว1เมตรและมีหนาม ใบด้านบนสีเขียวสดใส  ด้านล่างสีเทาทึบถึงสีเทาเงิน ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอก ยาว 0.80-1.5 ดอกไม้เป็นกะเทย (hermaphrodite) อยู่ในช่อเดียวกันและต้นเดียวกัน (monoecious) ดอกสีเหลือง ผลกลมและย่น เมื่อสุกสีม่วงดำขนาด 0.7-2.5 ซม มีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชสามารถปลูกได้ทั้งในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA hardiness zones 10 -11)ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ชอบดินที่เป็นด่างหรือเป็นกลาง แต่ก็ปรับให้เข้ากับความเป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อยได้ ดินต้องมีการระบายน้ำดีชื้นและไม่เป็นดินเหนียว สามารถปรับตัวได้อย่างกว้างขวางในดินหลายประเภท และสามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่ไม่ดี อย่าให้น้ำท่วมขังได้เป็นอันขาด ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  -3 °C หรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อย เพียงในช่วงเวลาสั้นๆ อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก โดยเฉลี่ยแล้วต้นไม้สูง 1.8 เมตรจะใช้เวลา 10 ปี การบำรังรักษา ค่อนข้างยาก
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อาจต้านทานต่อฤดูแล้งที่ยาวนาน หลีกเลี่ยงดินที่เปียกชื้นตลอดเวลาหรือน้ำขัง
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ต้นปาล์มบางต้นจะเก็บเฉพาะใบที่ไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วทิ้งไปในไม่ช้า บางครั้งขึ้นอยู่กับสภาพของความชื้นและความแรงของลมที่พวกมันอาศัยอยู่ อาจเก็บใบที่ตายแล้วหรือโคนก้านใบไว้บนลำต้นเป็นเวลาหลายปี
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลมของก้านใบ ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวัง Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวรบกวนปาล์ม)/อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม, มีแนวโน้มที่จะยุบลงอย่างกะทันหัน อาจเป็นเพราะเชื้อรา
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นหนึ่งในปาล์มที่โอ่อ่าที่สุดในบรรดาไม้ประดับและสำหรับคุณค่าทางภูมิทัศน์ นิยมปลูกในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ใช้ปลูกเดี่ยวหรือปลูกเป็นกลุ่ม ในสวนสาธารณะและสวนที่กว้างมาก เหมาะที่จะปลูกตามชายทะเลเพราะทนแล้งและทนเค็มได้ดี
อื่น ๆ---การใช้งานแบบดั้งเดิมใบขนาดใหญ่ของปาล์มนี้มักใช้สำหรับมุง ใช้เส้นใยทำหมอน ลำต้นใช้เป็นที่กำบัง และใบใช้ทำชาม
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก การถูกทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย และการใช้ประโยชน์จากส่วนของพืชในท้องถิ่นทำให้จำนวนประชากรลดลง มีการซื้อขายพันธุ์ในท้องถิ่นเป็นไม้ประดับ เหลือต้นไม้เพียง 60 -130 ต้นบนเกาะคิวบา ล่าสุด crinita ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Coccothrinax crinita subsp crinita ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ B1+2c, C2a
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED B1+2c, C2a - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species. (1998)
source: Moya, C. 1998. Coccothrinax crinita subsp. crinita. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38480A10115962. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38480A10115962.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566
ระยะออกดอก---กรกฎาคม-สิงหาคม, กันยายน- ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ดสด ใช้เวลาในการงอก 2-3 เดือน เมล็ดงอกง่ายมากเมื่อสด หากไม่ได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม เมล็ดจะมีอายุการงอกไม่นาน

                 

14 ปาล์มอ้ายหมี/ Copernicia macroglossa

[koh-pehr-nee-SEE-ah] [mak-roh-GLOS-ah]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Copernicia macroglossa H.Wendl ex Becc.(1907)
ชื่อพ้อง:---Has 1 Synonyms.https://powo.science.kew.org/taxon/urn%3Alsid%3Aipni.org%3Anames%3A60470175-2#synonyms
---Copernicia torreana León.(1931)
ชื่อสามัญ---Cuban Petticoat Palm, Petticoat Palm, Jata palm, Jata de Guanabacoa
ชื่ออื่น---ปาล์มอ้ายหมี ;[CHINESE: Gu ba la zong.];[CUBA: Jata de Guanabacoa.];[FRENCH: Palmier jupon de Cuba, Palmier à cire.];[GERMAN: Kubanische Petticoat-Palme, Breitfächrige Wachs- palme, Breitfächerige Wachspalme.];[PORTUGUESE: Carnauba -da-saia.];[RUSSIAN: Kopernitsiya krupnoyazykaya.];[SPANISH: Palma de abrigo, Palma cubana, Palma jata.];[THAI: Paam Aai-mee.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CPDMA (Preferred name: Copernicia macroglossa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---คิวบา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แคริเบียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Copernicia' เป็นเกียรติแก่นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ Nicolaus Copernicus (1473-1543) ; ชื่อของสายพันธุ์มาจากการรวมคำของคำในภาษากรีก 'makros' =ใหญ่ ยาวและ 'glossa' = ลิ้น รวมความหมายแปลว่า"ลิ้นขนาดใหญ่" อ้างอิงถึงใบชั้นในที่มีขนาดใหญ่มาก
- ชื่อสามัญ “Petticoat Palm” มาจากลักษณะใบแห้งที่ห้อยลงปกคลุมลำต้นคล้ายกระโปรงชั้นใน
Copernicia macroglossa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903 จาก Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปีพ.ศ.2450

ที่อยู่อาศัย---เป็นปาล์มเฉพาะถิ่น (endemic) ในคิวบาตะวันตกและตอนกลาง ใน La Habana, Las Villas และ Pinar del Ríoและมีการเพาะปลูกในบางส่วนของอเมริกากลางและหมู่เกาะแคริบเบียนบางแห่ง
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 5-7 (-10) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 ซม.จะเห็นว่าปาล์มต้นนี้มีใบกลมขนาดใหญ่ที่แทบไม่มีก้านใบและไม่หล่นจากก้านหลังจากหมดอายุ กาบใบจะแผ่คลุมรอบคอ ใบแห้งที่ติดแน่นที่ลำต้นจะหลุดร่วงเองเมื่อต้นสูงเกิน 5 เมตร ใบแห้งเหล่านี้ทำให้ต้นปาล์มมีลักษณะ "กระโปรง" พร้อมกับใบแก่ที่ยังคงอยู่ซึ่งก่อให้เกิด "กระโปรงชั้นใน" ที่เป็นเอกลักษณ์และมีลักษณะเฉพาะตัว ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) และแผ่ออกด้านนอกห้อยโค้งลงจากพุ่มใบ ยาว 2.50 เมตร ดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) สีเหลืองน้ำตาล ผลมีเนื้อกลมรี เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ซม.มีสีดำเมื่อสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและเขตร้อน ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 7 °C ในช่วงสั้นๆ เจริญได้ดีในที่แล้งและดินที่ขาดแคลนไม่อุดมสมบูรณ์แต่มีการระบายน้ำดี pH 6.6-7.8 อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรังรักษา ค่อนข้างยาก
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบดินชื้นแฉะท่วมขังตลอดเวลา รดน้ำเมื่อดินแห้งแข็ง ทนทานต่อสภาพแล้งสูง
การตัดแต่งกิ่ง---เล็มใบไม้ขณะที่มันร่วงโรยหากไม่ดูแลกระโปรงชั้นใน สิ่งนี้จะทำให้ปาล์มดูใหญ่และสง่างามน้อยลง
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย หรือใส่ปุ๋ยละลายช้าสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ต้นไม้สมบูรณ์ขึ้น ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ  
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช/หากรดน้ำมากไปและดินระบายน้ำไม่ดีอาจทำให้เกิดโรครากเน่า
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ พืชชนิดนี้เป็นที่ต้องการมากสำหรับคุณสมบัติด้านความงามที่มาจากกระโปรงชั้นในที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้ปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ขนาดที่ใช้กันและกำลังสวยก็คือ ตอนมีความสูงระหว่าง 0.50- 5 เมตร ตอนยังเล็กสามารถปลูกเลี้ยงลงกระถาง โตขึ้นก็ย้ายปลูกลงดินได้ การดูแลรักษาเมื่อนำมาปลูกประดับภายในบ้าน ควรตัดแต่งลบกระโปรงออกแบบรูปขวามือ เพราะถ้าทิ้งไว้ใบที่แห้งเปื่อยพัง อาจเป็นที่อยู่อาศัยของหนู หรือสัตว์ประหลาดอื่นๆได้ เนื่องจากรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและการเจริญเติบโตที่ช้า ปาล์มที่โตเต็มที่จึงมีมูลค่าทางการค้ามาก ต้นปาล์มขนาด 20-30 ฟุต หนึ่งต้นที่อยู่ในสภาพดีมีราคาประมาณ 200-300 ดอลลาร์ สหรัฐฯ
-อื่น ๆ บางครั้งพืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าสำหรับลำต้นของมันซึ่งใช้เป็นเสารั้ว
ระยะเวลาออกดอก---ฤดูร้อน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดใช้ระยะเวลาในการงอกประมาณ 2 เดือน (เมล็ดส่วนใหญ่ไม่งอก)


สกุล Acoelorrhaphe (a-see-loh-RAY-fee ) เป็นMonotypic genus มีเพียง 1สายพันธุ์ในสกุล คือ Acoelorrhaphe wrightii ที่รู้จักกันว่า Paurotis palm, Everglades palm หรือ Madeira palmกระจายในอเมริกากลาง , ตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโกที่แคริบเบียน , โคลอมเบีย , บาฮามาสและรุนแรงในภาคใต้ของฟลอริดา

15 เปาโรติส/ Acoelorraphe wrightii

[a-see-loh-RAY-fee] [RITE-ee-eye]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Acoelorrhaphe wrightii (Griseb. & H.Wendl.) ex Becc.(1907)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Basionym: Copernicia wrightii Griseb. & H.Wendl.(1866). https://www.gbif.org/species/6418688
---Paurotis wrightii (Griseb. & H.Wendl.) Britton.(1908)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:663912-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Everglades Palm , Paurotis Palm, Silver Saw Palmetto, Madeira palm
ชื่ออื่น---เปาโรติส ;[BELIZE: Pim-i?nt, Pim-int, Ta-si-ste (Maya).];[CHINESE: Chang shi de zong lu];[CUBA: Guano Preto.];[FRENCH: Palmier des Everglades, Paurotis de Wright.];[GERMAN: Evergladespalme.];[HONDURUS: Tique, Papta.];[ITALIAN: Palma delle paludi.];[MALAYSIA: Palma Perak (Bahasa Melayu).];[MEXICO: Tasiste.];[PORTUGUESE: Palmeira-paorotis.];[RUSSIAN: Atselorafa rayta, Vodnaya pal'ma.];[SPANISH: Guano prieto, Palmito de sierra de plata, Tasiste.];[THAI: Pao-rho- tis.];[VENEZUELA: Palma de pantano.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- AEQWR (Preferred name: Acoelorrhaphe wrightii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกาเหนือ
เขตกระจายพันธุ์---รัฐฟลอลิดา , อเมริกากลาง  แคริบเบียนและหมู่เกาะเวสต์อินดีส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลนี้เป็นการรวมกันของคำภาษากรีกสามคำ คือ 'a '= "without" ไม่มี, 'coelos =  "hollow" กลวงและ 'rhaphis' =  "seam" (สันนอกเมล็ด)โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของผลหรือเมล็ดที่ไม่มีแผลเป็นกลวง ของสกุลนี้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'wrightii' เป็นเกียรติแก่ Charls Wright (1811-1885) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน
Acoelorrhaphe wrightii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและHermann Wendland (1825–1903)ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปีพ.ศ.2450


ที่อยู่อาศัย---พบในคาบสมุทรYucatanในเม็กซิโกตามชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของอเมริกากลาง (จากเบลีซถึงคอสตาริกาตอนเหนือ) ในทะเลแคริบเบียน (ในคิวบา, หมู่เกาะซานอันเดรสโพรวิเดนเซียและซานตาคาตาลินา ) ในส่วนหนึ่งของบาฮามาสและอยู่ทางใต้ของฟลอริดา  
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ความสูงเต็มที่อยู่ประมาณ 8 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลาง10 ซม. ลักษณะกอ ตอนบนจะกว้างกว่าฐาน ลำต้นมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม ก้านใบโค้ง สีส้ม ยาว 1-1.2 เมตร มีหนามแหลมคมตามขอบก้านใบโดยเฉลี่ยยาว 2-5 มม.ใบรูปพัด(palmate) ขอบใบจักเว้าลึกเกือบถึงสะดือ แผ่นใบกางเกือบครึ่งวงกลมกว้าง 80 ซม. ใบด้านบนสีเขียวอ่อนและด้านล่างมีนวลสีขาว ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar)ดอกออกเป็นช่อยาวประมาณ1เมตร ดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) ผลกลมเล็กขนาด1-1.5ซม.สีส้มเมื่อเป็นผลอ่อนและเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษในภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ชอบดินเหนียวปนทราย ทนแล้งได้ดี ทนน้ำท่วม มีความทนดินเค็มสูง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -6 °C อัตราการเติบโตช้า ใช้เวลา10-20 ปี กว่าต้นจะโตเต้มที่ การบำรุงรักษา ปานกลาง  
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำน้อย เป็นปาล์มที่ทนแล้ง แต่ถ้าขุดล้อมแล้วย้ายมาปลูกใหม่ ในช่วง 2-3 เดือนแรกรดน้ำวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น (ปริมาณน้ำไม่มาก พอให้ดินชื้นทั่วถึงสม่ำเสมอ) หลังจากนั้น รดน้ำเดือนละ 2-3 ครั้งในช่วงปีแรก อย่างไรก็ตาม พวกมันมีถิ่นกำเนิดในที่ที่เป็นแอ่งน้ำและถ้าจะรดน้ำให้มาก ก็จะดีกว่ามาก  
การตัดแต่งกิ่ง---การดูแลตัดแต่งทางใบที่แห้งติดต้นออกอย่าปล่อยให้รกรุงรัง เพราะปาล์มชนิดนี้จะไม่ทิ้งใบเอง
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า อาจมีภาวะขาดแมงกานีส หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---Aleurotrachelus atratus(แมลงหวี่ขาวรบกวนปาล์ม), Cerataphis lataniae (เพลี้ยปาล์ม), Raoiella indica (ไรแดง)/ไวต่อค่า pH ของดินมาก ดินที่เป็นกรดเล็กน้อยจะดีที่สุด โดยดินที่เป็นด่างอาจทำให้ขาดแมงกานีสได้ ต้นปาล์มชนิดนี้ยังไวต่อการขาดธาตุเหล็กและโพแทสเซียม แม้ว่าระดับของธาตุอาหารเหล่านี้จะไม่สัมพันธ์กับค่า pH ของดินก็ตาม ; ไวต่อการเน่าของเห็ดหลินจือ (ganoderma butt rot)  เมื่อติดเชื้อแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาให้หายขาด และมักจะตายในที่สุด
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลมของก้านใบ ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ  
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปาล์มนี้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าของบ้านและนักออกแบบสวนเป็นปาล์มประดับที่ใข้ในงานตกแต่งภูมิทัศน์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ หรือตามบ้านที่มีพื้นที่กว้าง ใช้ปลูกลงสนามกลางแจ้งและเหมาะกับสวนใกล้ทะเล ขนาดความสูงที่นำมาใช้ 2-4 เมตร
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ เมล็ดใช้เวลาในการงอก 2-3 เดือน  


สกุล Carpentaria (kahr-pen-tahr-EE-ah) เป็น Monotypic genus มีเพียงสายพันธุ์เดียวในสกุลคือ Carpentaria acuminata

16 ปาล์มคาร์เพนทาเรีย/ Carpentaria acuminata

[kahr-pen-tahr-EE-ah] [ah-koo-mih-NAHT-ah]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Carpentaria acuminata (H.L.Wendl. & Drude) Becc.(1885)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665592-1#synonyms
---Basionym: Kentia acuminata H.Wendl. & Drude.(1875).https://www.gbif.org/species/5293727
ชื่อสามัญ---Carpentaria Palm, Dawin Palm
ชื่ออื่น--ปาล์มคาร์เพนทาเรีย, ปาล์มน้ำพุ ;[AUSTRALIA: Carpy.];[CHINESE: Dong ao zong.];[FRENCH: Palmier Car-pentaria, Palmier de Darwin.];[GERMAN: Carpentaria palme.];[LITHUANIAN: Karpentarija.];[PORTUGUESE: Palmeira-carpentária.];[SPANISH: Palma Carpentaria.];[THAI: Paam nam-phu.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- KPAAC (Preferred name: Carpentaria acuminata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลCarpentaria หมายถึงอ่าว Carpentariaใกล้กับแหล่งกำเนิด ; ชื่อสายพันธุ์เป็นคำภาษาละติน 'acuminatus, a, um' = แหลม มีอ้างอิงที่ไม่แน่ช้ด อาจจะเป็นปลายแหลมของผล
Carpentaria acuminata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) และ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปีพ.ศ.2428

ที่อยู่อาศัย--- เป็นปาล์มพื้นเมือง (Native) บริเวณชายฝั่งทะเลในเขตร้อนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เติบโตในป่ามรสุม ป่าพรุ ในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ระดับความสูง 0-200 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ--- เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยว บางครั้งอาจจะมีต้นคู่ (2-3) ต้นสูงประมาณ 9-20 เมตรและถึง 30 เมตรในถิ่นกำเนิด เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-20 ซม. ลำต้นสีเทาน้ำตาล มีร่องรอยแผลเป็น ที่เราเรียกกันว่าข้อปล้อง ซึ่งเกิดจากใบเก่าที่ร่วงหล่นไป ห่างกันไม่เกิน 30 ซม คอยอด (Crownshaft) เรียบสีเขียว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) สีเขียวเข้ม มี 10-12 ใบต่อต้น ทางใบยาว 2-4 เมตร โค้งลง มีใบย่อย 90-100 ใบ ใบย่อยโคนใบแหลมแคบยาว 40-60 x 1.2-1.5 ซม. สีเขียวเข้ม ฐานทางใบสีเขียวเข้มห่อหุ้มลำต้นทั้งหมดยาว 0.8-1.3 เมตร ช่อดอกออกจากโคนใบด้านบน (Infrafoliar) ห้อยลง ยาว 0.90-1.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) มีดอกสีขาวครีมวางเรียงบนช่อ (ดอกเพศเมีย1ดอกอยู่ระหว่างดอกเพศผู้ 2 ดอก) ที่ปลายยอดจะมีแต่ดอกเพศผู้ ดอกเพศผู้มีเกสรตัวผู้ 30-40 ตัว ดอกเกสรเพศเมียสูง 5-6 มม. กว้าง 4-5 มม ผลกลมรีมีปลายยอดแหลม สีแดงสดใส ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 มม.มีเมล็ด 1- 3 เมล็ด เมล็ดกลมเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 15 มม เรียบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะกับเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้นในภูมิภาคที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 °C (USDA hardiness zones 10b -11) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถเติบโตได้ดีในที่ ที่มีร่มเงาบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ไม่ต่อเนื่อง) ยกเว้นในช่วง 2-3 ปีแรกให้เก็บไว้ในที่ร่มบางส่วน (ต่ำกว่า 30% ถึง 50%) ขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพ ไม่เฉพาะเจาะจงกับชนิดของดิน แต่ดินต้องมีความชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำที่ดี อัตราการเจริญเติบโตเป็นหนึ่งในปาล์มที่เจริญเติบโตเร็วที่สุด การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ--- ต้องการน้ำมาก การรดน้ำต้องชุ่มลึกและสม่ำเสมอ ไวต่อความแห้งแล้ง ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ (ทุกๆ 2 วัน) ต้องไม่ปล่อยให้ดินแห้งนานเกินไป ต้องการความชื้นในฤดูร้อนที่สูงขึ้นด้วย ใบใหม่จะเสียหายได้ง่ายจากลมที่แห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดใบออกถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ ต้นปาล์มรีไซเคิลสารอาหารจากใบที่ตายแล้วหรือกำลังจะตาย และใช้มันเพื่อสุขภาพใบที่เหลือให้แข็งแรงขึ้น ต้นปาล์มผลิตจำนวนใบใหม่ที่เติบโตได้ต่อปีเท่านั้น หากตัดใบปาล์มออกมากกว่าที่จะใบที่จะเกิดในแต่ละปี อาจเหลือปาล์มที่มีใบเพียงเล็กน้อย โล่งเตียน และไม่สวยงาม
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช--- เพลี้ยไฟ /ไม่มีความเปราะบางจากโรคร้ายแรง  
รู้จักอันตราย---น้ำและเนื้อผลไม้ มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตหากสัมผัสอาจเกิดการระคายเคืองมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับมีค่าสูงในงานภูมิทัศน์ มักปลูกเป็นกลุ่มตั้งแต่สองต้นขึ้นไป เพื่อให้ดูสวยงาม เหมาะกับสวนเขตร้อนชื้นและกึ่งร้อนชื้น ทนไอเกลือต่ำ ไม่เหมาะกับสวนใกล้ทะเล มีการใช้ประโยชน์ปานกลางในการตกแต่งภายใน ในห้องที่ส่องสว่าง
**(การพูดคุยส่วนตัว)ในประเทศไทย เมื่อก่อนประมาณก่อนปี 2540 ปาล์มน้ำพุ เคยถูกใช้ในงานจัดสวนมาก เพราะต้นสูงได้ถึง 20 เมตรใช้สร้างระดับงาน ด้านความสูงประกอบอาคารหรือตึกขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัญหาของการขนส่ง ที่ต้องป้องกันการเสียหายและยุ่งยาก จึงทำให้ปาล์มน้ำพุหายไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่ปัจจุบัน เราใช้ปาล์มน้ำพุขนาดแค่ 2-4 เมตร และความที่เป็นปาล์มโตเร็ว เลี้ยงง่ายและทนน้ำท่วมได้ดี นักปลูกเลี้ยงปาล์มเพื่อการค้าจึงหันมานิยมปลูกปาล์มน้ำพุกัน เท่ากับว่า return to landscape อีกครั้ง (2008) การขุดดิบนำมาปลูกเลยจะดีกว่าล้อมทิ้งไว้หรือบอนเอาไว้
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกเป็นระยะได้ตลอดทั้งปี ช่วงออกมาก กันยายน-มกราคม/ธันวาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก 1-3 เดือน มีอัตราการงอกสูง


17 ปาล์มจีน/ Livistona chinesis

[liv-iss-TOH-nah] [chih-NEN-sis]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Livistona chinensis (Jacq.) R.Br. ex Mart.(1838)
ชื่อพ้อง ---Has 13 Synonyms.
---Basionym: Latania chinensis Jacq.(1801)
---Saribus chinensis (Jacq.) Blume.(1838)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668021-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Chinese Fan Palm, Fountain Palm, Chinese Fountain Palm, Chinese anahau
ชื่ออื่น---ปาล์มจีน, ปาล์มเซี่ยงไฮ้ ; [ASSAM: Japi-pat/ Japi-goch.];[CHINESE: Pu kui, Shan ye kui.];[DUTCH (Nederlands): Chinese schermpalm.];[FRENCH: Palmier en éventail de Chine, Palmier eventail chinois, Palmier fontain.];[GERMAN: Chinesische Livistonie, Chinesische Schirmpalme, Chinesische Facherpalme.];[HUNGARIAN: Kínai legyezőpálma (Magyar).];[ITALIAN: Livistona della cina, Ventaglio cinese, Palma fontana, Palma da capelli.];[JAPANESE: Biro, Birou, Kuba.];
[MALAYSIA: Serdang cina (Malay).];[NORWEGIAN: Kinesisk viftepalme.];[PHILIPPINES: Chinese anahau.];[PORTUGUESE: Falsa-latania, Palmeira-leque, Palmiera-leque-da-China.];[POLISH ( Polski): Liwistona chińska];[SPANISH: Palmera de abanico china, Livistona de China, Latanero.];[THAI: Paam jin, Paam jeep.];[VIETNAMESE: Ke tau; Cọ xẻ (Tiếng Việt).]
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LIVCH (Preferred name: Livistona chinensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย                                                               
เขตกระจายพันธุ์--- เบอร์มิวดา, จีนตะวันออกเฉียงใต้, ฟลอริด้า, ฮาวาย, ญี่ปุ่น, มอริเชียส, นิวแคลิโดเนีย,ไต้หวัน เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Livistona' ได้รับเกียรติจากความทรงจำของ Patrick Murray บารอนของ Livingston ในปี 1670 ได้กำหนดให้คอลเล็คชั่นและสวนของเขาเป็นสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น "Royal Botanic Garden of Edinburgh " ในปัจจุบัน ; ชื่อสายพันธุ์ chinensis หมายถึงหนึ่งในสถานที่ต้นกำเนิด
Livistona chinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Brown (1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต จากCarl Friedrich Philipp von Martius(1794–1868)ในปีพ.ศ.2381   

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน (กวางตุ้ง, เกาะไหหลำ)ไต้หวัน ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น (หมู่เกาะริวกิวของโอกินาวา) กระจายไปยัง เบอร์มิวดา, จีนตะวันออกเฉียงใต้, เวียตนาม, มอริเชียส, นิวแคลิโดเนีย ,เปอร์โตริโกและสาธารณรัฐโดมินิกัน พบขึ้นอยู่ในป่าชายฝั่ง ในดินแดนเขตกระจายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มักจะเป็นทรายที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 0-100เมตร เป็นสายพันธุ์ที่รุกรานในฟลอริดา, ฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกบางแห่ง
บทสรุปของการรุกราน---ปาล์มพัดจีนได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการว่าเป็นพืชที่รุกรานได้ในฟลอริดา ฮาวาย และเบอร์มิวดา รวมถึงพื้นที่ชื้นและอบอุ่นอื่นๆ ทั่วโลก มันสามารถหลบหนีจากสวนได้อย่างง่ายดายและตั้งรกรากเพื่อสร้างพุ่มไม้ที่ปิดกั้นพันธุ์พืชพื้นเมือง ใช้ความระมัดระวังเมื่อปลูกปาล์มในพื้นที่เหล่านี้หรือในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว มีรากที่แข็งแรงหยั่งลึก มักสูงประมาณ 4.5-9 เมตร ในการเพาะปลูก แต่อาจสูงได้ถึง สูงได้ถึง 15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-30 ซ.ม.ลำต้นสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน มีร่องรอยรอยแผลเป็นของใบไม่ที่ร่วงแล้วชัด หยาบและมีเศษเล็กเศษน้อย ใบรูปพัด (Costapalmate) ขอบใบจักลึกถึงครึ่งใบ แผ่นใบกว้าง 1.5 เมตรปลายห้อยลู่ลง ก้านใบโค้งเล็กน้อยยาว1.8 เมตร มีหนาม ยาว 2-20 มม สีเขียวถึงดำ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ยาว 0.8-1.2 เมตร เป็นช่อดอกสมบูรณ์เพศ แตกกิ่งก้านสาขามีดอกขนาดเล็กสีขาวแกมเขียวถึงสีครีมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2–2.5 มม.ติดผลจำนวนมาก ผลกลมรี ขนาด 1.5–2.6 × 0.9–1.8 ซม.สีเขียวสดใสมันวาว เมื่อสุกสีเขียวคล้ำถึงน้ำเงินอมเทาห้อยเป็นกระจุกหนาแน่น มีเมล็ดเดียวในแต่ละผล เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---[USDA hardiness zones (9A),9b -11] ทนอุณหภูมิต่ำถึง -10°C โดยไม่มีผลร้าย แต่อาจอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ต่ำถึง -15° C แต่ใบจะไหม้ แต่ต้นฟื้นตัวได้ไว ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในที่ร่มบางส่วนที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง (ไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นไม้จะผลิตดอกไม้และผลไม้ในตำแหน่งที่มีแสงแดดเท่านั้น ชอบดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินที่ระบายน้ำได้ดีหลายชนิดรวมถึงดินเหนียว ทราย; เป็นด่างหรือเป็นกรด  อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบดินที่เปียกชื้น พืชควรได้รับการรดน้ำในช่วงฤดูแล้ง และใช้วัสดุคลุมดินรักษาความชื้น ในฤดูหนาวปล่อยให้ดินแห้ง ต้นอายุมากมีระบบรากแก้วลึก ทนแล้งได้ยาวนาน
การตัดแต่งกิ่ง---ปาล์มจะทำความสะอาดใบแก่เอง ตัดแต่งแต่เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์มที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงก่อนฤดูฝน เว้น 6 เดือนค่อยให้ปุ๋ยอีกครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงเกล็ด ( scale insects) และไรเดอร์ ( spider mites) ทำลายใบ/ค่อนข้างเสี่ยงต่อโรคใบเหลือง (lethal yellowing disease)/การขาดสารอาหารบางชนิด (โดยปกติคือการขาดโพแทสเซียม) ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
- การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและโรคอื่นๆ ซึ่งสามารถเข้าทำลายพืชได้
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษกับสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้นอกจากได้มาจากการเก็บเกี่ยวจากป่าแล้วยังได้รับการเพาะปลูกในประเทศจีนสำหรับใช้ใบของมันเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำพัด เช่นเดียวกับการใช้ทำหมวก ไม้กวาด เสื้อกันฝน ฯลฯ
ใช้เป็นยา--- ในประเทศจีน ผลไม้แห้งใช้รักษาเนื้องอกต่างๆ ในการแพทย์แผนจีน สารสกัดจากเมล็ดพืชใช้สำหรับมะเร็งหลายชนิด รวมทั้ง HCC และมะเร็งลำไส้ใหญ่
ใช้ปลูกประดับ--- ปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะเป็นไม้ประดับจากเขตอบอุ่นไปจนถึงเขตร้อน เหมาะ ปลูกลงสนามที่กว้าง สำหรับตอนต้นยังเล็กยังไม่ต้องการแสงแดดเต็มที่นำมาปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ ใช้เป็นไม้ประดับในที่ร่มรำไรได้ โตขึ้นค่อยย้ายลงปลูกลงแปลงกลางแจ้งต่อไป
อื่น ๆ---เส้นใยที่สกัดจากกาบและก้านใบนำมาทำเป็นสายระโยงระยาง
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/เมษายน-กันยายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดใช้เวลาในการงอก 1-4 เดือน


18 แวกซ์ปาล์ม/ Copernicia prunifera

[koh-pehr-nee-SEE-ah] [proo-nih-FEHR-ah]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Copernicia prunifera (Mill.) HEMoore.(1963)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666273-1#synonyms
---Basionym: Palma prunifera Mill.(1768) https://www.gbif.org/species/2738262
---Arrudaria cerifera (Arruda) Macedo.(1867)
---Copernicia cerifera (Arruda) Mart.(1838)
---Corypha cerifera Arruda.(1816)
ชื่อสามัญ---Carnauba palm, Carnauba Wax Palm, Brazilian Wax Palm,
ชื่ออื่น---แว๊กซ์อ้วน, แว๊กซ์ผอม ;[FINNISH: Karnaubapalmu.];[FRENCH: Caranda, Palmier a cire, Copernicie à cire.];[GERMAN: Karnaubapalme, Facherpalme, Wachspalme.];[JAPANESE: Burajiru rou yashi , Rou yashi (as C. cerifera).];[PORTUGUESE: Palmeira-da-cera, Arvore-da-vida, Carnaúba, Carnaubeira, Palmeira-carnaubeira.];[RUSSIAN: Brazil'skaya voskonosnaya, Pal'ma kartuba.];[SPANISH: Carandai, Carnauba, Palma carnaúba.];[SWEDISH: Karnaubapalm, Vaxpalm.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE
EPPO Code--- CPDCE (Preferred name: Copernicia prunifera.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ ตอนเหนือของประเทศบราซิล
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Copernicia เป็นเกียรติแก่นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียง Nicolaus Copernicus (1473-1543) ;  ชื่อสายพันธุ์ 'prunifera' เป็นคำภาษาละตินประกอบด้วย 'pruina' = น้ำค้างแข็งและจากคำกิริยา 'fero' = to carry โดยอ้างอิงถึงแว็กสีขาวที่ปกคลุมแผ่นใบ
Copernicia prunifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยPhilip Miller (1691 - 1771) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษเชื้อสายสก็อตแลนด์ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2506

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเรียกว่า“ ต้นไม้แห่งชีวิต” สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์มากมาย (พบเป็นส่วนใหญ่ในรัฐ Ceará, Piauí, Maranhão, Rio Grande do Norte และ Bahia) เติบโตทั่วไปในทุ่งหญ้าสะวันนาหรือป่าเปิดที่มีน้ำท่วมขังเป็นครั้งคราว
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวต้นสูงได้ถึง 15-20 เมตร ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 25 ซม.ใบรูปพัด (Costapalmate) เกือบกลมเส้นผ่านศูนย์กาง 1.5 เมตร ใบสีเทาฟ้าเคลือบด้วยนวลขาว ก้านใบยาว 0.8 เมตรมีหนามแข็งโค้ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ยาวประมาณ 2 เมตร ดอกกะเทย (hermaphrodite) มีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน สีเหลือง ผลรูปไข่ยาวประมาณ 2.6 ซม.สีดำเมื่อสุกมีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในเขตร้อนชื้นหรือกึ่งเขตร้อน (USDA Zones 9-11) อุณหภูมิโดยทั่วไปในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำสุดต่อปีที่ 17°C ถึง 23°C อุณหภูมิสูงสุดต่อปีที่ 28°C ถึง 35°C ทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ถึง -3 °C เป็นเวลาสั้นๆ ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ปรับให้เข้ากับดินต่างๆแม้ว่าการระบายน้ำจะดีหรือไม่ดี pH 6.1-7.8 ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี อัตราการเติบโต หลังจาก 50 ปี สามารถมีความสูงได้มากกว่า 14 เมตรและปาล์มสามารถอยู่ได้นานถึง 200 ปี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงฤดุร้อน
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งแต่เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร (โดยเฉพาะ P) ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคมตามก้านใบควรใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน แก่นของลำต้นอุดมไปด้วยแป้งและใช้ทำสาคู ผลใช้ในการผลิตเยลลี่เพื่อการบริโภค เนื้อเยื่อผลถูกสกัดและทำให้แห้งเพื่อผลิตแป้งคาร์นูบา (Carnauba) ซึ่งชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่บริโภค น้ำมันปรุงอาหารสามารถสกัดจากเมล็ดพืชซึ่งกินได้เช่นกัน ผลคั่วบดและชงเพื่อทดแทนกาแฟ
ใช้เป็นยา--- รากแห้งถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณเป็นยาขับปัสสาวะ ยาต้มจากรากถือเป็นวิธีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคซิฟิลิส รากเผาแล้วบดใช้สำหรับโรคไขข้ออักเสบรูมาติซึม อาการทางผิวหนังและอาการบวมน้ำ
ใช้ปลูกประดับ--- ด้วยลักษณะรูปทรงต้นที่แข็งแรงมั่นคง ใบสีเทาฟ้าเคลือบด้วยนวลขาว ทำให้แว็กซ์ปาล์มเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นในงานตกแต่งภูมิท้ศน์ ใช้ปลูกแยกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ในสวนสาธารณะและสวนที่กว้างมาก ถ้าจะปลูกต้นขนาดเล็กภายในบริเวณบ้านควรหาพื้นที่เผื่อไว้สำหรับรูปทรงที่เหมาะสมในอนาคตด้วย
อื่น ๆ--- เนื้อไม้นุ่มหนักปานกลางทนนานในน้ำเค็มทำงานง่าย ไม้มีความต้านทานตามธรรมชาติต่อศัตรูพืชที่พบบ่อยเช่นปลวก Carnauba Wood จึงเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่าในท้องถิ่น แม้ว่าส่วนใหญ่จะใช้โดยผู้ที่มีรายได้น้อย แต่การใช้งานในเต็นท์ชายหาด – ไม่เพียงแต่เป็นเสากลาง/เสา เท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลังคาใบไม้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก
- Mercado de Carne de Aquiraz ใน Ceará เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของประสิทธิภาพของไม้ Carnauba ในฐานะวัสดุก่อสร้างอเนกประสงค์ ในขณะที่หลังคาของอาคารรองรับด้วยโครงถัก และคานที่ประกอบด้วยโครงหลังคา Carnauba ทั้งหมด กระเบื้องหลังคา เซรามิก ถูกติดตั้งอย่างระมัดระวังบนยอดจันทันที่ทำจากไม้ชนิดเดียวกัน โดยตัดเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน
- เส้นใยใบไม้เป็นผลพลอยได้จากการผลิตขี้ผึ้งหรือที่เรียกว่า "bagana" ชีวมวลสามารถใช้เป็นปุ๋ยหมักคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นหรืออัดเป็นก้อนเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีพลังงานสูงสำหรับการผลิตไฟฟ้า
- เส้นใยใบไม้หรือ "Palha" ยังทอในการผลิตสิ่งของต่างๆเช่นหมวกตะกร้ากระเป๋าและผลิตภัณฑ์ในประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมเหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชากรในท้องถิ่น ใบแว็กซ์ปาล์มยังสามารถใช้ในการทำหลังคาแบบชนบท
- ปลูกเพื่อการค้าเชิงพานิชย์ เป็น1ในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบราซิลโดยเป็นวัตถุดิบในการผลิตขี้ผึ้งทนความร้อนที่ได้จากใบของแว็กซ์ปาล์ม (เพื่อให้ได้แว็กซ์ใบจะถูกนำไปตากแดดจนสามารถตีขี้ผึ้งออกได้ ต้องใช้ใบอ่อนมากกว่า 1,000 ใบในการผลิตขี้ผึ้งคุณภาพสูง 1 กิโลกรัม) แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะสูงและการแข่งขันของสารสังเคราะห์ แต่ก็ยังมีบริษัทจำนวนมากที่อุทิศตนเพื่อการเก็บรวบรวมเพื่อตลาดในประเทศและเพื่อการส่งออก การเก็บจะกระทำในฤดูแล้งที่สารคัดหลั่งมีมากตามความเป็นจริง ใช้ผลิตเป็นน้ำยาเคลือบเงารถยนต์ น้ำยาขัดพื้น ในส่วนผสมในลิปสติก หรือแม้แต่เคลือบลูกอม
- การผลิต Carnauba ส่วนใหญ่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลโดยเฉพาะใน รัฐ Rio Grande do Norte (5%) รัฐ Ceará (35%) และในPiauíรัฐ (45%) บราซิลเป็นประเทศ ผู้ส่งออกรายเดียว และผู้นำเข้าหลักคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วย
การขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลากว่าจะงอก 2-3 เดือน  แตกหน่อช้าอัตราการงอกต่ำ ก่อนนำเมล็ดไปเพาะให้แยกเมล็ดออกจากผลแล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำอุ่น 1วัน (24ช.ม.) ต้นกล้าอ่อนจะเจริญเติบโตขึ้นอย่างช้ามาก


19 ปาล์มไผ่/ Chamaedorea seifrizii

[kahm-eh-doh-REH-ah] [see-FRIZ-ee]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Chamaedorea seifrizii Burret.(1938)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:54954-2#synonyms
---Chamaedorea erumpens H. E. Moore.(1951)    
---Chamaedorea donnell-smithii Dammer.(1905)  
---Meiota campechana O.F. Cook.(1943)
ชื่อสามัญ---Bamboo Palm, Reed Palm,  Cane Palm, Clustered Parlor Palm, Bamboo Palm Tree, Seifriz's chamaedorea
ชื่ออื่น---ปาล์มไผ่ ; [BELIZ: Xate, Xiat.];[BRAZIL: Camedórea-bambu.];[CHINESE: Zhu jing ling long ye zi, Zhu lu, Xue fo li ye zi.];[FRENCH: Palmier bambou.];[GERMAN: Seifriz's Bambuspalme.];[GUATEMALA:  Xate, xiat, chiat (Mayan).];[JAPANESE: Kamaedorea sefurijii, Kireba teeburu yashi.];[ITALIAN: Palma bambù.];[MALAYSIA: Palma buluh (Bahasa Melayu).];[PHILIPPINES: Sipritsi (Tag.).];[PORTUGUESE: Camedor xiat, Camedórea-bambu.];[RUSSIAN: Khamedoreia proryvaiushchaiasia, Khamedoreia zeifritsa.];[SPANISH: Palmera Seifriz de bambú.];[THAI: Paam phai.];[VIETNAMESE: Cau tre; Cau ha oai.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- CMDSE (Preferred name: Chamaedorea seifrizii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลคือการรวมกันของคำกรีก 'chamai' = บนพื้นดิน,บนดินและ 'dorea' =ของ หมายถึงของขวัญจากพื้นดิน ;      ชื่อสายพันธุ์ 'seifrizii'ได้รับเกียรติจาก William Seifriz (1888-1955)นักสะสมและนักชีววิทยาชาวอเมริกัน
- ชื่อสามัญ 'Bamboo Palm' หมายถึงลำต้นของไม้ชนิดนี้ ดูเผินๆ คล้ายต้นไผ่ พืชทั้งสองชนิด ไม่เกี่ยวข้องกัน
Chamaedorea seifrizii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2481

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในประเทศเบลีซ กัวเตมาลา ฮอนดูรัสและเม็กซิโก เติบโตในป่าที่ชื้นแฉะที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล มักจะอยู่บนหินปูน ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลสูงถึง 500 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอ เป็นกลุ่มหนาแน่นคล้ายต้นไผ่ กอละประมาณ 20-30 ต้น ลำต้นเรียวยาวสูงประมาณ 1.5-3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น1-2 ซม.มองเห็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากทางใบเป็นวงสีขาวระยะห่าง12-20ซม. มีใบประมาณ 10-15 ใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก(pinnate)ปลายคู่ ทางใบยาว 0.70-1เมตร ใบย่อยรูปใบหอกเชิงเส้นปลายใบเรียวแหลมสีเขียวเข้มเรียงกัน10-16ใบในแต่ละด้านยาว 20-35 ซม.กว้าง1-2.5ซม. ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) ช่อดอกเกิดจากกาบใบหรือปกคลุมใต้ใบ(Infrafoliar)มีก้านช่อดอกยาว 3.5-5.5 ซม. ดอกมีสีเหลืองหม่น ผลกลมขนาด 8 มม.สีส้มเมื่อสุกสีแดงจนเกือบดำ เมล็ดกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน(USDA Zone 9a-12) ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -3°C เติบโตได้ในที่ร่มหรือในช่วงแดดจัดและต้องการจุดที่สว่างสำหรับการเพาะปลูกในร่ม แม้ว่าอาจทนต่อแสงในระดับต่ำได้แต่จะผลิตดอกและผลเฉพาะในตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง ต้องการดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและมีการระบายน้ำดี และเป็นกรดเล็กน้อย
การรดน้ำ---ต้องการน้ำเพียงพอเพื่อให้ดินชุ่มชื้น รดน้ำต้นปาล์มทุกครั้งที่ดินเริ่มแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากจนทำให้ดินชื้นแฉะตลอดเวลา   รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังปลูก รักษาความชื้นอย่างต่อเนื่อง วันละ 1ครั้ง ต้นไม้โตเต็มที่ต้องการน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น ลดการให้น้ำในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ปล่อยให้โคนใบหรือกาบใบแห้ง รอเพื่อกำจัดใบที่กำลังจะตายออกจนกว่าพวกมันจะมีสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกมันยังคงมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงได้ ให้ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน ตัดทิ้งหรือแยกไปปลูกใหม่  
การใส่ปุ๋ย---ที่สำคัญสำหรับการปลูกไม้ประดับกระถางหรือภาชนะ เพื่อใช้ตกแต่งภายใน (ไม่ใช่เฉพาะปาล์มไผ่, ทั่วไปเลย) ข้อควรระวังคือ เรื่องการใช้ปุ๋ย อย่าใช้ปุ๋ยธรรมชาติพวกมูลสัตว์ ใบไม้ผุ พวกนี้เป็นที่ก่อกำเนิดพวก มด แมลง ด้วง ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ดีกว่า ถ้ากลัวดินแข็งก่อนใส่ปุ๋ย ทำความสะอาดโคน ใช้เสียมเล็กๆเปิดหน้าดินให้ทั่วให้น้ำผ่านลงถึงก้นกระถาง ใส่ปุ๋ยละลายช้า (ออสโมโค้ต 3 เดือนหรือ 6 เดือน) ถ้าใช้สูตรเสมอ15-15-15,16-16-16 พวกนี้ต้องระวังให้หนัก อย่าใส่มาก จะทำให้เกิดภาวะดินเค็ม ต้นไม้บางชนิดรากอ่อนไหว ตายไปเลย แต่ปาล์มไผ่นี่ทนได้ ใช้สูตรเสมอได้ และงดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง (Mealy bugs) แมลงเกล็ด (scale insects) และไรเดอร์ (spider mites) อาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะกับพืชที่ปลูกในบ้าน/อ่อนแอต่อโรคใบไหม้ของลำต้น รากเน่า และโคนเน่า
รู้จักอันตราย---เนื้อของผลไม้สามารถระคายเคืองผิวหนังและไม่ควรจับเนื่องจากมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลต
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตอบอุ่น เป็นพืช House plant ปาล์มชนิดนี้ใช้นำมาตกแต่งภายในโดยปลูกใส่กระถาง และอยู่ภายในห้องแอร์ได้ หรือ จะปลูกลงดิน ในที่ร่มรำไรก็ได้ ส่วนใหญ่ต้นไม้ที่ใช้ตกแต่งภายในจะหาที่อยู่ทนเลี้ยงไม่ยากมีอยู่ไม่มาก ปาล์มไผ่นี่ใช้ได้ดีนิยมใช้กัน
อื่น ๆ--- ใช้เป็น Indoor Air Purifying Plant: ในการวิจัยของ Dr BC Wolverton สำหรับ NASA ระบุว่า Seifrizii อยู่ในอันดับที่ 3 ใน 20 อันดับแรกของพืชโดยได้คะแนน 8.4 จาก 10 โดยพิจารณาจากความสามารถในการกำจัดไอระเหยสารเคมีสารพิษในอากาศภายในอาคารความง่ายในการเจริญเติบโตและการบำรุงรักษาความต้านทาน ต่อแมลงรบกวนอัตราการระเหยของน้ำจากใบ การศึกษารายงานว่าพืชมีประสิทธิภาพในการกำจัดเบนซีนไตรคลอโรเอทิลีนและฟอร์มาลดีไฮด์ สำหรับฟอร์มาลดีไฮด์ยังอยู่ในอันดับ 3 ด้วยอัตราการกำจัด 1,350 ไมโครกรัม / ชม.
ขยายพันธุ์---เมล็ด แบ่งหน่อ แยกกอ  (การเพาะเมล็ดใช้ระยะเวลาในการงอก 5-6 เดือน)
- การขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อหรือแยกกอออกจากต้น ทำให้ได้จำนวนมากเร็วกว่าการเพาะเมล็ด
- วิธีการแยกกอ จะแยกปาล์มไผ่เป็น 2 กอ ดึงปาล์มไผ่ออกจากกระถาง ใช้มีดใหญ่ ๆคม ๆ ผ่ากลางตัดรากลงไปตรง ๆ นำไปปลูกเป็น 2 กระถาง ทั้ง 2 กระถางควรใส่ดินรอบรากให้เต็มและค่อนข้างแน่น รดน้ำตามปกติ ห้ามแฉะท่วมขังเด็ดขาด  

      

21 ปาล์มขวด/ Roystonea regia

[roy-ston-EH-ah] [reh-JEE-ah]

     

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Roystonea regia (Kunth) O.F.Cook.(1900)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:222809-2#synonyms
---Basionym: Oreodoxa regia Kunth (1816).https://www.gbif.org/species/2733755
ชื่อสามัญ---Royal Palm, Cuban royal palm, Florida royal palm
ชื่ออื่น---ปาล์มขวด ;[ARABIC: Nakhl malakî.];[CAMBODIA: Sla barang.];[CHINESE: Wang zong, Da wang ye zi (Hong Kong).];[CUBA: Palma Criolla.];[DUTCH: Koningspalm.];[FINNISH: Kuningaspalmu (Suomi).];[FRENCH: Palmier royal, Palmier royal de Floride, Palmier royal de Cuba, Oréodoxe royal.];[GERMAN: Königspalme, Kubanische Königspalme.];[HAITI: Palmye wayal.];[HUNGARIAN: Királypálma, Kubai királypálma.];[INDIA: Vakka.];[ITALIAN: Palma regia.];[JAPANESE: Furoridaroiyarupaamu, Daiou yashi.];[MALAYSIA ): Palma diraja (Bahasa Melayu).];[POLISH: Rojstona królewska ( Polski).];[PORTUGUESE: Palmiera-real, Palmiera-imperial-de-Cuba.];[PANAMA: Waa.];[SPANISH: Palma real cubana, Chaguaramo, Palma criolla, Palma real, Yagua.];[THAI: Paam khouat.[;[VIETNAMESE: Cau vua.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- ROYRE (Preferred name: Roystonea regia.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---สหรัฐอเมริกา คิวบา,ฮอนดูรัส, เม็กซิโก เบลิซ บาฮามาส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากนายพลของกองทัพสหรัฐฯ Roy Stone (1836-1905)ซึ่งทำงานเป็นวิศวกรในเปอโตริโก ; ชื่อสายพันธุ์ 'regia' มาจากภาษาละติน 'regius, a, um' = ซึ่งแปลว่า -ของจริง สง่างาม เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการอธิบายปาล์มชนิดนี้
Roystonea regia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Orator Fuller Cook (1867–1949) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวสหรัฐฯ ในปี พ.ศ.2443


ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา อเมริกากลาง และแคริบเบียน พบได้ใน; บาฮามาส เบลีซ เคย์แมน อีส คิวบา ฟลอริดา ฮอนดูรัส อ่าวเม็กซิโก เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ ปานามากระจายอยู่ทั่วไปตามเนินเขาและหุบเขาของคิวบา ที่ระดับความสูง 0-400 เมตร
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวความสูงอยู่ประมาณ 20-30 เมตร (มีรายงานความสูงได้ถึง 34.5 เมตร.)เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 35-47 ซม.ขยายได้ถึง 60-70 ซม.ลำต้นคอดใกล้โคนและป่องกลางพื้นผิวสีเทาอมขาวคล้ายคอนกรีต ผิวเรียบ รอยแผลเป็นจากใบไม้เรียบมีระยะห่างสม่ำเสมอและใกล้เคียงกัน คอสีเขียวเข้มและยาวถึง 1 เมตร ใบรูปขนนกปลายใบคี่ (Imparipinnate) มี 15-20 ใบ ทางใบยาว 5-6 เมตร ใบย่อยเรียวยาวและแตกออกเป็นสองทิศทาง ช่อช่อดอกออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ช่อสีขาวนวลขนาดใหญ่ ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) ดอกออกเดี่ยวทั้งดอกเพศผู้และและดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้สีขาวอมชมพู มีกลิ่นหอม ผลทรงรีกว้าง รูปขอบขนานสีเขียว ขนาด 1-1.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1 ซม. เมื่อสุกมีสีน้ำตาลเข้มถึงม่วงดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อน (USDA Zones 10-11) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -3ºCต้องการแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินร่วนซุยที่อุดมสมบูรณ์ pH 6.6-7.5 สามารถทนต่อช่วงแล้งได้ ทนต่อละอองเกลือได้ การเจริญเติบโตในระดับปานกลางถึงเร็ว อัตราการเติบโตของต้นกล้าเฉลี่ย 4.2 ซม.ต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ชอบน้ำและดูดีที่สุดเมื่อได้รับในปริมาณที่เพียงพอ ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง แต่สามารถทนน้ำท่วมหรือฝนแล้งได้เป็นครั้งคราว
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง พืชสามารถทำความสะอาดตัวเองได้โดยการผลัดใบที่แก่กว่าออกไปตามธรรมชาติ
การใส่ปุ๋ย---หลังการปลูก ในปีแรกใส่ปุ๋ยที่ผลิตขึ้นสำหรับปาล์มโดยเฉพาะ ปริมาณธาตุอาหารของปุ๋ยแบ่งตามนี้ 8-2-12-4 Mg.
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ไวต่อแมลงศัตรูพืชหรือการติดเชื้อแบคทีเรียมากเกินไป แต่ก็ไวต่อโรคเชื้อรา เช่น โรคโคนเน่าของเห็ดหลินจือ (Ganoderma butt rot) การติดเชื้อมักจะแพร่กระจายขึ้นที่ลำต้นหลังจากเข้าสู่ทางบาดแผลที่โคนต้นด้านล่างหรือราก
- ลักษณะที่ใบเปลี่ยนสี อาจเป็นสัญญาณของการขาดสารอาหาร หากใบเริ่มเหี่ยว นี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า พืชขาดธาตุแมงกานีสและ/หรือโพแทสเซียม ในกรณีนี้ควรใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม
รู้จักอ้นตราย---ใบไม้ร่วงหล่น ใบไม้เพียงใบเดียวอาจหนักได้ถึง 20 กว่ากิโลกรัม และตกลงมาจากความสูง 30 เมตรในอากาศ อาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้คนหรือพื้นด้านล่างได้
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนของปาล์มขวด นำมากินได้คล้ายยอดมะพร้าว
ใช้เป็นยา--- ยาต้มจากรากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่วออกจากทางเดินปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน ทำให้ผิวนวล ;ในเปรู ใบจะใช้ในการเตรียมยาต้ม เพื่อวัตถุประสงค์ทางยาและทางสัตวแพทย์ ในการรักษาระบบประสาทและสุขภาพจิต และยังช่วยรักษาระบบย่อยอาหารอีกด้วย
ใช้ปลูกประดับ--- ปลูกทั่วทั้งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะที่จะอยู่ใกล้ทางหลวงและใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย ตามสวนสาธารณะ ริมทางเดิน ถนนริมทะเล ไม่นิยมปลูกในสนามเด็กเล่นหรือใกล้บ้านเพราะใบใหญ่ เมื่อร่วงลงมาอาจทำอันตรายต่อคนหรือสิ่งของ และรากอาจทำลายโครงสร้างสิ่งก่อสร้างได้ ชอบน้ำและดินชุ่มจึงทำให้ปาล์มขวด สวยมากเวลาปลูกเป็นแถวหรือเป็นกลุ่มอยู่บริเวณริมน้ำ สามารถจัดสวนใกล้ทะเล
อื่น ๆ--- ลำต้นใช้ทำไม้กระดาน ใบใช้ทำเป็นหลังคาบ้าน เส้นใยที่สกัดจากกาบใบสามารถเทียบเคียงได้กับเส้นใยป่านศรนารายณ์และกล้วยแต่มีความหนาแน่นต่ำกว่าทำให้เป็นแหล่งที่มีประโยชน์สำหรับการใช้ในวัสดุคอมโพสิตน้ำหนักเบา ผลที่เรียกว่า “palmiches” ใช้ผสมเป็นอาหารเลี้ยงหมู
สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำชาติคิวบา
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2016 Roystonea regia ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2016)
source: Carrero, C. 2021. Roystonea regia. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T62329A59233195. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T62329A59233195.en. Accessed on 06 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/62329/59233195
- ชนิดนี้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในเม็กซิโกโดยรายชื่อพันธุ์สัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ระดับชาติ NOM-059-SEMARNAT-2010 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่ “อยู่ภายใต้การคุ้มครองพิเศษ” (Pr; SEMARNAT 2010)
- แนะนำให้ใช้การติดตามและการจัดการที่อยู่อาศัยในคิวบา ประชากรย่อยของต้นปาล์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของพืชพรรณในพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งและสวนพฤกษศาสตร์ทั่วคิวบา ไม่ทราบแผนการจัดการ/ฟื้นฟูในปัจจุบันสำหรับชนิดพันธุ์นี้
- Roystonea regia  ตั้งอยู่ใน คอล เลกชันนอกแหล่งกำเนิดอย่างน้อย 82 แห่ง ตามข้อมูล PlantSearch ของ BGCI (2020)
ระยะเลาออกดอก/ติดผล---ออกดอกช่วงฤดูหนาว - ฤดูร้อน (ม.ค.--ก.ค.)
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 1 เดือน
*ข้อสังเกต---เป็นสายพันธุ์รุกรานที่ขยายพันธุ์อย่างล้นเหลือด้วยเมล็ดที่งอกทั่วต้นแม่และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมต้นกล้า ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่ควรใช้ไม้ชนิดนี้เป็นไม้ประดับต่อไป*
*อ้างอิงจาก https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/24657/Roystonea_regia


22 คิงปาล์ม/ Archontophoenix alexandrae

[ahr-kohn-toh-FEH-niks] [ah-lehk-ZAHN-dreh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Archontophoenix alexandrae (F.Muell.) H.Wendl. & Drude.(1875)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms
---Basionym: Ptychosperma alexandrae F.Muell.(1865) https://www.gbif.org/species/2732609
---Seaforthia alexandriae (F.Muell.) Schaedtler (1875)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664083-1#synonyms                                               
ชื่อสามัญ---King palm, Alexander Palm, Alexandra Palm, Northern bangalow palm.
ชื่ออื่น---ปาล์มคิง ;[CHINESE: Jiǎ Bīn Láng.];[DUTCH: Australische koningspalm.];[GERMAN: Alexandrapalme, Herrscherpalme, Rotfrüchtige Feuerpalme.];[ITALIAN: Palma reale d' Alexandrie.];[JAPANESE: Yusurayashi.];[PORTUGUESE: Palmeira-beatriz, Palmeira-rainha, Palmeira-real, Seafórtia.];[SPANISH: Palmera alejandra, Palma de Alexandro, Palmera de Alexandra, Palmera real de Australia.];[SWEDISH: Kungspalm.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- AHPAL (Preferred name: Archontophoenix alexandrae.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์--- ตรินิแดด โตบาโก ออสเตรเลีย รัฐควีนส์แลนด์ นิวเซ้าท์เวลล์ สหรัฐอเมริกา ฮาวาย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Archontophoenix' ตือการรวมกันของคำกรีก 'archon, -ontos' = หัวหน้าผู้พิพากษา และชื่อของปาล์ม phoenix ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ 'alexandrae' ได้รับการยกย่องให้เจ้าหญิง Alexandraแห่งเดนมาร์ก(1844-1925) พระราชินีแห่ง Great BritainและIreland (1901-1925)
Archontophoenix alexandrae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย F.Muell และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2418
 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ (เป็นปาล์มที่แพร่หลายและแพร่หลายที่สุดในออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่เปียกชื้น เติบโตในพื้นที่แอ่งน้ำและตามแนวระบายน้ำในป่าฝนตามลำธารที่แห้งตามฤดูกาล ป่าเสม็ดและป่ายูคาลิปตัส ที่ช่วงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 0-1,000 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 30เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น10-15 ซ.ม ลำต้นสีเขียวปนเทาอ่อน โคนต้นบวมเล็กน้อย รอยแผลเป็นที่เกิดจากใบหลุดร่วงโดดเด่น มีมี 8-10 ใบ ทางใบยาว 4.5 เมตร ใบรูปขนนกปลายใบคู่(paripinnate) มีใบย่อย 60-80 ใบในแต่ละด้านยาวได้ถึง 75 ซม ด้านบนสีเขียวเข้มใต้ใบสีเทาเงิน คอยอด(Crownshaft)สีเขียวเด่นชัด ไม่มีหนาม ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar)ยาว ประมาณ 60 ซ.ม. ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) สีขาวครีม ติดผลจำนวนมาก ผลกลม ขนาด 1-2 ซ.ม.เมื่อสุกมีสีแดงสด มีเมล็ดเดี่ยวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ต้องการตำแหน่งที่แจ้งแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินร่วนซุยและการระบายน้ำไม่ดีนัก แต่ปรับตัวได้ดีในดินเกือบทุกชนิด  pH อยู่ระหว่าง 6.0 - 7.5 ชอบน้ำมาก ทนอุณหภูมิค่าเฉลี่ยต่ำสุด -1.1 ºC ถึง 12.7 ºC ทนต่อไอเกลือได้ปานกลาง ปาล์มต้นนี้จะเกิดความเครียดเมื่อมีการขุดย้าย อัตราการเจริญเติบโตเร็ว เฉลี่ยปีละประมาณ 0.3-1 เมตร การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ต้นปาล์มชนิดนี้ชอบที่จะมีน้ำขัง เนื่องจากที่อยู่อาศัยของพวกมันจะถูกน้ำท่วมเป็นระยะๆ และในการเพาะปลูกพวกมันต้องการ การรดน้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ (ทุกๆ 2 วัน) เพื่อไม่ให้ดินแห้ง รดน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งปี
การตัดแต่งกิ่ง---ต้องมีการตัดแต่งกิ่งน้อยที่สุด ตัดแต่งเฉพาะใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดใบออกถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ ต้นปาล์มรีไซเคิลสารอาหารจากใบที่ตายแล้วหรือกำลังจะตาย และใช้มันเพื่อสุขภาพใบที่เหลือให้แข็งแรงขึ้น ต้นปาล์มผลิตจำนวนใบใหม่ที่เติบโตได้ต่อปีเท่านั้น หากตัดใบปาล์มออกมากกว่าใบที่จะเกิดในแต่ละปี อาจเหลือปาล์มที่มีใบเพียงเล็กน้อย โล่งเตียน และไม่สวยงาม
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรอง เช่น แมงกานีส แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็กซัลเฟต และคอปเปอร์ซัลเฟต หรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชรบกวน
รู้จักอ้นตราย---None
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับอย่างแพร่หลาย เหมาะปลูกลงสนามกลางแจ้ง ปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม เป็นแถวริมถนน มีความทนทานต่อเกลือต่ำไม่ควรปลูกภายในรัศมี ¼ ไมล์จากชายทะเล
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของIUCNของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 ระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2018)
source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2021. Archontophoenix alexandrae. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T67530447A192233901. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T67530447A192233901.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566
ขยายพันธุ์---เมล็ด งอกง่ายใช้เวลาในการงอก1-3 เดือน


สกุล Keriodoxa (kehr-ree-oh-DOKS-ah)เป็นMonotypic genus มีเพียง1สายพันธุ์ในสกุล คือ Keriodoxa elegans เป็นพืชเฉพาะถิ่นของประเทศไทย อธิบายว่าเป็นสกุลและชนิดใหม่ในปี 1983

23 ปาล์มเจ้าเมืองถลาง/ Keriodoxa elegans 

[kehr-ree-oh-DOKS-ah] [EHL-eh-ganz]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Keriodoxa elegans J.Dransfield.(1983)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. See http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-105915
ชื่อสามัญ---King Thai palm, Elephant Palm, White Elephant Palm, White Backed Palm
ชื่ออื่น---ปาล์มเจ้าเมืองถลาง, ปาล์มพระยาถลาง, ทังหลังขาว, ชิงหลังขาว ;[FRENCH: Palmier élégant de Siam, Palmier d'ornement de Thailand.];[GERMAN: Weiße Elefantenpalme.];[THAI: Chao-mueng-ta-lang, Phaya-tha-lang, Praya thalang, Ching lang-khao, Thang-lang-khao.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- KEXEL (Preferred name: Keriodoxa elegans.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Keriodoxa' เป็นชื่อที่รวมกันของชื่อนักพฤกษศาสตร์ชาวไอริช Arthur Francis George Kerr (1877-1942) ซึ่งนักวิชาการด้านพฤกษศาสตร์พรรณไม้ไทยกับคำภาษากรีก 'doxa' ในกรณีนี้ใช้กับความหมายว่า 'ความรุ่งโรจน์ '; ชื่อของสายพันธุ์เป็นภาษาละติน คำว่า 'elegans' = สง่างามอ่อนโยน
Keriodoxa elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Dransfield (เกิดปี 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2526

ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มีจำกัดอยู่สองแห่งบนที่ลาดในป่าดิบชื้นตามชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทยตอนกลาง พบที่ จังหวัดภูเก็ต และอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฏร์ธานี ในสภาพธรรมชาติที่ร่มชื้น ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100-300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวและไม่มีหน่อ ลำต้นสูงประมาณ 3 - 5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 ซม.สีซีด อาจมองเห็นเป็นรูปวงแหวนปิดรอยแผลเป็นของรอยต่อใบที่ร่วงหล่น แต่โดยปกติแล้วปกคลุมด้วยฐานทางใบที่เน่าเปื่อย ใบรูปพัด(palmate)กลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 2เมตร ปลายใบรอบๆเป็นแฉกประมาณ90-100 แฉกตื้น ๆรวมกัน ช่วงปลายใบ 10-40 ซม.จะแยกออก เนื้อใบบาง ด้านบนใบเป็นสีเขียวเข้ม ด้านใต้ใบสีเขียวอ่อนเป็นมันวาวปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาวเงินขนาดเล็ก ก้านใบยาวได้ถึง 2 เมตรสีเขียวอมดำและมีขอบคม ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ในต้นเพศผู้ ช่อดอกแตกกิ่งมากโค้งยาว 40-50 ซม.มีดอกเล็ก ๆสีขาวครีม ในต้นเพศเมียช่อดอกตั้งตรงแตกกิ่งน้อยกว่า ยาว 70 ซม.ดอกสีเหลืองครีม ผลรูปทรงกลมค่อนข้างหดตัวที่ฐานยาวประมาณ3 ซม.และกว้าง 4.5 ซม.สีเหลืองส้ม ที่ผิวมีติ่งเล็ก ๆกระจัดกระจาย มีเมล็ดกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 ซม.มีเมล็ดเดียวซึ่งมักไม่ค่อยมีถึง 2 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะที่สุดในพื้นที่กึ่งร้อนชื้นและเขตร้อนที่อบอุ่น ไม่ชอบแสงแดดจัดหรือสถานที่ ที่มีลมแรง ต้องการตำแหน่งที่ร่มรื่นมีที่กำบังลมเนื่องจากใบไม้ขาดง่าย ชอบดินที่ลึกอุดมสมบูรณ์มีอินทรีย์วัตถุมาก แต่ก็เจริญเติบโตได้ดีในดินเขตร้อนที่หลากหลายหากมีการระบายน้ำดี pH 5.6-7.8 ทนอุณหภูมิต่ำสุด -2° C ได้โดยไม่มีผลร้ายใดๆ อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษา ปานกลาง
การรดน้ำ---รดน้ำสม่ำเสมอตลอดทั้งปี อย่าปล่อยให้ดินแห้งเป็นเวลานาน หรือขังแฉะตลอดเวลา (ต้นปาล์มในร่มไม่ควรรดน้ำมากเกินไป และเป็นการดีที่จะรักษาอุณหภูมิไม่ให้ต่ำกว่า +16° C)
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดใบออกถ้าก้านใบยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยละลายช้า (osmocote) ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ปีละ 3 ครั้ง หากไม่ได้ปลูกในดินที่อุดมสมบูรณ์
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง พืชที่ปลูกอยู่ในร่มมีความอ่อนไหวต่อไรเดอร์ (spider mites) และแมลงเกล็ด (Scales insects)
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปาล์มชนิดนี้เพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จักกับการเพาะปลูกเมื่อไม่นานมานี้ แต่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนในฐานะพืชสวนและพืชในภาชนะ เป็นปาล์มภูมิทัศน์ที่ยอดเยี่ยมเมื่อตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูง จะดียิ่งขึ้นเมื่อปลูกหลายต้นพร้อมกัน เมื่อนำมาปลูกใส่ภาชนะสำหรับตกแต่งพื้นที่ภายใน ควรเป็นที่กว้างขวางและมีแสงส่องสว่างปานกลาง
อื่น ๆ---เนื่องจากเป็นพืช dioecious (ต้องใช้ทั้งต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย) เมล็ดพันธุ์มักไม่สามารถหาได้จากพืชที่เพาะปลูก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสินค้าที่มีราคาแพงซึ่งปกติจะมีไว้สำหรับนักสะสม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดสดใช้เวลางอก 4-6 เดือน หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเมล็ดจะมีอายุการเก็บรักษาไม่นาน

Picture by---www.palmasenresistencia.blogspot.com
This is a tillering palm, it exhibits saxophone style root growth (it has a heel), keep top third of heel above soil elevation!  * นี่คือปาล์มที่แตกกอมีลักษณะการเจริญเติบโตของรากแบบแซกโซโฟน (มีส้นเท้า) ให้ส้นหนึ่งในสามอยู่เหนือระดับความสูงของดิน (แปลโดยกูเกิ้ล)

24 ปาล์มเจ้าเมืองตรัง/ Licaula peltata var. sumawongii

[pehl-TAH-tah] [soom-ah-WOHN-gee] [soom-ah-WOHN-jee]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Licuala peltata var. sumawongii Saw.(1826)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.This variety is accepted https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:999409-1
ชื่อสามัญ---Sumawong's Palm, Sumawong's fan palm
ชื่ออื่น---ปาล์มเจ้าเมืองตรัง ;[THAI:Pam chao mueang Trang.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LCLPE (Preferred name: Licuala peltata.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลย์เซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล'Licaula' มาจากชื่อท้องถิ่น 'leko wala' ซึ่งมอบให้กับปาล์มเหล่านี้ในหมู่เกาะโมลุคกะ ; ชื่อสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'peltata' =ติดอาวุธ ด้วยpelta (โล่ขนาดเล็กและเบา), peltateในทางพฤกษศาสตร์บ่งบอกถึงใบไม้ซึ่งมักจะกลมมีก้านใบแทรกอยู่ตรงกลางหรือในกรณีใด ๆในแผ่นใบ ; ชื่อVarietyสายพันธุ์ “sumawongii ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.วัฒนา สุมาวงศ์ นักปลูกเลี้ยงปาล์มมืออาชีพชาวไทย ซึ่งค้นพบปาล์มชนิดนี้
Licaula peltata var. sumawongii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Leng Guan Saw (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2540)นักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซียในปี พ.ศ.2369

ที่มาของชื่อ---"ปาล์มเจ้าเมืองตรัง" เนื่องจากถูกค้นพบโดย พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)(พ.ศ.2400-2456) ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรัง ขณะที่บุกเบิกตัดถนนในป่าเขตแดนจังหวัดตรัง เห็นว่ามีความสวยงาม จึงนำมาปลูกในกระถางเลี้ยงไว้ ต่อมาส่งเข้าประกวดที่สมาคมพฤษศาสตร์ เมืองปีนัง พวกกรรมการที่เป็นฝรั่งเห็นเข้าชอบใจ ตัดสินให้รางวัล และตั้งชื่อให้ว่า Governor of Trang อันเป็นที่มาของชื่อ เจ้าเมืองตรัง ในปัจจุบันปาล์มเจ้าเมืองตรังสามารถหาดูได้รอบ ๆ สวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ในเขตเทศบาลเมืองตรัง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในหุบเขาทางภาคใต้ของไทยและมาเลเซีย
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 6-10 ซ.ม.ปกคลุมด้วยเส้นใยทอสีน้ำตาลและฐานใบ ใบรูปพัด (Costapalmate) เกือบเป็นวงกลมไม่มีการแบ่งแยก จีบอย่างสม่ำเสมอและสวยงาม มีรอยหยักที่ขอบ แผ่นใบกว้าง 0.60-1.2 เมตร ยาว1.2-2.1 เมตร มีใบมากถึง10-15ใบ ก้านใบสีเขียว ยาว 1.2 -2.1 เมตร มีหนามใหญ่และห่างยาวไม่เกิน 1ซม. ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar)ช่อดอกตั้งตรงยาว 0.90-2(4) เมตร.ยื่นออกไปนอกมงกุฏ ดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) สีขาวแกมเขียว ผลทรงกลมขนาด 1.2 ซม.สีเขียวมะกอก เมื่อสุกสีแดงส้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สายพันธุ์นี้ทนต่อสภาพอากาศเย็นได้ดีกว่าปาล์มกะพ้ออื่น ๆเกือบทุกชนิดและจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพกึ่งเขตร้อนและเขตร้อน เป็นปาล์มที่ต้องการแสงกรอง ชอบที่ร่มชื้นรำไร แต่สามารถปรับให้เข้ากับแสงแดดโดยตรงได้ ชอบดินชื้นเป็นกรดที่ระบายน้ำได้ดีและยังเติบโตได้ดีในดินที่เป็นด่างและเป็นการดีที่จะรักษาอุณหภูมิไม่ให้ต่ำกว่า +16° C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  -3° C (ทนต่อความหนาวเย็นได้มากที่สุดในบรรดา Licualas) การปลูกปาล์มต้นนี้ต้องมีพื้นที่กว้างพอควรเพราะรูปทรงใบพัดเกือบกลมแผ่กว้างขนาดใหญ่ และต้องอยู่ในที่ไม่มีลมแรงเพราะใบจะฉีกแตกรุ่งริ่งไม่สวยงาม ปาล์มเจ้าเมืองตรังเป็นปาล์มที่หายากและราคาแพงต้นหนึ่ง เพราะอัตราการเติบโตข้ามาก ผลิตใบเพียงหนึ่งหรือสองใบต่อปี กว่าจะเลี้ยงได้สูงถึง 3 เมตร ต้องใช้เวลาประมาณ15-20 ปี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สามารถอยู่รอดได้ในช่วงฤดูแล้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งมากนัก รอเพื่อกำจัดใบที่กำลังจะตายออกจนกว่าพวกมันจะมีสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกมันยังคงมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงได้ ให้ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน ตัดทิ้งหรือแยกไปปลูกใหม่ เลี้ยงเฉพาะต้นแม่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสำหรับพืชในร่มที่สมดุลทุก 2 เดือน งดใส่ปุ๋ย ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเมื่อพืชพักตัว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง พืชที่ปลูกอยู่ในร่มมีความอ่อนไหวต่อไรเดอร์และแมลงเกล็ด
รู้จักอ้นตราย---ก้านใบพืชมีหนามแหลม ระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ถือได้ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในถิ่นที่อยู่ แต่มีการเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์และสามารถหาซื้อได้ นิยมใช้ปลูกใส่กระถางขนาดใหญ่ สำหรับตกแต่งพื้นที่ภายใน ควรเป็นที่กว้างขวางและมีแสงส่องสว่างน้อย  
ใช้เป็นยา--- รากใช้ในยาแผนโบราณเป็นยาขับปัสสาวะ
อื่น ๆ---ในท้องถิ่นใบถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการทำหมวก
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในดารงอก 3 – 4 เดือน


25 เต่าร้าง/ Caryota urens

[kahr-ee-OH-tah] [OOR-ens]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota urens L.(1753)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665636-1/general-information
ชื่อสามัญ ---Solitary Fishtail Palm, Toddy Palm, Wine Palm, Jaggery Palm, Indian sago palm, Kitul palm
ชื่ออื่น---เกี๋ยง เขือง เต่ารั้ง เต่าร้าง ;[ASSAM: Chao tamol, Sewa/ Sewa-tamol/ Sao-tamol/ Suratguti-goch, Sowat goch.];[BENGALI: Sopari, Gol sago.];[FRENCH: Palmier queue de poisson, Palmier céleri, Caryot brûlant.];[GERMAN: Ostindische Brennpalme, Kitulpalme, Fischschwanzpalme, Brennpalme.];[HINDI: Ban-khajur, Gud, Mari.];[HUNGARIAN: Diópálma.];[KANNADA: Baini, Bayne, Kondapana, Bayni, Bagani.];[MALAYALAM: Konda Pana, Vainava, Choondappana, Iram Pana, Chunda Pana.];[MARATHI: Sur-maad, Bherli-maad.];[POLAND: Kariota parząca.];[PORTUGUESE: Palmeira-brava, Palmeira-do-vinho, Palmeira-rabo-de-peixe, Palmeira-sagu, Palmeira-todi, Palmeiro-jaggeri.];[SANSKRIT: Sritalah.];[SINHALESE: Kitul.];[SPANISH: Palmera de sagú, Palmera de hoja de cola de pez, Palmera de vino de la India, Palma de cola de pescado.];[SWEDISH: Fiskstjärtspalm.];[TAMIL: Kundal panai, Koondalpanai,Thippali, Tippili, Konda panna.];[TELUGU: Jeelugu.];[THAI: Kiang, Khueang, Tao-rung, Tao-rang.]
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- CAWUR (Preferred name: Caryota urens.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ; อินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' เป็นศัพท์ภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก 'catryota' = ผล Date palm ; ชื่อสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'urens' =การกัด หมายถึงคุณสมบัติที่ทำให้ระตายเคืองของเนื้อผลไม้
Caryota urens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียและศรีลังกา ความไม่แน่นอนที่ยังหลงเหลืออยู่และแหล่งกำเนิด (ถิ่นที่อยู่) ภูฏาน; จีน (ฉงชิ่ง ยูนนาน เหอหนาน กว่างซี กวางตุ้ง); อินโดนีเซีย (ชวา, สุมาตรา); สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; มาเลเซีย (คาบสมุทรมาเลเซีย); พม่า; เนปาล; ประเทศไทย; เวียดนาม บนพื้นหินปูนและป่าในหุบเขาที่ระดับความสูง 0-2,000 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวไม่มีหนาม ลำต้นอ้วนกลมสูงได้ถึง 12-15 (-35) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 30-50 ซม.มีแผลเป็นรูปวงแหวนเด่นชัด ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น(Bipinnate) ใบสุดท้ายหยักเว้าคล้ายหางปลา ใบย่อยเป็นรูปสามเหลี่ยมขอบใบแหลมและหยัก สีเขียวสดใส ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) เต่ารั้งเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้หลายปีโดยไม่ออกดอก แต่จะตายเมื่อออกดอก (Monocarpic) มีขนาดโตเต็มที่ในเวลาประมาณ 10-15 ปีจากนั้นออกดอกต่อไปอีก 5 ปีขึ้นไป จะออกดอกจากด้านบนลงและเมื่อผลสุดท้ายของช่อดอกด้านล่างเจริญเติบโตพืชก็จะตาย (แต่จะสร้างลำต้นใหม่เมื่อต้นเก่าตาย) ดอกยังคงบานอยู่ในแต่ละช่อดอกประมาณหกสัปดาห์ ผลกลมขนาด2 ซม.สึเขียว เมื่อสุกสีม่วงอมแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเติบโตได้ในภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้น (USDA Zone 9b-11) ซึ่งอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 10° C ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดได้ประมาณ-2°C (หรือน้อยกว่านั้นในช่วงเวลาสั้นๆ) ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดครึ่งวัน และตำแหน่งที่ร่มรื่นและชื้น ชอบดินปนทราย แต่สามารถปรับตัวให้เข้ากับดินเหนียวและดินร่วนได้ทั้งเป็นด่างและกรดเล็กน้อย  pH ในช่วง 6 - 7.5 ทนได้ 5.5 - 8 อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ แต่อย่าท่วมขังชื้นแฉะตลอดเวลา รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ใน 3 เดือนแรกที่เริ่มปลูก หลังจากนั้น รดน้ำทุกสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน และสองครั้งต่อเดือนในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งมากนัก ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง รอเพื่อกำจัดใบที่กำลังจะตายออกจนกว่าพวกมันจะมีสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกมันยังคงมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงได้ ให้ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน ตัดทิ้งหรือแยกไปปลูกใหม่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืช/โรครากเน่า โคนเน่า อาจเกิดขึ้นได้ได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป
รู้จักอันตราย--- เนื้อของเมล็ดและลำต้นประกอบด้วยกรดออกซาลิก สามารถทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้รู้สึกแสบร้อน และควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
การใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในสวนเขตร้อนเพื่อใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังปลูกในเชิงพาณิชย์สำหรับน้ำนมของมันซึ่งใช้ทำน้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในขณะที่ไฟเบอร์ของมันส่งออกจากศรีลังกา มักปลูกเป็นไม้ประดับในสวน
ใช้กิน---ใบอ่อนและยอดอ่อน (หัวใจปาล์ม) ต้มกินเป็นผัก รสค่อนข้างขม
- ลำต้นอุดมด้วยแป้งถูกนำมาใช้เป็นอาหารในบางพื้นที่ โดยตัดต้นก่อนออกดอกส่งผลให้ประชากรในธรรมชาติลดลง
- น้ำนมที่สกัดจากช่อดอกของพืชใช้ทำน้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เมล็ดใช้เคี้ยวแทนหมากได้
- ผลิตภัณฑ์หลักของพืชในชุมชนชนบทคือสารทดแทนน้ำตาลที่เรียกว่าน้ำผึ้ง kitul หรือน้ำตาลโตนดที่ได้จากน้ำจากดอกไม้ (sap). สิ่งนี้เข้มข้นในภาชนะปากกว้างขนาดใหญ่บนกองไฟเพื่อเตรียมน้ำเชื่อมสีทองหนืดที่มีรสชาติอร่อย เคี่ยวจนเข้มข้นขึ้นเพื่อให้ kitul jaggary (ลูกอม)
ใช้เป็นยา---เมล็ดบดต้มเป็นโจ๊ก ถูกกำหนดจากแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ปวดศีรษะ ไมเกรน พิษงูกัดและอาการบวมของไขข้อ  
- รากใช้รักษาโรคฟัน, เปลือกและเมล็ดใช้แก้ฝี, ดอกอ่อนใช้สำหรับส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม
ใช้ปลูกประดับ--- จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไม่เหมาะกับสวนขนาดเล็กหรือขนาดกลาง เหมาะปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นกลุ่มในที่กว้าง หรือปลูกเป็นแถวเดี่ยวโชว์ทางใบใหญ่ที่แผ่กางอย่างสวยงาม
ใช้อื่น ๆ---เส้นใยที่แข็งแรง ละเอียด นุ่ม และทนทานได้มาจากฐานใบ ใช้ทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะไม้กวาด แปรง เชือก ตะกร้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้สำหรับบรรจุหมอนอิง เส้นใยจะยืดหยุ่นได้มากหลังจากแช่ในน้ำมันลินสีด
- เนื้อไม้ที่โตเต็มที่ในส่วนนอกของลำต้นมีความแข็งแรง หนัก และทนทาน แต่เป็นไม้ที่ด้อยคุณภาพ บางครั้งใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารแบบดั้งเดิม เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น ไม้กระดาน พื้น จันทัน หลังคา พาร์ติชั่นและรั้ว และยังใช้ทำหอก
- ลำต้นผ่าครึ่งตามยาวโดยคว้านตรงกลางออก ใช้สำหรับรางน้ำและท่อระบายน้ำ หรือส่งน้ำเป็นระยะทางไกล ลำต้นขัดเงาใช้เป็นเหมือนเสาหินในบ้านสมัยใหม่
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ภัยคุกคามที่สำคัญต่อปาล์มชนิดนี้คือการรบกวนอย่างรุนแรง เช่น เส้นทางการตัดไม้ และการตัดไม้เพื่อการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย (Johnson 1996) ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2009 ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2009)
source: Loftus, C. 2014. Caryota urens. The IUCN Red List of Threatened Species 2014: e.T44393459A44452629. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2014-1.RLTS.T44393459A44452629.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/44393459/44452629
- สายพันธุ์นี้มีอยู่ในพื้นที่คุ้มครอง ในการประเมินการอนุรักษ์ก่อนหน้านี้ ถูกระบุว่าไม่ถูกคุกคามในศรีลังกา เมียนมาร์ และอินเดีย (Johnson 1996)
- ปาล์มนี้ปลูกในสวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติ, แล, สวนพฤกษศาสตร์ฟอสเตอร์ (Oah, Hawaii); สวนพฤกษศาสตร์ Wahiawa (Oah, Hawaii); สวนรุกขชาติ Harold L. Lyon (Oah, Hawaii); สวนรุกขชาติ Waimea (Oah, Hawaii); Don Carlsmith Collection ที่ Onomea (Hawaii); Don Hodel Collection ที่ Kealakekua (Hawaii) สวนพฤกษศาสตร์แห่งเจนีวา และมีการปลูกเป็นครั้งคราวในปากีสถาน                         - - สายพันธุ์นี้ไม่อยู่ในรายการ CITES และไม่มีเมล็ดพันธุ์อยู่ใน Millennium Seed Bank สหราชอาณาจักร
ระยะออกดอก---มกราคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก 4 เดือนถึง 1 ปี
- ที่อุณหภูมิห้อง เมล็ดพืชจะคงอยู่ได้นาน 30 - 90 วัน ขึ้นอยู่กับสภาวะการเก็บรักษา
- การทดลองในศรีลังกาเกี่ยวกับผลของการเก็บเมล็ดพันธุ์และการได้รับแสงแดดเผยให้เห็นอัตราการงอก 99% สำหรับเมล็ดที่หว่านหลังจาก
เก็บ 30 วันในห้องมืด 

26 เต่าร้างแดง/ Caryota mitis

[kahr-ee-OH-tah] [MEET-iss]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Caryota mitis Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.
---Caryota furfuracea Blume ex Mart. (1838)
---Caryota propinqua Blume ex Mart. (1838)
---Caryota speciosa Linden (1881).
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665616-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Burmese Fishtail Palm, Clustered Fishtail Palm, Many-stemmed fishtail palm, Tufted fishtail palm.
ชื่ออื่น---เขื่องหมู่ เต่ารั้งมีหน่อ เก๊าเขือง เต่าร้างแดง ;[ARABIC: Nakhlat câryôtâ.];[CAMBODIA:Tunsaétöch.];[CHINESE: Duan sui yu wei kui, Cong li kong que ye zi, Tuan sui yi wei k'uei, Chiu yeh tzu, Jiu ye zi.];[DUTCH: Zachte vinnetjespalm.];[EL SALVADOR: Palma cola de pescado.];[FRENCH: Caryote doux, Palmier céleri multipliant, Palmier queue-de-poisson.];[GERMAN: Fischschwanzpalme, Buschige Fischschwanzpalme, Milde Fischschwanzpalme.];[INDONESIA: Sarai, Sarowai, Dan kalombu, Tukus.];[ITALIAN: Palma cariota.];[JAPANESE: Komochikujakuyashi, Kujakuyashi.];[KOREAN: K'ae ri oh t'a ya cha.];[MALAY: Beridin, Dudar, Nudok, Dudok, Leseh, Leuteu. Mudor.];[MALAYSIA: Tukas, Rabok, Dudok, Mardin, Rabuk (Malay).];[MYANMAR: Minbow, Minbaw, Tamibaw.];[PAPUA NEW GUINEA: Tosh.];[PHILIPPINES: Bato, Pugahan (Tag.).];[PORTUGUESE: Cariota-de-touceira, Palmeira-rabo-de-peixe.];[SPANISH: Palma cola de pescado ramificada.];[SWEDISH: Tuvad fiskstjärtspalm.];[THAILAND: Khueang-mu,Tao-rang-dang.];[VIETNAMESE: Dung dinh.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- CAWMI (Preferred name: Caryota mitis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ; กัมพูชา; จีน; อินเดีย; อินโดนีเซีย; สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; มาเลเซีย; พม่า; ฟิลิปปินส์; สิงคโปร์; ประเทศไทย; เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Caryota เป็นศัพท์ภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก 'catryota' = ผล Date palm ; ชื่อของสายพันธุ์เป็นคำภาษาละติน 'mitis' = อ่อนโยน โดยอ้างอิงถึงขาดหนาม
Caryota mitis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย João de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปี พ.ศ.2333

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อนจากอินเดียถึงเกาะชวาไปจนถึงจีนตอนใต้ปัจจุบันแพร่หลายในฟลอริดาตอนใต้ ฮาวายและในบางส่วนของแอฟริกาและละตินอเมริกา เติบโตในป่าชื้นและพื้นที่ที่ถูกรบกวน ที่ระดับความสูง 1,000 เมตร
ลักษณะ---เป็นปาล์มทีมีลำต้นหลายลำต้นมีหน่อจำนวนมากและสร้างกลุ่มของปาล์มขนาดเล็กรวมกันเป็นกอ สูงถึง 7เมตร ลำต้นสีเขียว เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5-15ซม.ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) ใบมีสีเขียวอ่อนรูปสามเหลี่ยมและคล้ายหางปลา ก้านใบมีขนสีแดงอมน้ำตาลหรือออกดำปกคลุม ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) เป็นช่อห้อยลงยาว1-1.5เมตร ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) เต่ารั้งเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้หลายปีโดยไม่ออกดอก แต่จะตายเมื่อออกดอก (Monocarpic) มีขนาดโตเต็มที่ในเวลาประมาณ 10-15 ปีจากนั้นออกดอกต่อไปอีก 5 ปีขึ้นไป จะออกดอกจากด้านบนลงและเมื่อผลสุดท้ายของช่อดอกด้านล่างเจริญเติบโตพืชก็จะตาย ดอกยังคงบานอยู่ในแต่ละช่อดอกประมาณหกสัปดาห์ ดอกไม้มีสีครีมซีด ผลสีเขียวอมเหลืองขนาดกว้าง0.8-1.3ยาว1.2ซม.เมื่อสุกสีแดงถึงม่วงดำ มี1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบตำแหน่งที่มีร่มเงาแสงแดดส่องถึง ไม่ชอบแสงแดดจัด อุณหภูมิต่ำสุด 14° C-15° C ชอบดินมีการระบายน้ำดีและมีความชื้นสม่ำเสมอตลอดเวลา ไม่ชอบที่ที่แห้งเกินไปจะโตช้าลง  pH 6.1-7.8 สปีชีส์ในสกุลนี้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเติบโตเป็นเวลาหลายปี (ในบางชนิด 15 ปีขึ้นไป) โดยไม่ออกดอก แต่ออกดอกและติดผลมากมายในช่วงหลายปีก่อนที่จะตาย (สายพันธุ์นี้มีลำต้นจำนวนมากจากฐานจะเจริญเติบโตต่อเมื่อต้นหลักตายไป) อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ แต่อย่าท่วมขังชื้นแฉะตลอดเวลา รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ใน 3 เดือนแรกที่เริ่มปลูก หลังจากนั้น รดน้ำทุกสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน และสองครั้งต่อเดือนในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งมากนัก ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง รอเพื่อกำจัดใบที่กำลังจะตายออกจนกว่าพวกมันจะมีสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกมันยังคงมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงได้ ให้ตัดแต่งบริเวณโคนใบ ถ้าไม่ต้องการให้กอใหญ่มากก็ใช้วิธีกำจัดหน่อที่แตกรอบโคน ตัดทิ้งหรือแยกไปปลูกใหม่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์, แมลงเกล็ด, มอด และไร อาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพืชที่ปลูกในร่ม/ไวต่อโรคตัวเหลือง (lethal yellowing disease) ถึงตายได้  
รู้จักอันตราย--- เนื้อของเมล็ดและลำต้นประกอบด้วยกรดออกซาลิก สามารถทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้รู้สึกแสบร้อน และควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
การใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารและวัสดุในท้องถิ่น
ใช้กิน--- ใบอ่อนมากใช้กินเป็นผัก รสขมเล็กน้อย ใช้หุงกินกับข้าว แป้งที่ได้จากลำต้นใช้เป็นสาคูใช้เป็นแป้งในช่วงที่ขาดแคลนอาหาร น้ำคั้นจากช่อดอกใช้สำหรับทำน้ำตาลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ สามารถเคี่ยวน้ำคั้นในกระทะเพื่อให้ได้น้ำตาลโตนด หากนำมาหมักเป็นเวลา 12 ชั่วโมงจะกลายเป็นไวน์สีซีดขุ่นรสค่อนข้างเปรี้ยว อาจจเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อมข้น ๆ และเก็บไว้ใช้ได้                                                     ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มที่นิยมใช้ปลูกประดับกันอย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่น ใช้ในสถาปัตยกรรมเมือง และสวนในที่กว้าง หรือปลูกเป็นไม้กระถางประดับ ทนต่อร่มเงาสามารถใช้ในการปลูกภายในอาคาร
อื่น ๆ--- เส้นใยได้มาจากก้านใบ เส้นใยกาบใบ ('kittul') จากพืชในสกุลนี้มีความทนทานและมักถูกเก็บเกี่ยวเพื่อเป็นแหล่งของ สายระโยงระยางและทำแปรงและไม้กวาด เส้นใยจะยืดหยุ่นได้มากหลังจากแช่ในน้ำมันลินสีด ขนบนกาบใบ ก้านใบและทางใบ สามารถใช้เป็นเชื้อไฟหรือเป็นปุยฝ้ายใช้อุดรูรั่วของเรือไม้ เส้นใยที่ละเอียดกว่านี้ยังสามารถปั่นเป็นสายเบ็ดหรือด้ายหยาบ
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Caryota mitis ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด  
สถานะการอนุรักษ์---LC -LEAST CONCERN - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2018. Caryota mitis. The IUCN Red List of Threatened Species 2018: e.T67533670A135889180. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T67533670A135889180.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน

27 หมากสง/ Areca catechu

[ah-REHK-ah] [kah-TEH-koo]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Areca catechu L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synnonyms
---Areca faufel Gaertn.(1788)
---Areca hortensis Lour.(1790)
---Areca cathechu Burm.f.(1768)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664107-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Areca, Betel-nut Palm, Pinang Betel Palm, Areca-nut, Pinang Siri.
ชื่ออื่น---หมากสง ;[ARABIC: Fûfal, Fofal, Kawthal, Tânbûl.];[ARMENIAN: Arygn.];[BURMESE: Kunthi Pin Kun.];[CHINESE: Da fu zi, Pin lang, Bin lang zi.];[DUTCH: Arecanoot, Arekanootboom, Arecapalm.];[FRENCH: Aréquier, Noix D´arec, Noix De Bétel.];[GERMAN: Arekanuss, Arekapalme, Betelnüsse, Betelnusspalme, Katechupalme.];[HINDI: Supaadii, Supaarii, Supari.];[INDIA: Supari, Tambula.];[INDONESIA: Pinang.];[ITALIAN: Avellana D´india.];[JAPANESE: Areka Yashi, Binrou, Binrouju.];[KHMER: Phla, Sa la.];[MALAY: Kavugu, Pinang, Pinang Sirih, Pokok Pinang, Pucuk (Indonesia).];[NEPALESE: Supaarii.];[PHILIPPINES: Areca nut; Betelnut; Bunga.];[PORTUGUESE: Areca Catecú, Arequeira, Arequiera, Noz De Areca, Noz De Bétele.];[RUSSIAN: Areka Katekhu.];[SINHALESE: Puwak.];[SPANISH: Areca, Bonga, Nuez De Areca, Nuez De Betel, Palma Catecu.];[SWEDISH: Betelnöt.];[TAMIL: Bakkumaroma, Kamugu, Kathakambu.];[THAI: Mak Song.];[URDU: Supaadii.];[VIETNAM: Cao.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- ARMCA (Preferred name: Areca catechu.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิก บางส่วนของทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Areca' เป็นภาษาละตินของชื่อท้องถิ่นของสายพันธุ์ ; ชื่อของสายพันธุ์ 'catechu' เป็นชื่ออินเดียที่เกิดจากสารสมานแผลหลายชนิด
Areca catechu เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัย--- เป็นพันธุ์ปาล์มที่เติบโตในแถบแปซิฟิก เขตร้อนของเอเชียและบางส่วนของแอฟริกาตะวันออก ปาล์มชนิดนี้เป็นที่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เป็นที่แพร่หลายในการเพาะปลูกและมีการพิจารณาสัญชาติ ในภาคใต้ของประเทศจีน (กวางสี ,ไห่หนาน , ยูนนาน ), ไต้หวัน, อินเดีย บังคลาเทศที่ มัลดีฟส์ ศรีลังกา กัมพูชา ลาว ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิวกินี หมู่เกาะหลายแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกและในหมู่เกาะเวสต์อินดีส พบในป่าเขตร้อนที่มีฝนตกชุกตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 1,000 เมตรขึ้นไป
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูง 10-20 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10-15 ซม.ลำต้นสีเขียวอมน้ำตาลมีรอยแผลเป็นจากใบไม้ที่ร่วงเป็นวงสีขาว มีใบ8-10ใบ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบเหมือนใบมะพร้าวใบดกแต่บอบบาง ยาว 1.5-2 เมตร  ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(Monoecious) สีขาวอมเหลือง มีความยาวประมาณ 1 เมตร ดอกไม้ขนาดเล็กถูกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอกที่มีดอกเกสรเพศผู้สองดอก ขนาบข้างดอกเกสรเพศเมียที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ออกผลเป็นกระจุกขนาดใหญ่ 200 - 300 ผล ผลรูปไข่สีเขียว ขนาดกว้าง 4-5 ซม. ยาว 5-6 ซม.เมื่สุกสีส้มเหลือง เปลือกผลเป็นเส้นใย เมล็ดมี1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง (ได้รับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นในอากาศสูงตั้งแต่ประมาณ 50%-70% ระหว่างวัน อุณหภูมิในช่วง 16-38° C ทน อุณหภูมิต่ำสุด + 5 ° C ในช่วงสั้น ชอบดินร่วนปนทรายที่เป็นกรดและเป็นกลางอุดมไปด้วยสารอินทรีย์ และมีการระบายน้ำได้ดี (pH ในช่วง 5.5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.8) เติบโตได้ในดินหลากหลายชนิด หลีกเลี่ยงการปลูกในดินเหนียวเนื่องจากไม่มีการระบายน้ำเพียงพอ เป็นปาล์มที่อ่อนไหวต่อความแห้งแล้งและความหนาวเย็น อัตราการเติบโต ต้นไม้สามารถเริ่มให้ผลได้ใน 6 - 10 ปีจากเมล็ด โดยทั่วไปอายุประมาณ 60 ปี แต่สามารถมีอายุได้ถึง 100 ปี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางได้รับการรดน้ำสม่ำเสมอถึงความลึกจากหน้าดินลงไป 40 ซม.ไม่แห้ง ตรวจดินลึกประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าดินยังชื้นอยู่ก็อย่าเพิ่งรดน้ำ พืชไม่สามารถทนต่อความแห้งแล้งเป็นเวลานานได้ เมื่อได้รับผลกระทบแล้ว จะใช้เวลา 2-3 ปีกว่าที่พืชจะฟื้นอัตราการเจริญเติบโตและผลผลิตตามปกติ
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดเฉพาะใบแห้งออก
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยเม็ดอเนกประสงค์หรือปุ๋ยละลายช้าเพียงครั้งเดียวในช่วงฤดูปลูก NPK ที่แนะนำคือ 10-20-20 ในช่วงฤดูหนาวพืชพักตัว หยุดใส่ปุ๋ยในปลายเดือนตุลาคมและกลับมาใส่ปุ๋ยในปลายเดือนกุมภาพันธ์
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคสูงหากดูแลอย่างเหมาะสม ไส้เดือนฝอยหลายชนิดเป็นปัญหาในประเทศไทย แมลงศัตรู ได้แก่ ด้วงแรด, หนอนผีเสื้อที่กินใบไม้ [Nephantis serinopa (Opisina arenosella).] และหนอนเจาะ/โรค Koleroga โจมตีผลไม้และโรคเท้าเปื่อย (Ganoderma lucidum) ซึ่งติดเชื้อที่โคนต้น เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดสองโรคของต้นหมาก/มีรายงานโรคใบไหม้อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่เป็นโรคใบจุดที่เกิดจากเชื้อราหรือแบคทีเรีย (จุดและปื้นสีน้ำตาลหรือดำอาจเป็นได้ทั้งแบบมอมแมมหรือเป็นวงกลม มีลักษณะเปียกน้ำหรือมีขอบสีเหลือง) มักเกิดกับพืชที่ได้รับแสงไม่เพียงพอ
รู้จักอันตราย---การใช้พืชชนิดนี้มากเกินไปทำให้น้ำลายไหลอาเจียนและมึนงง การเคี้ยว arecanut เป็นระยะเวลานานบางครั้งอาจทำให้เกิดมะเร็งในช่องปาก
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนช่อดอกและยอดอ่อนด้านในรสหวานนำมากินเป็นผัก เมล็ด - ดิบ เมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาเสพติดอ่อน ๆ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ของเขตร้อน โดยใช้เคี้ยว เมล็ดหั่นบาง ๆห่อด้วยใบพลู (Piper betle)และสารให้ความหอมอื่น ๆ เมล็ดมีแทนนินและอัลคาลอยด์ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลายเร่งอัตราการเต้นของหัวใจและเหงื่อ ระงับความหิวและป้องกันพยาธิในลำไส้ การเคี้ยวทำให้น้ำลายเป็นสีแดงและใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เหงือกและฟันดำ                                                                                 -ถั่ว (Nut) มีไขมัน 8-12% ซึ่งมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับน้ำมันมะพร้าว สามารถทำให้กินได้โดยการกลั่น ผลจะเก็บเมื่อสุกเต็มที่และทำให้แห้งเพื่อใช้ในภายหลัง
ใช้เป็นยา--- มีฤทธิ์สมานแผล ช่วยบรรเทาความหิวไม่สบายท้องและความเหนื่อยล้า ใช้ฆ่าพยาธิในลำไส้และเชื้อโรคอื่น ๆ และยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและยาระบาย เมล็ดใช้กับโรคโลหิตจาง, leucoderma, โรคเรื้อน, โรคอ้วนและหนอนพยาธิ นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาโรคบิดและมาลาเรีย  เปลือกยังใช้เป็นยาระบายในกรณีที่มีอาการท้องผูกท้องอืดเฟ้อ การใช้สมุนไพรนี้อยู่ภายใต้ข้อ จำกัด ทางกฎหมายในบางประเทศ
-เมล็ดพืชยังถูกนำมาใช้เพื่อคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อราในมนุษย์และในสัตว์อีกด้วย ส่วนใหญ่จะใช้ในสัตวแพทยศาสตร์เพื่อขับไล่พยาธิตัวตืด
ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มที่ใช้ในการจัดสวนได้ดี ใช้ปลูกเป็นกลุ่มหรือปลูกเป็นแถวถ้าปลูกเป็นกลุ่มในพื้นที่กว้างใบจะไม่ค่อยเสีย เพราะต่างบังลมให้กันแต่ถ้าปลูกมีระยะห่างแบบเดี่ยวๆใบจะไม่สวยเลยบางทีก็หักรุ่งริ่งเพราะต้านแรงลมไม่ค่อยได้ ตอนต้นเล็กสามารถปลูกในภาชนะในที่ร่มได้ หนึ่งในต้นปาล์มที่ใช้ประโยชน์มากที่สุดสำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในอาคาร  
อื่น ๆ--- พืชเป็นแหล่งแทนนินที่ดี ใช้สำหรับย้อมสีเสื้อผ้า ใช้เป็นกาวในการผลิตไม้อัดเป็นต้น ส่วนภายนอกของลำต้นใช้เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีประโยชน์ในหมู่บ้านและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างที่หลากหลาย เนื้อไม้ยังสามารถใช้ในการทำสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่างๆเช่นไม้บรรทัด ชั้นวางและตะกร้ากระดาษเหลือใช้ สลักหมุดนิยมใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ เมล็ดสดใช้ระยะเวลาในการงอก 6-13 สัปดาห์


28 อินทผลัมกินลูก/ Phoenix dactylifera

[FEH-niks] [dahk-tih-lih-FEHR-ah]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix dactylifera L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms   
---Palma dactylifera (L.) Mill.(1768)
---Phoenix chevalieri D.Rivera, S.Ríos & Obón.(1997)
---Phoenix iberica D.Rivera, S.Ríos & Obón.(1997)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668912-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Date, Date Palm, The edible date
ชื่ออื่น---อินทผลัมกินลูก ;[ARABIC: Khuriude-yális.];[ASSAM: Khejur/ Khejuri.];[BRAZIL: Tamareira.];[FRENCH: Dattier; Palmier dattier.];[GERMAN: Dattelpalme, Gemeine Dattelpalme.];[INDIA: Ittappuzham; Karchuram; Perich chankay; Tenitta.];[ITALIAN: Palma da datteri; Palma del dattero.];[JAPANESE: Finikkusu, Natsumeyashi.];[PAKISTAN: Khaji; Khajur.];[PORTUGUESE: Palmeira-das-igrejas, Palmeira-tamareira, Tamareira, Tamareira-comum, Tamareira.];[SPANISH: Datilera, Palma datilera, Palmera, Palmera datilera.];[SEAHILI: Tende.];[SWEDISH: Dadelpalm, Vanlig dadelpalm.];[TURKISH: Hurma.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- PHXDA (Preferred name: Phoenix dactylifera.)
ถิ่นกำเนิด---ไม่แน่ชัด
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Phoenix เป็นคำภาษาละตินสำหรับคำภาษากรีกที่แปลว่า "ต้นอินทผลัม" ; ชื่อสายพันธุ์ 'dactylifera' เป็นการรวมกันของคำภาษากรีก 'dactylus = "finger" และคำภาษาละตินว่า 'ferous'= "bearing" อ้างอิงถึงกลุ่มผลไม้ที่เกิดจากปาล์มนี้
Phoenix dactylifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัย--- ไม่แน่ชัดเป็นไปได้ว่าเป็นตอนเหนือของแอฟริกาและแถบตะวันออกกลาง นอกจากนี้ยังมีอยู่ในตุรกี ปากีสถานและอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ ต้นไม้นี้ได้รับการปลูกฝังมานานจนไม่เป็นที่รู้จักในสถานการณ์ที่เป็นป่าอย่างแท้จริง แพร่หลายในการเพาะปลูกในพื้นที่แห้งแล้งในเขตร้อนซึ่งพบได้ที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตร ในการเพาะปลูกประเทศที่ผลิตอินทผาลัมรายใหญ่ได้แก่ อียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อาหรับและแอลจีเรีย
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นหรือแตกกอ (มีหน่อที่สามารถแยกออกจากรากได้) สูงประมาณ15-25เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 40-60 ซ.ม.ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก(pinnate)ใบย่อยรูปขอบขนานเชิงเส้นยาวแหลมติดอยู่บนต้นประมาณ 40-60 ก้าน แต่ละใบมีทางยาวประมาณ 3-4 เมตร ก้านใบชี้ตรงปลายโค้งงอ ช่อดอกยาว1-1.2เมตร ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลออกเป็นช่อกระจุกขนาดใหญ่ถึง 1,500 ผล ผลทรงกลมรี ยาวประมาณ 3-7 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 2–3 ซม. รสหวานฉ่ำ ทานได้ทั้งผลดิบและสุก ผลจะมีสีเหลืองจนถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด มีเมล็ดเดียวขนาดประมาณ 2–2.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบแสงแดดจัดเต็มที่ 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินมีอินทรียวัตถุสูง ทนต่อดินเค็มแม้ว่าคุณภาพของผลไม้อาจได้รับผลกระทบ pH ในช่วง 6.5 - 8 ทนได้ 6 - 8.5  มีน้ำใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่ใกล้พื้นผิวดิน (รากของต้นไม้สามารถลึกได้ 2 - 6 เมตร) หรือโดยการให้น้ำ ทนความแห้งแล้ง ปลูกในที่แห้งแล้งได้ดี มีคำพูดเก่า ๆ หนึ่งกล่าวถึงต้นอินทผลัมว่าเติบโตโดย " เท้าของมันอยู่ในน้ำและหัวอยู่ในกองไฟ " ต้นไม้มีการเจริญเติบโตช้า ต้นกล้าเริ่มพัฒนาลำต้นเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปีและมักจะเริ่มออกดอกหลังจากนั้นไม่นาน พืชที่ขยายพันธุ์จากหน่อจะเริ่มติดผลได้ภายใน 2 - 4 ปีและโดยปกติจะให้ผลผลิตเต็มที่ที่ 5 - 8 (9-15) ปีและจากนั้นผลผลิตจะลดลงหลังจาก 40 - 50 ปี แต่ต้นไม้จะยังคงให้ผลผลิตไปจนถึงอายุ 75 ปี  การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รักษาความชื้นอย่างต่อเนื่องหลังปลูกวันละ 1 ครั้ง ต้นไม้โตเต็มที่ต้องการน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเก่าที่ตายแล้วออก  
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ในฤดูปลูก ปุ๋ยที่ใช้ควรมีโพแทสเซียม (K) สูงที่สุด ตามด้วยไนโตรเจน (N) และฟอสฟอรัส (P)
ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบบ่อยที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือเพลี้ยแป้งและเพลี้ยอ่อน ด้วงมะพร้าวและไรเดอร์/ โรค Lethal bronzing คือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลกระทบต่อปาล์มทุกชนิดทั่วโลก อันตรายถึงชีวิตได้
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
การใช้ประโยชน์---อินทผลัมเป็นพืชที่ปลูกมายาวนานที่สุดชนิดหนึ่งของโลกโดยปลูกมาอย่างน้อย 5,000 ปีมาแล้ว เป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนซึ่งผลของมันมักจะเป็นอาหารหลักเป็นระยะเวลายาวนานของปี พืชนี้ยังถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ อีกมากมาย
ใช้กิน--- ผล ดิบหรือสุก ผลสุกมักจะแห้งแล้วกินดิบ สามารถเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี มีรสชาติหวานจัด จึงมักถูกเข้าใจผิดว่ามีการนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล
ใช้เป็นยา--- ผลอินทผาลัมมีฤทธิ์ขับเสมหะและเป็นยาระบาย ใช้รักษาโรคทางเดินหายใจและไข้
ใช้ปลูกประดับ--- อินทผลัมกินลูกมีหลายสายพันธุ์ บางพันธุ์กินดิบ บางพันธุ์กินสุก แยกเป็นต้นเพศผู้ และต้นเพศเมีย เป็นอินทผลัมที่ใช้เพาะปลูกเพื่อการค้า ลักษณะที่แตกต่างจากอินทผลัมที่ใช้ประดับ สังเกตุง่ายๆเบื้องต้นคือลักษณะของ ทางใบ ของอินทผลัมกินลูกจะตั้งขึ้นประมาณ 60 องศา แล้วปลายใบค่อยห้อยลง ส่วนอินทผลัมประดับทางใบจะโค้งลงรอบต้นสวยกว่า พันธุ์ที่นิยม พันธุ์ Barhee หรือ Barhi - สายพันธุ์จากอาหรับ ลักษณะของผล กลมรี ผลสีเหลือง สุกจะมีสีน้ำตาลเข้ม
อื่น ๆ---เนื้อไม้ในส่วนของลำต้นด้านนอกแข็งแรงและทนต่อปลวก มีมูลค่ามากสำหรับใช้ในการก่อสร้าง ใบไม้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ใช้มุงหลังคาและผนังกระท่อมอย่างดี เส้นใยที่ได้จากใบโคนใบและเปลือกใช้ทำเชือก ตะกร้า หมวกและเสื่อ
ระยะออกดอก---ปลายฤดูหนาว/ต้นฤดูใบไม้ผลิ
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ การงอกมักจะเกิดขึ้นใน 2-3 เดือน เมล็ดพันธุ์อยู่ได้นาน 8-15 ปีที่อุณหภูมิห้อง


29 ปาล์มพัด/ Pritchardia pacifica

[pritch-AHR-dee-ah] [pah-sihf-EE-kah]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pritchardia pacifica Seem. & H.Wendl.(1862)
ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms
---Eupritchardia pacifica (Seem. & H.Wendl.) Kuntze.(1898)
---Styloma pacifica (Seem. & H.Wendl.) O.F.Cook.(1915)
---Washingtonia pacifica (Seem. & H.Wendl.) Kuntze.(1891)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669288-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Fiji Fan Palm, Loulu
ชื่ออื่น---ปาล์มพัด, ปาล์มมงกุฎ ; [CHINESE: Bo li cha de zong, Tài píng yáng zōng.];[MALAYSIA: Palma kipas Fiji (Malay).];[PORTUGUESE: Palmeira-leque-fiji, Palmeira-pritchardia.];[SPANISH: Palma de Abanico.];[THAI: Paam pat, Paam mongkut.].[TONGA: Niupiu, Piu.];
ชื่อวงศ์--ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- PWDPA (Preferred name: Pritchardia pacifica.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์--- ตองก้า ฟิจิ ซามัว หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pritchardia เป็นเกียรติแก่กงสุลอังกฤษคนแรกในหมู่เกาะฟิจิ (พ.ศ.2401) William T. Pritchard (1829-1907) ; ชื่อสายพันธุ์ 'pacifica' หมายถึง 'ของมหาสมุทรแปซิฟิก' อ้างอิงถึงบริเวณแหล่งกำเนิด
- ชื่อสามัญ 'Fan Palm' เนื่องจากใบใช้ทำพัด
Pritchardia pacifica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและHermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2405

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในตองกา ฟิจิ ซามัวและมาร์เกซัส ปัจจุบันรู้จักกันเฉพาะจากการเพาะปลูกโดยทั่วไปมักจะอยู่รอบ ๆ สถานที่ทำกิจกรรมของมนุษย์ ยังพบในหมู่เกาะมาร์แชลหมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู นีอูเอ เฟรนช์โปลินีเซียที่ระดับความสูง 0-100 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 6-9 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-25 ซม. ใบรูปพัด (palmate) กว้าง 0.5-1 เมตร ยาว 1-1.5 เมตร ขอบใบจักเว้าตื้นและพับเป็นจีบ ปลายแหลม แผ่นใบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียวยาวได้ถึง 1.2 เมตร  โคนกาบใบมีเส้นใยสีน้ำตาลปกคลุมอยู่ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกยาวประมาณ  0.9 เมตร สีเหลืองอมน้ำตาล ช่อดอกจะประกอบด้วย 1-4 ช่อดอกสั้นกว่าหรือเท่ากับก้านใบความยาว มีดอกกระเทยสีเขียวอมเหลือง (Hermaphrodite Flowers พืชเหล่านี้สามารถผสมเกสรได้เองและไม่ต้องพึ่งแมลงผสมเกสร) ดอกไม้ขนาดเล็ก มี 3 กลีบ ยาวประมาณ 7-8 มม.ผลสดมีเนื้อเมล็ดเดียว รูปกลมขนาด 1.1- 1.2 ซม.เมื่อสุกสีแดงดำ มีเมล็ดเดียว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในสภาพอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  0°C ทนต่อความชื้นในระดับต่ำได้ ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่อง) ขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพที่มีการระบายน้ำได้ดี ต้องการตำแหน่งที่กำบังจากลมแรง  ทนแล้งได้ปานกลาง สายพันธุ์นี้ทนทานต่อสภาพชายทะเลและละอองน้ำเค็มเป็นพิเศษ อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุก 2 สัปดาห์ ความถี่ในการรดน้ำอาจต้องเพิ่มขึ้นในฤดูร้อน ลดการรดน้ำให้น้อยที่สุดในช่วงฤดูหนาว ลำต้นส่วนล่างสามารถเน่าได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้ที่ตายแล้วสามารถกำจัดออกได้ เพื่อให้ดูสะอาดตายิ่งขึ้น อย่าลิดใบที่ยังมีสีเขียวออก
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ให้ปุ๋ยพืชทุกเดือนด้วยปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์เจือจาง
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing disease.(LY).]  เป็นโรค Phytoplasma ของปาล์มที่มีนัยสำคัญและร้ายแรง [แพร่กระจายโดยเพลี้ยกระโดด (yzMyndus crudus).] ซึ่งทำให้ใบเหลือง ดอกดำคล้ำ และผลร่วงก่อนกำหนด
- พืชนี้ถือเป็นตัวการของโรคใบเหลือง (LY) ของมะพร้าวและอินทผลัมอื่น ๆ
รู้จักอ้นตราย---N/A
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นปาล์มประดับที่มีการปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยปลูกในสวนและสวนสาธารณะ ปลูกเดี่ยว ๆในสวนขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ต้นขึ้นไป สามารถเพาะเลี้ยงในภาชนะได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลง ลานที่สว่างสดใสจะให้สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับต้นปาล์มเล็ก ๆ ซึ่งสามารถปลูกได้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง และสามารถปลูกใกล้ทะเล
- สายพันธุ์นี้เป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบปาล์มและปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับภูมิทัศน์ที่มีค่าทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก เหมาะสำหรับพื้นที่ชายฝั่งและมักปลูกเป็นพืชบ้าน (house plsnt) ปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นแถว เป็นกลุ่ม หรือปลูกเดี่ยวๆ ช่วงความสูงที่สวยและใช้กันคือ 1-3 เมตร
อื่น ๆ---ในฟิจิใบของปาล์ม ใช้เป็นพัดแบบดั้งเดิม เรียกว่า Iri masei หรือ Ai viu ซึ่งใช้โดยหัวหน้าเท่านั้น
- ไม้ที่เบาและยืดหยุ่นได้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างกรอบสำหรับใบไม้ ในฟิจิ คำว่า Ai viu หมายถึงทั้งพัดและร่ม เนื่องจากใบของ Fiji fan palm ใช้สำหรับป้องกันทั้งจากแสงแดดและฝน
- ลำต้นของไม้ ถูกนำมาใช้ทำสันคานเป็นครั้งคราว
- ต้นไม้นี้เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงของฟิจิเนื่องจากต้นไม้เป็นสมบัติของผู้นำและมักพบต้นไม้เพียงหนึ่งหรือสองต้นในหมู่บ้าน เนื่องจากต้นไม้เหล่านี้ให้ใบเพียงพอต่อความต้องการทางวัตถุของหัวหน้าหมู่บ้าน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากยังไม่ได้รับการประเมินอนุกรมวิธานนี้ จัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท " ไม่ได้รับการประเมิน "  
สถานะการอนุรักษ์---NE - Not Evaluated - IUCN Red List of Threatened Species
ระยะออกดอก---กลางฤดูร้อน, ปลายฤดูร้อน
ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด เมล็ดสดจะงอกภายใน1เดือน
- เนื่องจากปาล์มเหล่านี้ผสมพันธุ์กับ Pritchardia ชนิดอื่นได้ง่าย การอ้างสิทธิ์ในสายพันธุ์เฉพาะจึงต้องรวบรวมเมล็ดพันธุ์จากประชากรป่า


30 ปาล์มชวา/ Saribus rotundifolius

[sahr-EE-buhs] [roh-tuhn-dih-foh-LEE-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Saribus rotundifolius (Lam.) Mart. (1838
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Basionym: Corypha rotundifolia Lam.(1786)
---Livistona rotundifolia (Lam) Mart.(1838)
---Licuala rotundifolia (Lam) Blume.(1830)
---More.See all https://www.gbif.org/species/2733431
ชื่อสามัญ---Java Fan Palm, Round-leaf Fan Palm, Anahaw Palm, Footstool Palm, Table Palm.
ชื่ออื่น---ปาล์มชวา ปาล์มยะวา ;[CHINESE: Yuan ye pu kui, Gao bei pu kui (as Livistona altissima - Taiwan).];[FRENCH: Palmier évantail de Java.];[GERMAN: Livistonie, Serdang-Schirmpalme, Waldpalme, Fächer-palme.];[ITALIAN: Palma parasole, Serdang daun bulat.];[MALAYSIA: Daun Serdang (Malay).];[NORWEGIAN: Dronningpalme.];[PHILIPPINES: Anahaw, Luyong (Tag).];[PORTUGUESE: Palmeira-leque.];[SPANISH: Palma de escabel, Palmera de escabel, Palmere de hoja redonda.];[THAI: Paam yawa (paam jawa), Paam chawa.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LIVRO (Preferred name: Livistona rotundifolia.)
รหัสอนุกรมวิธาน: 674215 (สำหรับการอ้างอิงในบทความ โปรดใช้ NCBI:txid674215) https://www.ncbi.nlm.nih.gov/Taxonomy/Browser/wwwtax.cgi?mode=Info&id=674215&lvl=3
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล saribus มาจากชื่อท้องถิ่น หนึ่งในภาษาโมลุกกะบันทึกไว้โดยชาวดัตช์ sariboe ; ชื่อสายพันธุ์ 'rotundifolius'เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน rotundifolius = ' รอบใบ ','round-leaved'หมายถึง ใบปาล์มเกือบกลม
Saribus rotundifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี1786 และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2481

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มาเลเซีย อินโดนีเซีย ชวาโมลูคัส ฟิลิปปินส์ สุลาเวสีและหมู่เกาะซุนดาน้อย) เติบโตในป่าพรุ ป่าพรุที่แห้งแล้งตามฤดูกาล ป่าชายเลน ป่าดิบชื้นริมฝั่งแม่น้ำและป่าทุติยภูมิ ที่ระดับความสูงถึง 300 เมตร แต่ปัจจุบันมีการปลูกทั่วโลกในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเป็นไม้ประดับ
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติมันสามารถเติบโตได้สูงถึง 24 เมตร แต่ในสถานการณ์เพาะปลูกมักจะไม่เติบโตสูงขนาดนั้นความสูงประมาณ 12 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-25 ซ.ม.ลำต้นเรียบสีน้ำตาลมีรอยแผลเป็นของก้านใบ ปกคลุมด้วยด้วยเส้นใยทอสีเทาสวยงามที่ส่วนบนด้านล่างมงกุฎ ใบรูปพัด (Costapalmate) แผ่นใบกว้างประมาณ1.5 เมตร ก้านใบมีหนามแข็ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ออกแบบช่อแขนงไม่ขยายเกินขอบเขตของมงกุฎ มีลักษณะโค้งยาวประมาณ 2 เมตร แบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก แตกแขนงออกเป็น 4 ลำดับ ดอกกะเทย (hermaphrodite) ขนาดเล็กเล็กสีเหลือง ผลสดมีเนื้อเมล็ดเดียวรูปกลม ขนาด 1.5- 2 ซม.ผลอ่อนสีเขียวสุกสีส้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็ทำได้ดีในที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง) และที่มีแสงแดดส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง) ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินที่มีการระบายน้ำได้ดีหลายชนิดรวมถึงดินเหนียว ทราย เป็นด่างหรือเป็นกรด ชอบความชื้นอย่างสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตเป็นหนึ่งในปาล์มที่โตเร็วที่สุด ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 ซม.ใช้เวลาเพียง 3 ปี หากได้รับปุ๋ยและน้ำเพียงพอ นอกจากนี้ยังค่อนข้างอดทนต่อการถูกขุดล้อมและเคลื่อนย้าย
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินต้องชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ พืชควรได้รับการรดน้ำในช่วงฤดูแล้ง ใช้วัสดุคลุมดินจะช่วยเก็บความชื้นได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดใบออกถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ ต้นปาล์มรีไซเคิลสารอาหารจากใบที่ตายแล้วหรือกำลังจะตาย และใช้มันเพื่อสุขภาพใบที่เหลือให้แข็งแรงขึ้น ต้นปาล์มผลิตจำนวนใบใหม่ที่เติบโตได้ต่อปีเท่านั้น หากตัดใบปาล์มออกมากกว่าที่จะใบที่จะเกิดในแต่ละปี อาจเหลือปาล์มที่มีใบเพียงเล็กน้อย โล่งเตียน และไม่สวยงาม
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2  ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปเป็นพืชที่ปราศจากศัตรูพืช อย่างไรก็ตามอาจถูกเพลี้ยแป้ง (Mealybugs) และแมลงเกล็ด (Scales insect) โจมตีได้ /นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงปานกลางต่อโรคตัวเหลืองตาย [ Lethal yellowing disease.(LY).]
รู้จักอ้นตราย---อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้มักถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นแหล่งอาหาร ไม้ และวัสดุอื่นๆ ในท้องถิ่น
ใช้กิน--- ดอกตูมและยอดอ่อนนั้นใช้กินเป็นผัก แต่ก็เช่นเดียวกับต้นปาล์มชนิดอื่นๆ การตัดยอดหน่อออกหมายถึงการตายของต้น
ใช้ปลูกประดับ---ต้นอ่อนของสายพันธุ์นี้และสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องมักปลูกในกระถางหรืออ่างในกรุงมะนิลาและเมืองใหญ่อื่น ๆ เพื่อจุดประสงค์ในการประดับ ความสวยงามของปาล์มต้นนี้อยู่ที่ช่วง ความสูง 0.50-1 เมตร สามารถปลูกเป็นไม้กระถางประดับ ตกแต่งภายใน และอยู่ในห้องปรับอากาศได้ ต้นไม้ที่ใช้เป็นไม้กระถางมักไม่ออกดอก แต่ถ้าต้นสูงเกินไปจะเกะกะ ให้ย้ายลงปลูกในสนามต่อไป
อื่น ๆ---ลำต้นมักใช้ทำเสาในบ้าน เนื่องจากมีผิวที่สวยงามและทนทานเมื่อไม่ถูกความชื้น เนื้อไม้แข็ง ใช้การขัดเงาสูง และส่วนใหญ่ใช้ในฟิลิปปินส์เพื่อทำไม้เท้า
- ส่วนนอกของลำต้น (ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของไม้) บางครั้งจะถูกลอกออกในรูปแบบของแถบและใช้สำหรับปูพื้นบ้าน แถบเหล่านี้ยังใช้สำหรับทำคันธนูและด้ามหอก
- การใช้งานแบบดั้งเดิม ใบใช้สำหรับมุงและห่ออาหาร
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ระยะเวลาการงอก 2 เดือน


31 ปาล์มสามทาง/ Dypsis decaryi

[DIP-sis] [de-KAR-yee]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dypsis decaryi (Jum.) Beentje & J.Dransf.(1995)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:985350-1#synonyms 
---Basionym: Neodypsis decaryi Jum.(1933) https://www.gbif.org/species/2736002
ชื่อสามัญ---Madagascar three-sided palm, Three Sided Palm, Triangular palm, Triangle palm, Neodypsis decaryiraveler's Tree.
ชื่ออื่น---ปาล์มสามทาง, ปาล์มสามเหลี่ยม ;[CHINESE: San jiao ye zi.];[DUTCH: Driehoekspalm.];[FRENCH: Palmier triedre, Palmier triangle.];[GERMAN: Dreieckspalme.];[MADAGASCAR: Laafa.];[MALAY: Palma segi tiga (Bahasa Melayu).];[PORTUGUESE: Palmeira-três-quinas, Palmeira-triângulo.];[RUSSIAN : Neodipsis Dekara.];[SPANISH : Palmera triangular.];[THAI: Paam saam thang, Paam saam liam.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- DYQDE (Preferred name: Dypsis decaryi.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลไม่เป็นที่รู้จัก ; ชื่อสายพันธุ์ได้รับเกียรติจากนักสะสม Raymond Decary (1891-1973) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส
- ชื่อสามัญ 'Triangle Palm' สะท้อนถึงรูปแบบสามระดับของการยึดใบกับลำต้นซึ่งเกิดจากจุดที่แตกต่างกันสามจุด โดยใบจะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ด้านบนของลำต้น (Quintana et al., 2019 )
Dypsis decaryi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henri Lucien Jumelle (1866-1935) นักพฤกษศาสตร์ขาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henk Beentje (เกิดปี 2494) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และJohn Dransfield (เกิดปี พ.ศ.2488) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2538

ที่อยู่อาศัย---ในถิ่นกำเนิดถูก จำกัด ให้อยู่ในเขตเปลี่ยนผ่านระหว่างป่าชื้นและป่ากึ่งแห้งแล้งบนเนินเขาทางตะวันตกของอุทยานแห่งชาติ Andohahela ทางตอนใต้สุดของมาดากัสการ์ ( IUCN, 2019 ) พบได้บนทางลาดชันหรือตามริมฝั่งแม่น้ำลำธารและลำห้วยตามฤดูกาล พบได้ที่ระดับความสูง 100-800 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สวยงามแปลกตา สูงได้ถึง 3-6 (-10) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 30-40 ซม. คอยอดเป็นสามเหลี่ยม ทางใบยาวรวม2.5เมตร ตั้งขึ้นแต่ตอนปลาย1เมตรโค้งออกอย่างสง่า ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อยรูปขอบขนานเชิงเส้นจัดเรียงอย่างสม่ำเสมอรูปแบบตัว V-รูปร่างแคบ 18-24 ใบ สีฟ้า สีเขียวหรือสีเขียวอมเทา ก้านใบยาว 33-50 ซม. ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar)ยาว1.2-1.5 เมตร แตกแขนงออกเป็น 3 ลำดับ ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียมีสีครีมสีเหลืองอมส้ม ผลสดมีเนื้อทรงกลมรี ขนาด 1.5-2.5 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลืองอมขาว มีเมล็ดรูปทรงกลมถึงทรงรี สีดำ 1 เมล็ด ขนาด 17-19 x 15-17 มม. กินไม่ได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เขตร้อนไปจนถึงเขตอบอุ่น ตำแหน่งดีที่สุดคือตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในดินทรายและที่แห้งแล้ง ไม่เหมาะกับดินเหนียว หรือดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี pH 6.1-7.5 ทนลมแรงได้ดี อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 22 ° C ทนอุณหภูมิได้ถึง –1ºC ทนต่อไอเกลือได้ปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตถือว่าปานกลางแม้ว่าจะเร็วพอสมควรเมื่อพืชสร้างระบบรากที่ดีแล้ว เริ่มแพร่พันธุ์เมื่อมีความสูงประมาณ 2 เมตรเมื่ออายุ30-35 ปี ผลิตใบประมาณ 4 ใบต่อปี อยู่รอดได้อย่างน้อย 200 ปี การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลางถึงต่ำ ไม่ต้องการน้ำมาก ปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและดินมีการระบายน้ำที่ดี
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเป็นประจำ นำใบแห้งและส่วนที่ตายออก
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ให้ใส่  ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดี  ที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวที่ทำลายปาล์ม)/ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองและปลายใบไหม้ที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับทั่วโลกรวมทั้งในมาดากัสการ์ด้วย นำไปปลูกประดับเป็นไม้กระถางขนาดใหญ่ได้ในช่วงที่ยังไม่มีลำต้นจะเป็นช่วงที่สวยงามเพราะจะเห็นแต่ส่วนคอเป็นรูปสามเหลี่ยมชัดเจน เมื่อต้นโตขึ้นย้ายลงปลูกในสนาม ปลูกเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มกลางแจ้ง เน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย การปลูกเพื่อการค้าไม่ค่อยสำเร็จเนื่องจากระบบรากอ่อนไหวบอบบางมากซึ่งมีแนวโน้มที่จะตายจึงไม่ค่อยเห็นการขุดล้อมนำมาวางขาย
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการลดลงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ขอบเขตและ /หรือคุณภาพของที่อยู่อาศัย ในธรรมชาติเหลือประชากรประมาณ 999 ต้น ภัยคุกคามหลักคือการรวบรวมเมล็ดพันธุ์เพื่อการค้าพืชสวนระหว่างประเทศ และมีการเก็บเกี่ยวใบเพื่อใช้ในมุงจาก ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2010 Dypsis decaryi ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ D1 มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE D1- ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species. (2010)
source: Rakotoarinivo, M. & Dransfield, J. 2012. Dypsis decaryi . IUCN Red List of Threatated Species 2012: e.T38531A2873409. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2012.RLTS.T38531A2873409.en _ เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 .
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/38531/2873409
- เกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาติ Andohahela
- ชนิดพันธุ์นี้มีรายชื่ออยู่ในความคุ้มครองของ CITES Appendix II (การควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์) ภายใต้ชื่อ Neodypsis decaryi และรายชื่อครอบคลุมทุกส่วนรวมทั้งเมล็ดด้วย
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและแยกหน่อ เมล็ดใช้ระยะเวลาในการงอก 1-2 เดือน


32 ปาล์มพัดจีบ/ Licuala grandis

[lik-oo-AH-lah] [GRAHN-dis]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala grandis (T.Moore) H.Wendl.(1880)
ชื่อพ้อง---Has  1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/667880-1
---Basionym: Pritchardia grandis T.Moore.(1874) https://www.gbif.org/species/8008690
ชื่อสามัญ---Licuala palm, Ruffled Fan Palm, Vanuatu fan Palm, Palas palm, Round-leaved licuala palm, Large-leaved licuala
ชื่ออื่น---ปาล์มจีบ ;[CHINESE: Tuan shan zong, Yuan ye zhou lü.];[FRENCH: Licuala à grosses feuilles, Palmier-cuillere, Palmier eventail de Vanuatu.];[GERMAN: Großblättrige Strahlenpalme.];[HUNGARIAN: Nagy bokorpálma.];[JAPANESE: Maruha-uchi-wayashi, Uchi-wayashi.];[MALAYSIA: Pokok Palas, Palma kipas (Bahasa Melayu); Palas payung (Sunda);[PHILIPPINES: Balatbat bilog (Tag.).];[POLISH: Likuala wielka, Wachlarzownica wyniosła.];[PORTUGUESE: Palmiera-leque, Palmiera-liquala.];[SPANISH: Licaula grande, Palma abanico de Vanuatu, Totuma.];[THAI: Paam jeeb.];[VANUATU: Ndaubihu, Neyedip, Taba taba, Wilog wewia, Songe m jam Nevehu.];[VIETNAMESE: Mat cat to.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LCLGR (Preferred name: Licuala grandis.)
ถิ่นกำเนิด ---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะโซโลมอนและวานูอาตู (นิวกินี) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล “Licuala” มาจากชื่อท้องถิ่น “leko wala”ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวโมลุกกะเรียกปาล์มชนิดนี้ ; ชื่อสายพันธุ์คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน “grandis”  = ใหญ่โต อ้างอิงถึงลักษณะของใบปาล์ม
Licuala grandis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Moore (1821–1887) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2423

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะโซโลมอนและวานูอาตู ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ลักษณะ ---เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยวขนาดเล็กที่สวยน่าสนใจต้นหนึ่งขนาดความสูง สูงประมาณ 2- 3เมตร ลำต้นตรงสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น ประมาณ 5-10 ซม. มีรอยแผลเป็นจากรอยใบเก่าและร่องรอยของ กาบใบที่เป็นเส้นใย ทำให้ดูเหมือนเป็นข้อปล้องชัดเจนถี่มาก ใบกลมรูปพัด (palmate) เป็นวงกลมเกือบสมบูรณ์ ขอบใบหยักเล็กน้อย ขนาด 0.6-1 เมตร ก้านใบมีหนาม ช่อดอกออกระหว่างใบ ( Interfoliar ) ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ยาวถึง2เมตร แตกแขนงออกเป็น 3 คำสั่ง และขยายออกไปนอกใบ ดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) สีขาวอมเหลือง ผลกลมสีเขียวอ่อนขนาด 1-1.5 ซม.สุกสีแดงสด มีเมล็ด 1 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zones 9B – 11)ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 21–31 °C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง ( -5 °C ) แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น อุณหภูมิปกติไม่ควรต่ำกว่า10 °C ตำแหน่งแสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) หรือร่มรำไร (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง) มีที่กำบังลมแรง ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดีไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับ pH ของดิน อัตราการเจริญเติบโตช้าการบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยวัสดุคลุมดินที่หนา รากของพืชนั้นตื้นและแผ่กว้าง วัสดุคลุมดินควรเปียกชื้นตลอดเวลา แต่อย่าให้ท่วมขัง พืชกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป รักษาระดับความชื้นให้สูงกว่า 50% เมื่อปลูกในที่ร่ม ลดความถี่ในการรดน้ำในช่วงฤดูหนาวเนื่องจากพืชเข้าสู่ระยะพักตัว
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งเพียงตัดใบหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดช่อดอกที่ใช้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง
การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) เดือนละครั้ง เมื่อปลูกในร่ม ใช้ปุ๋ยที่มีความสมดุลซึ่งเจือจางให้ครึ่งหนึ่งของความแรงเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ใช้ดีที่สุดเมื่อรดน้ำต้นไม้
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไป ปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชร้ายแรง แมลงและโรคที่อาจเกิดได้Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวที่รบกวนปาล์ม) ป้องกันเพลี้ยแป้งบนผลไม้สุก
รู้จักอ้นตราย---เป็นพิษหากกลืนกิน
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมปาล์มเขตร้อน เป็นปาล์มในร่มที่สง่างามและทนทานที่สุดชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับปลูกในภาชนะหรือปลูกบนพื้นดินในร่มหรือกลางแจ้ง สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง ประดับตกแต่งภายใน ความสวยงามที่ใช้ตอนมีความสูงประมาณ 0.50-1.50 เมตร-ใช้กิน ใบอ่อนดิบหรือสุกจะรับประทานในรูปของสลัดหรือซุปใบข้าว
ใช้เป็นยา---ในประเทศไทยใช้ใบหรือรากบดเป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาพิษตะขาบกัด ในมาเลเซียน้ำต้มรากใช้เป็นยาแก้พิษทั่วไป ในกัมพูชาปาล์มเป็นส่วนหนึ่งของส่วนผสมที่ใช้ในการรักษาวัณโรค อย่างไรก็ตามการใช้นี้ไม่ได้รับการสำรวจโดยสิ้นเชิงจากมุมมองของการแพทย์แผนตะวันตก   
อื่น ๆ---การใช้แบบดั้งเดิม ใบขนาดใหญ่ใช้สำหรับมุง
การขยายพันธุ์---แยกหน่อ เพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการงอก 2 – 6 เดือน


33 ปาล์มบังสูรย์/Johannesteijsmannia altifron

[yo-hahn-nes-tehs-mahn-EE-ah] [AL-tih-fronz]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Johannesteijsmannia altifrons (Rchb.f. & Zoll.) H.E.Moore.(1961)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667632-1#synonyms          
---Basionym: Teysmannia altifrons Rchb.f. & Zoll.(1858) https://www.gbif.org/species/2731747
ชื่อสามัญ---Joey Palm, Diamond Joey, Umbrella leaf palm, Umbrella Palm, Litter collecting palm
ชื่ออื่น---ปาล์มบังสูรย์, ปาล์มข้าวหลามตัด, บังสูรย์, หมากตะขาบ, ลีแป (มาเลย์) ;[BRAZIL: Palmiera-diamante.];[CHINESE: Tai shi lü, Yue han zong.];[FRENCH: Palmier fougère.];[INDONESIA: Daun payong.];[MALAYSIA: Daun Sabun (Johor); Koh (Kelantan), Lak (Terengganu); Daun payung sal, Sal (Bahasa Melayu); Segalok (Selangor).];[THAI: Paam khao lam tat, Paam bang soon, Bang soon, Li-pae, Mak ta khap.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- JOHAL (Preferred name: Johannesteijsmannia altifrons.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Johannesteijsmannia' ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ Johannes Elias teijsmann Z1808-1882) ; ชื่อสายพันธุ์ 'altifrons' คือการรวมกันของคำศัพท์ภาษาละติน 'altus, a, um' = high และ 'frond = ใบไม้ โดยมีการอ้างอิงที่ขัดเจน
Johannesteijsmannia altifrons สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Gustav Reichenbach (1824–1889) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Heinrich Zollinger (1818 –1859) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2504
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในมาเลเซีย (พบได้ทั่วไปในอุทยานแห่งชาติ Taman Negara, Johor ตะวันออกและอุทยานแห่งชาติ Bake National Park ในรัฐซาราวักตะวันตก) อินโดนีเซีย (เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Langkat สุมาตรา) ไทย (สงขลา ยะลา นราธิวาส ) และ อินโดนีเซีย (บอร์เนียว สุมาตรา) เกิดในป่าดิบชื้นชั้นต้น บนยอดสันเขาและเนินเขาบนดินที่มีการระบายน้ำได้ดีส่วนใหญ่ที่ระดับสูงกว่า 300 - 500 (-800) เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มที่สวยงามอย่างยิ่ง ไม่มีลำต้นที่เห็นพ้นดิน ลำต้นใต้ดินมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม.ใบเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เรียงกันโดยรอบเป็นกอใหญ่ ตั้งตรง 20–30 ใบ ก้านใบโผล่จากพื้นดิน มีหนามเล็กๆตามขอบก้านใบทั้งสองข้าง ใบยาวไม่เกิน 3.5 เมตร และกว้าง 1.8 เมตร โดยมีใบย่อยด้านละ 20 แผ่นขึ้นไปด้านล่างมีเกล็ดสีน้ำตาล ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ตั้งตรงตอนแรกในที่สุดแตกแขนงห้อยลง ก้านช่อดอกยาว 30–50 ซม. ช่อย่อย 20-100 กิ่ง ยาว 5-20 ซม. สีเขียวมี tomentum สีขาวหนาแน่น  ดอกกะเทย (hermaphrodite) สีครีมปลายแหลมยาว 4-5 มม. ผลไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม.มี 1 เมล็ด   
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA hardiness zones: 10B through 11) อุณหภูมิปกติไม่ควรต่ำกว่า 5°C ทนอุณหภูมิได้ต่ำถึง -4 ° C ไม่สามารถทนต่อแสงแดดได้โดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ชอบตำแหน่งร่มชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ต้องการความชื้นในบรรยากาศสูง สามารถปรับให้เข้ากับประเภทของดินได้ แต่ชอบดินที่มีมีอินทรียวัตถุเป็นกลางถึงเป็นกรดเล็กน้อย pH 5.6-6.5 มีการระบายน้ำดี  อัตราการเติบโต ช้าถึงปานกลาง
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท แต่อย่าให้น้ำขัง ผลของการรดน้ำมากเกินไปคือจะแคระแกร็น ใบเหลือง และตายในที่สุด
การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด ปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก ปุ๋ยคุณภาพดีสามารถเร่งการเจริญเติบโตได้
ศัตรูพืช/โรคพืช--ป้องกัน spider mites,  แมลงเกล็ด (scale insects) และเพลี้ยแป้ง (mealybug) จุดเชื้อราสีน้ำตาลหรือสีดำ มักเกิดจากการจัดการสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี/ ต้องการการให้ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบสีเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ปลายใบสีน้ำตาลมักเกิดจากการใส่ปุ๋ยมากเกินไปในส่วนผสมในการปลูก
รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นหนึ่งในต้นปาล์มเขตร้อนที่สวยงามและได้รับความนิยมเนื่องจากมีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์ จะดีเยี่ยมสำหรับการจัดสวน ใช้งานได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม สามารถนำมาปลูกในกระถางขนาดใหญ่ในฐานะที่เป็นพืชในร่มได้ ต้องการแสงสว่างมากภายในอาคาร ไม่ชอบเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำความร้อน
อื่น ๆ---ใบใช้สำหรับมุงชั่วคราว
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการงอก 3 เดือน

34 หมากงาช้าง/Pinanga dicksonii

[pih-NAHN-gah] [dik-sohn'-ee]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga dicksonii (Roxb) Blume.(1839)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669061-1#synonyms
---Basionym: Areca dicksonii Roxb.(1832) https://www.gbif.org/species/2739471
---Seaforthia dicksonii (Roxb.) Mart.(1838)
---Ptychosperma dicksonii (Roxb.) Miq.(1855)
ชื่อสามัญ---Ivory Crownshaft Palm
ชื่ออื่น---หมากงาช้าง ;[KANNADA: Katadike, Kangu.];[MALAYALAM: Mala-adakka, Kanakamugu, Kattukuamugu, Kattukavungu, Kanakamuka, Kattupackumaram.];[TAMIL: Kaana Kamugu.];[THAI: Mak nga-chang.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ; ไทย มาเลเซีย บอร์เนียว อินโดนีเซีย (ชวา สุมาตรา)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pinanga เป็นภาษาละตินของชื่อมาเลเซีย 'Pinang'
Pinanga dicksonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2382

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันทางตะวันออกของอินเดีย พืชเฉพาะถิ่น (Endemic) ของ Western Ghats และแพร่กระจายไปยังเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอสูงได้ถึง 4-6 เมตร ลำต้นขนาด 6-8 ซม. สีเหลืองอมเขียว มีช้อปล้องชัดเจน คอยอดสีขาวนวล  ใบประกอบแบบขนนก (pinnate)  เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน  กว้าง 2-5 ซม. ยาว 40-60 ซม.ปลายใบเรียวแหลม  โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบสีเขียวเข้ม กาบใบที่หุ้มลำต้นสีเหลืองนวล  ช่อดอกออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ(Infrafoliar)ช่อดอกยาว 20-40 ซม ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีเหลืองอมเขียว. ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว  ติดผลจำนวนมาก  ทรงกลมรี ขนาด 2 ซม. ผลสุกสีแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ถึงร่มรำไร (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นในอากาศปานกลางถึงสูง ทนต่ออุณหภูมิตั้งแต่ 0° C ถึง 40° C ดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ สามารถปรับได้กับดินหลายชนิดรวมถึงพวกดินเหนียว ที่เป็นกลาง เป็นกรด และเป็นด่างเล็กน้อย หากมีการระบายน้ำดี ไม่ทนไอเกลือ อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก (น้อยกว่าถ้าคลุมดินอย่างดี) และควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท พืชในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งเพียงตัดใบหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดช่อดอกที่ใช้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด ปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก ร่วมกับ Mg  & Mn เป็นครั้งคราว
ศัตรูพืช/โรคพืช--โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---None
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากป่าใช้ในท้องถิ่นเป็น masticatoy (ใช้สำหรับหรือดัดแปลงเพื่อการเคี้ยว)และแหล่งที่มาของวัสดุ
ใช้กิน--- บางครั้งใช้เมล็ดเคี้ยวกับพลูแทนหมากสง (Areca catechu) โดยทั่วไปจะใช้เฉพาะในกรณีที่ไม่มีหมากแท้เท่านั้น
ใช้เป็นยา---ใช้แก้ท้องอืดท้องเฟ้อโรคกระเพาะและท้องมาน
ใช้ปลูกประดับ--- การใช้งานด้านภูมิทัศน์ สำหรับตกแต่งสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ปลูกเป็นไม้ประธานในสวนหย่อม ริมศาลา เป็นฉากกั้น ปลูกมุมอาคาร ไม่เหมาะกับสวนริมทะเล นอกจากนี้ยังใช้เป็นพืชในร่มเพื่อความสง่างามตั้งแต่อายุขวบปีแรก สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาพแสง ที่หาได้ยาก และการที่ไม่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทำให้เป็นหนึ่งในปาล์มที่ใช้ประโยชน์มากที่สุดสำหรับ การตกแต่งพื้นที่ภายในอาคาร
ระยะออกดอก/ติดผล--- มีนาคม - เมษายน
การขยายพันธุ์--- แยกหน่อ เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้ระยะเวลาในการงอกภายใน 3-4 เดือน แต่เมล็ดมีอายุยืนยาวกว่าพันธุ์ส่วนใหญ่ในสกุลนี้

35 หมากหอม/ Arenga australasica

[ah-REHN-gah] [ah-strah-lah-SEE-kah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga australasica (H.Wendl. & Drude) S.T.Blake ex H.E.Moore.(1963)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664243-1#synonyms,    
---Basionym: Saguerus australasicus H.Wendl. & Drude.(1875) https://www.gbif.org/species/2734018
---Normanbya australasicus ( H.Wendl. & Drude ) Baill.(1895)
ชื่อสามัญ---Australian Arenga Palm, Southern Arenga
ชื่ออื่น---หมากหอม ;[CHINESE: Ao zhou guang lang.];[THAI: Mak hom.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---AGBSS (Preferred name: Arenga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตการกระจายพันธุ์---รัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียและตามแนวชายฝั่งทะเลของประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' เป็นภาษาละตินใหม่ จากภาษาชวา 'arèn' ; ชื่อระบุชนิด 'australasica' =ทางตอนใต้หมายถึงแหล่งกำเนิดของออสเตรเลีย
Arenga australasica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Stanley Thatcher Blake (พ.ศ. 2453-2516) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย จากอดีต Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2506

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์และชายฝั่งตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย พบตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง 300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์ม แตกกอ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5-8 ซม. สูงได้ถึง7เมตร บางครั้งมีราก  เขย่งหรือรากค้ำ คอสีเขียวใบรูปขนนก(pinnate) ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างสีเขียวปนเทา ช่อดอกออกใต้คอ(Infrafoliar) ยาว 1-2 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(monoecious)ดอกจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ดอกสีเหลือง ขนาดดอกประมาณ1ซ.ม. ช่วงที่ดอกผู้บานจะส่งกลิ่นหอม ผลกลมรีขนาด 2-2.5 ซม.เมื่อสุกสีแดงมีเมล็ดกลม 2-3 เมล็ด ชนิดนี้ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงเป็น Monocarpic (ลำต้นจะตายหลังจากออกดอกและติดผล)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และเขตอบอุ่น ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ในที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) ถ้าปลูกในร่มวางในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึงบ้างในระหว่างวัน ชอบดินปนทรายระบายน้ำได้ดี ทนดินเค็ม
* การพูดคุยส่วนตัว---หมากหอมในรูปถ่ายมาจากสวนพฤกษศาสตร์ (ภาคกลาง) พุแค จังหวัด สระบุรี ต้นนี้ปลูกอยู่กลางแจ้ง ลักษณะใบจะเรียวเล็กและกระด้างกว่าต้นที่ปลูกในที่มีแสงแดดรำไร
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และถ้าปาล์มปลูกกลางแดด ให้ใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---ระวังผลไม้ที่มีน้ำกัดกร่อน ระคายเคืองต่อผิวหนังสูง ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นำมาใชัจัดสวน ใช้ในงานภูมิทัศน์ได้ดี ปลูกอยู่ใต้ร่มเงาไม้อื่นได้
การขยายพันธุ์--- แยกหน่อ เพาะเมล็ด


37 ปาล์มสะดือเหลือง/Coccothrinax argentata

[koh-koh-TRIH-naks] [ar-jehn-TAH-tah]

Pictures by---https://www.palmtalk.org/forum/topic/48676-where-to-find-a-coccothrinax-argentata/
- Approx 25-27 years old

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Coccothrinax argentata (Jacq.) L.H.Bailey.(1939)
ชื่อพ้อง:---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:62341-2#synonyms
---Basionym: Palma argentata Jacq.(1803) https://www.gbif.org/species/2735294
ชื่อสามัญ---Florida Silver Palm, Silver Palm, Biscayne palm, Silver Thatch Palm, Silvertop
ชื่ออื่น---ปาล์มสะดือเหลือง, ดาวเงิน ;[CHINESE: Fo zhou yin lü.];[GERMAN: Florida-Silberpalme.];[PORTYGUESE: Palmeira-prateada-de-leque.];[RUSSIAN: Kokkotrinaks serebristyy, Pal'ma kabade, Russian floridskaya serebryanaya pal'ma.];[SPANISH: Guamito, Palma plateada.];[THAI: Paam sa deu lueang, Dao ngeon.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CCXAR (Preferred name: Coccothrinax argentata.)
ถิ่นกำเนิด--- ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก ,โคลอมเบีย หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ทะเลแคริบเบียน  คิวบา จาเมกา หมู่เกาะเติร์กและไคคอส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Coccothrinax' จากคำภาษากรีก  'coccos' = 'berry'และ 'thrinax' = ชื่อของสกุล Thrinax
Coccothrinax argentata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ , เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ในปีพ.ศ.2346 และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Liberty Hyde Bailey (1858-1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2482
มีสองสายพันธุ์ย่อย (Subspecies) คือ
- Coccothrinax argentata subsp. argentata
- Coccothrinax argentata subsp. garberi (Chapm.) Zona, Franc.-Ort. & Jestrow


Pictures by---https://www.palmtalk.org/forum/topic/48676-where-to-find-a-coccothrinax-argentata/
- Approx 25-27 years old

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในฟลอริดาตอนใต้ เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ โคลัมเบียและหมู่เกาะเวสต์อินดีส พบในบาฮามาส แคริบเบียน คิวบา จาเมกา เติบโตตามพื้นที่โล่งและป่าเปิดมักอยู่บนเนินทรายและดินทรายที่มีหินปูนปกคลุมโดยปกติจะอยู่ใกล้กับชายฝั่ง แต่ในบางครั้งจะมีระดับความสูงมากกว่า 500 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็กแต่บางครั้งจะพัฒนาลำต้นหลาย ๆ ต้น สีเทา ข้อปล้องมองไม่เห็นเพราะหุ้มด้วยเส้นใยสีน้ำตาล สูงได้ 2-6 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20 ซม. มีใบ12-15ใบ ใบรูปพัด (palmate) สีเขียวน้ำเงินหรือเขียวอมฟ้าใต้ใบสีเงิน ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ยาว70-90ซม. ตั้งตรงแตกแขนง 4-7กิ่ง ดอกกะเทยมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) ดอกไม้สีขาวหรือสีเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอม ผลกลมขนาด 0.5ซม. ผลอ่อนสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือดำเมื่อสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดดจัด แสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) หรือร่มรำไร (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ชอบดินทรายชื้นที่มีอินทรีย์วัตถุ ระบายน้ำได้ดี ทนความแห้งแล้ง ปรับตัวง่าย ทนต่อการสัมผัสทางทะเล ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  0°C อัตราการเติบโต ช้า เฉลี่ย 12 ซม. (4.7 นิ้ว) ต่อปี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติอย่างสม่ำเสมอ ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ การรดน้ำระวังอย่าให้โดนลำต้น ให้รดบนดินตรง ๆ การรดน้ำที่ลำต้นจะกระตุ้นให้เกิดเชื้อราที่สามารถนำไปสู่การเน่าถึงตายได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง อย่าลิดถ้าที่ยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด(สูตร 18-18-18)
ศัตรูพืช/โรคพืช--ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้้ายแรง/อาจมีการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์---* นี่คือต้นไม้พื้นเมืองขนาดเล็กที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ต้นที่โตเต็มที่จะมีราคาแพงมากเนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ช้า บางครั้งมันจะถูกเก็บมาจากป่าอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้นโปรดตรวจสอบแหล่งที่มาของคุณให้ดี อ้างอิงจาก https://www.palmpedia.net/wiki/Coccothrinax_argentata
ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง ในช่วง 1-.5เมตร ต้นโตมากกว่านี้ค่อยย้ายปลูกลงดิน หรือลงสนาม กลางแจ้ง ปลูกเดี่ยว ๆหรือลงแปลงเป็นกลุ่ม
อื่น ๆ---ลำต้นใช้ในการก่อสร้าง ใบอ่อนและใบแก่ใช้มุง ในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกใช้ทำตะกร้าหมวกและงานฝีมืออื่น ๆ ครั้งหนึ่งใบไม้มีความสำคัญในหมู่เกาะเคย์แมนสำหรับใช้บิดทำเชือก
ภัยคุกคาม 2001---เนื่องจากถูกคุกคามที่อยู่อาศัยจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต'
สถานะการอนุรักษ์ 2001---CR- CRITICALLY ENDANGERED- IUCN Red List of Threatened Species. (2001)
ภัยคุกคาม 2021--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
source: Carrero, C. 2021. Coccothrinax argentata. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T67534749A67534752. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T67534749A67534752.en. Accessed on 06 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/67534749/67534752
- Coccothrinax argentata ถูกรวบรวมในคอลเลก ชันนอก แหล่งกำเนิด  อย่างน้อย 22 คอลเลกชันตาม Plant Search ของ BGCI (2020)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด การเพาะเมล็ดปาล์มสะดือเหลืองเมื่อเก็บเมล็ดได้ให้รีบนำมาเพาะสดหากทิ้งไว้นาน  ความสามารถในการงอกจะเสื่อม ระยะเวลาในการงอก 6 สัปดาห์ขึ้นไป


ปาล์มสะดือเหลือง/Coccothrinax argentea
[koh-koh-TRIH-naks] [ are-JEN-teh-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Coccothrinax argentea (Lodd. ex Schult. & Schult.f.) Sarg. ex K.Schum.(1901)
ชื่อพ้อง:---Has 7 Synonyms.
---Acanthorhiza argentea (Lodd. ex Schult. & Schult.f.) O.F.Cook. (1941)
---Thrinax argentea Lodd. ex Schult. & Schult.f. (1830)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30310531-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Thachpalm, Silver top palm, Silver top, Silver thach, Brittle thach, Bay-top, Florida silverpalm, Silver thatch palm, Hispaniolan silver palm, Broom palm, Hispaniola silver thatch palm, Biscayne palm, Silver Palm.
ชื่ออื่น---ปาล์มสะดือเหลือง, ฟลอริดาปาล์มเงิน ;[FRENCH: Palmier argenté, Latanier argenté, Latanye savanne, Latanye marron, Latanier balai.];[GERMAN: Hispaniola-Silberpalme.];[SPANISH: Yuraguana, Guano de escoba, Cana, Guano, Palmera plateada de La Hispaniola, Guanito.];[THAI: Paam sa deu lueang, Dao ngeon.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- CCXSS (Preferred name: Coccothrinax sp.)
ถิ่นกำเนิด--- ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แคริบเบียน (Hispaniola, สาธารณรัฐโดมินิกัน, เฮติ)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Coccothrinax' จากคำภาษากรีก  'coccos' = 'berry'และ 'thrinax' = ชื่อของสกุล Thrinax
Coccothrinax argentata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Conrad Loddiges (1738–1826) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีตสองนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย Josef August Schultes (1773–1831) และ Julius Hermann Schultes (1804–1840) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Sprague Sargent (1841–1927) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน จากอดีต Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2444
- สายพันธุ์นี้มักสับสนกับ Coccothrinax argentata (จากฟลอริดาตอนใต้) ซึ่งเติบโตเร็วกว่าเล็กน้อย ย้ายปลูกได้ง่ายกว่า และมีใบด้านล่างสีเงินน้อยกว่าเล็กน้อย


Pictures by---https://www.vendio.com/stores/Polynesian_Produce_Stand/item/yard-garden-outdoor-living-pla/live-big-silver-thatch-palm-ca/lid=24700813

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในHispaniola สาธารณรัฐโดมินิกัน และเฮติ เติบโตตามพื้นที่เปิดโล่งหรือป่าสนบนดินที่เป็นหินแข็ง และมักพบในบริเวณที่ถูกรบกวน ซึ่งกระจายพันธุ์อย่างอิสระ ที่ระดับความสูง 10-1,100 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดกลาง สูงประมาณ 10 เมตร ลำต้นสีเทาถึงดำ เรียวยาว เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 20 ซม. คลุมด้วยเส้นใยเรียบในส่วนฐานที่มีอายุมากกว่า มีใบ12-15ใบ ใบรูปพัด (palmate) สีเขียวเข้มด้านบนและเคลือบสีเงินด้านล่าง กว้าง 1.5 เมตร ก้านใบค่อนข้างยาว ช่อดอกสั้นแตกแขนงและงอกออกมาใต้เรือนยอดใบ ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองหรือสีงาช้าง ผลกลม สีม่วงดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) หรือร่มรำไร (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ที่มีการระบายน้ำดี สามารถปรับตัวได้อย่างกว้างขวางและยังสามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่ไม่ดี pH 6.6-8.5 ทนความแห้งแล้ง ปรับตัวง่าย สามารถทนต่อละอองเกลือได้โดยไม่มีความเสียหายใดๆ แต่ไม่ทนต่อน้ำเค็มหรือน้ำกร่อย พืชปลูกย้ายได้ไม่ดี มีรากที่บอบบางมากซึ่งมีแนวโน้มที่จะตายหากจัดการ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติอย่างสม่ำเสมอ ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ การรดน้ำระวังอย่าให้โดนลำต้น ให้รดบนดินตรง ๆ การรดน้ำที่ลำต้นจะกระตุ้นให้เกิดเชื้อราที่สามารถนำไปสู่การเน่าถึงตายได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง อย่าลิดถ้าที่ยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด(สูตร 18-18-18)
ศัตรูพืช/โรคพืช--ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้้ายแรง/อาจมีการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น บางครั้งนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้กิน--- ใบอ่อนกินเป็นผัก
ใช้เป็นยา---ใช้เป็นยาแผนโบราณ
ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง ในช่วง 1-.5 เมตร ต้นโตมากกว่านี้ค่อยย้ายปลูกลงดิน หรือลงสนาม กลางแจ้ง ปลูกเดี่ยว ๆหรือลงแปลงเป็นกลุ่ม สามารถใช้กับสวนใกล้ทะเล
อื่น ๆ---ลำต้นใช้ในการก่อสร้าง ใบอ่อนและใบแก่ใช้มุง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2022 ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2022)
source: Timyan, J. 2022. Coccothrinax argentea. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: e.T213404193A213978316. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-2.RLTS.T213404193A213978316.en. Accessed on 06 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/213404193/213978316
- ไม่มีรายงานโครงการอนุรักษ์ที่เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์นี้
- สายพันธุ์นี้มีอยู่ในพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งของสาธารณรัฐโดมินิกัน แต่ยังไม่ได้รับรายงานจากพื้นที่คุ้มครองใด ๆ ในเฮติ พบชนิดนี้ใน  บริเวณ นอกแหล่งกำเนิด  30 แห่ง (BGCI 2022)
- Peguero และคณะ  (2015) และ Zona และคณะ (2007) ประเมินชนิดพันธุ์ดังกล่าวว่าน่ากังวลน้อยที่สุด สิ่งที่ถือว่าเป็น  C. argentea sensu lato  ในปัจจุบัน อาจถูกแยกออกจากกลุ่มแท็กซ่าที่แตกต่างกันในอนาคต ในเวลาดังกล่าว ควรประเมินชนิดพันธุ์ใหม่โดยอาศัยการศึกษาอนุกรมวิธานใหม่
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด


38 ปาล์มมิรากัวม่า/Coccothrinax miraguama

[koh-koh-TRIH-naks] [mehr-ah-goo-AHM-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Coccothrinax miraguama (Kunth) Becc.(1907)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:50881616-1
---Basionym: Corypha miraguama Kunth.(1816) https://www.gbif.org/species/2735304
---Copernicia miraguama (Kunth) Kunth.(1841)
---Thrinax yuraguana A. Rich.(1850)
---Thrinax miraguama (Kunth) Mart.(1853)
ชื่อสามัญ---Miraguama palm, Cuban Silver Frond Palm
ชื่ออื่น---ปาล์มมิรากัวม่า;[CHINESE:Mi la gua yin lü.];[CUBA:Miraguano,Yuraguana.];[JAPANESE: Mi rā khu ma kyūba-san.];[PORTUGUESE: Palmeira-miraguama.];[RUSSEAN: Kokotrinaks miraguama.];[SPANISH: Miraguamo, Yuraguana.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CCXMI (Preferred name: Coccothrinax miraguama.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Coccothrinax' จากคำภาษากรีก  'coccos' = 'berry'และ 'thrinax' = ชื่อของสกุล Thrinax ซึ่งพืชเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกัน ; ชื่อเฉพาะ 'miraguama' จากภาษาละติน 'miraguamo' หมายถึงชื่อสามัญในท้องถิ่นของพืช
Coccothrinax miraguama เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ. 2450
มี 3 สายพันธุ์ย่อย (subspecies) ที่ยอมรับ ได้แก่ ;--
- C. miraguama subsp. miraguama -autonym (ชื่อ infrageneric หรือไม่ระบุ ที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ): มีลำต้นสูงที่สุดเกือบสองเท่าของอีกสองชนิดย่อย
- C. miraguama subsp. havanensis (León) Borhidi & O.Muñiz. (1971)
- C. miraguama subsp. roseocarpa (León) Borhidi & O.Muñiz. (1971)
See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:50881616-1#children

ที่อยู่อาศัย--- เป็นปาล์มเฉพาะถิ่น (endemic) มีถิ่นกำเนิดในคิวบาและฮิสปาเนียลา พบได้บนเนินเขาและทุ่งหญ้าสะวันนาป่าเปิดบริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ที่แพร่กระจายมากที่สุดในสกุล Coccothrinax
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวไม่มีหนาม สูงได้ถึง 6 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 - 12 ซม.มีแผ่นใบเก่าที่ดูคล้ายเส้นใยเหมือนไฟเบอร์คลุมรอบคอยอด ในขณะที่ลำต้นจะเปลือยไม่มีใยหุ้ม สีเทา มีใบ 20-30 ใบ ใบรูปพัด (Palmate) ขอบใบจักเว้าลึกครึ่งใบขนาด1เมตร แผ่นใบหนาสีเขียวด้านบน พื้นผิวด้านล่างสีขาวเงิน ก้านใบยาว 2 เมตร ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ยาว 90 ซม แตกแขนงออกเป็น 2 กิ่ง มีกิ่งหลักได้ถึง 4 กิ่ง ดอกกะเทยมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน (hermaphrodite) สีเหลืองครีม ผลค่อนข้างรีขนาด 1 ซม. สีแดง เมื่อสุกสีแดงคล้ำเกือบดำ  มีเมล็ดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 มม. เพียงเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) ชอบดินทรายชื้นที่มีอินทรีย์วัตถุ ระบายน้ำได้ดี pH 6.6-7.5 ทนอุณหภูมิลดลงต่ำถึง (-3 ° C) อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำปกติอย่างสม่ำเสมอ ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ การรดน้ำระวังอย่าให้โดนลำต้น ให้รดบนดินตรง ๆ การรดน้ำที่ลำต้นจะกระตุ้นให้เกิดเชื้อราที่สามารถนำไปสู่การเน่าถึงตายได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง อย่าลิดถ้าที่ยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยละลายช้า ปีละ 3 ครั้ง ต้องการปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด(สูตร 18-18-18)
ศัตรูพืช/โรคพืช---Aleurotrachelus atratus (Palm-infesting whitefly = แมลงหวี่ขาวที่ทำลายปาล์ม), Raoiella indica (ไรแดง)
รู้จักอ้นตราย---N/A
ใช้ประโยชน์---พืชมักจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นวัสดุมุงและทอ เป็นต้นไม้ที่งามมาก บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มที่น่าสนใจมากแม้ว่าจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ช้ามาก เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม
อื่น ๆ---ใบใช้สำหรับมุงและทำสิ่งทอต่าง ๆ
สถานะของการอนุรักษ์---ค่อนข้างแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดย่อย
- Coccothrinax miraguama subsp. miraguama สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) พิจารณาว่า จัดอยู่ในประเภท “ least concern” (LC) กังวลน้อยที่สุด เพราะมันมีจำนวนประชากรมากที่สุดในสกุล Coccothrinax ในคิวบา
- Coccothrinax miraguama subsp. Roseocarpa ถือเป็น "Near Threatened" (NT) ใกล้ถูกคุกคาม มีอยู่เฉพาะในจังหวัด Matanzas แม้ว่าจะมีตัวอย่างจำนวนพอสมควรก็ตาม
- Coccothrinax miraguama subsp. havanensis จัดอยู่ในประเภท "Critically Endangered" (CR) ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยลดลงและขึ้นกระจัดกระจาย
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ใน 2-3 เดือน


40 มะพร้าวแคระ/Syagrus schizophylla

[see-AHG-ruhs] [skihz-OH-fihl-lah]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Syagrus schizophylla (Mart.) Glassman.(1968)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.
---Basionym: Cocos schizophylla Mart.(1826) https://www.gbif.org/species/5293907
---Arikury schizophylla (Mart.) Becc.(1916)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:246970-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Arikury Palm, Arikury Parrot Palms
ชื่ออื่น---มะพร้าวแคระ ;[CHINESE: Lie ye jin shan kui.];[PORTUGUESE: Aricuri, Arikuriroba.];[SPANISH: Palmera de la reina.];[THAI: Ma phrao khrae.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---SYASC (Preferred name: Syagrus schizophylla.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้; บราซิล อาร์เจนตินา โบลิเวีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Syagrus' ไม่ทราบที่มาแน่ชัด สมมติฐานที่ได้รับการรับรองมากที่สุดคือมาจากชื่อ "syagrus" ที่กำหนดโดย Pliny the Elder (23/24 AD - 79) ไปจนถึงอินทผลัมหลายชนิด ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ 'Schizophylla'จากภาษากรีก 'schizo'  = แยกและ 'phyllon'  = ใบไม้ อ้างถึงใบไม้ที่มีใบแบ่ง
Syagrus schizophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sidney Frederick Glassman (1919–2008) นักพฤกษศาสตร์และนักพิสูจน์วิทยาชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2511

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ตั้งแต่บราซิลจนถึงอาร์เจนตินาและโบลิเวีย พบในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงประมาณ 3.5-4.5เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 - 15 ซม ทางใบสีดำหุ้มลำต้น ดูเป็นพูเหลี่ยม ไม่มีคอยอด. มีใบ 8-25 ใบ ก้านใบบาง ยาวประมาณ 50-80 ซม.ส่วนใหญ่ที่ขอบมีหนามเป็นตะขอสีดำใกล้ฐานใบ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate).ใบคล้ายมะพร้าวต้นเล็กๆ ใบย่อยสีเขียวเข้มหนาและแข็งเมื่อต้นสูงได้ 50 ซ.ม ก็เริ่มแทงช่อดอก ช่อดอกออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกยาวถึง 1-2.5 เมตร เป็นดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีเหลือง ผลรูปทรงกลมรี ยาว 2-3 ซม. ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกสีเหลืองส้มสดใส ผลคล้ายลูกมะพร้าวน้อย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบตำแหน่งที่เปิดโล่ง แสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) จนถึงแสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) ชอบดินปนทรายความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำได้ดี ปรับตัวได้กับดินที่หลากหลาย รวมทั้งดินเหนียวหนัก พืชมีความทนทานต่อไอเกลือและค่อนข้างทนลม ทนต่อความหนาวเย็นสามารถทนต่ออุณหภูมิได้ถึง - 4°C อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรุงรักษาต่ำ ต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อย
การรดน้ำ---ต้องการความชื้นปานกลาง รดน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอ รดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง ทนต่อระดับความชื้นต่ำและความแห้งแล้งในฤดูร้อน น้ำท่วมเป็นระยะไม่เป็นอันตรายกับพืชชนิดนี้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบและโคนใบที่แห้งตายออก
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยละลายช้า ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ปีละ 3 ครั้ง โดยใส่ปุ๋ยทุกๆ ไตรมาสเว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช--การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาร้ายแรงในดินที่มีค่า pH สูง สิ่งนี้ทำให้ต้นปาล์มเสียโฉมโดยทำให้ใบอ่อนแคระแกร็นและสามารถทำให้มันตายได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ต้นปาล์มจำเป็นต้องมีการใช้แมงกานีสและ/หรือธาตุเหล็ก เพื่อป้องกันเป็นประจำเพื่อช่วยให้ใบมีสีเขียว                                                                                                                                                                    - หากได้รับโพแทสเซียม (K) ไม่เพียงพอ ใบที่มีอายุมากในดินที่มีการระบายน้ำดีจะสังเกตเห็นเนื้อตายได้ เนื้อร้ายของขอบใบตามด้วยเนื้อร้ายปลายใบก็จะชัดเจนเช่นกัน
- มีความเสี่ยงต่อ โรค Fusaraam Wilt ซึ่งเป็นโรคเชื้อราที่แพร่กระจายโดยการตัดแต่งกิ่งด้วยกรรไกร
- เห็ดหลินจือเน่าที่เกิดจาก Ganoderma zonatum สามารถฆ่ามันได้ ไม่มีการควบคุมก้นเน่า มีเพียงการป้องกันเท่านั้น
- ปาล์มนี้ได้รับผลกระทบจากโรคใบเหลืองตาย [lethal yellowing disease.(LY).]เพียงเล็กน้อย
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ที่กินได้นั้นรวบรวมจากป่าเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น ผล- ใช้กินดิบ เนื้อเป็นเส้น ๆ ฉ่ำมีรสหวาน
ใช้เป็นยา--- น้ำผลอ่อนใช้ในการรักษาโรคตา
ใช้ปลูกประดับ--- ปาล์มชนิดนี้มีศักยภาพในการใช้ในสวนและปลูกในกระถาง ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านภูมิทัศน์ในพื้นที่ชายฝั่ง ใช้ปลูกเป็นกลุ่มตั้งแต่สามต้นขึ้นไปในระดับความสูงที่แตกต่างกัน
ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาการงอก 2-4 เดือน

41 ปาล์มไพลิน/Chamaedorea metallica

[kahm-eh-doh-REH-ah] [meh-TAHL-lih-kah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Chamaedorea metallica O.F.Cook ex H.E.Moore.(1966)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:54908-2
ชื่อสามัญ---Metallica, Metallic palm, Miniature fish-tail palm, Miniature fishtail, Rabbit ears.
ชื่ออื่น---ปาล์มไพลิน ;[FRENCH: Palmier métallique.];[GERMAN: Metallische Bergpalme.];[PORTUGUESE: Palmeirinha-metálica, Camedórea-metálica.];[RUSSIAN: Khamedoreya metallicheskaya.];[SPANISH: Chamedorea metálica, Palma bambú metálica, Palma brillosa.];[THAI: Paam phai-lin.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CMDME (Preferred name: Chamaedorea metallica.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก กัวเตมาลา เม็กซิโก เบลีซ
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล “Chamaedorea” จากภาษากรีกโบราณχαμαί (chamai)หมายถึง "บนพื้นดิน" และδωρεά (dorea)หมายถึง "ของขวัญ" โดยอ้างอิงถึงผลไม้ที่ที่อยู่ในระดับต่ำสามารถเก็บได้ง่าย;ชื่อสายพันธุ์ 'metallica' หมายถึงเงาสีเขียวแกมน้ำเงินของใบไม้
Chamaedorea metallica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Orator Fuller Cook (1867–1949) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวอเมริกัน จากอดีต Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2509

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าเปียกหนาแน่นตามแนวเขาหินปูนในมหาสมุทรแอตแลนติกที่ระดับความสูง 50-600 เมตร จากระดับน้ำทะเลและป่าฝนที่ราบต่ำในเวรากรูซและโออาซากาเม็กซิโก
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็ก สูงได้ 1.2- 1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.3-1.5 ซม. ลำต้นตรง เรียวเล็กสีเขียวเข้มมีจุดสีขาวเล็กน้อยแต่ชัดเจน ข้อโดดเด่น ปล้องยาว 1.5-2.5 ซม. รากที่แปลกประหลาดมักปรากฏที่โคน ใบมี 10-15 ใบ ใบเดี่ยวรูปหางปลา (Bifid) ขนาดของใบ กว้าง 25-40 ซม. ยาว 30-70 ซม.แผ่นใบหนาแข็งสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ท้องใบเคลือบสีนวลตอง ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) ยาว 30-45 ซม.ช่อดอกเรียงตามใบแต่มักเป็นกิ่งก้านในผล ก้านช่อดอกยาวตั้งแต่ 10-25 ซม.ขึ้นไป สีซีดหรือเขียว ใบประดับ 3-4 ใบ ช่อดอกเพศเมียมีลักษณะเป็นก้านสีส้ม (หรือม่วงแดง) พร้อมดอกสีส้ม ผลกลมรีสีดำขนาดเล็กรูปไข่ยาวประมาณ 13 มม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม.เมล็ดขนาด 10 x 7 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งร้อน ปลูกในร่มรำไรหรือแสงแดดปานกลาง (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง ทนต่อร่มเงาลึกและสภาพแสงน้อย ชอบดินร่วนที่อุดมด้วยซากพืช แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินเหนียวและดินทรายได้ ทนต่อดินหินปูนที่เป็นด่าง ต้องมีการระบายน้ำที่ดี pH 5.6-7.8 สามารถทนต่ออุณหภูมิได้ถึง -2 ° C ในช่วงเวลาสั้นๆโดยไม่ทำลายใบ อัตราการเจริญเติบโตช้า อายุการใช้งาน 5-15 ปีในบ้าน การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมากไม่ควรปล่อยให้fดินแห้งสนิทและดูเหมือนว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยน้ำที่เพียงพอแต่ไม่ต้องการดินที่เปียกและเป็นโคลนตลอดเวลา รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ในช่วงฤดูปลูก พืชในร่มควรได้รับการพ่นหมอก หรือสเปรย์ละอองน้ำทุกวัน
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบสีน้ำตาลเหลือง ใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้งออก แต่อย่าลิดใบออกถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่ปล่อยช้าอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก โดยใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความเสี่ยงต่อแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids) เพลี้ยแป้ง (mealy bugs) แมลงเกล็ด (scale insects) และ แมลงหวี่ขาว (whitefly) ระวังหอยทากด้วย/ โรคใบจุด (Fungal leaf spots) และรากเน่า (root rot) อาจเกิดขึ้นได้จากปัญหาความชื้น เช่น การให้น้ำมากเกินไป หรือดินระบายน้ำไม่ดี
รู้จักอ้นตราย---ผลไม้ไม่สามารถรับประทานได้ ยางและน้ำผลไม้อาจระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปัจจุบัน C. metallica ค่อนข้างแพร่หลายในการเพาะปลูกและปรากฏในสวนและคอลเลคชันในยุโรป ออสเตรเลียตะวันออก ฮาวาย แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา อเมริกากลางและที่อื่น ๆ เมล็ดพันธุ์ได้รับการจัดการในเชิงพาณิชย์จากพืชทั้งในป่าและที่ปลูกในเม็กซิโกและกระจายไปทั่วโลก เป็นปาล์มขนาดเล็กที่สวยที่สุดต้นหนึ่ง ทนทานและปลูกค่อนข้างง่าย ทนต่อแสงน้อยได้ดีมาก เหมาะสำหรับปลูกประดับเป็นไม้กระถาง หรือปลูกในภาชนะ อย่าใช้กระถางที่มีขนาดใหญ่เกินไปเนื่องจากจะเติบโตได้ดีกว่าหากใช้กระถางขนาดเล็ก ใช้ปลูกประดับตกแต่งภายในอาคาร บ้านเรือน ในที่สว่างและแสงส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง)
ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดจะงอกได้ง่ายที่สุดหากปลูกภายใน 4-6 สัปดาห์หลังจากผลสุก แต่การงอกยังคงไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแบ่งกอ


42 เต่าร้างยักษ์ดอยภูคา/Caryota obtusa

[kahr-ee-OH-tah] [ob-TOO-sah]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota obtusa Griff.(1845)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/caryota-obtusa-2/?lang=en    
---Caryota rumphiana var. indica Becc.(1877)
---Caryota obtusidentata Griff.(1850)
---Caryota gigas Hanh ex Hodel.[Invalid](1998)
ชื่อสามัญ---Mountain fishtail palm, Giant fishtail, Thai Giant Caryota, Black trunk palm,
ชื่ออื่น---เต่าร้างยักษ์ดอยภูคา, เต่าร้างยักษ์น่าน, เต่าร้างยักษ์ภูคา ;[CHINESE: Dong Zong.];[INDIA: Bura suwar.];[SANSKRIT: Moha-karin ("ผู้หลงผิด").];[THAI: Tao rang yak, Tao rang yak Nan, Tao rang yak Doi Phukha.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CAWOB (Preferred name: Caryota obtusa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย พม่า ลาว ไทย เวียตนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota ' เป็นภาษาละตินมาจากรากศัพท์ภาษากรีก 'caryota, ae' = ผลปาล์ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'obtusa' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'obtusus, a, um' = ทื่อ,ป้าน อ้างอิงถึงฟันเอียงของปลายใบ
Caryota obtusa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388

สถานที่ : อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัด น่าน ประเทศไทย

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน (ยูนนาน) บนพื้นที่หินปูนและป่าหุบเขาที่ระดับความสูง 370 - 1,500 เมตร ในอินเดีย (อรุณาจัลประเทศ, อัสสัม,มณีปุระ) พม่า ไทย ลาว เวียตนาม พบที่ระดับความสูง 1,400-1,800 เมตร ในประเทศไทยเป็นพืชเฉพาะถิ่น ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยพบเพียงแห่งเดียวคือ ที่ดอยภูคา จังหวัดน่าน ในป่าดิบเขาที่มีความสูง 1,500-1,700 เมตร ที่มีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี จัดเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีกำเนิดมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ร่วมสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวไม่แตกกอเหมือนตระกูลเต่าร้างทั่วไป ลำต้นเป็นรูปทรงกระบอกเท่ากันตลอด ในการเพาะปลูกสูง 10-15 เมตรขึ้นไปส่วนในธรรมชาติสูงมากกว่า 30  เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50-80 ซม.ลำต้นสีเทาซีดตามรอยแผลเป็นทางใบระยะห่าง 20-30 ซม.ของใบที่ร่วงและปกคลุมด้วยขนสีดำบางๆด้านบน มีกาบหุ้มคอยอดหนาแน่น ก้านใบยาว 1-2 เมตร ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น(Bipinnate)แผ่กางรูปสามเหลี่ยม ยาว4-6เมตรกว้างมากกว่า3เมตร สีเขียวเข้มเป็นมัน มีใบย่อยหลัก 18-22 คู่ ใบย่อยรอง 20-27 คู่ บนทางใบ ใบย่อยยาวได้ถึง 3 เมตร ลักษณะของใบย่อยคล้ายครีบหรือหางปลา เวลาลมพัดใบโบกสะบัดดูงดงามยิ่ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกยาว 3-6 เมตรดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (monoecious) มีดอกสีเหลืองจัดเรียงเป็นกลุ่มสามดอก ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก ดอกเพศผู้สุกก่อนดอกเพศเมีย (proterandry) ผลกลมสีแดงเมื่อสุกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3.5 ซม.มีเมล็ด 1-2 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดมาก (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศภายในร่มที่มีแสงน้อยได้ ต้องการดินเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย ค่า pH ในช่วง 6.1 - 7.5 มีการระบายน้ำดีและมีความชื้นในดินสม่ำเสมอ ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -3°C อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
- นี่คือสายพันธุ์ monocarpic เมื่อต้นโตเต็มที่การออกดอกจะเริ่มขึ้นจากด้านบน จากนั้นจะบานต่อไปตามลำดับจนถึงด้านล่างและเมื่อผลสุดท้ายบนช่อดอกด้านล่างสุก ลำต้นแม่ก็จะตาย ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพืชมีอายุประมาณ 15-20 ปี  
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ แต่อย่าท่วมขังชื้นแฉะตลอดเวลา
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งมากนัก ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้งออก
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าปีละ 2-3 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืช อาจพบด้วงใบ (Leaf beetles)ไม้กัดกินใบ/ โรคใบจุดสีน้ำตาล (Brown spot) การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลหรือเป็นหย่อม ๆ ปรากฏบนพืช
- โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) ทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลเทา ขอบใบและลำต้นเป็นสีดำ
- โรครากเน่า โคนเน่า อาจเกิดขึ้นได้ได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป
รู้จักอันตราย--- เนื้อของเมล็ดและลำต้นประกอบด้วยกรดออกซาลิก สามารถทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้รู้สึกแสบร้อน และควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไม่เหมาะกับสวนขนาดเล็กหรือขนาดกลาง เหมาะปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นกลุ่มในที่กว้าง หรือปลูกเป็นแถวเดี่ยวโชว์ทางใบใหญ่ที่แผ่กางอย่างสวยงาม
ใช้กิน--- หัวใจปาล์มกินเป็นผัก ลำต้นอุดมด้วยแป้งถูกนำมาใช้เป็นอาหารในบางพื้นที่ โดยตัดต้นก่อนออกดอกส่งผลให้ประชากรในธรรมชาติลดลง
สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants)  คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
สถานภาพ---เป็นพืชหายาก (rare plant) *[พืชหายาก (rare plants) คือ พืชชนิดที่มีประชากรขนาดเล็กซึ่งยังไม่อยู่ในสถานภาพใกล้จะสูญพันธุ์ (endangered) แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ พืชหายากเป็นพืชที่เราทราบจำนวนประชากรที่มีอยู่ตามแหล่งต่างๆ และส่วนใหญ่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ]* http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ระยะเวลาออกดอก--- เมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการงอก 1-3 เดือน


.43 ปาล์มหงส์เหิน/Copernicia baileyana

[koh-pehr-nee-SEE-ah] [bay-leh-YAHN-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Copernicia baileyana Leon.(1931)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666231-1#synonyms   
---Copernicia baileyana var.Copernicia baileyana var. laciniosa León.(1936)
---Copernicia baileyana f. bifida León.(1936)
ชื่อสามัญ ---Yarey, Yarey Hembra, Yareyon, Bailey Palm, Bailey's Fan Palm, Yarey Palm, Giant Yarey Palm,
ชื่ออื่น ---ปาล์มหงส์เหิน ;[CHINESE: Bei li la zong.];[CUBA: Yarey, Yarey hembra, Yareyon.];[FRENCH: Copernice de Bailey, Palmier de Bailey, Palmier de Cuba.];[PORTUGUESE: Carnauba-de-Bailey.];[SPANISH: Guano dulce, Palma cubana, Yareyón.];[THAI: Paam hong heon.]
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE(PALMAE)
EPPO Code---CPDBA (Preferred name: Copernicia baileyana.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แคริบเบียน - คิวบา ปารากวัย บราซิลและอาร์เจนตินา
นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุล 'Copernicia' เป็นเกียรติแก่นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ Nicolaus Copernicus (1473-1573) ; ชื่อสายพันธุ์ 'baileyana'เป็นเกียรติแก่ Liberty Hyde Bailey (1858-1954)นักพืชสวนและนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน
Copernicia baileyana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermano León (พ.ศ. 2414-2598) นักพฤกษศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาชาวคิวบา-ฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2474 

ที่อยู่อาศัย---เป็นเฉพาะถิ่น (Endemic) ทางตะวันออกและตอนกลางของคิวบา มีถิ่นกำเนิดในทุ่งหญ้าสะวันนาและป่าไม้แห้งของ คิวบา ปารากวัย  บราซิลและอาร์เจนตินา
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 15-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 40-60 ซ.ม.ลำต้นหนาและแข็งแรง มีช่องระบายอากาศเล็กน้อยมีสีเทาขาว ใบแผ่กางกลม1.5-2 เมตร ใต้ใบมีนวลมีความมันวาวหรือเกือบจะเหมือนขี้ผึ้ง ก้านใบยาว 1.2 เมตร มีหนามที่ขอบ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ขยายออกไปนอกใบยาวได้ถึง 3 เมตรแตกกิ่งก้านมาก ดอกกะเทยสีเหลือง (Hermaphrodite Flowers พืชเหล่านี้สามารถผสมเกสรได้เองและไม่ต้องพึ่งแมลงผสมเกสร) ผลสีน้ำตาลเข้มถึงเกือบดำขนาด 1.8-2.3 ซม เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8-2 ซม.มีเมล็ด 1 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1.2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) แต่สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) สามารถเติบโตได้ในดินที่ไม่ดีและอยู่ภายใต้สภาพแห้งแล้ง ปรับตัวเข้ากับดินได้หลากหลายชนิด ชอบดินร่วนปนทรายที่เป็นด่างมากกว่าเป็นกลาง ต้องการดินที่มีการระบายน้ำดีมาก ทนอุณหภูมิลดลงต่ำถึงประมาณ -3 °C ในช่วงเวลาสั้นๆแต่สร้างความเสียหายให้กับใบไม้ อัตราการเติบโตช้าถึงปานกลาง pH 6.1-7.8 การบำรุงรักษา ปานกลาง ระบบรากของพืชพันธุ์นี้มีความอ่อนไหวมากและยากมากที่จะขุดและย้ายไปปลูกที่อื่นได้สำเร็จ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ (ในช่วง 2 ปีแรกที่ปลูก) พืชเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่ค่อนข้างแห้งและร้อน แต่ดีกว่ามากในสภาพอากาศที่ชื้นและมีฝนตก ทนต่อสภาวะต่างๆ ได้หลากหลาย ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกในฤดูร้อน ดูเหมือนว่าพืชจะเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยน้ำที่เพียงพอ แต่ไม่ต้องการดินที่เปียกและเป็นโคลนอย่างต่อเนื่อง ทนแล้งได้มากเมื่อโตเต็มที่ สามารถทนน้ำท่วมในระยะสั้นได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้งออก แต่อย่าลิดใบถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก รวมทั้งธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ
รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นแหล่งวัสดุสำหรับมุงและทอ
ใช้กิน---ผลไม้กินไม่ได้
ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะที่สุดสำหรับเขตร้อนหรือเขตร้อนชื้นและภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นสายพันธุ์ที่สวยงามโดดเด่น รูปลักษณ์และความสูงที่ดูเรียบร้อยมาก ใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ริมทางหลางและสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ การปลูกเลี้ยงในภาชนะเป็นไปได้แต่อัตราการเติบโตจะช้าลง ปาล์มนี้มีราคาแพงเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไปในระดับสากล
อื่น ๆ---ใบมีชั้นบาง ๆ เป็นขี้ผึ้ง ในบางชนิด ขี้ผึ้งมีความหนาพอที่จะสกัดได้
- ใบใช้สำหรับทอหมวก ตะกร้าและสิ่งของอื่น ๆในงานหัตถกรรม นอกจากนี้ใบยังใช้สำหรับมุงที่พักอาศัยในชนบท
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Copernicia baileyana ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า/มีข้อกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LR/LC - Lower Risk/least concern - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species (1998)
source: Johnson, D. 1998. Copernicia baileyana. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38486A10116631. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38486A10116631.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
ขยายพันธุ์---เมล็ด งอกง่าย แต่ต้นอ่อนโตช้าใช้เวลาหลายปี เมล็ดใช้เวลาในการงอก  4 ถึง 12 สัปดาห์ เมล็ดงอกง่ายพอสมควร แต่ต้นอ่อนจะโตช้าและใช้เวลาหลายปีกว่าจะเริ่มสร้างลำต้น ต้นกล้ามีเสน่ห์มาก


44 ช้างไห้/Borassodendron machadonis

[bor-ras-oh-DEN-dron] [mak-ah-DON-iss]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Borassodendron machadonis (Ridl.) Becc.(1914)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664868-1#synonyms    
---Basionym: Borassus machadonis Ridl.(1905) https://www.gbif.org/species/2735608
ชื่อสามัญ---Machado's Palm
ชื่ออื่น---ช้างไห้, ช้างร้องไห้, ตะแหนด, แหนด (ภาคใต้) ;[FRENCH: Borassodendron.];[GERMAN: Elefantenpalme.];[MALAYSIA: Bindang (Malay).];[RUSSIAN: Borassodendron.];[THAI: Chang hai, Chang rong hai, Ta hnad, Hnad (Southern).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO Code---BDXMA (Preferred name: Borassodendron machadonis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Borassodendron'  คือการรวมกันของชื่อสกุล 'Borassus'และคำกรีก 'dendron'= ต้นไม้ อ้างอิงถึงคล้ายคลึงกันระหว่างสองสกุล ; ชื่อของสายพันธุ์ 'machadonis' เป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ Alfred Dent Machado (Died - 1910) นักสะสมพืชจ้าหน้าที่ของสวนพฤกษศาสตร์ สิงคโปร์ (1902-1903) เพื่อนร่วมงานของ Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบพืชชนิดนี้จากป่า Kamuning ประเทศมาเลเซีย
Borassodendron machadonis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยHenry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2457

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย (คาบสมุทรตะวันตกเฉียงใต้) และอาจเป็นพม่า (Tanintharyi) และในคาบสมุทรมาเลเซีย ในป่าฝนที่ราบต่ำที่ระดับความสูง 500-700 เมตร
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ลำต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-30 ซม. ลำต้นตรงมีข้อปล้องถี่ พุ่มใบใหญ่และหนาแน่น ใบรูปพัด(palmate) ฉีกลึกเกือบถึงกลางใบ ปลายใบค้อมคุ่มลง ขนาดใบ3-3.5เมตร ทางใบขนาดใหญ่ทั้งสองข้างยกเหมือนกาบหอยคมมากยาว3-4เมตร ใบสีเขียวเข้มมันวาวทั้งสองด้าน ข่อดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ออกแบบช่อเชิงลด ช่อดอกเพศผู้ยาวถึง 2 เมตร. มีกิ่งก้านดอกหนา 15-20 กิ่ง กิ่งยาวประมาณ35 ซม.ดอกมีกลีบดอกยาว 0.9 ซม.ช่อดอกเพศเมียไม่มีกิ่ง ยาวประมาณ 40 ซม.มีดอกย่อยล้อมรอบด้วยกาบใบรูปไข่ 2ใบ ดอกสีขาวอมชมพูกลิ่นหอม ผลกลมขนาดใหญ่ผิวเรียบ สีม่วงเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำเมื่อแก่ ขนาดผล 8-16ซม. ผนังผลชั้นกลางหนาเป็นเส้นใย ผนังชั้นในแข็งมีริ้ว มี 3 เมล็ด เมล็ดเป็นร่องลึกยาวประมาณ 4 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zones 10-12) ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-0 °C) หรือน้อยกว่านั้นในช่วงสั้น ชอบแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ปรับตัวได้ดีกับแสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) หรือครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ถึงแม้ตันยังเล็กอยู่ก็ไม่ต้องเลี้ยงต้นกล้าในที่ร่ม ไม่เฉพาะเจาะจงสำหรับดินหากเป็นดินลึก ระบายน้ำดี และชื้น แต่ชอบดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ทนต่อสภาพลมแรงปานกลางได้ อัตราการเจริญเติบโตช่วงปีแรก ๆจะโตช้าหลังจากนั้นระยะหนึ่งเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงดินที่เปียกชื้น อาจทนความแห้งแล้งในช่วงสั้น ๆ ได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง อย่าลิดถ้าที่ยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง ด้วยปุ๋ยปาล์มรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด (สูตร 18-18-18)
รู้จักอ้นตราย---อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลมของพืช ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ    
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อศัตรูพืช/แต่อาจต้องได้รับการใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน พืชที่รวบรวมมาจากป่าในท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นอาหาร ยอดvjvo - ปรุงสุกกินเป็นผัก ผลไม้กินได้
ใช้ปลูกประดับ--- ช้างไห้เป็นหนึ่งในปาล์มที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดเสมอ เป็นปาล์มที่มีคุณค่าเป็นไม้ประดับและปาล์มภูมิทัศน์ที่น่าประทับใจที่สุด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดวางในพื้นที่กว้าง ๆในสวนสาธารณะและสวนที่กว้างมาก ใช้เป็นปลูกเดี่ยว ๆหรือเป็นกลุ่ม
อื่น ๆ---การใช้งานแบบดั้งเดิม ใบขนาดใหญ่มักใช้สำหรับมุง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นไม้ถูกคุกคามจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ได้รับการประเมินให้อยู่ใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Borassodendron machadonis ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ D2 (มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE D2 - ver 2.3 - IUCN. Red List of Threatened Species.(1998)
source: Saw, L.G. 1998. Borassodendron machadonis (Ridl.) Becc.. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38451A10120263.en  เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน


45 ลานกบินทร์/Corypha lecomtei

[kohr-EE-fah] [leh-KOHM-teh]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Corypha lecomtei Becc. ex Lecomte.(1917)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-48234
ชื่อสามัญ---Lan palm, Thai talipot palm, Indochinese fan palm
ชื่ออื่น---ลานกบินทร์ ลานป่า ลานราชบุรี ;[ARABIC: Kwrifa likumtay.];[CAMBODIA: Dram, Satnlan, Khjeh (Khmer).];[THAI: Bai lan, Laan, Laan-ka-bin, Laan paa.];[VIETNAM: La-buon, La-buong.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO Code---CPYSS (Preferred name: Corypha sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย (กัมพูชา ไทย เวียตนาม)
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Corypha มาจากภาษากรีก 'coryphe' =ยอด ด้านบน ซึ่งมีการอ้างอิงถึงช่อดอกขนาดใหญ่ ; ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ 'lecomtei' เป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Paul Henry Lecomte (1856–1934)
Corypha lecomtei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี จากอดีต Paul Henry Lecomte (1856–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2460

ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืชเฉพาะถิ่นในกัมพูชา ลาว ไทย (ตะวันออก, ตะวันออกเฉียงใต้) และเวียดนาม (ภาคใต้) เติบโตบนดินหนัก ในที่โล่งริมลำธาร พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำท่วมขังที่ระดับความสูงประมาณ 600 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงถึง 6 เมตร ลำต้นตรงไม่แตกกิ่งมีกาบใบเรียงซ้อนหุ้มรอบลำต้น เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 70 ซม. ใบมีขนาดใหญ่ มีก้านใบยาว 2-3 เมตรสีเขียวขอบดำ ใบรูปพัด (Costapalmate) ค่อนข้างกลม เรียงเวียนรอบต้น มีเส้นใบแผ่ออกจากจุดเดียวของก้านใบ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar)ดอกออกเป็นช่อตั้งตรง แยกแขนงขนาดใหญ่ที่ยอดยาวได้ถึง 10 เมตร บนก้านช่อดอกยาว 2 เมตร มีดอกสมบูรณ์เพศ (hermaphroditic) เล็กๆสีขาวเรียงชิดแน่นเป็นจำนวนมาก ผลมีลักษณะทรงกลมยาว 7-8 ซม.สีน้ำตาลมีเมล็ดเดียว
- สายพันธุ์ เป็น Monocarpic ออกดอกเพียงครั้งเดียว เมื่อออกดอกมีผลแล้วต้นจะตาย ดอกจะเกิดขึ้นเมื่อต้นไม้มีอายุระหว่างอายุ 40 และอายุ 60 ปี
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในภูมิอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เติบโตได้ง่ายและปรับตัวได้ดีกับดินที่ชื้น แต่มีการระบายน้ำได้ดี pH 6.1-7.8 สามารถปรับสภาพดินที่ เป็นกลางได้ในดินหลายชนิด ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -2 °C แต่ใบจะเสียหายและทั้งต้นจะตายเมื่ออุณหภูมิลดลงอีก 2-3 องศา แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ทนต่อสภาพอากาศที่เย็นได้มากกว่า Corypha อื่น ๆ และนอกเหนือจากเขตร้อนแล้ว มันยังเติบโตได้ในที่ที่มีอากาศอบอุ่นบางแห่ง อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำเท่าที่จำเป็นและค่อนข้างทนแล้ง ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง นอกจากนี้ยังต้องการความชื้นในฤดูร้อนที่สูงขึ้น บรรยากาศที่แห้งอาจเป็นอันตรายได้ จะไม่ทนต่อสภาพอากาศที่แห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า ปีละ 2 ครั้ง แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---ก้านใบแข็งและมีหนามมาก อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
- ผลอ่อนใช้เป็นพิษกับปลา (อาจมีพิษต่อสัตว์อื่น?)
ใช้ประโยชน์---คนในท้องถิ่นมีการใช้ปาล์มชนิดนี้อย่างหลากหลาย ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรคและเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ
ใช้กิน--- ผลกินสดหรือเชื่อม เนื้อในเมล็ดรับประทานได้น้ำหวานจากดอกทำน้ำเชื่อมหรือเคี่ยวทำน้ำตาลปี๊บ
ใช้เป็นยา--- ใบลานเผาไฟใช้เป็นยาดับพิษ แก้อักเสบ รากใช้ฝนแก้ร้อน ขับเหงื่อ
ใช้ปลูกประดับ---ลักษณะและความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะที่จะอยู่ใกล้ทางหลวงและใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ ต้องการพื้นที่มาก ต้นไม้จะตายหลังจากโตเต็มที่ เป็นข้อเสียเปรียบในการจัดสวน
ใช้อื่น ๆ--- การใช้งานแบบดั้งเดิม ต้นปาล์มนี้มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตของประชากรในท้องถิ่นมาก่อน พระคัมภีร์ไทยโบราณที่เขียนด้วยมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพระธรรมคือทำลงบนใบที่อ่อนแห้ง งานเขียนดังกล่าวอาจอยู่ได้นานหลายศตวรรษโดยไม่เน่าเสียดังที่ปรากฏในต้นฉบับหลายฉบับที่มาถึงเรา ใบถูกตัดเมื่อยังปิดอยู่และเตรียมตามขั้นตอนที่แน่นอนก่อนนำไปใช้เขียน
- เส้นใยที่ได้จากก้านใบยาวถูกนำมาใช้ในการประดิษฐ์ใบเรือ เชือก หมวก ตะกร้าและสิ่งของอื่น ๆ อีกมากมาย
- ใบขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นที่กำบังกระท่อมและที่พักพิงชั่วคราว
ระยะเวลาออกดอก---เดือนกันยายน-มิถุนายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการงอก 3-6 เดือน


46 ลานวัด/Corypha umbraculifera

[kohr-EE-fah] [uhm-brah-koo-lih-FEHR-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Corypha umbraculifera L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666347-1#synonyms
---Bessia sanguinolenta Raf.(1838)
---Corypha guineensis L.(1767)
ชื่อสามัญ---Mountain palm, Lontar palm, Talipot palm, Talipot
ชื่ออื่น ---ลานวัด, ลานใหญ่, ลานเหนือ ;[ARABIC: Kurifa mazaliya.];[BENGALI: Tali.];[CHINESE: Bèi yè zōng, San xing xing li ye ye zi.];[DUTCH: Parasolwaaierpalm.];[FRENCH: Palmier talipot, Palmier à sagoum, Talipot d'Inde.];[GERMAN: Schirmpalme, Talipotpalme.];[HINDI: Bajarbattu, Bajar-battu ];[HUNGARIAN: Indiai üstököspálma, Indiai ernyőpálma.];[ITALIAN: Palma talipot, Palma di S. Domingo.];[JAPANESE: Kouribayashi.];[LITHUANIAN: Skėtinė korifa.];[MALAYALAM: Kudapana, Talippana.];[POLISH: Wachlarzowiec właściwy.];[PORTUGUESE: Arvore-dos-sombreiros, Palmeira-das-Bermudas.];[RUSSIAN: Korifa zontonosnaya, Talipotovaya palma.];[SANSKRIT: Alpayushi.];[SPANISH: Palma de Ceilán.];[SWEDISH: Talipotpalm.];[TAMIL: Tālip paṉai, Kodaipannai];[TELUGU: Sritalam.];[THAI: Laan wat, Laan yai, Laan nuea.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO Code---CPYUM (Preferred name: Corypha umbraculifera.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา หมู่เกาะอันดามัน จีน พม่า ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Corypha มาจากภาษากรีก 'coryphe' =ยอด ด้านบน ซึ่งมีการอ้างอิงถึงช่อดอกขนาดใหญ่ ; ชื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ 'umbraculifera' คือการรวมกันของคำในภาษาละติน 'umbraculum ' =สถานที่ร่มรื่นและ'fero' = เพื่อนำเสนอ โดยอาจอ้างอิงถึงใบไม้ขนาดใหญ่
Corypha umbraculifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ. 2396

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตะวันออกและตอนใต้ (กรณาฏกะ และชายฝั่ง Malabar ของ Kerala) และศรีลังกา นอกจากนี้ยังมีการเพาะปลูกในประเทศกัมพูชา, พม่า, จีน,ไทยและหมู่เกาะอันดามัน เติบโตในพื้นที่ต่ำของป่าชื้นมักอยู่ใกล้ทะเลและในพื้นที่ที่มีการรบกวนที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 35 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 80-150 ซม.  เป็นหนึ่งในปาล์มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะใบ รูปพัด(Costapalmate) แกนโค้ง ขอบใบจักเว้าลึกเกือบถึงครึ่งใบ แผ่กว้าง 2 เมตร ก้านใบยาว 2 เมตร มีหนามแหลมที่ขอบก้านสีน้ำตาลเข้ม ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกตั้งสูง 6-8 เมตร ดอกกะเทย (hermaphroditic) สีขาวครีม ในช่อดอกหนึ่งจะมีดอกลานอยู่เป็นจำนวนมากเป็นล้าน ๆ ดอก โดยดอกจะมีสีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม ติดผลหลายพันผล ผลค่อนข้างกลมขนาด 3-4 ซม.มีเมล็ดเดียวสีเขียวอมเทา
- สายพันธุ์ เป็น Monocarpic ต้นลานจะออกดอกที่ยอดเพียงครั้งเดียว ในช่วงอายุ 30-80 ปี ตั้งแต่ดอกบานจนกว่าผลจะสุกใช้เวลา 1 ปี หลังจากติดผลแล้วตาย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ชอบดินที่ชื้น แต่ระบายน้ำได้ดี pH 5.1-7.5 สามารถปรับให้เข้ากับสภาพดิน pH เป็นกลางได้หลายชนิด ทนทานต่อความแห้งแล้ง ทนอุณหภูมิลดลงต่ำถึง 1.7 ° C อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำเท่าที่จำเป็นและค่อนข้างทนแล้ง ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง นอกจากนี้ยังต้องการความชื้นในฤดูร้อนที่สูงขึ้น บรรยากาศที่แห้งอาจเป็นอันตรายได้ จะไม่ทนต่อสภาพอากาศที่แห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า ปีละ 2 ครั้ง แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---ก้านใบแข็งและมีหนามมาก อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
- ผลอ่อนใช้เป็นพิษกับปลา (อาจมีพิษต่อสัตว์อื่น?)
ใช้ประโยชน์---ในท้องถิ่นมีการใช้ปาล์มชนิดนี้อย่างหลากหลายใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรคและเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ
ใช้กิน--- ผลกินสดหรือเชื่อม เนื้อในเมล็ดรับประทานได้น้ำหวานจากดอกทำน้ำเชื่อมหรือเคี่ยวทำน้ำตาลปี๊บ
ใช้เป็นยา--- น้ำคั้นจากรากใช้รักษาอาการท้องร่วง ยาต้มลำต้นอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคไขข้อ ต้นใช้เป็นยาแก้พิษต่าง ๆ
ใช้ปลูกประดับ--- มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในเขตร้อน รูปลักษณ์และความสูงที่เป็นระเบียบทำให้สมบูรณ์แบบสำหรับใช้เน้นภูมิทัศน์ใกล้ทางหลวง สวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ ต้นไม้จะตายหลังจากโตเต็มที่ เป็นข้อเสียเปรียบในการจัดสวน
- พืชชนิดนี้ยังนิยมปลูกเป็นต้นไม้ในวัดในอินเดีย ศรีลังกา จีน
ใช้อื่น ๆ--- การใช้งานแบบดั้งเดิม ต้นปาล์มนี้มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตของประชากรในท้องถิ่นมาก่อน พระคัมภีร์ไทยโบราณที่เขียนด้วยมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพระธรรมคือทำลงบนใบที่อ่อนแห้ง งานเขียนดังกล่าวอาจอยู่ได้นานหลายศตวรรษโดยไม่เน่าเสียดังที่ปรากฏในต้นฉบับหลายฉบับที่มาถึงเรา ใบถูกตัดเมื่อยังปิดอยู่และเตรียมตามขั้นตอนที่แน่นอนก่อนนำไปใช้เขียน; เส้นใยที่ได้จากก้านใบยาวถูกนำมาใช้ในการประดิษฐ์ใบเรือ เชือก หมวก ตะกร้าและสิ่งของอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้กันทั่วไป
- ใบขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นที่กำบังกระท่อมและที่พักพิงชั่วคราว
- ลูกลานเมื่อนำมาทุบทั้งเปลือกแล้วโยนลงน้ำใช้เบื่อปลา (แต่ไม่ถึงตาย)
- เมล็ดมีความแข็งเหมือนงาช้างใช้ทำลูกปัด กระดุม เครื่องประดับ ฯลฯ
สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำชาติของศรีลังกา
ภัยคุกคาม---เนื่องจากพื้นฐานข้อมูลไม่เพียงพอ ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Corypha umbraculifera ถูกระบุว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอ
สถานะการอนุรักษ์---DD -Data Deficient- - IUCN  Red List of Threatened Species. (1998)
source: Johnson, D. 1998. Corypha umbraculifera. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38494A10118423. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38494A10118423.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดจะงอกได้เร็วภายใน 1 เดือน หลังจากปลูกและต้นกล้านั้นสวยงาม


47 ลานพรุ/Corypha utan

[kohr-EE-fah] [OO-tahn]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Corypha utan Lam.(1786)
ชื่อพ้อง---Has 13  Synonyms.
---Corypha elata Roxburgh.(1832)
---Corypha gebang von Martius.(1838)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666349-1#synonyms   
ชื่อสามัญ---Kennedy Palm, Gebang palm, Gehang palm, Ebang Palm, Buri palm, Cabbage Palm
ชื่ออื่น---ลานพรุ ลานใต้ ;[CHINESE: Gao xing li ye ye zi.];[GERMAN: Buri-Schopfpalme, Buripalme.];[INDONESIA: Gebang, Gabang, Gewang, Gawang, Lontar utan, Pucuk, Ibus, La buong.];[MALAYSIA: Gebang, Ibus (Malay).];[MYANMAR: Loutar.];[PHILIPPINES: Buli, Ibus (Tag.); Bagatai, Taktak (Is.); Buri, Silag.];[SPANISH: Gebang, Palma talipot (as C. elata in El Salvador).];[THAI: Laan, Laan-phru, Laan Tai.];[VIETNAM: Lá buông cao.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CPYUT (Preferred name: Corypha utan.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี); กัมพูชา; อินเดีย (เกาะอันดามัน, เกาะนิโคบาร์); อินโดนีเซีย (สุมาตรา, สุลาเวสี, มาลุกุ, เกาะซุนดาน้อย, กาลิมันตัน, ชวา, ปาปัว); สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; เมียนมาร์ (แผ่นดินใหญ่); ปาปัวนิวกินี(กลุ่มเกาะหลัก); ฟิลิปปินส์; ประเทศไทย; เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Corypha มาจากภาษากรีก 'coryphe' =ยอด ด้านบน ซึ่งมีการอ้างอิงถึงช่อดอกขนาดใหญ่ ; ชื่อของสายพันธุ์ยังไม่ได้รับการชี้แจงใด ๆโดยผู้เขียน แต่ในกรณีใด ๆหมายถึงชื่อท้องถิ่น ' lontar-utan' รายงานโดย Rumphius (California 1672-1702) ใน 'Herbarium amboinense)
Corypha utan เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2329

ที่อยู่อาศัย---พบตั้งแต่หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ เมียนมาร์ และไทย ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงออสเตรเลีย มักพบใกล้ทะเลในแหล่งที่อยู่อาศัยต่างๆ รวมถึงทุ่งหญ้าสะวันนา ที่ราบน้ำท่วม และพื้นที่ที่ถูกรบกวน มันเกิดขึ้นที่ระดับต่ำ แทบจะไม่เกิน 500 เมตร ASL (Henderson 2009) ในประเทศไทยมีการกระจายพันธุ์ ในธรรมชาติพบมากทางภาคใต้ที่ จังหวัดกระบี่ พังงา นครศรีธรรมราช สงขลาและกระจายขึ้นมาถึงราชบุรี พบในนา ที่ราบลุ่มและบริเณเชิงเขา
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 10- 30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 35-100 ซ.ม.ใบรูปพัด (Costapalmate) แกนโค้ง ขอบใบจักเว้าลึกเกือบถึงครึ่งใบ แผ่กว้าง 2-4 เมตร ก้านใบยาว 2.5 เมตร ที่ขอบก้านสีน้ำตาลเข้มมีหนามแหลมยาวตรงและแข็ง 0.3-2 ซม.ตลอดความยาว ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ผลิตช่อดอกขนาดใหญ่สูงถึง 4-8 เมตร แยกแขนง 15-40 ซม.และมีดอกกะทย (hermaphrodite) จำนวนมากถึงหนึ่งล้านดอก แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 3-8 มม.มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ และกลีบดอก 3 กลีบ ออกเป็นกระจุก 5-10 กลีบ สีขาวอมเหลือง ผลกลมสีเขียวมะกอกหรือน้ำตาล ขนาด 1.5-3 ซม.ผนังผลชั้นกลางสด เมล็ดทรงกลมขนาด 0.12-0.20 ซม. มีเมล็ดเดียว
- สายพันธุ์ เป็น Monocarpic จะออกดอกที่ยอดเพียงครั้งเดียว ในช่วงอายุ 30-60 ปี ตั้งแต่ดอกบานจนกว่าผลจะสุกใช้เวลา1-2 ปี หลังจากติดผลแล้วก็ตาย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชสำหรับภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อนที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) สามารถปรับให้เข้ากับสภาพดิน pH เป็นกลางได้หลายชนิด ชอบดินที่ชื้น แต่ระบายน้ำได้ดี pH 5.1-7.5 ทนทานต่อความแห้งแล้ง ทนอุณหภูมิลดลงต่ำสุด 1.7 °C ในช่วงสั้นๆ อัตราการเจริญเติบโต  ช้ามากในช่วง 10 ปีแรก
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ ตอนต้นยังเล็กขณะที่ต้นยังเตี้ยจะมีทางใบแห้งติดแน่น ต้องแต่งกาบใบจึงจะดูสวย แตกต่างจากลานชนิดอื่นที่ทิ้งใบแห้งหมด
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า ปีละ 2 ครั้ง แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---ก้านใบแข็งและมีหนามมาก อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ในท้องถิ่นมีการใช้ปาล์มชนิดนี้อย่างหลากหลายใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรคและเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ       ใช้กิน---ตายอด ดิบหุงกับข้าวหรือดอง กินดิบเป็นสลัดหรือปรุงกินเป็นผัก (การกินหน่อนี้จะทำให้พืชตายเพราะไม่สามารถสร้างกิ่งข้างได้)
-น้ำหวานได้มาจากช่อดอก สามารถใช้เป็นน้ำตาลหรือหมักเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-แป้งที่ได้จากส่วนของลำต้นใช้เป็นแป้งสาคู เมล็ดอ่อนใช้กินสดหรือทำเป็นขนมหวาน
ใช้เป็นยา--- รากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ผิวนวล รากเคี้ยวแก้ไอ
- น้ำคั้นจากรากใช้รักษาอาการท้องร่วง ยาต้มของต้นอ่อนใช้ในการรักษาไข้หวัด แป้งจากลำต้นใช้ในการรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้
- ในเวียตนามใช้ใบเผาเป็นเถ้าดื่มแก้อหิวาตกโรค
- ในอายุรเวทใช้สำหรับโรคริดสีดวงทวาร แผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ เหงื่อออกมาก โรคผิวหนัง
- ในอินโดนีเซีย น้ำผลไม้ใช้เป็นยาแผนโบราณเพื่อหยุดเลือดที่ออกจากบาดแผลทันที
- ในมาลายา แป้งใช้สำหรับลำไส้และน้ำจากรากใช้แก้ท้องเสีย
- ใน Celebes รากเคี้ยวแก้ไอ
ใช้ปลูกประดับ---ในงานภูมิทัศน์ และงานจัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่จะใช้ลานชนิดนี้ เป็น หนึ่งในสายพันธุ์ ที่สง่างามที่สุดในพืชตระกูลปาล์มของออสเตรเลีย และเป็นหนึ่งในต้นไม้ภูมิทัศน์งดงามที่สุดสำหรับสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ ช่วงที่สวยงามที่สุดคือช่วงความสูง 4-5 เมตร ต้นไม้จะตายหลังจากโตเต็มที่ เป็นข้อเสียเปรียบในการจัดสวน
อื่น ๆ---ใบไม้มีประโยชน์หลากหลายเช่นมุงหลังคาและผนัง สานเป็นตะกร้า เสื่อ หมวก ฯลฯ เส้นใยที่เรียกว่า 'buntal' ได้มาจากก้านใบ ใช้สำหรับทำหมวก Lucban และ Baliuag และทำเชือก
- เส้นใยจากโครงของใบ ใช้สำหรับทำหมวก Calasiao เมล็ดแก่ทำเป็นกระดุมหรือใช้เป็นลูกประคำ
ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย โดยทั่วไปในการกระจายพันธุ์ของสายพันธุ์นี้ สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนที่ดินสำหรับการเพาะปลูกประเภทต่างๆไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2009 Corypha utan ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1  - IUCN Red List of Threatened Species. (2009)
source: Loftus, C. 2013. Corypha utan. The IUCN Red List of Threatened Species 2013: e.T44393716A44411787. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2013-1.RLTS.T44393716A44411787.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/44393716/44411787
- ไม่ได้ระบุไว้ใน CITES และเมล็ดพันธุ์จากสายพันธุ์นี้ไม่มีอยู่ในธนาคารเมล็ดพันธุ์แห่งสหัสวรรษ สหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ยังมีพันธุ์พืชที่ยังมีชีวิตอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์หลายแห่ง แนะนำให้ติดตามระดับการเก็บเกี่ยวของสายพันธุ์นี้เพิ่มเติม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4 เดือน เมล็ดที่ได้ต้องนำมาเพาะสดทันทีเพราะจะเสื่อมเร็ว


 48 ปาล์มโคฮูน/Attalea cohune

[at-tahl-EH-ah] [koh-hoon'-eh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Attalea cohune Mart.(1994)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:26558-2#synonyms    
---Orbignya cohune (Mart.) Dahlgren ex Standl.(1932)
---Orbignya dammeriana Barb Rodr.(1903)
ชื่อสามัญ---Cohune Nut, Cohune Palm, Manaca palm, Rain tree, American oil palm, Corozo palm
ชื่ออื่น---ปาล์มโคฮูน ;[CHINESE: Kao hu zong, Ke heng ye zi, Ya da li ya zong.];[CZECH: Podzev.];[GREMAN: Cohune-Palme.];[MEXICO: Corozo.];[SPANISH : Corozo cohune, Manaca.];[SWEDISH: Kohunepalm.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO Code---ORBCO (Preferred name: Attalea cohune.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา (อเมริกากลางและอเมริกาใต้)
เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบียผ่านอเมริกากลางถึงเม็กซิโก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลAttalea เพื่อระลึกถึง Attalos III (170B.C--133B.C) กษัตริย์แห่ง Pergamum นักวิชาการด้านการแพทย์และพฤกษศาสตร์ ;  ชื่อสายพันธุ์ 'cohune' เป็นชื่อท้องถิ่นของปาล์มชนิดนี้
Attalea cohune เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ. 2387


ที่อยู่อาศัย--- พบในเบลีซ โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้และนิการากัว เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกากลาง เติบโตในป่าดงดิบรกทึบพบมากในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำค่อนข้างดี ที่ราบหรือมักจะอยู่บนภูเขาที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ไม่มีหนาม สูงได้ถึง 9-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30-60 ซม.ฐานของกาบใบที่ด้านบนของลำต้นมักจะยังคงอยู่ ใบรูปขนนก (pinnate) ยาวสูงสุด 10 (–18) เมตร.และกว้าง 2 (–2.5) เมตร.มีใบย่อยจำนวนมากแต่ละใบเรียวและห้อยลู่ลง ยาว 1.2 เมตร และกว้าง 5-7 ซม.ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) มีขนาดใหญ่และหนักมาก ยาว 1–1.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ดอกเพศผู้ที่ยอด ดอกเพศผู้ ยาว 1.3–1.5 ซม.สีครีม มีกลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ และเกสรเพศผู้ 24 อัน ดอกเพศเมียอยู่ที่โคน มีขนาดใหญ่ 3-4 ซม.เกสรเพศเมียไม่ชัดเจน ผลจะเติบโตเป็นช่อยาวประมาณ 1 เมตรและหนัก 20-25 กก มักมีผลถึง 800 - 1,000 ผล ผลรูปรีหรือรูปไข่ ยาว 4-8 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม.สีน้ำตาลสนิม และมีเมล็ด 1-3 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่นในบริเวณกึ่งเขตร้อน หรือในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น ต้องการแสงแดดเต็มที่ 80-100% (แสงแดดโดยตรง 8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินร่วนปนทรายชื้นสม่ำเสมอระบายน้ำได้เร็ว ทนดินเค็มปานกลาง ชอบค่า pH ในช่วง 5 - 7 แต่ทนได้ 4.5 - 7.5 ทนอุณหภูมิต่ำสุด -4 ถึง -5°C โดยใบไม่เสียหาย อัตราการเจริญเติบโต ช้าจนกระทั่งลำต้นโผล่พ้นดิน จากนั้นจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว การบำรุงรักษา ปานกลาง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าเพิ่งตัดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---อัตราการเจริญเติบโตของปาล์มโคฮูนสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมากด้วยการใส่ปุ๋ยเป็นประจำ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ถือว่าต้านทานโรคและแมลงได้ดี/พืชไม่ทนต่อไฟป่า การตายอาจเป็นผลมาจากความเสียหายโดยตรงหรือความเสียหายโดยอ้อม เช่น การเข้าถึงเชื้อโรคผ่านเปลือกที่เสียหายจากไฟ
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ปาล์มโคฮูนเป็นแหล่งน้ำมันที่มีคุณค่าและเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมของชาวมายัน ผลไม้ป่าถูกเก็บเกี่ยวในเชิงพาณิชย์และใช้เป็นน้ำมันที่มีความสำคัญในท้องถิ่น
ใช้กิน--- ยอดอ่อน (ที่เรียกว่า 'หัวใจปาล์ม' ซึ่งอยู่ในระยะ 1.2 เมตร สุดท้ายของลำต้น ก่อนถึงฐานของก้านใบ) กินดิบหรือกินสุก กินเป็นผัก ถือเป็นอาหารอันโอชะ (การกินหัวใจปาล์ม ทำให้ต้นไม้ตายในที่สุดเนื่องจากไม่สามารถแตกหน่อได้)
- ผลไม้ เนื้อมีรสหวานกินได้ ใช้ทำขนม
- เมล็ด กินดิบหรือสุก เมื่อสดคล้ายะมะพร้าว น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารสามารถสกัดจากเมล็ด
- เปลือกชั้นใน กินสุก เหนียวและเป็นเส้น ๆใช้กินเป็นอาหารยังชีพใช้เมื่อไม่มีสิ่งใดที่ดีกว่า
- น้ำนม (ของเหลวที่เป็นน้ำของพืชหรือ sap) ใช้หมักทำไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอลฺ์
ใช้ปลูกประดับ--- ปาล์มโคฮูนถือเป็นหนึ่งในปาล์มที่สง่างามและน่าทึ่งที่สุดในธรรมชาติจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสม มีคุณค่าทางภูมิทัศน์ที่ดีในพื้นที่เปิดโล่ง สามารถสร้างความโดดเด่นในพื้นที่ เหมาะสำหรับสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่เท่านั้น (อาจใช้จัดสวนในบริเวณใกล้ทะเลได้) ช่วงประดับที่สวยงามเมื่อมีความสูง 4-5 เมตร และยังไม่เห็นลำต้น  
อื่น ๆ---ต้นปาล์มเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดและเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศในท้องถิ่น
-ไม้ใช้ในการก่อสร้าง ใบใช้มุง โดยทั่วไปนิยมใช้ทำกระท่อมและที่พักพิงชั่วคราว
- ส่วนของใบไม้ขนาดใหญ่ถูกใช้โดยชาวอินเดียนแดงแห่งAlta Verapazในการทำ Suyacales (เสื่อขนาดใหญ่ที่ป้องกันเสื้อผ้าและรับน้ำหนักจากฝน)
- ใบอ่อนใช้ทำหมวก, ช่อดอกแห้งใช้เป็นไม้กวาด
- เมล็ดให้ผลผลิตน้ำมันโคฮูนซึ่งใช้อย่างกว้างขวางเป็นน้ำมันหล่อลื่น ใช้สำหรับทำอาหาร ใช้ทำสบู่และน้ำมันตะเกียง
- เปลือกเมล็ดแข็งถูกนำมาใช้ในการเตรียมถ่านสำหรับหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ (อาจใช้ผลิตถ่านกัมมันต์ ซึ่งเป็นถ่านหินที่ใช้ในหน้ากากป้องกันแก๊สพิษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง)
สำคัญ---เป็นปาล์มที่ใหญ่ที่สุดและสง่างามที่สุดในบรรดาต้นปาล์มในอเมริกากลาง
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดทั้งปี
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด ซึ่งจะใช้เวลาการงอก 1-6 เดือน


58 สิบสองปันนา/Phoenix loureiri

[FEH-niks] [loo-rare-OH-ee]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix loureiroi Kunth.(1841)
ชื่อพ้อง--- Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668930-1#synonyms  
---Phoenix humilis Royle ex Becc. (1890), nom. illeg.
---Phoenix humilis var. loureiroi (Kunth) Becc. (1890)
---Phoenix pusilla Lour. (1790), nom. illeg
ชื่อสามัญ---Dwarf  date  palm, Mountain date palm, Loureir's date palm, Loureiro's palm, Voyavoy palm
ชื่ออื่น---สิบสองปันนา ;[CHINESE: Ci kui.];[HINDI: Thakal, Khajuri.];[INDONESIA: Pohon Kurma.];[KANNADA: Sunichil.];[PHILIPPINES: Vuyavuy, Voyavoy.];[PORTUGUESE: Palmeira-anã, Pamareira-de-jardim.];[TAMIL: Chiru eecham, Inji, Malai eecham.];[THAI: Sib song panna.];[VIETNAMESE: Cha la nam.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PHXLO (Preferred name: Phoenix loureiroi.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ฟิลิปปินส์ อินเดีย ใต้ ภูฏาน พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม ปากีสถาน และ จีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'loureiroi' ตั้งชื่อตาม Joao de Loureiro  (1717–1791) คำอธิบายเดิมเขียนโดย Kunth ว่า 'loureiri' แต่ได้รับการแก้ไขเป็น 'loureiroi' ภายใต้บทบัญญัติของICBN (รหัสสากลของการตั้งชื่อสำหรับสาหร่าย เห็ดรา และพืช)
Phoenix loureiroi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2384
Includes 2 Accepted Infraspecifics ;-
- Phoenix loureiroi var. loureiroi : ถิ่นกำเนิดของพันธุ์นี้คืออินโดจีนไปจนถึงจีนตอนใต้และฟิลิปปินส์
- Phoenix loureiroi var. pedunculata (Griff.) Govaerts. (2005) : ถิ่นกำเนิดของพันธุ์นี้คืออนุทวีปอินเดีย

ที่อยู่อาศัย--- พืชพื้นเมืองทางตอนใต้ของเอเชีย จากประเทศฟิลิปปินส์ ,ไต้หวัน ,อินเดีย , ภาคใต้ของภูฏาน ,พม่า ,ไทย ,กัมพูชา ,เวียดนาม ,ปากีสถาน, จีน (กวางสี ไหหลำ กวางตุ้ง ฝูเจี้ยน) และไต้หวัน เติบโตในพื้นที่ป่าเปิดโล่งหรือเป็นส่วนหนึ่งของป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ หรือป่าสน ชนิดนี้พบได้บ่อยในพื้นที่ที่มีการรบกวนจากมนุษย์เช่นทุ่งหญ้าที่ถูกไฟไหม้ตามฤดูกาล เติบโตที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง 1,700 เมตร ในประเทศไทย พบในป่าสนหรือป่าเต็งรัง และทุ่งหญ้าที่มีน้ำขัง ทางภาคเหนือ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 200-1,300 เมตร
ลักษณะ--- สิบสองปันนาเป็นปาล์มที่มีขนาดเล็ก ออกเป็นกลุ่มหรือหลายลำต้น มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 0.3-3.5 เมตร.เส้นผ่านศูนย์กลาง 20-25 ซม.ลำต้นมักหุ้มด้วยซากก้านใบ.ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อยรูปขอบขนานเชิงเส้นแบบใบมะพร้าว มีใบย่อยประมาณ 100 ใบ ก้านใบยาว 60 - 120 ซม.ก้านใบจัดเรียงในระนาบเดี่ยว ส่วนใบย่อยเรียงเป็นสองข้าง ใบย่อยแต่ละใบยาว 15-25 ซม. กว้าง 1 ซม. ลักษณะโค้งลง สีเขียวอมเทา ด้านใต้ใบมีขนเล็กๆ ใบล่างดัดแปลงเป็นหนามแหลม 5-8 ซม.ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกเพศผู้ตั้งตรงได้ถึง 65 ซม. มีประมาณ30 ช่อย่อย ยาว 10 ซม.ช่อดอกเพศเมียตั้งตรงโค้งงอได้ถึง 2 เมตร มีถึง 40 ช่อย่อย ยาวประมาณ 40 ซม ส่วนดอกนั้นมีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน ผลรูปรีสีส้ม คล้ายผลอินทผลัมขนาดเล็กขนาดยาว 1.2 - 1.7 ซม. กว้าง 0.5 - 1.2 ซม. มีเมล็ดมีเนื้อไม้ขนาดใหญ่เมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เติบโตได้ใน ดินเหนียว ดินร่วนปนทราย ชอบดินร่วนอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุมาก ระบายน้ำได้ดี ค่า pH ของ ดินที่จำเป็นคือ 6.1 - 7.8 (เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย) อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ อย่าให้น้ำมากเกินไป ในฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาพืชพักตัวการเจริญเติบโตของพืชช้าลง ควรเว้นระยะการรดน้ำให้ห่างขึ้นในช่วงเวลานี้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด หรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าในช่วงฤดูปลูก หรือตามคำแนะนำของบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชทั่วไปได้แก่ แมลงเกล็ด (Scale insects)/โรคที่พบบ่อยได้แก่โรคใบจุด (Leaf spot)
รู้จักอ้นตราย---อาจมีอันตรายจากหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ ใบไม้จะแข็งมากและสามารถเจาะผิวหนัง เนื้อเยื่อได้ง่าย บางครั้งแม้แต่ชุดป้องกันและอาจทิ่มตาเมื่อทำงานใกล้ ๆ วางต้นไม้นี้ให้ห่างจากพื้นที่เล่นสำหรับเด็กและทางเดิน
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้มีรสหวานกินได้ แม้ว่าชั้นของเนื้อจะค่อนข้างบางและเนื้อสัมผัสจะมีลักษณะเป็นแป้งเล็กน้อย โดยทั่วไปเด็กจะกิน แต่ผู้ใหญ่มักจะกินน้อยกว่า ยอดอ่อน (หัวใจปาล์ม) รสหวานกินเป็นผัก การกินหน่อนี้ทำให้ลำต้นตายได้ เนื่องจากพืชไม่สามารถสร้างหน่อข้างเคียงได้
ใช้เป็นยา--- มีการใช้ปาล์มชนิดนี้เป็นยาโดยชาวเผ่าทางตอนใต้ของอินเดีย ใบมีรสฝาด ใช้ในการรักษาปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
- จากการศึกษาพบว่าผลไม้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคลำไส้อักเสบ
- ใบต้มกับเกลือใช้เป็นยาอมกลั้วคอแก้ปวดฟัน
ใช้ปลูกประดับ--- สิบสองปันนานิยมปลูกเป็นปาล์มประดับ เพราะมีขนาดเล็กโตช้า รูปใบสวยงาม เหมาะสำหรับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย ทนแล้ง เหมาะสำหรับการจัดสวน Xeriscape (การทำสวน Xeriscape กำลังได้รับความนิยมในขณะที่เราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝน ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้พืชพื้นเมืองและปรับให้เข้ากับสภาพอากาศกึ่งแห้งแล้ง Denver Water เป็นผู้คิดค้นคำนี้ขึ้นในปี 1981 โดยการรวมคำว่า "landscape" และคำภาษากรีก "xeros" ซึ่งแปลว่าแห้ง Xeriscape ที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถเป็นส่วนเสริมที่สวยงามซึ่งสามารถเชิญชวนสัตว์ป่า ให้ความสนใจตลอดทั้งปี และประหยัดน้ำเหมาะสำหรับสวนหลายประเภท เช่น ดินที่เป็นหิน ทางลาดชัน สวนหิน สภาพแวดล้อมที่มีละอองเกลือ แดดจัด และลมแรง)
อื่น ๆ---ใบใช้เป็นวัสดุในการทำเสื่อและไม้กวาด
- นอกจากนี้ในประเทศฟิลิปปินส์ ใบอ่อนที่ตากแดดจะทอเป็นเสื้อกันฝน
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิและผลสุกในฤดูใบไม้ร่วง
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการงอก 2-3 เดือน ความมีชีวิตของเมล็ดพันธุ์สามารถคงอยู่ได้นาน 8 - 15 ปีที่อุณหภูมิห้อง
- การแบ่งหน่อ นำไปปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ทันทีและปลูกในตำแหน่งถาวรเมื่อพืชตั้งต้นแล้ว


60 ปาล์มศรีสยาม/Arenga hookeriana

[ah-REN-gah] [hook-ehr-ee-AHN-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์--Arenga hookeriana (Becc.) Whitmore.(1970)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664253-1#synonyms    
---Didymosperma hookerianum Becc.(1559)
ชื่อสามัญ---Hooker's Sugar Palm, Hooker's Fishtail Palm, Hooker’s Grey Leaf Fish Tail Palm, Sri-Sa-Yarm
ชื่ออื่น---ต่าร้างศรีสยาม, ศรีสยาม (กรุงเทพฯ), เต่าร้างหนูใบติด ; [CHINESE: Hu ke guang lang.];[PORTUGUESE: Palmeirinha-seta.];[THAI: Tao rang Sri-Sa-Yarm, Palm Sri-Sa-Yarm, Sri-sa-yarm, Tao rang nu bai tit.]
ชื่อวงศ์ ---ARECACEAE
EPPO Code---AGBHO (Preferred name: Arenga hookeriana.)
ถิ่นกำเนิด --- ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามาเลเซีย 'areng' โดยอ้างอิงจาก Arenga pinnata ; ชื่อสายพันธุ์ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวอังกฤษ Joseph Dalton Hooker (1817-1911)
Arenga hookeriana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยTimothy Charles Whitmore (1935–2002) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2513

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในป่าชื้นของคาบสมุทรมาเลเซียและภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเติบโตถึงระดับความสูงประมาณ 500 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์ม แตกกอขนาดเล็ก สูงได้ถึง 1.5-2 เมตร มีลำต้นบางเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6–2 ซม มีกอแน่นทึบ มีใบ 5–10 ใบ ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขนนก (pinnate) ใบรูปรีถึงรูปขอบขนาน ยาว 60–80 ซม. ขอบจักเป็นแฉกแหลม ข้างละ 6–8 แฉก ปลายใบเว้าตื้นคล้ายครีบปลา แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบมีนนวลสีเงินอมเทา ก้านใบยาวได้ถึง 50 ซม. กาบใบแฉกลึก ขอบมีเส้นใยหนาแน่น ช่อดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเกิดขึ้นระหว่างใบ (Interfoliar) ยาวประมาณ 25–30 ซม ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมี 2–3 ช่อ ช่อดอกมีดอกเพศผู้หรือดอกเพศเมียเท่านั้น แต่จะอยู่บนต้นเดียวกันเสมอ (monoecious) โดยมีดอกเพศเมียพัฒนาก่อนดอกเพศผู้ ช่อดอกเพศผู้บางครั้งแตกแขนง ดอกสีส้มปนน้ำตาลหรือดอกสีม่วง กลีบดอกรูปเรือ  3 กลีบ ขอบงอเข้าด้านใน ดอกเพศเมีย ยาว 1.5 ซม. กว้าง 0.8 ซม.ผลรูปรียาว 1.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง0.5ซม.เรียงอัดกันแน่นในก้านช่อ ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีแดง
- สายพันธุ์ เป็น Monocarpic ออกดอกที่ยอดเพียงครั้งเดียว หลังจากติดผลแล้วตาย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน สามารถปลูกได้ในตำแหน่งแสงแดดเต็ม 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไป) แสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงไม่ต่อเนื่อง) หรือร่มรำไร (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) มีที่กำบังลม ร่มรื่น ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นในดินสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี pH 6.1-7.3 ความชื้นในอากาศสูง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 4°C แต่มีผลเสียหายต่อใบ ด้วยอุณหภูมิประมาณ 10-12 °C เป็นระยะเวลานานทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงจนใบร่วงเกือบหมด อุณหภูมิต่ำสุดควรรักษาไว้ที่ 16-18 °C อัตรา การเจิญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ และรักษาความชื้นตลอดเวลา อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง นอกจากนี้ยังต้องการความชื้นในฤดูร้อนที่สูงขึ้น เพิ่มการพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำระหว่างวัน
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งเพราะพืชทำความสะอาดตัวเองได้ แต่อาจจะต้องเล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้าปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และหากปลูกปาล์มในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม (มากถึงเดือนละครั้ง) จึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---ผลไม้ในสกุลนี้ส่วนใหญ่มีพิษ เนื้อชั้นในของผลไม้มักมีผลึกออกซาเลตจำนวนมาก ทำให้เนื้อกินไม่ได้ และน้ำผลไม้ทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคือง ดังนั้นควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักสะสมปาล์ม เนื่องจากมีใบใหญ่สวยงาม เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับที่ทรงคุณค่าสำหรับไม้กระถาง ในอาคาร หรือลงแปลงในที่ร่มรำไร นอกจากนี้ยังใช้เป็นพืชระดับต่ำในสวนที่มีร่มเงาด้วยต้นไม้หรือต้นปาล์มสูง
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและแยกกอ เมล็ดใช้ระยะเวลาในการงอก 1-6 เดือน ที่อุณหภูมิ 28-32°C

สกุล Cycas [SY-kas] เป็นประเภทของปรงของครอบครัว Cycadaceae ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับต้นปาล์ม เฟิร์น ต้นไม้ หรือกลุ่มพืชสมัยใหม่อื่นๆ มี 113 สายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับ
ปรงเป็นพืชจำพวก gymnosperms (พืชเมล็ดเปลือย) ที่เขียวชอุ่มตลอดปีเป็นกลุ่มพืชเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนโบราณครองโลกตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ แต่ตอนนี้ใกล้สูญพันธุ์ ปรงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นต้นปาล์ม แต่จริงๆ แล้วมีความเกี่ยวข้องกันทางไกลเท่านั้น ชื่อสามัญที่ทำให้เข้าใจผิดเช่น "สาคูปาล์ม" ทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น รูปลักษณ์แบบเขตร้อนและความสามารถในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม บางชนิดมีลักษณะเป็นไม้พุ่มในขณะที่บางชนิดมีลักษณะคล้ายต้นปาล์ม ลำต้นอาจอยู่ใต้ดินหรือหนาและคล้ายลำต้น
ปรงเป็นDioecious หมายถึงพวกเขาต้องแยกเป็นเพศชายและเพศหญิง พืชเมื่อโตเต็มที่ ต้นไม้เพศผู้จะผลิตกรวย ที่มีละอองเรณู ในขณะที่พืชเพศเมียจะไม่มี Cone แต่เป็นกลุ่มของโครงสร้างคล้ายใบที่เรียกว่า megasporophylls แต่ละอันมีเมล็ดอยู่ที่ขอบด้านล่าง

61 ปรงญี่ปุ่น/Cycas revoluta.

[SY-kas] [re-vo-LOO-tah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cycas revoluta Thunb.(1782)
ชื่อพ้อง ---Has 6 Synonyms.   
---Cycas inermis Oudem.(1867)
---Cycas aurea J.Verschaff.(1868)
---Cycas miquelii Warb.(1900)
---More See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:328823-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Fern Palm,Sago palm, King sago, Sago cycad, Sago cycas, Japanese sago palm, Japanese fern-palm, Sotesu-nut.
ชื่ออื่น---ปรงญี่ปุ่น, ปรงจีน  ;[CHINESE: Bi huo jiao, Feng wei jiao, Feng wei song, Feng wei cao, Su tie, Tie shu.];[CZECH: Cykas japonsky.];[DUTCH: Cycaspalm, Valse sagopalm, Vredespalm.];[FINNISH: Saagopalmu.];[FRENCH: Sagou du Japon, Cycas sagoutier, Petit Rameau.];[GERMAN: Palmfarn, Japanischer,  Sagopalme, Falsche.];[HINDI: Sabudana.];[INDONESIA: Pakis haji.];[ITALIAN: Palma del sago giapponese.];[JAPANESE: Ban shou, Hichichi, So-tetsu.];[KOREAN: So ch'eol.];[MALAYSIA: Pakulaut.];[MARATHI: Pahadi Supari.];[MYANMAR: Monmg-tain.];[PHILIPPINES: Oliba (Tag.), Pitago.];[PORTUGUESE: Palmeira-sagu, Ramo-bento, Sagu-de-jardim.];[RUSSIAN: Sagovnik ponikaiushchii, Tsikas Ponikaiushchii.];[SPANISH: Cicas revoluta, Palma de Iglesia, Palma sagú, Sagutero.];[SWEDISH: Japansk kottepalm, Krukväxt.];[TAMIL: Madanagameswari.];[THAI: Prong yipun, Prong cheen, Sakhu, Prong Sakhu.];[TURKISH: Hurma Ag.];[VIETNAMESE: Vạn tuế (Tiếng Việt); Thuen túê].
ชื่อวงศ์---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYRE (Preferred name: Cycas revoluta.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- จีน ญี่ปุ่น
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Cycas มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas'ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) สำหรับปาล์มชนิดหนึ่ง ; ชื่อสายพันธุ์ 'revoluta' หมายถึงการย้อนกลับ (ม้วนงอ) ของใบ ; ชื่อสามัญที่เรียกว่า Sago palm เพราะมีรากสะสมอาหารอ้วนและมีแป้ง ใช้รับประทานได้  แต่ไม่ใช่ต้นสาคูและไม่ใช่ปาล์มที่แท้จริง
Cycas revoluta เป็นสายพันธุ์ของพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperms)ในครอบครัวปรง (Cycadaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2425

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในญี่ปุ่น (ทางใต้สุดของเกาะคิวชูและเกาะริวกิวซึ่งรวมถึงโอกินาว่าและอิริโอะโมะเตะ) และจีน (ฝูเจี้ยน เหลียนเจียง เซี่ยนหนิง เต๋อเซี่ยนและบางเกาะ) ส่วนใหญ่เติบโตบนชายฝั่งทะเลในป่าทึบบนเนินเขาและในป่าโปร่งบนแผ่นดินใหญ่ ที่ระดับความสูง 0 - 300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายต้นปาล์มทั้งลำต้นไม่แตกกิ่งก้านมากและสำหรับการเรียงตัวของใบ ลำต้นตั้งตรงหยาบ โดยปกติจะสูง 1,5-3 เมตร อย่างไรก็ตามพืชที่มีอายุมากกว่าอาจมีลำต้นหรือสูงได้ถึง 6 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ยาว 0.50-1.50 เมตร สีเขียวเข้มกึ่งเงา ปรงไม่ผลิตดอกจริง แยกเพศเป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย (Dioecious) ต้นเพศผู้สร้าง Cone ขนาดใหญ่ตั้งตรงทรงกระบอกรี 30-60 × 8-15 ซม. ที่เรียกว่า ไมโครสปอโรฟิลล์ (microsporophyll) ละอองเรณูจะถูกปล่อยออกมาเมื่อครบกำหนดเมื่อเกล็ดบนพื้นผิวของกรวยเปิดออก ต้นเพศเมีย (female cone) มีลักษณะเป็นรูปกะหล่ำปลี สีทองหรือสีเหลือง 14-22 ซม.เกิดบนขนนกจิ๋วสีขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า เมกะสปอโรฟิลล์ (megasporophyll ซึ่งอันที่จริงแล้วคือใบดัดแปลง) มันจะค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อเปิดรับละอองเรณูและต่อมาจะสร้างหัวเมล็ดที่อัดแน่น เมล็ดขนาดใหญ่คล้ายลูกพลัมสีเหลืองซีดถึงสีส้มประมาณ 3 ซม.เมล็ดจะเริ่มพัฒนาในช่วงฤดูร้อนและสุกในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ต้นเพศเมียไม่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์และมีชีวิตได้เว้นแต่จะได้รับการผสมเกสร
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) จะดีมาก แต่ถ้าปลูกในที่ร่มต้องมีแสงสว่างพอ (แสงสว่างทางอ้อมอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) หากเปลี่ยนตำแหน่งย้ายจากที่ร่มนำมาโดนแสงแดดตรง ๆทันที บางส่วนของใบจะฟอกเป็นสีขาว เจริญได้ดีในดินปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ไม่ทนต่อดินด่าง อุณหภูมิเฉลี่ย 16 -35 ° C ทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ถึง -5°C เป็นครั้งคราว อัตราการเจริญเติบโตช้ามากแต่อายุยืนยาวอาจไม่ออกดอก (Cone) ในช่วง 15 ปีแรกของชีวิตหรือตลอดไปเลยก็ได้ การบำรุงรักษา ต่ำมาก
การรดน้ำ---เมื่อปลูกครั้งแรก ให้รดน้ำพอประมาณ ให้น้ำชุ่มลึกสัปดาห์ละครั้ง อย่าให้น้ำมากและบ่อยเกินไป เมื่อต้นไม้ตั้งตัวได้ ให้จำกัดการรดน้ำ ต้นปรงเป็นพืชที่ชอบขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แห้งและควรรดน้ำเมื่อดินแห้งสนิทเท่านั้น ทนแล้งได้ปานกลาง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบที่เสียหาย เป็นโรคหรือใบที่ตายแล้วออก, กำจัด offsets (ลูกเล็กๆที่เกิดใกล้ต้นแม่) หากต้องการ
การใส่ปุ๋ย---ปลูกในร่ม ควรใส่ปุ๋ยพืชเมื่อรดน้ำโดยใช้ 18-6-18 อาหารพืชที่ละลายน้ำได้ หนึ่งครั้งในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ และอีกครั้งในช่วงต้นฤดูร้อน ปลูกกลางแจ้ง ต้นไม้จะต้องการปุ๋ยน้อยลง ใส่ปุ๋ยละลายช้าหรือปุ๋ยปาล์มในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทั้งสองตำแหน่ง ควรหยุดใส่ปุ๋ยในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง และอย่าใส่ปุ๋ยตลอดฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง ทั้งในร่มหรือกลางแจ้ง อย่างไรก็ตามให้ระวังเพลี้ยแป้งที่อาจเกิดกับพืชในร่ม และแมลงเกล็ด (Scale insects) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Asian cycad scale insects สำหรับพืชกลางแจ้ง/ น้ำมากเกินไป ดินชื้นตลอดเวลา การระบายน้ำไม่ดี อาจทำให้รากเน่าได้
- ใบที่เหลืองผิดปกติอาจบ่งบอกว่ากำลังเป็นโรคขาดแมกนีเซียม โพแทสเซียม หรือสารอาหารอื่นๆ
รู้จักอันตราย---เมล็ดพันธุ์ Cycas มีรายงานว่าเป็นพิษและเป็นสารก่อมะเร็ง พืชมีอัลคาลอยด์ของสารก่อมะเร็งและยังมีกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง การบริโภคพืชเป็นประจำทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและความตายอย่างรุนแรง ส่วนที่เป็นพิษ เมล็ดเนื้อใบแป้งที่ยังไม่ผ่านกระบวนการจากต้น อาการ: อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ชัก
- เนื่องจากพืชมีหนามหรือขอบแหลม ใบไม้แข็งมาก ควรปลูกในตำแหน่งที่ห่างจากทางสัญจร ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
การใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่นมักปลูกเป็นไม้ประดับในสวน มีการรวบรวมเมล็ดพันธุ์จำนวนมากจากแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและใบไม้ถูกส่งออกเป็นจำนวนมากเพื่อการตกแต่ง
ใช้กิน--- เมล็ด - ดิบหรือสุก สามารถทำให้แห้งและบดเป็นผงแล้วผสมกับข้าวกล้องและหมักเป็น 'date miso' หรือ 'sotetsu miso' *ข้อควรระวังโปรดดูหัวข้อรู้จักอันตรายเกี่ยวกับความเป็นพิษ
ใช้เป็นยา--- ในประเทศจีนใช้ผลไม้เป็นยาขับเสมหะและยาบำรุงกำลัง ลำต้นและเมล็ดปรง ใช้สำหรับความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ เลือดคั่ง ไขข้อและปวดกระดูก
- ใบใช้ในการรักษามะเร็งและตับ
- ยอดอ่อนใช้เป็นยาสมานและขับปัสสาวะ
- ในคาบสมุทร Kii ของญี่ปุ่น "ยาชูกำลัง" ทำจากเมล็ดแห้ง
- ในบังคลาเทศพืชทั้งต้นใช้สำหรับอัมพาตอาหารไม่ย่อยงูกัด
- ในเขตอัสสัมของอินเดียใช้แก้ปัสสาวะขัด
ใช้ปลูกประดับ--- ต้นปรงชนิดนี้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด เป็นที่นิยมกันมากมายและช้านาน นำมาใช้จัดสวนได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นสวนสไตล์ไหน รวมทั้ง สวนญี่ปุ่น สวนหิน หรือปลูกเป็นไม้กระถาง หรือในภาชนะ หรือบอนไซ
- พืชชนิดนี้จะสามารถปลูกถ่ายได้ แต่ก็ไม่ควรทำในขณะที่ใบกำลังคลี่ออกเนื่องจากใบจะบิดเบี้ยวและทำให้ลักษณะสมมาตรของพืชเสียหายเป็นเวลาหลายปี
ใช้อื่น ๆ---ใบใช้ประดับตกแต่งในพิธีกรรมสำหรับ Palm Sunday
ได้รับรางวัล---The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit (2017)
สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศยี่ปุ่น *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ภัยคุกคาม--- เนื่องจากประชากรในปัจจุบันถือว่ามีเสถียรภาพ จำนวนบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ 100,000-200,000 ภัยคุกคามมีการรวบรวมเมล็ดพันธุ์จำนวนมากจากแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและมีการส่งออกใบเป็นจำนวนมากเพื่อการตกแต่ง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2009 Cycas revoluta ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern -  ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2009)
Hill, K.D. 2010. Cycas revoluta. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: e.T42080A10622557. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-3.RLTS.T42080A10622557.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/42080/10622557
- ชนิดนี้มีรายชื่ออยู่ใน CITES Appendix II-การค้าควบคุมเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์ - ทั่วโลก
ระยะออกดอก/ผลสุก---ฤดูร้อน/มกราคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 1-3 เดือน
- offshoots หรือ "pups" (ลูกเล็กๆที่เกิดใกล้ต้นแม่) แซะเอาไปปลูกใหม่ ข้อดีของ"pups" คือคุณจะรู้เพศของมัน แต่สิ่งนี้ค่อนข้างเสียหาย ดังนั้นอย่าทำเช่นนี้บ่อยเกินไป


สกุล Zamia [ZAM-ee-ah] เป็นประเภทของปรงของครอบครัวZamiaceaeแบ่งออกเป็นสองครอบครัวที่มีแปดจำพวกและประมาณ 150 ชนิดในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของแอฟริกา , ออสเตรเลียและทิศตะวันตกเฉียงเหนือและอเมริกาใต้ Zamiaceae บางครั้งเรียกว่า zamiads เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบและมีดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious)
Zamia เป็นสมาชิกของตระกูล Cycad และแม้ว่า Cycad จะแปลว่า "ปาล์ม" ในภาษากรีก แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นปาล์มเลย

62 ปรงเม็กซิกัน/Zamia furfuracea

[ZAM-ee-ah] [fur-fur-AH-see-ah]

ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Zamia furfuracea L.f. ex Aiton.(1789)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:270522-2#synonyms    
---Basionym: Palmifolium furfuraceum (L.f.ex Aiton.) Kuntze.(1891) https://www.gbif.org/species/5284125
---Palma pumila Mill.(1768)
---Zamia furfuracea var. trewii A.DC. (1868)
---Zamia crassifolia B.S.Williams ex T.Moore & Mast.(1876)
---Zamia vestita Van Houtte.(1842)
ชื่อสามัญ---Cardboard palm, Cardboard cycad, Cardboard plant, Cardboard sago, Jamaican sago, Mexican cycad
ชื่ออื่น---ปรงเม็กซิกัน ;[AFRIKAANS: Skurwesago.];[ARABIC: Zamiaan wabughya.];[CHINESE: Měi yè sūtiě, Lín bǐ zé mǐ tiě.];[CZECH: Keják otrubnatý.];[FRENCH: Zamier furfuracé.];[JAPANESE:  Hiroha zamia.];[KOREAN: Mek si k'o so ch'eol.];[PORTUGUESE: Araruta da flórida, Sagu-da-jamaica, Zâmia.];[SPANISH: Nuez de pino, Palma bola, Zamioculatas.];[SWEDISH: Pappzamia.]
ชื่อวงศ์ ---ZAMIACEAE
EPPO Code---ZAMFU (Preferred name: Zamia furfuracea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์----เม็กซิโก บังคลาเทศ คิวบา และประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Zamia' มาจากภาษากรีก 'azaniae' หมายถึง "โคนต้นสน" ; ชื่อสายพันธุ์ 'furfurace' = สกปรกหรือมีแป้ง โดยอ้างอิงจากลักษณะพื้นผิวของแผ่นใบ
- ชื่อสามัญ "Cardboard palm" หมายถึงพื้นผิวของแผ่นใบ
Zamia furfuracea เป็นสายพันธุ์ของพืชตระกูลปรงชนิดหนึ่งในครอบครัว Zamiaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeus จากอดีต William Aiton (1731–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2332


ที่อยู่อาศัย--- แหล่งกำเนิดและถิ่นที่อยู่ถูก จำกัด ให้อยู่เพียงแห่งเดียวในรัฐเวราครูซทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก เติบโตในที่ราบชายฝั่งที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 0-25 (-200) เมตร ได้รับการปลูกฝังกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลกเป็นพืชบ้านที่นิยมและปลูกง่ายอีกด้วย
ลักษณะ--- เป็นปรงแตกกอโตเต็มที่สูงได้ประมาณ 0.70-1.3 เมตร แตกหน่อใกล้โคน ลำต้นสั้นแยกเดี่ยวหรือแตกกิ่งก้านตามอายุ มีหัวใต้ดิน มากหรือน้อย ซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บน้ำในช่วงที่แห้งแล้ง พืชที่อาศัยอยู่ในหน้าผาจะมีลักษณะเป็นทรงกระบอก กว้างสูงสุด 20 ซม. และยาว 20-50 (-150) ซม.มักมีรอยแผลเป็นจากฐานใบเก่า ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) 6-12คู่ ใบย่อยรูปไข่แกมขอบขนาน แต่ละใบยาว 1-1.5 เมตร ก้านใบยาว 15-30 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) Coneเพศผู้ (ผลิตละอองเรณู) และ Coneเพศเมีย (ผลิตเมล็ด) โคนเพศเมียสีน้ำตาลสนิมตรงกลางต้นเพศเมีย ทรงกระบอกถึงทรงรี - ทรงกระบอกปลายยอดแหลมยาว 10-20 (25) ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 ซม. ก้านช่อดอกยาว 15-20 ซม. โคนเพศผู้มีขนาดเล็กกว่า 1-6 อัน ต่อกระจุก สีน้ำตาลรูปทรงกระบอกถึงรูปไข่ - ทรงกระบอกปลายยอดแหลมยาว 8-12 (15) ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. ก้านช่อดอกยาว 2-6 ซม. เมื่อได้รับบาดแผลเมือกจะไหลออกมาแข็งตัวเป็นgumที่เป็นเม็ดสี เมื่อสุกConeเพศเมียจะแตกออกเพื่อเผยให้เห็นเมล็ดที่อัดแน่นยาว 7-10 มม., 3-5 มม. เนื้อสีแดงเข้มสดใส
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือครึ่งวันบ่าย (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง) อยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้อื่นได้ ชอบดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี pH 6.6-8.5 ทนเค็มทนแล้งได้ดีพอสมควร อุณหภูมิที่เหมาะสม ในฤดูร้อน  20-30 ° C ในฤดูหนาว 10-20 ° C สามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิลดลงถึง -9 ° C แม้แต่ที่อุณหภูมิประมาณ -2 ° Cแต่ใบจะเสียหาย เป็นไม้ปลูกง่าย  อายุอยู่ได้นาน 30 ปี อัตราการเจริญเติบโตช้าในช่วงแรกตอนยังเล็ก การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งสนิท เป็นพืชทนแล้ง ในฤดูแล้งคลุมดินด้วยวัสดุอินทรีย์ (เปลือกไม้หรือใบไม้) รักษาความชื้น
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ แต่สามารถตัดใบที่ตาย ใบที่เป็นโรค หรือใบที่เสียหายออกได้เมื่อเกิดขึ้น , กำจัด offsets (ลูกเล็กๆที่เกิดใกล้ต้นแม่) หากต้องการ
การใส่ปุ๋ย---ปีละสองครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มที่ปล่อยช้า ในต้นฤดูใบไม้ผลิและอีกครั้งในต้นฤดูใบไม้ร่วง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ/การให้น้ำมากเกินไปและปล่อยให้น้ำสะสมบนใบพืชอาจทำให้เกิดโรคเชื้อรา
รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง เช่นเดียวกับปรง สมาชิกของ Zamiaceae เป็นพิษ ทำให้เกิดไกลโคไซด์ที่เป็นพิษที่เรียกว่าไซคาซิน พิษอาจทำให้ไตและตับวายและในหลาย ๆ กรณีเป็นอัมพาต ส่วนที่เป็นพิษที่สุดของพืชคือเนื้อด้านในเมล็ด
- พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใข้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นปรงที่ปลูกมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก จาก Cycas revoluta(ปรงญี่ปุ่น) ใฃ้ปลูกเป็นไม้ประดับใส่กระถาง ปลูกประดับสวนหิน สวนญี่ปุ่น สวนทุกสไตล์ได้สวยงามเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และใช้เป็นพันธุ์ไม้ประดับในบ้านหรือภูมิทัศน์ภายในอาคารที่งดงามในพื้นที่เย็น ซึ่งทนทานพอที่จะอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ถูกละเลยเป็นครั้งคราวและสภาพแวดล้อมในร่มที่รุนแรง สามารถใช้จัดสวนใกล้ทะเล
สถานภาพ---เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ในรัฐเวราครูซของประเทศเม็กซิโก *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามที่อยู่อาศัยจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Zamia furfuracea ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ B1ab(v)
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED B1ab(v) - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
source: Bösenberg, J.D. 2022. Zamia furfuracea L.f.. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-1.RLTS.T213252394A69839756.en  เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/213252394/69839756
- ชนิดนี้มีรายชื่ออยู่ใน CITES Appendix II - ควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์ - ทั่วโลก             มีการปลูกพืชในเรือนเพาะชำ campesino cycad nurseries ประชากรย่อยบางส่วนพบได้ในเขตสงวนชีวมณฑล Los Tuxtlas   
- โปรแกรมการศึกษาและการตระหนักรู้ตลอดจนการติดตามประชากรย่อยในระยะยาวจะสนับสนุนการอนุรักษ์สายพันธุ์นี้
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หว่านทันทีหลังการเก็บเมล็ดพันธุ์ เพราะเมล็ดจะมีอายุอยู่ได้ไม่นาน
- แยกหน่อ offshoots หรือ "pups" (ลูกเล็กๆที่เกิดใกล้ต้นแม่) ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีใบอย่างน้อย 1-2 ใบงอกออกมาจากตรงกลาง จากนั้นย้ายปลูกในทรายที่อุดมสมบูรณ์


63 ปรงทะเล/Cycas rumphii

[SY-kas] [RUMF-ee-eye]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cycas rumphii Miq.(1839)
ชื่อพ้อง---Has  5 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/326820-2#synonyms    
---Cycas celebica Miq.(1839)
---Cycas corsoniana D.Don.(1842)
---Cycas rumphii var. subinclusa J.Schust.(1932)
---Cycas speciosa D. Don.(1840)
---Zamia corsoniana G.Don.(1842)
ชื่อสามัญ ---Queen sago, The queen sago palm, Spiny-leaved cycas, False sago palm
ชื่ออื่น ---ปรงทะเล, มะพร้าวเต่าทะเล ;;[CHINESE: Hua nan su tie, Long wei su tie, Ci ye su tie, Long kou su tie.];[CZECH: Cykas rumpfuv.];[DANISH: Falsk sagocykas, Sagocikas.];[FRENCH: Cycas de Ceylan, Sagou des Indes orientales.];[GERMAN: Sagopalme, Sagopalmfan, Palmfarn, Eingerollter, Ostindische.];[INDIA: Tivoli (Nicobarese).];[ITALIAN: Palma del sago delle Indie orientali.];[JAPANESE: Kikasu rumufii.];[NETHERLANDS:: Foengoepalm, Groote.];[PHILIPPINES: Pitogo, Patubo, Uliba (Tag.); Bait (Sul.); Sauang (Ilk.).];[PORTUGUESE: Falso-sagu, Sagu-de-Ceilão.];[RUSSIAN: Sagovnik rumfa.];[THAI: Prong Tha-lae, Ma phrao tao tha-lae.].
ชื่อวงศ์ ---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYRU (Preferred name: Cycas rumphii.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ; อินโดนีเซีย นิวกินี เกาะคริสต์มาส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Cycas มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas' ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) เป็นชื่อสำหรับปาล์มชนิดหนึ่ง; ชื่อสายพันธุ์ 'rumphii' เป็นเกียรติแก่ นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Georg Eberhard Rumphius (1628–1702) ผู้ซึ่งเคยศึกษาพืชในหมู่เกาะโมลุกกะ
Cycas rumphii เป็นสายพันธุ์ของพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperms)ในครอบครัวปรง (Cycadaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ. 2482

ที่อยู่อาศัย--- อินโดนีเซีย (Sulawesi, Maluku, Jawa, Papua); Papua New Guinea [Papua New Guinea (main island group).] มีการกระจายพันธุ์โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่มเกาะโมลุกกะ (มาลุกุหรือหมู่เกาะเครื่องเทศ) ทอดยาวไปทางตะวันออกสู่ปาปัวอินโดนีเซีย และระยะทางสั้น ๆ ไปตามชายฝั่งทางเหนือของปาปัวนิวกินี และทางเหนือสู่เกาะสุลาเวสี ทางทิศตะวันตกดูเหมือนจะขยายไปถึงเกาะบอร์เนียวตอนใต้และเกาะชวาตะวันออกเฉียงเหนือ เติบโตในชุมชนชายฝั่งและชายฝั่งใกล้เคียงในป่าชายทะเลและป่าฝน มักอยู่บนเนินทรายที่มั่นคงซึ่งประกอบด้วยทรายปะการังและหินปูนปะการัง ที่ระดับความสูง 10- 200 เมตร ในประเทศไทยพบตามธรรมชาติ ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงนราธิวาส
ลักษณะ--- เป็นปรงขนาดเล็กมีความสูงประมาณ 10 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงถึง 40 ซม.เปลือกมีสีเทาและแตกออกเป็นส่วน ๆ รูปสี่เหลี่ยมหรือรูปเพชร ใบงอกออกมาจากมงกุฏ เป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate)ใบยาว1.5-2.5 เมตร มีใบย่อย 150-200 ในแต่ละใบรูปขอบขนานเชิงเส้น ก้านใบมีหนามยาว 35–60 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) Cone เพศผู้ (หรือสโตรบิลัส) รูปรียาว 30–60 ซม. มีสีเหลืองส้มหรือน้ำตาล (ซีด) และมีกลิ่นเหม็น พืชเพศเมียจะไม่มีConeแต่เป็นกลุ่มของโครงสร้างคล้ายใบที่เรียกว่า megasporophylls แต่ละอันมีเมล็ดอยู่ที่ขอบด้านล่าง ยาวประมาณ 18-32 ซม.เมล็ดรูปไข่แบนยาว 45 มม. และกว้าง 30 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แม้ว่าปรงจะชอบสภาพอากาศที่มีฝนตกในฤดูร้อนเป็นหลักโดยมีฤดูหนาวที่แห้งและเย็น แต่ปรงส่วนใหญ่จะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนได้ง่ายในฤดูร้อนที่แห้งแล้งและฤดูหนาวที่ชื้น ชอบตำแหน่งที่เปิดรับแสงจ้า ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้า) แต่จะฟอกสีเมื่ออยู่กลางแดด ดีที่สุดด้วยการป้องกันความร้อนในช่วงบ่าย สามารถเติบโตในดินที่ไม่ดี ชอบดินร่วนปนทรายลึกที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเติบโตช้า การบำรุงรักษาต่ำ
- สายพันธุ์ dioeciousโดยพืชแต่ละชนิดจะผลิตโคนเพศผู้ทั้งหมดหรือเพศเมียทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลูกทั้งต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย หากต้องการเมล็ด
- ในบางโอกาสที่หายากมาก เมื่อพืชได้รับความเครียดอย่างรุนแรง มันสามารถเปลี่ยนเพศและผลิต Cone เพศเมียทั้งหมดหรือเพศผู้ทั้งหมด
- สปีชีส์ในสกุลนี้มีโครงสร้างที่เรียกว่ารากปะการัง (coralloid roots) รากเหล่านี้แตกแขนงออกจากรากแก้วหรือรากรอง และมีลักษณะเฉพาะคืองอกขึ้นด้านข้างหรือด้านบน ก่อตัวเป็นก้อนกลมที่ปลายยอด รากปะการังเหล่านี้เกิดขึ้นใต้หรือเหนือผิวดินเล็กน้อยและโดยทั่วไปมีไซยาโนแบคทีเรียหรือที่เรียกว่าสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สิ่งเหล่านี้สามารถตรึงไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศและทำให้เป็นธาตุอาหารแก่พืชได้ ความสามารถในการสกัดสารอาหารที่สำคัญนี้จากอากาศ อธิบายถึงจำนวนปรงที่สามารถอยู่รอดได้บนดินที่เกือบไม่มีธาตุอาหารเลย
การรดน้ำ---เมื่อปลูกครั้งแรก ให้รดน้ำพอประมาณ ให้น้ำชุ่มลึกสัปดาห์ละครั้ง อย่าให้น้ำมากและบ่อยเกินไป เมื่อต้นไม้ตั้งตัวได้ ให้จำกัดการรดน้ำ ต้นปรงเป็นพืชที่ชอบขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แห้งและควรรดน้ำเมื่อดินแห้งสนิทเท่านั้น ทนแล้งได้ปานกลาง
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็น อาจกำจัดใบเก่าออก
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็น แต่สามารถเร่งความเร็วในการเจริญเติบโตได้มาก โดยให้ใส่ปุ๋ยเฉพาะเมื่อดอกตูมเริ่มบวมซึ่งบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของวงจรการเจริญเติบโตประจำปี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ดูแมลงเกล็ดและเพลี้ยแป้ง (mealybugs) ไรเดอร์ (Spider mites) อาจเป็นปัญหาในอากาศแห้ง
รู้จักอันตราย---พืชมีอัลคาลอยด์ของสารก่อมะเร็งและยังมีกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง การบริโภคพืชเป็นประจำทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างรุนแรงและถึงแก่ความตาย หลักการที่เป็นพิษนี้สามารถขจัดออกไปได้หากมีการเตรียมอาหารอย่างเหมาะสม แต่ยังไม่สามารถแนะนำให้บริโภคพืชได้ เนื่องจากการใช้บ่อยครั้งหมายถึงการตายของพืชที่เริ่มหายากในป่า
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนมากกินได้ ในบางส่วนของฟิลิปปินส์ใบอ่อน (ยังม้วนอยู่) นำมาปรุงเป็นผัก
- เมล็ดดิบมีพิษ แต่หลังจากหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากให้แห้งแล้วแช่ในน้ำสักครู่แล้วทำให้แห้งอีกครั้งก็จะกินได้ สามารถใช้เป็นแป้งสาคู อย่างไรก็ตามไม่สามารถแนะนำให้ใช้เมล็ดเป็นอาหารได้ ดูหัวข้อรู้จักอันตราย
ใช้เป็นยา--- เปลือกและเมล็ดถูกนำมาบดเป็นน้ำมันและใช้เป็นยาพอกแผลและบวม น้ำคั้นใบอ่อนใช้รักษาอาการท้องอืดและอาเจียน
- ในบังคลาเทศใช้สำหรับความผิดปกติทางนรีเวช เจ็บคอ วัณโรค แก้ปวด
- ในอินเดีย Cone เพศผู้และละอองเรณูของ C. rumphii ถือเป็นสารเสพติดอย่างรุนแรงและขายเป็น anodyneในตลาดสด; Cone เพศเมียถูกนำมาทำเป็นยาพอกและใช้กับอาการปวดไต
ใช้ปลูกประดับ--- ปัจจุบันหายากมากในสภาพธรรมชาติ แต่พบเห็นได้ทั่วไปตามบ้านเรือนที่ปลูกเป็นไม้ประดับราคาแพง เหมาะกับพื้นที่เขตร้อนที่มีอากาศแห้งตามฤดูกาล ปลูกง่ายทนแล้งได้ดี Queen Sago มักใช้เป็นจุดโฟกัสในสวนขนาดใหญ่
- สปีชีส์ในสกุลนี้สามารถย้ายปลูกได้ง่ายแม้ว่าจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ก็ตาม เวลาที่ดีที่สุดในการย้ายคือก่อนเริ่มฤดูปลูกใหม่ รากจะถูกเล็มหากได้รับความเสียหาย และอาจมีใบบางส่วนถูกถอดออก รากใหม่จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ใช้อื่น ๆ---ยางไม้ใช้เป็นกาว (Cycas gum) ผลไม้ถูกมัดรวมกันเขย่าแล้วมีเสียงเพื่อทำของเล่นเด็ก
- ลำต้นถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างแบบดั้งเดิมขนาดเล็กในอินโดนีเซีย
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ชายฝั่ง จำนวนบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ 10,000-12,000 แต่พืชชนิดนี้ลดลงเนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยถึง 20% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2009 Cycas rumphii ถูกระบุว่าใกล้ถูกคุกคาม
สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species .(2009)
source: Hill, K.D. 2010. Cycas rumphii Miq.. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-3.RLTS.T42081A10623127.en  เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/42081/10623127
- ชนิดนี้มีรายชื่ออยู่ใน CITES Appendix II - ควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์ - ทั่วโลก
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ควรนำมาเพาะทันทีที่สุกใช้เวลาในการงอกประมาณ 6-18 เดือน, โดยการแยกหน่อ


64 ปรงป่า/Cycas siamensis

[SY-kas] [sy-am-EN-sis]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cycas siamensis Miq.(1863)
ชื่อพ้อง:---Has 5 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:297036-1#synonyms
---Cycas baguanheensis L.K.Fu & S.Z.Cheng.(1981)
---Cycas boddamii Van Geert.(1875)
---Cycas immersa Craib.(1912)
---Cycas intermedia B.S.Williams ex T. Moore & Mast.(1876)
---Epicycas siamensis (Miq.) de Laub. (1998)             
ชื่อสามัญ---Siamese cycad, Thai sago
ชื่ออื่น---ปรงป่า, ปรงเขา, มะพร้าวเต่า, ปรงเหลี่ยม, ผักกูดบก, ตาลปัตรฤาษี ;[CHINESE: Shen-xian-mi, Yúnnán sūtiě, Xiān luó sūtiě.];[KHMER: Prang.];[LAOS: Ma prou tou.];[MYANMAR: Môndaing.];[THAI: Prong-liam, Prong-pa, Talapat-ruesi, Maphrao tao.];[VIETNAMESE: Thien tue xiem.]
ชื่อวงศ์---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYSS (Preferred name: Cycas sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอซีย
เขตกระจายพันธุ์---เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cycas' มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas'ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) สำหรับปาล์มชนิดหนึ่ง; ชื่อสายพันธุ์ 'siamensis'จากการเกิดขึ้นในประเทศไทยเรียกว่าราชอาณาจักรสยาม
Cycas siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperms)ในครอบครัวปรง (Cycadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ. 2524
* ชนิดย่อย (Subspecies) ความหลากหลาย (varieties) รูปแบบ (forms) และ cultivars  ที่อยู่ในกลุ่ม Cycas siamensis
- Cycas siamensis Miq. : ลำต้นสั้น มีเมกาสปอโรฟิลล์ สีน้ำตาลแก่หนาแน่น พืชมีสีแตกต่างกันไปตั้งแต่สีขาวจนถึงสีเหลือง สีส้มไปจนถึงสีน้ำตาล ขึ้นอยู่กับสีของขนบนใบ เมล็ดมีสีเหลืองถึงส้ม การกระจายพันธุ์ ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมาร์
- Cycas siamensis ''silver form'' : ออกใบสีเทาเงินมากกว่าชนิดมาตรฐาน ใบไม้คงสีนี้ไว้มากเมื่อเวลาผ่านไป การกระจายพันธุ์ ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ (พม่า) https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Cycadaceae/11194/Cycas_siamensis

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเอซียตะวันออกเฉียงใต้ ในเวียดนามพบในเขตที่ราบสูงตอนกลางตั้งแต่ Buon Ma Thuot ถึง Pleiku (Dac Lac และ Kon Tum) พืชจะเติบโตบนดินปนทรายปนหินในทุ่งหญ้าที่ถูกรบกวนหรือในพื้นล่างของป่าเปิดที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยหิน นอกจากนี้ยังพบในพบใน พม่า ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ที่ระดับความสูง 300 ถึง 1,200 เมตร ในประเทศไทยพืชขึ้นบนดินที่มีหินปูนและตามซอกหินหินปูนพบทั่วไปทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ พบขึ้นหนาแน่นในป่าเบญจพรรณแล้งและป่าเต็งรังทั่วไปที่มีไฟไหม้เป็นประจำ ที่ระดับความสูงประมาณ 20-1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ--- เป็นปรงขนาดเล็กสูงได้ประมาณ 3 (-10) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 ซม.(เส้นผ่านศูนย์กลาง 11-20 ซม. ที่จุดที่แคบที่สุด) โคนลำต้นกลวงป่องออกเล็กน้อย ภายนอกเห็นเป็นข้อสั้นๆสีคล้ำ มีหัวอยู่ใต้ดิน ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) สีเขียวเป็นมันอกเรียงเวียนแน่นที่ปลายยอด ยาวประมาณ 60-90 ซม.ใบย่อยมี 50- 70 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานแคบมีขนาดกว้างประมาณ 6 มม และยาวประมาณ 7.5-20 ซม. ปลายใบแข็งเป็นหนาม เส้นกลางใบนูนเห็นชัดเจนทั้งสองด้าน ก้านใบยาวประมาณ 30 ซม. มีหนามที่สัน ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) โคนเพศผู้เป็นทรงกระบอกยาวประมาณ 30 ซม. กาบดอกเป็นแผ่นแข็งรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 17ซม. ด้านนอกเป็นรูปสามเหลี่ยม มีรยางค์แหลมที่ปลายตั้งขึ้น ส่วนดอกเพศเมียแผ่เป็นแผ่นคล้ายกาบ ขอบจักลึกคล้ายหนาม มีขนาดยาวประมาณ 10-10.5 ซม.และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 ซม. มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่น ตอนล่างมีไข่อ่อนติดอยู่ 1 คู่ ข้างละ 1 ใบ เมล็ดรูปไข่แกมขอบขนาน สีน้ำตาล ผิวเกลี้ยง ยาวประมาณ 4.5 ซม. กว้าง 3 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แม้ว่าปรงจะชอบสภาพอากาศที่มีฝนตกในฤดูร้อนเป็นหลักโดยมีฤดูหนาวที่แห้งและเย็น แต่ปรงส่วนใหญ่จะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนได้ง่ายในฤดูร้อนที่แห้งแล้งและฤดูหนาวที่ชื้น ชอบตำแหน่งที่เปิดรับแสงจ้า ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้า) แต่จะฟอกสีเมื่ออยู่กลางแดด ดีที่สุดด้วยการป้องกันความร้อนในช่วงบ่าย สามารถเติบโตในดินที่ไม่ดี ชอบดินร่วนปนทรายลึกที่มีการระบายน้ำดี  เติบโตช้ามาก (อายุอยู่ได้ประมาณ 40-120 ปี) การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งสนิท เป็นพืชทนแล้ง ในฤดูแล้งคลุมดินด้วยวัสดุอินทรีย์ (เปลือกไม้หรือใบไม้) รักษาความชื้น
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ แต่สามารถตัดใบที่ตาย ใบที่เป็นโรค หรือใบที่เสียหายออกได้เมื่อเกิดขึ้น , กำจัด offsets (ลูกเล็กๆที่เกิดใกล้ต้นแม่) หากต้องการ
การใส่ปุ๋ย---ปีละสองครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มที่ปล่อยช้า ในต้นฤดูใบไม้ผลิและอีกครั้งในต้นฤดูใบไม้ร่วง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ/การให้น้ำมากเกินไปและปล่อยให้น้ำสะสมบนใบพืชอาจทำให้เกิดโรคเชื้อรา
รู้จักอันตราย---เราไม่มีข้อมูลเฉพาะสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่ส่วนใหญ่สมาชิกทั้งหมดของสกุลนี้เชื่อว่ามีสารพิษ สารพิษหลัก 2 ชนิดที่ระบุได้คือ ไซเคซินและมาโครซามิน เมื่อรับประทานในปริมาณที่เพียงพอ สารประกอบเหล่านี้เป็นพิษอย่างมากต่อมนุษย์และสัตว์อื่นๆ หลายชนิด และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้ตับถูกทำลายและก่อมะเร็ง Cycasin และ macrozamin มีผลสะสมในร่างกายและสงสัยว่าจะทำให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาทเมื่อกินในปริมาณเล็กน้อยในระยะเวลานาน
- มีประวัติอันยาวนานที่มนุษย์ใช้พืชสกุลนี้เป็นอาหารที่มีแป้งสูง แต่ควรสังเกตว่าพืชจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติหลายวิธีเพื่อกำจัดหลักการที่เป็นพิษ ควรใช้ความระมัดระวังแม้กับอาหารที่เตรียมอย่างถูกต้อง เนื่องจากแม้การบริโภคเป็นประจำอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและเสียชีวิตได้ เนื่องจากหลายสายพันธุ์เหล่านี้เริ่มหายากมากขึ้นในป่า นี่อาจเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่ในช่วงเวลาที่ขาดแคลนอาหารเมื่อไม่มีอาหารอื่นที่ดีกว่า
- พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ กล่าวกันว่าสายพันธุ์นี้มีประโยชน์เช่นเดียวกับ Cycas rumphii การใช้ประโยชน์เหล่านี้มีดังต่อไปนี้
ใช้กิน--- ใบอ่อนมากกินได้ ในบางส่วนของฟิลิปปินส์ใบอ่อน (ยังม้วนอยู่) นำมาปรุงเป็นผัก
- เมล็ดดิบมีพิษ แต่หลังจากหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากให้แห้งแล้วแช่ในน้ำสักครู่แล้วทำให้แห้งอีกครั้งก็จะกินได้ สามารถใช้เป็นแป้งสาคู อย่างไรก็ตามไม่สามารถแนะนำให้ใช้เมล็ดเป็นอาหารได้ ดูด้านล่างเกี่ยวกับความเป็นพิษ
ใช้เป็นยา--- น้ำคั้นใบอ่อนใช้รักษาอาการท้องอืดและอาเจียน เปลือกและเมล็ดนำมาบดกับน้ำมันใช้เป็นยาพอกแผลและบวม
ใช้เป็นไม้ประดับ--- เหมาะกับเขตร้อนที่มีอากาศแห้งตามฤดูกาล ปลูกในพื้นที่อบอุ่นชายฝั่ง  ปลูกในบ้านหรือในที่ร่ม เป็นไม้กระถางในที่เย็น เหมาะมากกับการปลูกบอนไซ ปลูกง่ายทนแล้งได้ดี
การพูดคุยส่วนต้ว---*ระวังเรื่องการซื้อปรงป่า ปรงภูเขา เลือกซื้อที่เขานำใส่กระถางพร้อมขายมาด้วย เป็นพวกเพาะเมล็ดเลี้ยงให้โตในกระถาง ถ้าไม่มีกระถางติดมา ซื้อแบบดิบๆไม่มีราก ผิดกฎหมายทั้งคนขายคนซื้อ แล้วถ้าได้มาแล้วทำไม่เป็นเน่าตายก็เยอะเสียของ (2008)
อื่น ๆ---ยางไม้ใช้เป็นกาว ผลไม้จะถูกมัดรวมกันเพื่อทำของเล่นเด็กหรือเขย่าแล้วมีเสียง
ภัยคุกคาม---สายพันธุ์ที่แพร่หลายและมีอยู่มากมายในท้องถิ่น อย่างไรก็ตามประชากรคาดว่าจะลดลงมากกว่า 30% ในช่วง 90 ปีที่ผ่านมาโดยพิจารณาจากขอบเขตของการเปลี่ยนไปในการใช้พื้นที่เกษตรกรรมและเนื่องจากการเก็บรวบรวมเพื่อการค้าไม้ประดับ แต่ประชากรจำนวนมากก็ยังคงอยู่และไม่ได้อยู่ภายใต้การคุกคามของการสูญพันธุ์ในทันที ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี พ.ศ. 2552 Cycas siamensis ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ A2cd (มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---VU - VULNERABLE  A2cd - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species .(2009)
source: Nguyen, H.T. 2010. Cycas siamensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: e.T42066A10641954. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-3.RLTS.T42066A10641954.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/42066/10641954
- ชนิดนี้มีรายชื่ออยู่ใน CITES Appendix II - ควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์ - ทั่วโลก
- ประชากรของสายพันธุ์นี้ได้รับการคุ้มครองในYok Don National Park ในประเทศเวียดนาม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลา 6–18 เดือนในการงอก หลังจากเก็บเมล็ดแล้ว พวกเขามักต้องการการเก็บรักษาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ตัวอ่อนภายในจะพร้อมที่จะงอก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะทำความสะอาดเมล็ดของผลไม้ภายนอกและพักไว้ก่อนที่จะพยายามเผยแพร่เมล็ด
- แยกหน่อ แบ่งเหง้า และห้ว (รวมส่วนหัก)


65 ปรงเขา/Cycas pectinata

[SY-kas] [pek-tin-AY-tah]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cycas pectinata Buch.-Ham.(1826)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:297022-1#synonyms  
---Cycas dilatata Griff.(1854)
---Cycas jenkinsiana Griff.(1854)
ชื่อสามัญ---Assam cycas, Nepal Cycas, Thaljimura
ชื่ออื่น---มะพร้าวเต่าดอย มะพร้าวเต่าหลวง;[ASSAMESE: Thaljimura,Nag-phona/ Thalji-mura,Nagchampa,Nagphana.];[BENGALI: Manirāja.];[CHINESE: Bi-chi sutie, Feng-huang-dan, Feng-wei-jiao];[HINDI: Thaakal.];[KHASI: Dieng-sia-goda.];[MANIPURI: Yendang.];[MYANMAR: Môndaing.];[NEPALI: Thakal.];[THAI: Boka, Prong khao, Prong pa, Maphrao tao doi, Maphrao louang.];[VIETNAMESE: Cây thiên tuế, Thiên tuế, Tuế lược.]
ชื่อวงศ์ ---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYSS (Preferred name: Cycas sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Cycas มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas'ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) สำหรับ=ชื่อปาล์มชนิดหนึ่ง; ชื่อสายพันธุ์ 'pectinata' คำเฉพาะมาจากภาษาละติน 'pectinatus' แปลว่าหวี โดยอ้างอิงถึงลักษณะคล้ายหวีของกิ่งก้านดอก
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ; ภูฏาน; กัมพูชา; ประเทศจีน (ยูนนาน); อินเดีย (อุตตรประเทศ); สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; เมียนมาร์ (แผ่นดินใหญ่); เนปาล; ประเทศไทย; เวียดนาม
Cycas pectinata เป็นสายพันธุ์ของปรงในสกุล Cycas ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton (1762-1829) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ. 2369

ที่อยู่อาศัย--- พบในตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (อัสสัม ,มณีปุระ ,รัฐเมฆาลัย ,สิกขิม ,ดาร์จีลิ่ง ) เนปาล ภูฏาน พม่าภาคเหนือ จีนตอนใต้ (ยูนนาน) บังกลาเทศ มาเลเซีย กัมพูชา ภาคเหนือของไทย ลาว เวียดนาม เติบโตที่ระดับความสูง 600 เมตร ถึง 1300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปรงขนาดเล็กสูงประมาณ 1.5-2เมตร ทรงพุ่มคล้ายต้นมะพร้าวมักแตกกิ่งก้าน ใบประกอบแบบขนนก(pinnate) ออกเป็นกระจุกบริเวณยอด ใบยาวประมาณ1.5-2.5เมตร ใบย่อยเป็นเส้นแคบยาว ก้านใบมีหนามมีใบย่อยประมาณ30-40ใบ  เป็นพืชจำพวกเมล็ดเปลือย แยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) เมล็ดรูปไข่ยาว 4.5-6 ซม. กว้าง 4-4.7 ซม.  สีส้มหรือเหลืองส้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แม้ว่าปรงจะชอบสภาพอากาศที่มีฝนตกในฤดูร้อนเป็นหลักโดยมีฤดูหนาวที่แห้งและเย็น แต่ปรงส่วนใหญ่จะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนได้ง่ายในฤดูร้อนที่แห้งแล้งและฤดูหนาวที่ชื้น ชอบตำแหน่งที่เปิดรับแสงจ้า ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้า) แต่จะฟอกสีเมื่ออยู่กลางแดด ดีที่สุดด้วยการป้องกันความร้อนในช่วงบ่าย สามารถเติบโตในดินที่ไม่ดี ชอบดินร่วนปนทรายลึกที่มีการระบายน้ำดี  เติบโตช้ามาก (อายุอยู่ได้ประมาณ 40 ปี) การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งสนิท เป็นพืชทนแล้ง ในฤดูแล้งคลุมดินด้วยวัสดุอินทรีย์ (เปลือกไม้หรือใบไม้) รักษาความชื้น
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ แต่สามารถตัดใบที่ตาย ใบที่เป็นโรค หรือใบที่เสียหายออกได้เมื่อเกิดขึ้น
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่อาจเร่งการเจริญเติบโต โดยใส่ปุ๋ยปีละครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มที่ปล่อยช้า ให้ใส่ปุ๋ยเฉพาะเมื่อดอกตูมเริ่มบวม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ
รู้จักอันตราย---พืชมีอัลคาลอยด์ของสารก่อมะเร็งและยังมีกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง การบริโภคพืชเป็นประจำทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและความตายอย่างรุนแรง หลักการที่เป็นพิษนี้สามารถขจัดออกไปได้หากมีการเตรียมอาหารอย่างเหมาะสม แต่ยังไม่สามารถแนะนำให้บริโภคพืชได้เนื่องจากการใช้บ่อยครั้งหมายถึงการตายของพืชและเริ่มหายากในป่า
- พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่น และปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้กิน--- เมล็ด Cycas pectinata มีการใช้แบบดั้งเดิมเป็นแหล่งแป้งโดยชนเผ่าพื้นเมืองและกินดิบหรือย่างในรัฐอัสสัมและเขตแดนของรัฐเมฆาลัย
- ชาวเขาในรัฐอัสสัมกินเมล็ดและใบที่โผล่ออกมาใช้เป็นผัก
ใช้เป็นยา--- กล่าวกันว่าสายพันธุ์นี้มีประโยชน์เช่นเดียวกับ Cycas rumphii
- เกสรดอกไม้เป็นสารเสพติด เปลือกและเมล็ดนำมาบดกับน้ำมันและใช้เป็นยาพอกแผลและแก้บวม น้ำคั้นใบอ่อนใช้รักษาอาการท้องอืดและอาเจียน
- ไมโครสปอโรฟิลล์เคี้ยวดิบเพื่อแก้ปวดท้องและแผลในกระเพาะอาหาร
- ชายหนุ่มในรัฐเมฆาลัยและอัสสัมของอินเดียจะกินไมโครสปอโรฟิลล์อายุน้อย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย
ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปรงที่แพร่หลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในสวนและที่สาธารณะ ในเวียดนาม Cycas pectinata เรียกกันว่าต้นไม้ร้อยปี (Câythiêntuế) ถือเป็นไม้ประดับมงคล ปรงขนาดใหญ่มักวางไว้หน้าคฤหาสน์และสำนักงานขององค์กรหรือหน่วยงานราชการ
อื่น ๆ---ลำต้นนำมาตำใช้สระผม กล่าวกันว่าสายพันธุ์นี้มีประโยชน์เช่นเดียวกับ Cycas rumphii ยางไม้ใช้เป็นกาว ผลไม้จะถูกมัดรวมกันเพื่อทำของเล่นเด็กหรือเขย่าแล้วมีเสียง
ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ในรัฐอัสสัมใบแก่สีเขียวถูกนำมาใช้ในการตกแต่งศาลเจ้าชั่วคราวจำนวนมากที่เรียกว่า“ Pooja Pandals” ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพในช่วงเทศกาล ใบใช้สำหรับตกแต่งทางเข้าและตกแต่งช่อดอกไม้
ภัยคุกคาม---เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายและมีอยู่มากมายในท้องถิ่น จำนวนบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ 200,000-250,000 อย่างไรก็ตามประชากรคาดว่าจะลดลงมากกว่า 30% ในช่วง 90 ปีที่ผ่านมาโดยพิจารณาจากขอบเขตของการเปลี่ยนไปในการใช้พื้นที่เกษตรกรรมและเนื่องจากการเก็บรวบรวมเพื่อการค้าไม้ประดับ แต่ประชากรจำนวนมากก็ยังคงอยู่และไม่ได้อยู่ภายใต้การคุกคามของการสูญพันธุ์ในทันที ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN Red List of Threatened Speciesในปี 2009  ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ A2c
สถานะการอนุรักษ์---VU - VULNERABLE - A2c - IUCN. Red List of Threatened Species. (2009)
source: Nguyen, H.T. 2010. Cycas pectinata. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: e.T42062A10617695. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-3.RLTST42062A10617695.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/42062/10617695
- อยู่ในความคุ้มครองของ CITES Appendix II (การควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์) ทั่วโลก
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน - กรกฎาคม/เมล็ดแก่ กุมภาพันธ์ - มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ควรเพาะทันทีเมื่อสุก ก่อนนำเมล็ดไปเพาะควรแช่น้ำอุ่น 24 ชั่วโมง ใช้ระยะเวลาการงอก 1-3 เดือน


66 ปรงเขาชะเมา/Cycas chamaoensis

[SY-kas] [kam-ay-oh-EN-sis]

ชื่อวิทยาศาสตร์  ---Cycas chamaoensis K.D.Hill.(1999)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2749511
ชื่อสามัญ---Cycad, Chamao Sago
ชื่ออื่น---ปรงชะเมา, ปรงเขาชะเมา, มะพร้าวสีดา ; [THAI:Prong Chamao, Prong KhaoChamao.]
ชื่อวงศ์---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYSS (Preferred name: Cycas sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
ขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Cycas มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas'ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) สำหรับปาล์มชนิดหนึ่ง; ชื่อสายพันธุ์ ' chamaoensis' ได้รับการตั้งชื่อตามถิ่นอาศัยเพียงแห่งเดียวบน เขาชะเมา ภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของ อ.แกลง จ.ระยอง ประเทศไทย
Cycas chamaoensis เป็นสายพันธุ์ของพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperms)ในครอบครัวปรง (Cycadaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Kenneth D.Hill (1948 –2010) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ในปี พ.ศ.2542

ที่อยู่อาศัย--- ปรงชะเมาค้นถูกพบครั้งแรกปี 2537สายพันธุ์นี้พบเฉพาะที่เดียวบนหินแกรนิตของเขาชะเมาภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของ อ.แกลง จ.ระยองประเทศไทย ชาวระยองเรียกกันว่า มะพร้าวสีดา เป็นพืชถิ่นเดียว (endemic) ของไทยขึ้นอยู่ตามซอกหินแกรนิตหรือลานหิน บน หน้าผา ที่ระดับความสุง 100-300 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปรงต้นเดี่ยวหรืออาจแตกกิ่งข้างสูงได้ถึง 6 เมตรลักษณะคล้ายกับปรงเขา (C. pectinata) ลำต้นเรียบมีหนามสีเทา ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบจำนวนมากเกิน 60 ใบต่อมงกุฎ ก้านใบยาว 30-60 ซม..ผิวเกลี้ยงและมีหนามบางส่วน ตัวใบยาว 1.3-2.6 เมตร  แผ่นใบย่อย 85-155 คู่ รูปใบหอก เกลี้ยง ทำมุมไปข้างหน้า 60-70องศา ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) ติดผลจำนวนมากผลกลมขนาด3-4 ซม. มี 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในในภูมิอากาศ กึ่งเขตร้อนและเขตร้อนชื้น Montane ชอบตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ที่เปิดรับแสงจ้า ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้า) แต่จะฟอกสีเมื่ออยู่กลางแดด ดีที่สุดด้วยการป้องกันความร้อนในช่วงบ่าย สามารถเติบโตในดินที่ไม่ดี เจริญได้ดีในดินแห้ง กรวดทราย ที่มีการระบายน้ำดี ท่ามกลางความร้อนและ ทนแล้ง อัตราการเจริญเติบโต ช้าตามธรรมชาติของปรง อายุยืนยาวได้ถึง 40 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือเมื่อดินแห้งสนิท เป็นพืชทนแล้ง ในฤดูแล้งคลุมดินด้วยวัสดุอินทรีย์ (เปลือกไม้หรือใบไม้) รักษาความชื้น และอย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ แต่สามารถตัดใบที่ตาย ใบที่เป็นโรค หรือใบที่เสียหายออกได้เมื่อเกิดขึ้น
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่อาจเร่งการเจริญเติบโต โดยใส่ปุ๋ยปีละครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มที่ปล่อยช้า ให้ใส่ปุ๋ยเฉพาะเมื่อดอกตูมเริ่มบวม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ
รู้จักอันตราย---พืชมีอัลคาลอยด์ของสารก่อมะเร็งและยังมีกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง การบริโภคพืชเป็นประจำทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและความตายอย่างรุนแรง หลักการที่เป็นพิษนี้สามารถขจัดออกไปได้หากมีการเตรียมอาหารอย่างเหมาะสม แต่ยังไม่สามารถแนะนำให้บริโภคพืชได้เนื่องจากการใช้บ่อยครั้งหมายถึงการตายของพืชและเริ่มหายากในป่า
- พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้สวยหายาก ทำให้ปรงชะเมาโดยเฉพาะต้นที่มีขนาดใหญ่มีราคาสูงมาก เป็นที่ต้องการของผู้นิยมปลูกเลี้ยง และนักสะสมพันธุ์พืช ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้สถานะการอนุรักษ์ไม่มั่นคงถือว่าถูกคุกคามจนถูกจำแนกเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์เพราะเกิดความต้องการมากมายแต่คนในถิ่นยังให้ความสำคัญต่อพืชชนิดอื่นมากกว่า
สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants)  คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ภัยคุกคาม---เนื่องจากจำกัดพื้นที่อยู่บนภูเขาลูกเดียว ขนาดประชากรของ C. chamaoensisไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าอยู่ในช่วง 2,500 ถึง 10,000  ในการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 พบว่ามีพืชเหลืออยู่ในป่าไม่ถึง 100 ต้น แม้ว่าในเวลาต่อมาจะพบประชากรเพิ่มเติมอีก 2 กลุ่ม แต่พวกมันอยู่นอกพื้นที่คุ้มครองและมีพืชน้อยกว่า 300 ต้นในแต่ละพื้นที่ ล่าสุดมีการประเมินว่า 90% ของประชากรทั้งหมดถูกนักสะสมกำจัดออกไป ปัจจุบัน คาดว่ามีพืชโตเต็มที่เหลืออยู่ในป่าไม่ถึง 50 ต้น แม้ว่าจะพบเห็นได้น้อยกว่านั้นในระหว่างการสำรวจในปี 2552 ชาวบ้านในท้องถิ่นให้ความสำคัญกับพืชเพื่อจุดประสงค์ในการทำสวนมีการนำพืชจำนวนมากได้ถูกนำออกจากป่าแล้วถูกรวบรวมไว้เพื่อการค้าภูมิทัศน์เป็นจำนวนมาก ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Cycas chamaoensis ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งภายใต้เกณฑ์ A2ad; B1ab(i,ii,iv,v); C2a(i); D.
สถานะการอนุรักษ์---CR- CRITICALLY ENDANGERED A2ad; B1ab(i,ii,iv,v); C2a(i); D.- ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2020)
source: Lindstrom, A. 2022. Cycas chamaoensis K.D.Hill. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-1.RLTS.T42037A67339012.en เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/42037/67339012
- อยู่ในความคุ้มครองของ CITES Appendix II (การควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์)  ทั่วโลก
- พืชพรรณเกิดขึ้นภายในอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง โปรแกรมการศึกษาและการตระหนักรู้ตลอดจนการติดตามประชากรย่อยในระยะยาวจะสนับสนุนการอนุรักษ์สายพันธุ์นี้
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด แยกหน่อ


67 ปรงสีฟ้า/Cycas cairnsiana

[SY-kas] [kairns-ee-AY-na]

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cycas cairnsiana F.Muell.(1876)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2749504
ชื่อสามัญ---Australian Cycas, Mount Surprise sago
ชื่ออื่น---ปรงสีฟ้า, ปรงใบฟ้า ;[AFRIKAANS: Mount Surprise-sikadee.];[THAI: Prong sifa, Prong baifa.]
ชื่อวงศ์---CYCADACEAE
EPPO Code---CCYSS (Preferred name: Cycas sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---รัฐควีนส์แลนด์ตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cycas' มาจากชื่อภาษากรีก 'cýkas'ในทางกลับกันเนื่องจากข้อผิดพลาดในการเขียนจากพหูพจน์ cóikas ของ coix  = (dum palm, in Strabo) สำหรับชื่อปาล์มชนิดหนึ่ง ; ชื่อสายพันธุ์ 'cairnsiana' ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ Sir William Wellington Cairns (1828-1888) ผู้ว่าการรัฐควีนส์แลนด์, ออสเตรเลีย ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2418-พ.ศ.2520
Cycas cairnsiana เป็นสายพันธุ์ของปรงในสกุล Cycas ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Sir Ferdinand Jacob Heinrich von Mueller (1825-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันออสเตรเลีย ในปี พ.ศ. 2419
ที่อยู่อาศัย--- เป็นสายพันธุ์ที่อ่อนแอซึ่งพบได้เฉพาะในสองแห่งรอบ Mount Surprise ใน Newcastle Range ของ Einasleigh ทางตอนเหนือของควีนส์แลนด์ออสเตรเลีย
เติบโตในดินบาง ๆ ที่มีกรวดบนเนินเขาเตี้ย ๆ ท่ามกลางหินแกรนิตขนาดใหญ่ ช่วงระดับความสูง เกิดขึ้นที่ 450-500 เมตร
สักษณะ--- ลำต้นสูงประมาณ 2-5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10-15 ซม. ที่จุดแคบที่สุดมีฐานบวม ใบประกอบแบบขนนก ยาว 60-110 ซม มีใบย่อย 180-220 ใบ แผ่นใบย่อย ยาว 8-18 ซม. และกว้าง 2-4 มม. (แผ่นใบย่อยเรียงตรงข้าม ที่ 30-90 °บน เส้นกลางใบ)ใบอ่อนเมื่อเริ่มผลิออกมาจะเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมม่วงจากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมฟ้าประกายเงิน ก้านใบยาว 18-27ซม.มีหนามคม โคนเพศเมีย: เปิดมีสปอโรฟิลล์ยาว 16-21 ซม. มีสองถึงสี่ ออวุลต่อสปอโรฟิลล์ โคนเพศผู้:โดดเดี่ยวรูปไข่ยาว 16-20 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-10 ซม. สีน้ำตาลส้มและมีกระดูกสันหลังส่วนปลายหงาย เมล็ดรูปไข่ แบน สีน้ำตาลเหลือง ยาว 36-42 มม. กว้าง 30-37 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9b-11) อาจทนอุณหภูมิได้ถึง -2°C ในช่วงสั้น ๆโดยไม่ทำให้ใบไม้เสียหาย  ตำแหน่งทีมีแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินร่วนลึกระบายน้ำได้ดี ไม่ควรปลูกในดินที่มีความเป็นด่างสูงเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดสารอาหารและใบไม้เป็นสีเหลือง  อัตราการเจริญเติบโต ช้า (อายุอยู่ได้ประมาณ 40 ปี) การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือเมื่อดินแห้งสนิท เป็นพืชทนแล้ง ในฤดูแล้งคลุมดินด้วยวัสดุอินทรีย์ (เปลือกไม้หรือใบไม้) รักษาความชื้น และอย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ แต่สามารถตัดใบที่ตาย ใบที่เป็นโรค หรือใบที่เสียหายออกได้เมื่อเกิดขึ้น
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่อาจเร่งการเจริญเติบโต โดยใส่ปุ๋ยปีละครั้งด้วยปุ๋ยปาล์มที่ปล่อยช้า ให้ใส่ปุ๋ยเฉพาะเมื่อดอกตูมเริ่มบวม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังการแพร่ระบาดของแมลงเกล็ด โดยเฉพาะ แมลงเกล็ดเอเซียน (Asian Aulacapsis scale) ซึ่งจะฆ่าพืช ที่โตเต็มที่หากไม่ได้รับการรักษา
รู้จักอันตราย---พืชมีอัลคาลอยด์ของสารก่อมะเร็งและยังมีกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง การบริโภคพืชเป็นประจำทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและความตายอย่างรุนแรง หลักการที่เป็นพิษนี้สามารถขจัดออกไปได้หากมีการเตรียมอาหารอย่างเหมาะสม แต่ยังไม่สามารถแนะนำให้บริโภคพืชได้เนื่องจากการใช้บ่อยครั้งหมายถึงการตายของพืชและเริ่มหายากในป่า
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะกับพื้นที่เขตร้อนที่มีอากาศแห้งตามฤดูกาล เหมาะสำหรับสวน Xeriscape (การทำสวน Xeriscape กำลังได้รับความนิยมในขณะที่เราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝน ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้พืชพื้นเมืองและปรับให้เข้ากับสภาพอากาศกึ่งแห้งแล้ง) พืชยังคงหายากมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการเพาะปลูกมากขึ้นอาจหาไก้ง่ายเนื่องจากเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักสะสม
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก พันธุ์นี้อาจมีการเก็บมากเกินไปเนื่องจากความต้องการปรงที่มีใบสีเขียวสีน้ำเงิน ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2009 Cycas cairnsianaถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ D2
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE D2 - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species (2009)
Hill, K.D. 2010. Cycas cairnsiana. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: e.T41972A10614004. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-3.RLTS.T41972A10614004.en. Accessed on 09 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/41972/10614004
- ชนิดนี้มีรายชื่ออยู่ในความคุ้มครองของ CITES Appendix II (การควบคุมการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ที่ไม่เข้ากันกับการอยู่รอดของสายพันธุ์) ทั่วโลก
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอกประมาณ 6–18 เดือน หลังจากเก็บเมล็ดที่สมบูรณ์แล้ว ต้องเก็บรักษาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ตัวอ่อนภายในพร้อมที่จะงอก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะทำความสะอาดเมล็ดของผลไม้ภายนอกและพักไว้ 2-4 เดือน การงอกจะรวดเร็วและเมล็ดเกือบทั้งหมดจะงอกภายใน 2 เดือน


68 จาก/Nypa fruticans

[NY-pah] [FROO-tih-kanz]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nypa fruticans Wurmb.(1779)
ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668507-1#synonyms
---Cocos nypa Lour.(1790)
---Nipa arborescens Wurmb ex H.Wendl.(1878)
---Nipa fruticans (Wurmb) Thunb.(1782)
---Nipa litoralis Blanco.(1837)
ชื่อสามัญ---Nipa, Atap palm, Nipa palm, Mangrove palm, Water Coconut
ชื่ออื่น---จาก ;[BANGLADESH: Golpata.];[BURMESE: Dani.];[CHINESE: Lu bi, Zhu zi, Shui ye.];[FRENCH: Palmier d'eau, Palmier nipa.];[GERMAN: Atappalme, Mangrovenpalme, Nipapalme, Nypa-Palme.];[INDONESIA: Bobo, Buyuk, Nipah.];[ITALIAN: Palma delle paludi.];[JAPANESE: Nippa yashi, Nippayasi.];[KHMER: Cha:k.];[MALAYSIA: Nipah, Buah nipah.];[MYANMAR: Dane.];[NIGERIA: Ayamatangh, Ayangmbakara.];[PAPUA: Biri, Biri-biri.];[PHILIPPINES: Lasa, Sasa, Pauid(Tag.); Pinok, Tata (Ibn.).];[SINGAPORE: Attap.];[SWEDISH: Nipapalm.];[THAI: Chaak.];[VIETNAM: Duwfa las, Dua nuoc.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---NYAFR (Preferred name: Nypa fruticans.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย มาเลเซีย อินโดจีน ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Nypa' มาจากภาษามลายู "nipah" ซึ่งเป็นคำนามปัจจุบันของคำกริยาภาษาละติน "fruco" = แตกหน่อ โดยอ้างอิงถึงลักษณะ cespitose ของพืช ; ชื่อสายพันธุ์ 'fruticans' = ไม้พุ่ม หมายถึงนิสัยที่เป็นพุ่มของสายพันธุ์นี้
-นี่คือ Monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์ในสกุลคือ Nypa fruticans
Nypa fruticans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich von Wurmb (1742–1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ. 2322


ที่อยู่อาศัย--- พบตั้งแต่ศรีลังกาและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคาไปจนถึงแปซิฟิกตะวันตก ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบในบังกลาเทศ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา จีน (เกาะไหหลำ) อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น (การกระจายพันธุ์ทางเหนือสุดคือเกาะอิริโอะโมะเตะ) มาเลเซีย เมียนมาร์ สิงคโปร์ไทยและเวียดนาม ในออสตราเลเซียพบทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย สหพันธรัฐไมโครนีเซีย กวม ปาเลา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน สายพันธุ์นี้ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับแคเมอรูนและไนจีเรียในแอฟริกาตะวันตกและปานามาในอเมริกากลางและตรินิแดดและโตเบโกในแคริบเบียน เกิดขึ้นในหนองน้ำป่าชายเลน พื้นที่น้ำขึ้นน้ำลงในโคลนลึก ในพื้นที่ลุ่มชายฝั่งที่มีน้ำขัง เติบโตในน้ำหรืออยู่ภายใต้กระแสน้ำท่วม
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอจากลำต้นใต้ดินหรือลำต้นที่เลื้อยไปบนดินโดยโผล่ก้านใบและตัวใบขึ้นมาอยู่เหนือดิน ลำต้นจะแตกแขนงอยู่ใต้ดินทำให้ขึ้นเป็นกอ สูงประมาณ 3 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) เรียงตรงข้ามกัน มีใบยอยเป็นรูปขอบขนาน ดอกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกจะชูตั้งขึ้นและโค้งลง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ดอกมีสีเหลือง ผลอยู่รวมกันเป็นช่อ มีผลย่อยอยู่เป็นจำนวนมากรูปไข่กลับแบนและนูนตรงกลาง สีน้ำตาลเรียบเป็นมัน
- ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์อื่น ๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขนาดของนิปาปาล์มแตกต่างกันไป: ในฟิลิปปินส์พืชมีขนาดเล็กกว่าในปาปัวนิวกินีและมาเลเซีย ในมาเลเซียมีความแตกต่างของปาล์มนิปาสองรูปแบบคือ 'นิปาห์กาล่า' และ 'นิปาห์ปาดี' ('nipah gala' และ 'nipah padi') ซึ่งแตกต่างกันที่ความเอียงของแผ่นพับ ไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์
- * ซากดึกดำบรรพ์ของพืชที่ค้นพบในส่วนต่าง ๆ ของโลกและมีอายุย้อนไปถึงยุคครีเทเชียสตอนบน (ประมาณ70 ล้านปีก่อน) อันที่จริงแล้วเป็นหนึ่งในต้นปาล์มและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่เก่าแก่ที่สุด ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน. https://www.monaconatureencyclopedia.com/nypa-fruticans/?lang=en
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งร้อนชื้น (USDA Zone 11: above 4.5 °C) อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยในพื้นที่ปลูกคือ 20 ° C และสูงสุด 32-35 ° C เป็นปาล์มชนิดเดียวที่เป็นพืชในป่าชายเลน ในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำกร่อย ไม่ค่อยพบเห็นได้โดยตรงบนชายทะเล สภาวะที่เหมาะสมคือเมื่อโคนและเหง้าของปาล์มถูกน้ำกร่อยท่วมเป็นประจำ อุดมไปด้วยดินตะกอนดินเหนียวและซากพืช พวกมันมีเกลืออนินทรีย์แคลเซียมและซัลไฟด์ต่างๆของเหล็กและแมงกานีสในปริมาณสูงซึ่งมีส่วนทำให้เกิดกลิ่นและสีเข้มโดยทั่วไป pH อยู่ที่ประมาณ 5 เติบโตได้ในดินที่เป็นด่างจัดและดินเค็มในตำแหน่งที่มีแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในดินเหนียว ดินร่วนปนทราย ดินที่มีน้ำขัง (พื้นที่ระบายน้ำ, พื้นที่ไม่ระบายน้ำ) ชอบดินชื้นหรือแฉะและสามารถเจริญเติบโตได้ในน้ำ แต่ก็ปลูกได้ในดินหลากหลายชนิดด้วย ตั้งแต่เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย แม้ไม่จมน้ำแต่ต้องดูแลให้เปียกอยู่เสมอ และไม่จำเป็นต้องใช้น้ำกร่อยเพราะขึ้นได้ดีกับน้ำจืดด้วย ชอบค่า pH ในช่วง 6.5 - 7.5 ทนได้ 5 - 8.5 อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ดินต้องชุ่มลึกอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างรดน้ำ
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้งออก
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย
ศัตรูพืช/โรคพืช---ประสบปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชน้อย ปู Grapsid เป็นศัตรูพืชหลักของต้นอ่อน
รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---เป็นแหล่งอาหารที่มีมูลค่าสูงและแหล่งวัตถุดิบสำหรับคนในท้องถิ่น
ใช้กิน--- เมล็ด - ดิบ เก็บเกี่ยวเมื่อผลยังไม่สุกเมล็ดมีรสครีมอร่อย เอนโดสเปิร์มสีขาวของเมล็ดที่ยังไม่สุกมีรสหวานและมีลักษณะคล้ายวุ้นใช้กินเป็นอาหารว่าง เมล็ดที่โตเต็มที่บางครั้งกินได้ แต่จะแข็งมาก
- น้ำหวานจากช่อดอก ส่วนใหญ่จะใช้ในการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังใช้ทำน้ำเชื่อมน้ำตาลและน้ำส้มสายชู
- กาบดอก ทำเป็นชาหอมได้
ใช้เป็นยา--- ส่วนต่างๆของปาล์มเป็นแหล่งยาแผนโบราณ เช่นน้ำคั้นจากยอดอ่อนใช้กับโรคเริม เถ้าของปาล์มที่ถูกเผาป้องกันอาการปวดฟันและปวดศีรษะ ต้น (ไม่ระบุส่วน) ใช้เป็นยาแก้ตะขาบกัดและรักษาแผลพุพอง
วนเกษตร--- ใช้ปลูกตามแนวชายฝั่งที่เป็นหนองซึ่งมักมีป่าโกงกางเพื่อป้องกันชายฝั่งจากการกัดเซาะ
อื่น ๆ---ใบไม้เป็นวัสดุชั้นเยี่ยมสำหรับมุงทำตะกร้าและเสื่อ และถือว่ามีคุณภาพดีกว่ามะพร้าว  ก้านใบที่แข็งแรงมีประโยชน์ต่อโครงสร้างหลายอย่าง ใบอาจมีแทนนินมากถึง 10%
- น้ำนม (Sap) ที่อุดมด้วยน้ำตาลยังสามารถกลั่นเป็นเอทานอลอุตสาหกรรมและเชื้อเพลิงชีวภาพ
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ภัยคุกคามเฉพาะถิ่นต่อสายพันธุ์นี้จากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยและการสกัด แต่ก็มีการปลูกในหลายพื้นที่และใช้สำหรับสินค้าและบริการมากมาย เป็นผลให้ประชากรมีพลวัตมากโดยลดลงในบางภูมิภาคและเพิ่มขึ้นในบางภูมิภาค แม้ว่าช่วงโดยรวมจะลดลงในหลายพื้นที่ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะไปถึงเกณฑ์หมวดหมู่ที่ถูกคุกคามใดๆ ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2008 Nypa fruticans ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2008)
source: Ellison, J., Koedam, N.E., Wang, Y., Primavera, J., Jin Eong, O., Wan-Hong Yong, J. & Ngoc Nam, V. 2010. Nypa fruticans. The IUCN Red List of Threatened Species 2010: e.T178800A7610085. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2010-2.RLTS.T178800A7610085.en. Accessed on 09 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/178800/7610085
- ไม่มีมาตรการอนุรักษ์เฉพาะสำหรับชนิดนี้ แต่ขอบเขตอาจรวมถึงพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่งบางแห่ง
- แนะนำให้ติดตามและวิจัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรวมพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่ง
ระยะเวลาออกดอก--- ออกดอกได้ตลอดทั้งปี ออกดอกครั้งแรกหลังจากงอก 3 - 4 ปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ
ระยะเวลาออกดอก--- ออกดอกได้ตลอดทั้งปี ออกดอกครั้งแรกหลังจากงอก 3 - 4 ปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ

Last update May2019

5/8/2021

24/6/2022

3/5/2023

6/10/2023

เอกสารประกอบ, อ้างอิง, แหล่งที่มา

---หนังสือ “คู่มือปาล์มประดับ” ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น.2                                                                                         
---คู่มือปาล์มประดับ : Ornamental Palm ฉบับปรับปรุงและเพิ่มเติม/ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น 2550
---หนังสือ"ปาล์มประดับที่ปลูกได้ในประเทศไทย"สวัสดิ์ หรั่งเจริญ สำนักพิมพ์มติชน 2547
---สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) (Concise Encyclopedia of Plants in Thailand)
---Australian Government's Species Profile and Threats Database. http://www.environment.gov.au/
---Palmpedia - Palm Grower's Guide https://www.palmpedia.net    
---ฐานข้อมูลพรรณไม้มีชีวิต องค์การสวนพฤกษศาสตร์ Living Plant Database of The Botanical Organization
---ต้นปาล์มในเอเชียใต้โดย Andrew HENDERSON https://books.google.co.th
---ประมวลคำศัพท์ปาล์ม: ขึ้นอยู่กับอภิธานศัพท์ใน Dransfield, J. , NW Uhl, CB Asmussen-Lange, WJ Baker, MM Harley และ CE Lewis 2008 จำพวก Palmarumวิวัฒนาการและการจำแนกประเภทของปาล์มสวนพฤกษศาสตร์ Royal, Kew http://eunops.org/content/glossary-palm-terms 
---Plant of the world on line.Kewscience.http://powo.science.kew.org
---The IUCN Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org
---ประมวลคำศัพท์ปาล์ม http://eunops.org/content/glossary-palm-terms                                               
---Catalogue of Life: 2019 Annual Checklist.http://www.catalogueoflife.org/col/search/all/key/
***แหล่งข้อมูลที่สำคัญมีดังนี้:
---www.palmweb.org -แหล่งข้อมูลที่ น่าเชื่อถือจำนวนมากเกี่ยวกับอนุกรมวิธานปาล์มและระบบการตั้งชื่อ
---Govaerts, R. และ J. Dransfield 2005 รายการตรวจสอบโลกของ Palms สำนักพิมพ์ Kew รายการตรวจสอบได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและสามารถเข้าถึงออนไลน์ได้ที่http://apps.kew.org/wcsp/home.do
---Dransfield, J. , NW Uhl, C. Asmussen, WJ Baker, MM Harley และ C. Lewis 2551. จำพวก Palmarum วิวัฒนาการและการจำแนกประเภทของปาล์ม (Genera Palmarum ed. 2) สำนักพิมพ์คิว
---http://eunops.org/content/glossary-palm-terms คำศัพท์อินเทอร์แอคทีฟของปาล์มโดยอ้างอิงจากอภิธานศัพท์ที่พิมพ์ใน Genera Palmarum ed 2 ***http://thaipalm.myspecies.info/
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/
---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/
---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are
---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku
---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm
---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm
---https://whatflower.net/about/
---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ >
---https://gd.eppo.int/search
---http://www.worldfloraonline.org
---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/
---https://www.cabidigitallibrary.org/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

 Check for more information on the species:          


---Plants Database    Names, synonymy and distribution    The Garden.org Plants Database    https://garden.org/plants/
---Global Plant Initiative    Digitized type specimens, descriptions and use    หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
---Tropicos    Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
---GBIF    Global Biodiversity Information Facility    Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
---IPNI    International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/(IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ >)
---EOL    Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
---PROTA       Uses    The Plant Resources of Tropical Africa  
---Prelude    Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude

รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com.

Last update 25/2/2021

3/8/2021

29/6/2022

29/4/2023

6/10/2023

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ความคิดเห็น

  1. 1
    Luis Callahan
    Luis Callahan fvgadgvadosg@gmail.com 21/02/2024 09:54

    Nice post. I was checking constantly this blog and I’m impressed! Extremely useful info specially the last part I care for such information a lot. I was seeking this certain info for a long time. Thank you and good luck. eggy car

  2. 2
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:58
    555
  3. 3
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:58
    555
  4. 4
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:50
    555
  5. 5
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:50
    555
  6. 6
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:27
    555
  7. 7
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:26
    555
  8. 8
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:14
    555
  9. 9
    lxbfYeaa
    lxbfYeaa testing@example.com 17/11/2023 22:14
    555
  10. 10
    stitch789
    stitch789 stitch789@gmail.com 19/04/2023 18:38

    ทดลองเล่นสล็อตฟรี pgใหม่ ลองเล่นก่อนได้ไม่เสียหาย หากคุณอยากจะเริ่มเล่น สล็อตpg สล็อตแตกง่าย ก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ เล่นเกมสล็อตออนไลน์กับสล็อตเว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝากถอนสะดวกเร็ว ไม่เสียเวลาทำกำไร

  11. 11
    stitch789
    stitch789 stitch789@gmail.com 19/04/2023 18:38

    สล็อตแตกง่ายที่สุด ค่ายpgสล็อต เล่นกับเราชัวร์ที่สุดอยู่แล้ว สล็อตเว็บตรง เล่นสล็อตแตกง่ายจัดๆ เพื่อไม่ให้คอสล็อต รู้สึกเบื่อซ้ำ จำเจในการเล่นเกม การันตีความแตก ฝากถอนรวดเร็ว เลือกสปินสล็อตได้ตามอำเภอใจ

  12. 12
    stitch789
    stitch789 stitch789@gmail.com 19/04/2023 18:38

    สล็อตเว็บตรง ทางเข้าเล่น pg slot มีเกมสล็อตออนไลน์ขนเกมดังมาจากค่ายดังเพียบ เล่นกับเราเว็บไซต์เกมสล็อตออนไลน์ยอดนิยม พบกับรูปแบบที่หลากหลายของตัวเกม นักเล่นเลือกสนุกได้มากกว่า 200 เกมสล็อต

  13. 13
    stitch789
    stitch789 stitch789@gmail.com 19/04/2023 18:37

    ทดลองเล่นสล็อตฟรี สล็อตทดลอง กำไรดีไม่มีอั้น เล่นสล็อตเว็บตรง เข้าใช้งานได้ทันที นอกจากเล่นฟรี สนุกสนานแล้วยังสามารถทำเงินจากการเล่นเกมสล็อตได้ มีสล็อต pg และค่ายดังเพียบ สัมผัสความสนุกได้เพียงปลายนิ้ว

  14. 14
    stitch789
    stitch789 stitch789@gmail.com 19/04/2023 18:37

    เล่นสล็อตแตกแจกเงินรางวัลก้อนโต ยูสทดลองเล่นสล็อต pg เล่นผ่านสล็อตเว็บตรง นักเล่นสามารถทำเงินได้จริงจากการเล่น นักเล่นเดิมพันสามารถเข้าทดลองเล่นสล็อต ทดลองเล่นฟรี สร้างทั้งความสนุก และกำไร ครบมันส์ทุกความบันเทิง

  15. 15
    houfmanaiden
    houfmanaiden houfmanaiden@gmail.com 14/02/2022 15:16

    This post is very simple to read and appreciate without leaving any details out. Great work! https://www.chokdeebacarrat.com/ole777/

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view