สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 10/10/2024
สถิติผู้เข้าชม 47,182,333
Page Views 53,968,600
 
« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

ต้นไม้ในป่า9

ต้นไม้ในป่า9

ต้นไม้ในป่า 9

For information only-the plant is not for sale.

1 ผักปลาบช้าง/Floscopa scandens 41 สรัสจันทร/Burmannia coelestris
2 ผักแว่นดอย/Oxalis corymbosa 42 สะเดาดิน/ Lobelia alsinoides
3 พญามูนิน/Crotalaria calycina 43 สัตฤาษี/Paris polyphylla
4 พวงแก้วเชียงดาว/Delphinium siamensis 44 สางเขียว/Cautleya gracilis
5 พวงตุ้มหู/Ardisia pilosa 45 สามสิบกีบ/Stemona phyllantha
6 พิมสาย/Primula siamensis 46 สามสิบกีบน้อย/ Stemona hutanguriana 
7 ฟองหินเหลือง/Sedum sarmentosum 47 สาวสนม/Sonerila griffithii
8 ฟ้าขาว/Leptodermis trifida 48 สิงขรา/Swertia calcicola
9 ฟ้าคราม/Ceratostigma stapfianum 49 สุวรรณภา/Senecio craibianus
10 ฟ้างามดิน/Crotalaria  sessiliflora 50 สุวรรณหงส์/ Pomereschea lackneri
11 มณเฑียรแดง/Torenia pierreana 51 แสงคราม/Rhynchoglossum obliguum
12 มณเฑียรระนอง/Torenia ranoagensis 52 แสงแดง/Colquhounia coccinea var. mollis
13 มณเฑียรสยาม/Torenia siamensis 53 แสงระวี/Colquhounia elegans
14 มณีเทวา/Eriocaulon smitinandii 54 หญ้าเขมร/ Lindernia cambodgiana
15 ม่วงเชียงดาว/Thalictrum siamense 55 หญ้าไข่เหา/Mollugo pentaphylla 
16 ม่วงดวงดาว/Grewia caffra 56 หญ้าจาม/Limnophilla micrantha
17 ม่วงทักษิณ/Rennellia speciosa  57 หญ้าดอกลาย/Swertia angustifolia
18 ม่วงภูคำ/Eranthemum tetragonum 58 หญ้าดาว/Swertia striata
19 มหาก่าน/Linostoma decandrum 59 หญ้าน้ำค้าง/Drosera indica
20 มะต่อมเสื้อ/Sphaeranthus senegalensis 60 หญ้าบัว/Xyris indica
21 มะแหลบ/Peucedanum dhana 61 หญ้าใบกลม/Rotata rotundifolia
22 มังเคร่ช้าง/Melastoma sanguineum 62 หญ้ามวนฟ้า/Cynoglossum lanceolatum
23 ม้าสามต่อน/Asparagus filicinus 63 หญ้ารากหอม/Salomonia ciliata
24 ระย่อมหลวง/Rauvolfia cambodiana 64 หญ้าสองปล้อง/Desmodium velutinum subsp.
25 รักในสายหมอก/Nigella damascena 65 หญ้าเหลี่ยม/Exacum tetragonum
26 ลูกพรวนหมา/Pycnospora lutescens 66 หนาดคำ/Inula cappa
27 โลดทะนง/Trigonostemon reidioides 67 หนาดคำน้อย/Gnaphalium affine
28 วนารมย์/Campylotropis sulcata 68 หนาดใหญ่/Blumea balsamifera
29 ว่านดอกดินขาว/Balanophora latisepala 69 หรีดเชียงดาว/Gentiana leptoclada
30 ว่านดอกสามสี/Christisonia siamensis 70 หลาว/Alpinia oxymitra
31 ว่านหัวสืบน้อย/Disporum ดูที่ เนียมฤาษีเชียงดาว
71 หัวไก่โอก/Decaschistia intermedia
32 ว่านหาวนอน/Kaempferia rotunda 72 หางกระรอก/Uraria acaulis
33 วิรุญจำบัง/Neohymenopogon parasiticus 73 หางไก่ฟ้า/Lobelia nicotianaefolia
34 เศวตสุรีย์/Daphne sureil 74 หางเสือ/Uraria crinita
35 สตรอเบอรี่ป่า/Duchesnea indica 75 หางเสือลาย/Platostoma cochinchinense
36 ส้มสันดาน/Hibiscus hispidissimus 76 เหง้าน้ำทิพย์/Agapetes saxicola
37 สร้อยทองทราย/Polycarpaea corymbosa 77 เหยื่อกุรัม/Impatiens mirabilis
38 สร้อยทับทิม/Persicaria 78 เหยื่อเลียงผา/Impatiens Kerriae
39 สร้อยบุปผา/ Persicaria capitata 79 อีแตน/Polygala persicariifolia 
40

สร้อยสุวรรณา/Utricularia bifida

80 ฮ่อม/Strobilanthes cusia


Online Resources
---JSON (data interchange format)
---GBIF
---Encyclopaedia of Life
---Biodiversity Heritage Library
---ALA occurrences
---Google search

EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int


ผักปลาบช้าง/Floscopa scandens


ชื่อวิทยาศาสตร์---Floscopa scandens Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 25 Synonyms
---Aneilema cymosum (Blume) Kunth.(1843)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-246206
ชื่อสามัญ---Climbing Flower Cup
ชื่ออื่น---ผักปลาบช้าง (นครศรีธรรมราช), ผักปลาบดง, หญ้าปล้องขน (นครราชสีมา), ผักปลาบดอย, ผักปลาบน้ำ (เชียงใหม่), รูปุกาเต๊มูแร (มลายู ปัตตานี), ผักเบี๋ยว (เชียงราย), ผักปลาบ (ภาคกลาง), ปลายร้าง, ลืมผัว (จันทบุรี) ;[ASSAMESE: Kona-shimolu, Kana himlu.];[BANGLADESH: Kukra.];[CHINESE: Ju hua cao, Màn ráng hé, Da xiang zhu gao cao, Zhu ye cao, Shui zhu cai, Shui cao.];[INDIA: Kukra, Chaha-lubar, Soru konasimolu.];[KANNADA: Arale Hullu, Hatthi hullu.];[MALAYALAM: Padathipullu.];[MALAYSIA: Aur-aur, Awo-awo, Hawar-hawar, Kerakap sireh, Rumput tapak itek, Rumput johong beraleh; Pokok bajang beranak (Malay).];[MARATHI: Badishep.];
[PHILIPPINES: Aligbañgon, Pugad-labuyo (Tag); Kumpai (P. Bis.); Sambilau, Babilau (S. L. Bis.).];[TAMIL: Vazhaparathi-pullu.];[TELUGU: Konda-amadikada.];[THAI: Phak biao (Chiang Rai); Phak plap (Central); Phak plap chang (Nakhon Si Thammarat); Phak plap dong, Ya plong khon (Nakhon Ratchasima); Phak plap doi (Chiang Mai); Phak plap nam (Chiang Mai); Ru-pu-ka-te-mu-rae (Malay-Pattani); Plai rang, Loem phua (Chanthaburi).];[VIETNAM: Co dou hoa choy, Dau rìu leo.].
EPPO Code---FLPSC (Preferred name: Floscopa scandens)
ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อนุทวีปอินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย โอเชียเนีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Floscopa จากภาษาละติน 'flos' = ดอกไม้ 'cupa' = ถ้วยและ 'scandere' = ปีน
Floscopa scandens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย พบ เกิดเองในธรรมชาติ ในอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา เนปาล จีน ไทยและเวียดนามผ่านแหลมมลายูสู่เขตร้อนของออสเตรเลีย โอเชียเนีย พบในพื้นที่โล่งชุ่มชื้นหรือที่ลุ่มน้ำขังบริเวณชายป่าดิบ ชอบขึ้นรวมเป็นกลุ่มใหญ่และขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว พบจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึงระดับความสูง 1,700 เมตร ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี/วัชพืช ลำต้นสูง 30-100 ซม.ต้นอ่อนสีเขียว ต้นแก่สีน้ำตาลแดงหรือม่วง ขึ้นรวมเป็นกอ ทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ยอดชูตั้งขึ้น ใบเดี่ยวรูปหอก กว้าง 2-4.5 ซม.ยาว 8-15 ซม.โคนใบเรียวแคบและแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ซึ่งพองออกทุกข้อ ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ บางครั้งเป็นคลื่น หลังใบมีขนเล็กน้อย ท้องใบมีขน ดอกสีม่วงออกเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบ ปลายกิ่งหรือส่วนยอดของต้น ช่อดอกมีขนปกคลุม ช่อยาว 5-10 ซม.ดอกย่อยมีจำนวนมาก สีชมพูหรือม่วง กลีบดอกรูปไข่ 3 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน และมีขนอ่อนปกคลุมทั่วทั้งดอก เกสรเพศผู้ 6 อัน อับเรณูสีเหลืองสด ผลเป็นรูปยาวรียาว 2-3 มม.เมื่อแก่ผลจะแห้งและแตกออก เมล็ดรูปไข่ 1.5 มม.ย่น สีเทา-น้ำเงิน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน เติบโตในดินทั่วไป อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นสมุนไพรและบางครั้งก็มีการแลกเปลี่ยน
-ใช้กิน พืชได้รับการปลูกเป็นครั้งคราวสำหรับใบและยอดกินเป็นอาหารเสริมในนิวกินี
-ใช้เป็นยา พืชใช้เป็นยารักษาโรคไข้เลือดออกและใช้บรรเทาอาการของ pyodermas (การอักเสบที่ผิวหนังของแบคทีเรีย แผลที่เต็มไปด้วยหนอง) ฝีและไตอักเสบเฉียบพลัน น้ำใบใช้สำหรับรักษาอาการเจ็บตาและ ophthalmia (การอักเสบของดวงตาอย่างรุนแรง)-พืชใช้สำหรับรักษากระดูกหัก ;-ในประเทศมาเลเซียใช้เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวจากการคลอดบุตร;- ในอินเดีย น้ำผลไม้จากก้านใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บตา
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-พฤศจิกายน (ในจีน), มกราคม-เมษายน (ในอินเดีย), ในประเทศไทยสามารถออกดอกติดผลตลอดปีโดยเฉพาะพบออกมากในช่วงฤดูฝน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ผักแว่นดอย/Oxalis corymbosa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Oxalis debilis var. corymbosa (DC.) Lourteig.(1981)
ชื่อพ้อง--Has 8 Synonyms.
---Oxalis corymbosa DC.(1824)
---Oxalis debilis subsp. corymbosa (DC.) O.Bolòs & Vigo.(1990)    
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2401421
ชื่อสามัญ---Lilac Oxalis, Pink Wood Sorrel, Large-flowered pink-sorrel, Pink shamrock, Sheep-sorrel.
ชื่ออื่น---ผักแว่นดอย, ปุ้มฟ้า;[ASSAMESE: Bor-tengesi.];[CZECH: Sťavel cibulkatý.];[FRENCH: Oxalis chétive.];[GERMAN: Brasilianischee Sauerklee.];[HUNGARIAN: Rózsaszín.];[ITALIAN: Acetosella.];[PORTUGUESE: Azedinha, Azedinha-de-sapo, Erva-de-folhas-grandes.];[SWEDISH: Lökoxalis.];[THAI: Phak wan doi, Pum fa.].
EPPO Code---OXADE (Preferred name: Oxalis debilis.)
ชื่อวงศ์---OXALIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้  อเมริกากลาง แคริเบียน ฟลอริดา เอเซีย
Oxalis debilis var. corymbosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักแว่น หรือวงศ์กระทืบยอด (Oxalidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Alicia Lourteig (1913–2003) เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอาร์เจนตินา-ฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในวงศ์ผักแว่นหรือวงศ์กระทืบยอดในปีพ.ศ.2524
ที่อยู่อาศัย จากทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ (บราซิล โบลิเวีย เอกวาดอร์ เปรูและอาร์เจนตินา)ไปยังทะเลแคริบเบียนและผ่านอเมริกากลาง ยุโรป เอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก (เกาะกาลาปากอส ฟิจิ เฟรนช์โปลินีเซีย นิวแคลิโดเนีย ซามัวตะวันตกและฮาวาย) ถึงฟลอริดา กระจายอย่างกว้างขวางในออสเตรเลียตอนใต้และตะวันออก (รัฐควีนส์แลนด์ตะวันออก ในเขตชายฝั่งตะวันออกของนิวเซาธ์เวลส์ ในวิกตอเรียใต้ ในแทสเมเนียและในเขตชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลียตะวันตก) ขึ้นในสถานที่ชื้นและร่มรื่นที่ระดับความสูง 45-1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นวัชพืช/ไม้ล้มลุก ลำต้นใต้ดิน ใบประกอบแบบมีใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) ก้านใบยาว 20 ซม.ใบย่อยรูปหัวใจยาว 3-5 ซม.และกว้าง 2.5-4.5 ซม.โคนใบสอบปลายใบเว้า ขอบใบและก้านใบมีขนประปราย ช่อดอกเป็นช่อแบบสองแฉก มีกิ่งไม่เท่ากัน มีดอก 3-15 ดอก แบบอสมมาตร ช่อดอกมีก้านยาวถึง45 ซม.ดอกย่อยสีม่วงแดง โคนกลีบสีจาง มีเส้นสีแดงตามยาว โคนกลีบเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลเป็นแคปซูลรูปทรงกระบอกบางและไม่มีขน ผลแห้งจะแตกออกเมื่อแก่ มีเมล็ดขนาดเล็ก3-10 เมล็ด เมล็ดทรงรี ยาว 1 มม.มีผิวขรุขระ
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อให้ได้ใบดอกและรากที่กินได้
-ใช้กิน ใบมีรสเปรี้ยว - ดิบหรือปรุงสุก ดอกไม้ - ดิบ รสเปรี้ยว ราก - ดิบ หวานกรอบและฉ่ำ กินได้
-วนเกษตร ใช้ปลูกเป็นไม้คลุมดินได้ดี
รู้จักอันตราย ใบมีกรดออกซาลิก ไม่ควรกินในปริมาณมากเนื่องจากกรดออกซาลิกสามารถผูกปริมาณแคลเซียมในร่างกายที่นำไปสู่การขาดสารอาหาร ปริมาณกรดออกซาลิกจะลดลงหากใบสุก ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไขข้อ, โรคไขข้อ, โรคเกาต์, โรคนิ่วในไต ควรใช้ความระมัดระวังโดยเฉพาะถ้ารวมพืชชนิดนี้ในอาหาร เพราะมันสามารถซ้ำเติมอาการได้
ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---แยกไหล

พญามูนิน/Crotalaria calycina


ชื่อวิทยาศาสตร์---Crotalaria calycina Schrank.(1817)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-5703
---Crotalaria anthylloides D.Don.(1825)    
---Crotalaria roxburghiana DC.(1825)    
---Crotalaria stricta Roxb.(1832)    
ชื่อสามัญ---Hairy Rattlepod
ชื่ออื่น---พญามูนิน (สระบุรี), พวนขน (นครราชสีมา), หญ้ามูนิน (เลย) ;[CHINESE: Chang e zhu shi dou.];[KANNADA: Bekkina tharudu gida.];[MARATHI: Kesal tag.];[PORTUGUESE: Chocalho, Crotalária.];[SRI LANKA: Gorandiya (Sinhalese).];[THAI: Phaya mu nin (Saraburi); Phuan khon (Nakhon Ratchasima); Ya mu nin (Loei).];[VIETNAM: Lục lạc đài to, Cây Lục Lạc Đài Dài.].
EPPO Code---CVTCA (Preferred name: Crotalaria calycina.)
ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- เขตร้อนทวีปแอฟริกา เขตร้อนของทวีปเอเซีย ตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Crotalariaจากภาษากรีก 'krotalos' อ้างอิงถึงเสียงของฝักแห้งเมื่อเขย่า ;ชื่อสายพันธุ์ 'calycina' = มีกลีบเลี้ยง (หรือเห็นได้ชัดเจน) ถาวร
Crotalaria calycina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Franz von Paula Schrank (1747–1835) เป็นนักบวช นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2360
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายอย่างกว้างขวางในเขตร้อนทวีปแอฟริกา จากเซเนกัลถึงเอธิโอเปีย, ทางใต้ถึงแองโกลาและแซมเบีย; ในเอเชียเขตร้อน ;-อนุทวีปอินเดีย (อินเดีย, ปากีสถาน, บังคลาเทศ, ภูฏาน, ศรีลังกา), จีน ( ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, เสฉวน, ไต้หวัน, ทิเบต, ยูนนาน) ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซียถึงออสเตรเลียและหมู่เกาะแปซิฟิก เติบโตในทุ่งหญ้าเปิดโล่งในป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 20-300 เมตร ในป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูง 12-1,500 เมตร ในประเทศไทยพบตามทุ่งหญ้าเปิดในป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขึ้นแผ่คลุมดินสูงได้ถึง  0.30-0.80 (1) เมตร ลำต้นและกิ่งก้านกลมมีขนหนาแน่น ใบเดี่ยวรูปขอบแกมขอบขนานกว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 6-12 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขนแน่น ดอกสีเหลืองอ่อนแกมสีครีม ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ยาว 5-15 ซม.มีใบประดับรูปหอก ดอกย่อยรูปดอกถั่วกลีบรองดอกมีขนแน่นยาวถึง 2.5 ซม.ปลายแยกเป็น 2 แฉก ปากเว้าลึก กลีบดอก 5 กลีบ กลีบบนแผ่รูปรี กลีบข้างรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กลีบล่างเชื่อมเป็นรูปท้องเรือ ปลายกลีบเป็นจงอย รังไข่รูปขอบขนานผิวเกลี้ยง ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกโป่งพองกว้าง 0.8 ซม.ยาว 2-2.5 ซม.แก่แล้วแตก สีดำเมื่อสุก เมล็ดขนาดเล็กรูปหัวใจ 20-30 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา
-ใช้เป็นยา ใช้สำหรับรักษาอาการปวด อาการชัก บาดแผล กามโรค ซิฟิลิส
ระยะออกดอก/ติดผล--- มิถุนายน- กันยายน/ตุลาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


พวงแก้วเชียงดาว/Delphinium siamensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Delphinium siamensis (Craib.) Munz.(1968)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2760376
---Delphinium stapeliosmum Brühl var. siamense Craib.(1925)
---Delphinium altissimum Wall. var. siamense (Craib) T.Shimizu.(1925)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พวงแก้วเชียงดาว, เทพอัปสร (ทั่วไป) ;[THAI: Thep apson (General); Phuang kaeo chiang dao (General).]
EPPO Code---DELSS (Preferred name: Delphinium sp.)
ชื่อวงศ์---RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'siamensis'ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ชื่อประเทศ คือประเทศไทย (Thailand) หรือสยาม (Siam) ชื่อที่ใช้เรียกประเทศไทยในอดีต
Delphinium siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Philip Alexander Munz (1892–1974) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2511
ที่อยู่อาศัย พวงแก้วเชียงดาวเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวพบทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่ขึ้นอยู่เฉพาะบนที่โล่งบนเขาหินปูนของดอยหลวง เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ดอยหัวหมด จังหวัดตาก และดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่  ภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พบที่ระดับความสูง 1,900-2,000 เมตร
ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกอายุฤดูเดียว สูงประมาณ 30-150 ซม.ทุกส่วนของลำต้นมีขนยาวสีขาวปกคลุมทั่วไป ใบเดี่ยวรูปฝ่ามือ ยาวได้ถึง 25 ซม. มี 3-7 แฉก แต่ละแฉกจัก 3 พู ตื้น ๆ โคนรูปหัวใจ ขอบจักซี่ฟันห่าง ๆ แผ่นใบมีขนสั้นนุ่มกระจายด้านบน มีขนยาวด้านล่าง ใบช่วงล่างก้านใบยาว 10-45 ซม. ช่วงบนไร้ก้าน เรียงแบบเวียนสลับเป็นเกลียวรอบลำต้น แตกใบมากตรงโคนใบ ใบที่อยู่ด้านล่างมักมีขนาดใหญ่กว่าใบที่อยู่สูงขึ้นไป  ดอก เป็นดอกช่อแบบช่อกระจะ มี 2-7 ดอก ออกที่ปลายยอด ใบประดับขนาดเล็ก ก้านดอกยาว 1.8-5 ซม.ดอกสีน้ำเงินอมม่วงหรือชมพู สมมาตรด้านข้าง ออกตามแกนช่อ บานห่อคว่ำลง ดอกขนาด 2-2.5 ซม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ คล้ายกลีบดอก รูปรี ยาว 1-1.5 ซม.กลีบบนมีเดือยยาว 1.4-1.7 ซม.ด้านนอกมีขนหนาแน่น กลีบดอก 4 กลีบ ขนาดเล็ก ปลายแยก 2 แฉก กลีบคู่บนมีต่อมน้ำต้อย กลีบคู่ล่างมีขนแผงด้านใน ผิวด้านนอกของกลีบดอกมีขนยาวปกคลุม เกสรเพศผู้จำนวนมาก โคนก้านชูอับเรณูแผ่กว้าง ผลกลุ่มแตกแนวเดียว มี 3 ผลย่อย ยาว 1.4-1.6 มม.จงอยยาวประมาณ 3 มม.มีขนยาวกระจาย เมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก มีครีบเป็นชั้น ๆ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ทนทานต่ออากาศหนาวเย็นดอกจะมีสีเข้มสดใส
สถานภาพ--- พืชถิ่นเดียว และพืชหายาก
ระยะออกดอก---สิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

พวงตุ้มหู/Ardisia pilosa

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ardisia pilosa H.R.Fletcher.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2648511
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เข้าพรรษา (น่าน), ตุ้มไก่ (เลย), พวงตุ้ม พวงตุ้มหู (นครราชสีมา), ตีนเป็ด ;[THAI: Khao phansa (Nan); Tum kai (Loei); Phuang tum hu (Nakhon Ratchasima); Tin pet.]
EPPO Code---ADASS (Preferred name: Ardisia sp.)
ชื่อวงศ์---MYRSINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Ardisia pilosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิลังกาสา(Myrsinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Harold Roy Fletcher (1907-1978) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัย พบอยู่ทั่วไปบนภูเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าชื้นทั่วไปในที่ร่ม
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 0.5-1.5เมตร แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆต้น ลำต้นและก้านใบมีสีแดง ใบเดี่ยวรูปมนรี ใบคล้ายอวบน้ำ กว้าง1-3ซม.ยาว 2.5-8 ซม.ปลายใบกลมมนขอบใบหยักตื้น โคนแคบหรือมน มีจุดประตามแผ่นใบ  ก้านใบยาว 3-10 มม. มีขน ดอก สีชมพูอมม่วง ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ช่อละหลายดอก ก้านดอกยาวเท่ากันห้อยหัวลง กลีบรองกลีบดอก 4-5 กลีบรูปไข่กว้าง กลีบดอก 4-5 กลีบรูปไข่ กลีบซ้อนกันและมักบิดเวียนมีจุดประบนกลีบดอกมากมาย เมื่อดอกบานจะมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-1 ซม.เกสรเพศผู้ก้านเกสรสั้นเรียงชิดติดกันมี 5 อัน รังไข่กลม ส่วนปลายเป็นท่อยาว ผลกลมสีแดงมีจุดประปราย ประมาณ 0.5-0.7 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาไทย ราก เป็นยาแก้ไข้ ใบ เป็นยาแก้ไอ
-ใช้ปลูกประดับ สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้
-อื่น ๆผลเป็นอาหารของสัตว์ป่าและนก, ลำต้นใช้ทำขอบเครื่องจักสาน
ระยะออกดอก--- กรกฎาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด


พิมสาย/Primula siamensis

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Primula siamensis Craib.(1922)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:702604-1
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พิมสาย (เชียงใหม่) ;[THAI: Phim sai (Chiang Mai).]
ชื่อวงศ์---PRIMULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย
Primula siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Primrose (Primulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2465
ที่อยู่อาศัย พบเฉพาะทางภาคเหนือของไทย มีรายงานพบที่ดอยเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่แห่งเดียว เป็นพืชถิ่นเดียวของดอยเชียงดาว เจริญเติบโตอยู่ตามซอกหินปูนที่มีร่มเงา หรือตามโขดหินในป่าดิบเขาที่มีความชื้นสูง ที่ระดับความสูง 1,700-2,100 เมตร  
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกมีลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มักแตกใบออกรอบต้นเหนือพื้นดินเป็นกอสูง 20-60 ซม.ทุกส่วนของต้นมีขนสั้นหนาปกคลุม ใบเดี่ยวออกเวียนสลับเป็นเกลียวรอบต้น แผ่นใบรูปไข่กลับ ขนาด 2-3.5 ซม.ยาว 6-12 ซม.ขอบใบเรียบหรือหยักมนห่างๆแผ่นใบหนานุ่มเป็นคลื่น ดอกช่อแบบช่อเชิงลดออกจากโคนต้น ก้านช่อดอกตั้งตรง ยาว 15-40 ซม.มีดอกย่อย 2-6 ดอก สีม่วงอมฟ้า ตรงกลางเป็นปื้นขาว กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วยตื้น สีเขียวซีดมีนวลสีขาวปกคลุม ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวปลายบานออกเป็นรูปปากแตรแยกเป็น 5 กลีบ ดอกขนา ด2 ซม.เกสรเพศผู้สั้นสีเหลืองอยู่ในหลอดกลีบดอก ผลรูปรีขนาดเล็กมีช่อง เปิด 5 ช่องภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว และพืชหายาก
ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ฟองหินเหลือง/Sedum sarmentosum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Sedum sarmentosum Bunge.(1835)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2489587
---Sedum angustifolium Z.B.Hu & X.L.Huang.(1981)
---Sedum kouyangense H. Lév. & Vaniot.(1914)
---Sedum sarmentosum f. majus Diels.
---Sedum sheareri S. Moore.(1875)
ชื่อสามัญ---Stringy stonecrop, Gold moss stonecrop, Graveyard moss.
ชื่ออื่น---ฟองหินเหลือง (ทั่วไป) ;[CHINESE: Chui pen cao.];[CZECH: Rozchodník šlahounovitý.];[FRENCH: Orpin sarmenteux.];[GERMAN: Knechender Mauerpfeffer.];[HUNGARIAN: Indás varjúháj.];[ITALIAN: Borracina reptante.];[JAPAN: Sanyacho, Tsurumannengusa.];[KOREAN: Dolnamul, Dol na mul.];[THAI: Fong-hin lueang (General).].
EPPO Code---SEDSA (Preferred name: Sedum sarmentosum.)
ชื่อวงศ์---CRASSURACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออก (จีนและเกาหลี ,ญี่ปุ่น ) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศไทย)
Sedum sarmentosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุหลาบหิน (Crassulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Alexander Georg von Bunge (1803–1890) นักพฤกษศาสตร์ชาวรัสเซียในปี พ.ศ.2378
Sedum sarmentosum มี 2 Variety คือ:
Sedum sarmentosum var. sarmentosum.
Sedum sarmentosum var. silvestre Fröd.(1936)


ที่อยู่อาศัย พบใน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย ในประเทศไทย พบขึ้นบริเวณที่โล่งตามซอกหินบนภูเขาหินปูน ที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่1,800-2,100เมตร
ลักษณะ ขึ้นเป็นพุ่มขนาดเล็กตามซอกหินที่ชื้น แตกกิ่งจากบริเวณโคนต้น  สูง 5-12 (-30) ซม.ลำต้นเกลี้ยงสีแดงอมเขียวอ่อนใบเดี่ยวขนาดเล็ก ไม่มีก้านใบ ออกเวียนสลับรอบต้น แตกใบมากออกเป็นกระจุกใกล้โคนต้นเหนือพื้นดินเล็กน้อย รูปแถบยาว 1 ซม.กว้าง 2-3 มม.ปลายแหลม โคนใบแผ่ออกเป็นกาบหุ้มลำต้น เนื้อใบหนา
ดอก สีเหลืองสด ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีดอกย่อยขนาดเล็กรูปคล้ายดาวจำนวนมาก กลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยม ขนาดดอก 0.5-1 ซม.สีเหลืองสด โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก แต่ละแฉกรูปไข่กว้าง มีแฉกกลีบย่อยรูปแถบยาว 1-2 มม.สีเหลืองสดแทรกอยู่ระหว่างแฉกกลีบดอกแต่ละกลีบ เกสรเพศผู้ 10 อันสีเหลือง รังไข่แยกเป็น 5 พู ผลเป็นฝักขนาดเล็ก ผลแก่แตกด้านเดียวภายในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในประเทศเกาหลี พืชชนิดนี้เรียกว่า 'dolnamul' กินสดเป็นผัก กินกับซอสเผ็ดหวาน เป็นส่วนผสมที่พบบ่อยใน 'bibimbap' เช่นเดียวกับอาหารสไตล์เกาหลี
-ใช้เป็นยา ใช้รักษาโรคตับอักเสบ ฟื้นฟูกำลังจากความเหนื่อยล้าและการรักษาโรคมะเร็ง
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับและแปลงสัญชาติในหลายประเทศในยุโรป
สถานภาพ---พืชหายาก
ระยะออกดอก---เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ฟ้าขาว/Leptodermis trifida

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Leptodermis trifida Craib.(1914)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-111002
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ฟ้าขาว (ภาคเหนือ) ; [THAI: Fa khao (Northern).]
EPPO Code---LPDSS (Preferred name: Leptodermis sp.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ตอนใต้ของจีน อินเดีย เนปาล  พม่า ไทย ญี่ปุ่น
Leptodermis trifida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2457
ที่อยู่อาศัย พืชถิ่นเดียว (endemic) ของไทย พบทางภาคเหนือที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พบขึ้นบนสันเขาหินปูน ตามซอกหินในที่โล่งแจ้ง ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,500–2,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ย อายุหลายปี ลักษณะ แตกกิ่งมากแต่เรือนยอดโปร่ง สูง 0.8-2 เมตร ตามกิ่งมักมีปุ่มปมที่เกิดจากการหลุดร่วงของก้านใบ ใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับเป็นเกลียวรอบข้อ แตกเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง แผ่นใบรูปหอก กว้าง 1.5-4 ซม.ยาว 3-5 ซม. ปลายมีติ่งหนาม แผ่นใบหนาแข็งเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวนวลเห็นเส้นใบชัดเจนก้านใบยาว 2-3 มม.ดอกช่อแบบช่อกระจะออกเป็นกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง ก้านช่อสั้นดอกย่อย 4-5 ดอกทยอยบานทีละ 1-2 ดอก ใบประดับติดทน กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาวประมาณ 1 มม. ดอกสีขาวอมชมพู รูปดาว สมมาตรรัศมีเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 2 ซม. หลอดกลีบดอกยาว 0.8-1.2 ซม. กลีบยาว 2-4 มม. เกสรเพศผู้ยื่นพ้นปากหลอดกลีบในดอกที่ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยก 3 แฉก ยื่นพ้นปากหลอดกลีบในดอกที่ก้านเกสรเพศเมียยาว ผลยาว 5-7 มม. มี 3 เมล็ด ยาวประมาณ 3 มม.
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ฟ้าคราม/Ceratostigma stapfianum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ceratostigma stapfianum Hoss.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2711294
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ฟ้าคราม (เชียงใหม่); [THAI: fa khram (Chiang Mai).].
EPPO Code---CEGSS (Preferred name: Ceratostigma sp.)
ชื่อวงศ์---PLUMBAGINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ตอนใต้ของจีน ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Ceratostigma มาจากภาษากรีก 'Κερατόστιγμα' = Keratóstigma
Ceratostigma stapfianum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เจตมูลเพลิง (Plumbaginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Dr Carl Curt Hosseus (1878 - 1950) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.
พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นตามหินปูนที่โล่ง มักพบขึ้นเป็นกลุ่มตามซอกหินปูน ตามไหล่ผาหรือแนวสันเขาในบริเวณที่เป็นที่โล่งแจ้ง บนเขาหินปูนที่ระดับความสูง 1,500-2,200 เมตร
ลักษณะเป็นไม้ พุ่มเตี้ยแตกกิ่งก้านน้อยทุกส่วนของต้นมีขนสีขาวปกคลุม สูง 50-80 ซม.ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้าม แผ่นใบรูปกลมหรือรี ขนาดกว้าง 5-8 ซม.ยาว 6-10 ซม.โคนใบสอบ ปลายใบมนหรือเป็นติ่ง ขอบใบหยัก ผิวใบด้านบนสีเขียวซีดด้านล่างสีจาง ทั้งสองด้านมีคราบขาวคล้ายขี้ผึ้งสีขาวนวลปกคลุมหนาแน่น ก้านใบ ยาวได้ถึง 2 ซม. ดอกออกแบบช่อเชิงลด เป็นกระจุกแน่นตามซอกใบและปลายกิ่ง  ใบประดับด้านบนสีน้ำตาลแดง ด้านล่างสีอ่อน ยาว 5-6 มม. บาง ขอบมีขน ใบประดับย่อย 2 อัน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 0.7-1.2 ซม. มี 5 สัน ปลายแยกเป็นแฉกตื้น ๆ 5 แฉก สีน้ำตาลแดง ดอกย่อยมีขนาด1.5-2.5ซม. สีคราม หรือฟ้าเข้มแกมน้ำเงินอ่อน หรือฟ้าอมขาว ก้านชูเกสรสั้นสีขาวอมม่วง กลีบโคนดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแผ่กว้างแยกเป็น 5 กลีบ แต่ละกลีบส่วนปลายเว้าเป็น 2 พู เกสรผู้ขนาดเล็ก 5 อันอยู่ในหลอดดอก ผลแห้งแตกมีกลีบเลี้ยงหุ้ม มีเมล็ดเดียว เมล็ดแก่กระจายพันธุ์ปลิวไปตามลม
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียวและจัดเป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ฟ้างามดิน/Crotalaria  sessiliflora

ชื่อวิทยาศาสตร์---Crotalaria sessiliflora L.(1763)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Crotalaria nepaulensis Link
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-32289
ชื่อสามัญ---Rattlebox, Purpleflower Crotalaria.
ชื่ออื่น---ฟ้างามดิน(เลย), พวงขน(ปราจีนบุรี) หิ่งครามฟ้า มะหิ่งครามฟ้า ;[CHINESE: Ye bai he, nong ji li.];[JAPANESE: Tanuki -mame.];[KOREAN: Hwal na mul.];[THAI: Fa nguam din (Loei); Phuang khon (Prachin Buri), Hing khram fa, Ma hing khram fa.];[VIETNAM: Lục lạc không cuống, Lục lạc hoa tím.]  
EPPO Code---CVTSF (Preferred name: Crotalaria sessiliflora.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกีนี
Crotalaria sessiliflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2306
Crotalaria sessiliflora มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ คือ:
---Crotalaria sessiliflora subsp. hazarensis Ali
---Crotalaria sessiliflora subsp. sessiliflora
ที่อยู่อาศัย พบในพื้นที่ลุ่มของภาคกลางและภาคใต้ของญี่ปุ่น พื้นที่หญ้าเปิดโล่งที่ระดับความสูง 200 - 2,800 เมตรในประเทศเนปาล ทุ่งหญ้าหุบเขาตามเส้นทาง; ที่ระดับความสูง 100 - 1,600 เมตรในประเทศจีน (มณฑลอานฮุย, ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, เสฉวน, ไต้หวัน, ทิเบต, ยูนนาน, เจ้อเจียง) ประเทศไทยพบทุกภาค ตามทุ่งหญ้าเปิด ในป่าผลัดใบและป่าดิบเขา ที่ความสูง200-1,300เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูงถึง 30-100 ซม. ต้นและกิ่งก้านแตกแขนงจากส่วนล่าง มีขนแน่น ใบเดี่ยวรูปหอกแกมขอบขนานกว้าง0.4-1.5 ซม.ยาว 3-7 ซม.ใบมีขนหนาแน่นที่ด้านล่าง ปลายใบแหลม ฐานใบทู่ หู ใบหลุดร่วงง่าย ดอกสีน้ำเงินแกมม่วงออกเป็นช่อแน่นที่ปลายยอด ยาว 4-14 ซม. ดอกย่อยรูปดอกถั่วขนาดบานกว้าง1ซม.ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน โป่งพอง กว้าง 0.5 ซม.ยาว1-2 ซม.แก่แล้วแตกเมล็ดรูปหัวใจเบี้ยวขนาดเล็กมี 10-15 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อให้เกิดก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้ในพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ฝักและเมล็ด - ปรุงสุก กินได้
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ทั้งต้น ใช้แบบดั้งเดิมการแพทย์พื้นบ้านใช้เป็นยาขับปัสสาวะยาแก้ปวด ในเวียตามใช้รักษา มะเร็งผิวหนัง, หลอดอาหาร, สมอง
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด


มณเฑียรแดง/Torenia pierreana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Torenia pierreana Bonati.(1908)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Torenia pierreana Bonati is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2519884
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มณเฑียรแดง (ทั่วไป) ;[THAI: Mon thian daeng (General).].
EPPO Code---TONSS (Preferred name: Torenia sp.)
ชื่อวงศ์---LINDERNIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย
Torenia pierreana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Linderniaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Gustave Henri Bonati (1873-1927) เภสัชกรและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย พบที่กัมพูชา ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค กระจายห่าง ๆ ขึ้นตามที่โล่งหรือทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะ ที่ระดับความสูง 600-1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุฤดูเดียว โคนต้นมักทอดเลื้อยแล้วชูยอดตั้งตรงสูงได้ถึง 10-60 ซม.ลำต้นสีน้ำตาลแดง มีขนสั้นนุ่มตามลำต้น ใบเดี่ยวรูปไข่กว้างถึงรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ออกตรงข้ามใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ยาว 2-4 ซม. โคนมนหรือกลม ก้านใบยาว 0.2-1 ซม.แผ่นใบทั้งสองด้าน ก้านใบ ก้านดอกและกลีบเลี้ยงมีขน ดอกออกเดี่ยว ๆ ออกตรงซอกใบใกล้ปลายยอด หรือเป็นกระจุกคล้ายช่อซี่ร่ม ที่ปลายกิ่ง มี 2-4 ดอก ดอกสีม่วงอ่อน มีปื้นสีม่วงอมแดง ยาว 2.5-3 ซม.กลีบบนกว้าง 0.8-1 ซม.ยาว 7-8 มม.ปลายกลีบเว้าตื้น กลีบล่างกลม ขนาด 6-7 มม.โคนก้านชูอับเรณูคู่ล่างมีเดือย ยาว 1-1.8 มม.ก้านดอกยาว 1-2.5 ซม.กลีบเลี้ยงยาว 1-1.2 ซม.ผลยาว 1-1.2 ซม.กลีบเลี้ยงผลยาว 1.4-1.7 ซม.มีขนหนาแน่น
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มณเฑียรระนอง/Torenia ranoagensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Torenia ranongensis T.Yamaz.(1983)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Torenia ranongensis T.Yamaz. is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2519999
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มณเฑียรระนอง (ระนอง); [THAI: Mon thian ranong (Ranong).]
EPPO Code---TONSS (Preferred name: Torenia sp.)
ชื่อวงศ์---LINDERNIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย (ระนอง กระบี่ สงขลา)
Torenia ranongensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Linderniaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Takasi (Takashi) Yamazaki (1921-2007) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปีพ.ศ.2526
ที่อยู่อาศัย พรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคใต้ (ระนอง กระบี่ สงขลา) สำรวจพบครั้งแรกที่อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ขึ้นตามที่โล่งหรือทุ่งหญ้า ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,300 เมตร
ลักษณะ เป็น*ไม้ล้มลุกทอดนอน ยาวได้ถึง 70 ซม. เกลี้ยง ใบรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 2-5 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลมหรือเว้าตื้น แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนประปราย ไร้ก้านหรือเกือบไร้ก้าน ใบบางครั้งมีสีน้ำตาลอมแดง ดอกออกเดี่ยว ๆตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ก้านดอกยาว 1-2.5 ซม. กลีบเลี้ยงยาว 1.6-1.8 ซม. หลอดกลีบมีสันเป็นครีบ 5 อัน เกลี้ยงหรือมีขนประปราย ดอกสีม่วง ยาวประมาณ 3.5 ซม. กลีบบนกลมกว้าง กว้างประมาณ 1.3 ซม. ยาวประมาณ 1 ซม. ปลายกลีบเว้าตื้น กลีบล่างขนาดเล็กกว่ากลีบบนเล็กน้อย โคนก้านชูอับเรณูคู่ล่างมีเดือยยาวประมาณ 4 มม. ผลยาวประมาณ 1 ซม. *http://www.dnp.go.th/Botany/detail
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก---ตุลาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มณเฑียรสยาม/Torenia siamensis

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Torenia siamensis T.Yamaz.(1978)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Torenia siamensis T.Yamaz. is an unresolved name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2519985
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มณเฑียรสยาม (พิษณุโลก), แวววิไล ;[THAI: Mon thian sayam (Phitsanulok); Waew wilai.].
EPPO Code---TONSS (Preferred name: Torenia sp.)
ชื่อวงศ์---LINDERNIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย (พิษณุโลก,เพชรบูรณ์,จันทบุรี)
Torenia siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Linderniaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Takasi (Takashi) Yamazaki (1921-2007) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปีพ.ศ.2521
ที่อยู่อาศัย พรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบครั้งแรกจากทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก และน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชัยภูมิ ขึ้นตามที่โล่งหรือทุ่งหญ้าในป่าสนเขา ความสูงถึงประมาณ 1100 เมตร
ลักษณะ เป็น*ไม้ล้มลุก สูงได้ถึง 60 ซม. เกลี้ยง ใบรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 2.5-6.5 ซม. โคนมนหรือกลม แผ่นใบสากด้านบน มักมีขนประปรายตามเส้นแขนงใบ ไร้ก้านหรือมีก้านสั้น ๆ ดอกออกเป็นกระจุก 2-6 ดอก ที่ปลายกิ่ง ใบประดับรูปเส้นด้าย ยาว 1-3 มม. ก้านดอกยาว 0.7-1.5 ซม. กลีบเลี้ยงยาว 1.8-2.5 ซม. หลอดกลีบมี 5 สัน มีขนสากประปราย ดอกสีม่วง ยาว 3-3.5 ซม. กลีบบนกลมกว้าง กว้าง 1.2-1.6 ซม. ยาวประมาณ 1 ซม. ปลายกลีบเรียบหรือเว้าตื้น กลีบล่างขนาดเล็กกว่ากลีบบนเล็กน้อย โคนก้านชูอับเรณูคู่ล่างมีเดือยยาวประมาณ 2 มม. ผลยาวประมาณ 1.2 ซม.* http://www.dnp.go.th/Botany/detail
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก---ตุลาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มณีเทวา/Eriocaulon smitinandii


ชื่อวิทยาศาสตร์---Eriocaulon smitinandii Moldenke.(1959)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-244320
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มณีเทวา (ทั่วไป)  ; [THAI: mani thewa (General).]
ชื่อวงศ์---ERIOCAULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'smitinandii' ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่Tem Smitinand (2463-2538) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย
Eriocaulon smitinandii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดุมเงิน (Eriocaulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Harold Norman Moldenke (1909–1996) นักพฤกษศาสตร์ / taxonomist ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2502
ที่อยู่อาศัยพืชถิ่นเดียวของไทย พบเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นตามลานหินทรายที่ชื้นแฉะ ตามที่ลุ่มชื้นแฉะในที่โล่งหรือชายป่าโปร่ง ความสูง 100-200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกคล้ายหญ้า ลำต้นสั้น ใบออกเป็นกระจุกที่โคน รูปแถบขนาดกว้าง1.3มม. ยาว1-3.5 ซม. ก้านช่อโดดมีหนึ่งหรือหลายช่อ ยาวได้ถึง 6 ซม. มีขนยาว กาบช่อยาว 2-5.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น แยกเพศร่วมช่อ ฐานดอกนูน ใบประดับคล้ายเกล็ด มีขนยาว ดอกสีน้ำตาลมีขนยาวสีขาว กลีบเลี้ยง 3 กลีบ รูปรีหรือรูปใบหอก ปลายแหลม ยาวประมาณ 1.5 มม. โคนเชื่อมติดกันในดอกเพศผู้ กลีบดอก 3 กลีบ เรียวแคบ ยาวไม่เท่ากัน ยาวประมาณ 1.3 มม. ช่วงปลายมีต่อม เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียง 2 วง ติดที่โคนกลีบดอก อับเรณูสีเทาดำ รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุลเม็ดเดียว ผลแห้งแตก เมล็ดขนาดเล็กยาว0.5 มม. สีน้ำตาลอมเหลือง ไม่มีระยางค์
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ทั้งต้นรสจืดเย็น เป็นยาสงบประสาท แก้ไข้แก้ปวด ขับปัสสาวะ
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ม่วงเชียงดาว/Thalictrum siamense


ชื่อวิทยาศาสตร์---Thalictrum siamense T.shimizu.(1969)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Thalictrum siamense T.Shimizu is an unresolved name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2512723
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ม่วงเชียงดาว (ทั่วไป) ;[THAI: Mouang chiang dao (General).].
EPPO Code---THCSS (Preferred name: Thalictrum sp.)
ชื่อวงศ์---RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Thalictrum siamense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Tatemi Shimizu (1932–2014) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2512
ที่อยู่อาศัย พืชถิ่นเดียวของดอยเชียงดาว พบเฉพาะในประเทศไทย พบเจริญตามซอกหินปูนที่มีเศษอินทรียวัตถุทับถม ตามที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,800-2,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูง 25–85 ซม.เรือนยอดโปร่งต้นสูงเพรียวแตกใบมาก บริเวณโคนต้น มี 1–4 ใบ ยาว 2.5–11 ซม. รวมก้านใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) ใบย่อยรูปกลมหรือรูปหัวใจกว้าง 2–7 ซม.แผ่นใบบางโคนใบเว้า ขอบจัก 5–7 พู แต่ละพูจักมน ปลายมีติ่งแหลม แผ่นใบเกลี้ยง ด้านล่างมีนวลเล็กน้อย ก้านใบยาว 3.5–14 ซม.โคนมีแผ่นกาบเป็นติ่ง ใบบนลำต้นมี 2–4 ใบ คล้ายใบที่โคนแต่มีขนาดเล็กและเรียบกว่า และมีก้านใบสั้นกว่า ช่อดอกแยกแขนงเกิดที่ปลายยอด มี 2–7 ดอก เรียงห่าง ๆ ก้านช่อยาว 2–10 ซม. ใบประดับรูปรีถึงรูปแถบ ก้านดอกยาว 1.5–7.2 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็กเรียงเป็นกระจุกแน่นที่ปลายช่อ ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1-1.5 ซม.ไม่มีกลีบดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบลักษณะคล้ายกลีบดอก สีม่วงอ่อนถึงชมพูอ่อน เมื่อดอกบานเต็มที่มักหลุดร่วงไป เกสรเพศผู้จำนวนมากแผ่กางออกในแนวรัศมีคล้ายกลีบดอก สีขาวหรือสีขาวอมชมพู ก้านชูเกสรรูปแถบมีอับเรณูติดอยู่ตรงปลายสุด ตรงกลางดอกมีรังไข่สีเหลืองอ่อน ปลายสุดมีเกสรเพศเมียติดอยู่ ผลแบบผลแห้งเมล็ดล่อน มี 15–80 ผล เรียงเป็นกระจุกแน่น รูปกระสวย แบนเล็กน้อย ยาว 3.5–4.5 มม. เกลี้ยง มีริ้วตามยาวเป็นเส้น 2–4 เส้น โคนคอดเรียวจรดก้าน ปลายเรียวเป็นตะขอสั้น ๆ ยาว 0.8–1.2 มม.
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย
ระยะออกดอก---เดือนกรกฎาคม-เดือนสิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ม่วงดวงดาว/Grewia caffra

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Grewia caffra Meisn.(1843)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2832957
---Grewia fruticetorum J.Drumm. ex Baker f.(1911)
---Vincentia caffra (Meisn.) Burret.(1926)
---Vinticena caffra (Meisn.) Burret.(1935)
ชื่อสามัญ---Purple Star Bush, Lavender Star Flower.
ชื่ออื่น---ม่วงดวงดาว (ทั่วไป) ;[THAI: Mouang duang dao (general).].
EPPO Code---GRWCA (Preferred name: Grewia caffra.)
ชื่อวงศ์---TILIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกาใต้
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ -โมซัมบิก
Grewia caffra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทองสุก (Tiliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Daniel Friedrich Meissner (1800–1874) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2386
ที่อยู่อาศัย มึถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้พบในโมซัมบิก เติบโตตามริมฝั่งแม่น้ำขนาดใหญ่ เป็นไม้พุ่มหรือเป็นไม้เลื้อยหรือเถาวัลย์ตามริมฝั่งแม่น้ำ ปกติอยู่ที่ระดับความสูงต่ำ 0-800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มผลัดใบหลายลำต้น สูง 2-3 เมตร เปลือกต้นขรุขระแตกกิ่งก้านแน่น ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก ปลายใบแหลมโคนใบกลมหรือมน หลังใบเรียบ ท้องใบสาก ขอบใบจักฟันเลื่อย หูใบรูปแถบยาว ปลายเรียวแหลมดอก สีม่วงออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ดอกย่อย 1-3 ดอก กลีบเลี้ยงแยก 5 กลีบ ด้านนอกมีขนปกคลุมสีม่วงอ่อนปนเขียว ด้านในเกลี้ยงสีม่วง กลีบดอกแยก5กลีบ โคนเป็นกระพุ้ง ผลกลมรีสีเหลืองมีขนประปรายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-10 มม มี 1-2 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---เป็นพืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร.
-ใช้กิน-ผลสุกกินได้รสหวาน ผล- ดิบหรือผลแห้งกินได้
-ใช้เป็นยา สายพันธุ์ Grewia มีคุณค่าในหลายวัฒนธรรมในด้านสรรพคุณทางยา ฤทธิ์ทางยาหลักดูเหมือนจะมาจากเมือกที่พบในใบ ลำต้น และราก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติในการบรรเทาและรักษา ภายในมักใช้เป็นยาแก้ท้องร่วงและโรคบิด เช่น ขณะที่ใช้ภายนอกกับบาดแผล บาดแผล แผลพุพอง ระคายเคือง ฯลฯ พืชสามารถนำมาแช่หรือทำเป็นยาต้มแบบง่ายๆ หรือทาเฉพาะที่ก็ได้ เป็นยาพอกโดยสามารถสกัดเมือกออกจากพืชได้
*เราไม่มีบันทึกเฉพาะสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่มีแนวโน้มว่าจะใช้เป็นยาแผนโบราณ*https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Grewia+caffra
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง เติบโตเร็วแข็งแรง นิยมนำมาทำเป็นไม้ประดับอนไซ
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด,ปักชำ

ม่วงทักษิณ/Rennellia speciosa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Rennellia speciosa (Wall. ex Kurz) Hook.f.(1880)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-177367
---Morinda speciosa Wall. ex Kurz.(1877)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ม่วงทักษิณ (ทั่วไป), ท่อมหมูเขา (สุราษฎร์ธานี), เพิ่มบก (พังงา) ; [THAI: Mouang tak sin (general); Thom mu khao (Surat Thani); Phoem bok (Phangnga).]
EPPO Code---1RUBF (Preferred name: Rubiaceae)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย
Rennellia speciosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2423
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน พม่า ไทย มาเลเซีย ในประเทศไทยพบในธรรมชาติพบในป่าดิบชื้นระดับพื้นราบของภาคใต้ตอนกลาง ป่าฝนเขตร้อนชื้น ที่ระดับความสูงถึง 250 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง1-2 เมตร ลักษณะเปลือกต้นหนาสีเทาอมขาวไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน บางต้นจะมีกิ่งยอดเพียงยอดเดียว ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรี ยาว 8-12 ซม.ผิวใบสีเขียวเข้มทั้งสองด้าน ช่อดอกออกที่ปลายอดเป็นกระจุกกลม ขนาด 4-6 ซม.สีขาวอมม่วง มีดอกย่อย10-35ดอก กลีบดอกมี4กลีบ บานโค้งลงหาโคนดอก ช่อดอกทยอยบาน ดอกบานได้ 2 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวันและโชยไปไกล ผลกลมขนาด 1 ซม.เปลือกหนา เมื่อแก่สีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีรากน้อยมาก เมื่อขุดล้อมมาปลูกมักตาย
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ยาต้มจากรากใช้ในการรักษาโรคไขข้อ
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี แต่ออกดอกดกในช่วงฤดูแล้ง
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด  

ม่วงภูคำ/Eranthemum tetragonum

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Eranthemum tetragonum Wall. ex Nees.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2791872
---Daedalacanthus tetragonus (Wall. ex Nees) T.Anderson.(1867)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ม่วงภูคำ, จ้าหอม ;[Chinese: Yun nan ke ai hua.];[THAI: Moaung phu kam, Cha hom (Northern);[VIETNAM: Xuân hoa, Tình hoa bốn cạnh.]
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---EAUSS (Preferred name: Eranthemum sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า อินโดจีน
Eranthemum tetragonum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายในประเทศจีน (ยูนนาน) กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนามที่ระดับความสูง 400-800 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันตก ที่ความสูงระดับ 800-1,000 เมตร เช่นที่อุทยานแห่งชาติเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1เมตร ลำต้นและกิ่งก้านเป็นสันสี่เหลี่ยม เกลี้ยง หรือมีขนสั้นนุ่ม ใบรูปหอกแคบ ยาว7-12 ซม.กว้าง1.5-2.5 ซม.ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก ก้านช่อดอกยาว 2-37 มม. มีขนแหลมปลายมน ใบประดับสีขาวอมเหลืองมีสีเขียวตามแนวเส้นขอบขนาน รูปใบหอกยาว 1-2.2 × 0.2-0.9 ซม. ปลายแหลม ดอกเป็นหลอดสั้นๆสีม่วงปลายแยกเป็น5กลีบ รูปทรงค่อนข้างกลม ผลแคปซูลยาว 1-1.4 ซม.มีขนปลายแหลม เมล็ด สีทองถึงน้ำตาลออกแดงถึงดำขนาด 3-3.5 × 2.2-2.7 มม.
ระยะออกดอก/ติดผล--- ธันวาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มหาก่าน/Linostoma decandrum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Linostoma decandrum (Roxb) Wall. ex Meisn.(1841)
ชื่อพ้อง---has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50313748
---Basionym: Nectandra decandra Roxb.(1841)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- มหาก่า (พม่า); มหาก่าน (เชียงใหม่); แฮนสามแฮด (เลย) ;[ASSAMESE: Bokalbil/ Ruteng.];[MYANMAR: Ma-ha-ka.];[THAI: Maha kan (Chiang Mai); Haen sam haet (Loei).];[VIETNAM: Dó mười nhị.].
EPPO Code---LNSSS (Preferred name: Linostoma sp.)
ชื่อวงศ์---THYMELAECEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังกลาเทศ พม่า และภูมิภาคอินโดจีน
Linostoma decandrum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กฤษณา(Thymelaeaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Carl Daniel Friedrich Meissner (1800–1874) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปีพ.ศ.2384
ที่อยู่อาศัยพบที่อินเดีย (รัฐอัสสัมและรัฐมณีปุระทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียรวมถึงหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์) บังกลาเทศ พม่า และภูมิภาคอินโดจีน  ขึ้นตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,100 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค พบขึ้นตามป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูง 500–700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มแกมไม้เถา สูงหรือยาวได้ถึง 5-10 เมตร ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปไข่แกมวงรียาว 3.5-10 ซม.ปลายแหลมหรือยาวคล้ายหาง ก้านใบยาว 3-6 มม.ก้านใบสีแดง ดอกช่อ ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มออกที่ปลายกิ่ง ก้านช่อยาว 1.5-4 ซม.แต่ละช่อมี 3-12 ดอก ใบประดับมีลักษณะคล้ายใบ 2-4 ใบ สีครีมอ่อน ๆบางรูปรีหรือรูปไข่ ยาว 2-4.5 ซม.ติดประมาณกึ่งกลางหรือใต้จุดกึ่งกลางก้านช่อ ก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม.ใบประดับย่อยรูปแถบยาวได้ถึง 1 ซม.ร่วงเร็ว กลีบเลี้ยงสีน้ำตาลแดง เชื่อมติดเป็นหลอดยาว 0.5-1.3 ซม. แยกเป็น 5 กลีบ รูปแถบพับงอกลับ ยาว 6-9 มม.กลีบดอกสีขาว  มี 10 กลีบ รูปกระบองยาวได้ถึง 6 มม.เกสรเพศผู้ 10 อัน ติดบนจานฐานดอกยาวไม่เท่ากัน ยาว 4-9 มม.จานฐานดอกจักเป็นพูไม่เท่ากัน รังไข่มีขนยาวคล้ายไหม ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 ซม.ยอดเกสรคล้ายจาน ผลผนังชั้นในแข็งรูปรี ยาว 0.8-1.2 ซม.มีขนยาว มีหลอดกลีบเลี้ยงหุ้ม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในเวียตนามใช้เปลือกและผลไม้เพื่อทำกะปิ
-ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านใช้ต้นฝนน้ำ 3ครั้ง กินเป็นยาถ่าย (ห้ามฝนเกิน3ครั้งจะถ่ายมากเกินไป)
-อื่น ๆ สารสกัดจากรากใช้เป็นยาฆ่าแมลง เปลือกใช้เบื่อปลา
สถานภาพ---พืชหายาก
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน (ในเวียตนาม)
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะต่อมเสื้อ/Sphaeranthus senegalensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Sphaeranthus senegalensis DC.(1836)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-30587
---Sphaeranthus gazaensis Bremek.(1936)    
---Sphaeranthus lecomteanus O.Hoffm. & Muschl.(1910)    
---Sphaeranthus polycephalus Oliv. & Hiern ex Oliv.(1873)
ชื่อสามัญ---Cyan-legum Chrysanthemum
ชื่ออื่น---มะต่อมเสื้อ (เชียงใหม่), หญ้าขี้ควาย (ลำพูน), การบูร (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Fēizhōu dài xīng cǎo.];[THAI: Ma tom suea (Chiang Mai); Karaboon (Northern); Ya khi kwai (Lamphoon).];[VIETNAM: Cúc chân vịt, Cúc chân vịt Xênêgan, Chân vịt Xênêgan, Trứng vịt nhỏ.].
EPPO Code---SPSSE (Preferred name: Sphaeranthus senegalensis.)
ชื่อวงศ์--- ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา เอเซีย
Sphaeranthus senegalensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา (มอริเตเนียเซเนกัลกินี, มาลี, แกมเบีย, กานา, ไนจีเรีย, ไนเจอร์, ซิมบับเวและโมซัมบิก)และประเทศเขตร้อนในทวีปเอเซีย ในประเทศจีนพบในมณฑลยูนนาน พบได้บนชายฝั่งทุ่งนาที่แห้งแล้ง ตามถนน พุ่มไม้ ริมน้ำที่ระดับความสูง 600-1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกทุกส่วนมีขนสีขาวปกคลุมสูง 20-50 ซม.'มีกลิ่นหอม ใบเดี่ยวเรียงสลับใบขนาดใหญ่ที่ฐาน ยาว 7-15 ซม.กว้าง 2-3.5 ซม.ใบขนาดเล็กบนกิ่งก้านยาว 2-4 ซม.กว้าง0.7-1.2 ซม.ขอบใบจักฟันเลื่อย แผ่นใบทั้งสองด้านมีขนยาวผสมขนต่อมปกคลุม ดอกช่อแบบช่อกระจุกแน่น รูปทรงกลมถึงรี ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยจำนวนมากรูปกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-15 มม.สีม่วงเข้ม ผลแห้งไม่แตกมี1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในแอฟริกาเขตร้อนและเอเชีย พืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงการใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ;-ตำรายาพื้นบ้านอีสานใช้ ทั้งต้นผสมต้นกระต่ายจามทั้งต้นต้มน้ำอาบบำรุงประสาท;- ในเวียตนามใช้ ทั้งต้นรักษาระบบทางเดินอาหาร, ลำไส้,  กำจัดพยาธิ ยกเว้นพยาธิใบไม้, ยาแก้ปวด, แก้ปวดเมื่อย ;-ในจีน (มณฑลยูนนาน) ทุกส่วนของพืชจะใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวด
ภัยคุกคาม---เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน - พฤศจิกายน/พฤษภาคม - ธันวาคม (ในอินเดีย)
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำราก

มะแหลบ/Peucedanum dhana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Peucedanum dhana Buch.-Ham. ex C.B.Clarke.(1879)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List. Peucedanum dhana Buch.-Ham. ex C.B.Clarke is an unresolved name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2608156
ชื่อสามัญ---Peucedanum dhana chiang dao.
ชื่ออื่น--- มะแหลบ, หมักแหลบ (แม่ฮ่องสอน) ;[THAI: Ma laep, Mak laep (Mae Hong Son).]
EPPO Code---PCDSS (Preferred name: Peucedanum sp.)
ชื่อวงศ์--- APIACEAE (UMBELLIFERAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล อินเดีย ไทย
Peucedanum dhana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักชี (Apiaceae หรือ Umbelliferae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดียจากอดีต Charles Baron Clarke (1832-1906)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์กัลกัตตาระหว่างปี 1869-1871.ในปีพ.ศ.2422
ที่อยู่อาศัยพบใน เนปาล อินเดียตอนเหนือที่ระดับความสูง 150-2,000 เมตร ในประเทศไทย มักพบบนดอยทางภาคเหนือ ตามพื้นที่โล่งดินทราย ตามป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกลักษณะรากเป็นหัวยาวอยู่ใต้ดินขนานกับพื้น ลำต้นเป็นสันเหลี่ยมตั้งตรง  สูงได้ถึง 40-1.5 เมตร.ใบประกอบแบบขนนกแบบมี3ใบย่อย (trifoliolate) หรือแยก3แฉก ใบย่อยรูปไข่แกมรี ยาว 3-7 ซม.ก้านใบยาว ขอบใบจัก ปลายใบแหลมมีกลิ่นคล้ายผักชีดอกเป็นดอกช่อแบบช่อซี่ร่ม อยู่ปลายยอด แตกแขนงเป็นช่อย่อยหลายช่อ แต่ละช่อกว้าง 3-10 ซม. ก้านช่อดอกทรงกระบอกยาว 2.5-10 ซม ชูดอกย่อยอยู่ในระดับเดียวกันดอกย่อยมี จำนวนมากขนาดเล็กสีขาวจนถึงเหลืองอ่อนอมเขียว กลีบดอกรูปไข่กลับปลายเว้าเป็น2แฉก ผลเมื่อแก่แห้งแล้วแตก สีน้ำตาล  
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน มะแหลบเป็นไม้ทรงคุณค่าสำหรับชาวเหนือ เมล็ดมีกลิ่นหอมอ่อนๆ สามารถนำไปเป็นเครื่องเทศปรุงอาหาร นิยมใส่ในลาบ น้ำพริกอ่อง
-ใช้เป็นยา ประเทศอินเดียกินรากซึ่งจะคล้ายหัวแครอต มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงและยาแก้ไข้
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนธันวามคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มังเคร่ช้าง/Melastoma sanguineum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Melastoma sanguineum Sims.(1821)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-20305182
---Melastoma decemfidum Roxb.(1824)
---Melastoma dendrisetosum C.Chen.(1983)
---Melastoma sanguineum var. sanguineum.
ชื่อสามัญ---Red melastome, Fox-tongued melastoma, Blood-red Melastoma, Bloodred Melastoma
ชื่ออื่น---กะดูดุ (มาเลย์-สงขลา); โคลงเคลง (ทั่วไป); โคลงเคลงช้าง (นราธิวาส); เบร้ช้าง, มังเคร่ขน, มังเคร่ช้าง, เมรีช้าง (ภาคใต้); อี้สี่ (มูเซอ-เชียงใหม่) ;[CHINESE: Mao nie.];[MALAYSIA: Senduduk (Malay); Senduduk Merah.];[THAI: Khlong khleng (General); Khlong khleng chang (Narathiwat); Ka-du-du (Malay-Songkhla); Bre chang, Mang khre khon, Mang khre chang, Meri chang (Peninsular); I-si (Musoe-Chiang Mai);[VIETNAM: Mua bà.].
EPPO Code---MESSA (Preferred name: Melastoma sanguineum.)
ชื่อวงศ์---MELASTOMACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ พม่า ไทย กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮาวาย
Melastoma sanguineum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Sims (1749 –1831) เป็นแพทย์ นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2364
ที่อยู่อาศัย พบที่ภาคใต้ของประเทศจีน( ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ) พบในพื้นที่ลาดเปิดพุ่มไม้ทุ่งหญ้าขอบป่าไม้บนเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ระดับต่ำกว่า 400 เมตร ไปยัง พม่า คาบสมุทรมาเลเซีย (ทางเหนือและชายฝั่งตะวันออก) สุมาตรา บอร์เนียว ชวา ฟิลิปปินส์ ฮาวาย [เกาะฮาวาย (Keaukaha) ระหว่างภูเขาไฟกับฮิโล] พบขึ้นอยู่ตามริมลำธารหรือพื้นที่โล่งชายป่าดงดิบทั่วไป ป่าที่ถูกรบกวนไปตามลำธารและถนนในที่โล่งและทุ่งหญ้าสะวันนา จากที่ราบจนถึงที่ระดับความสูงสูงสุด 2,300 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามพื้นที่เป็นหินหรือดินทรายริมลำธาร ในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1-5 เมตร กิ่งเป็นเหลี่ยม มีขนแข็งเอนตามกิ่ง ใบเดี่ยวรูปหอก กว้าง 2.5-4.5ซม.ยาว 8-20 ซม.โคนใบกลมปลายใบมีติ่งแหลมสั้นๆ  เส้นโคนใบข้างละ 2-3 เส้น ก้านใบยาว 0.8-2 ซม.ดอกสีม่วงอมชมพูออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่่อกระจุกขนาดเล็ก2-3ดอก ก้านช่อดอกยาว 1.5-4 ซม.ใบประดับรูปไข่ ยาวประมาณ 1 ซม. ด้านนอกเป็นเกล็ด ฐานดอกยาว 1-1.5 ซม. ขนยาว 0.6-1 ซม. กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาว 0.6-1 ซม.ขอบมีขนครุย ดอกสีม่วงอมชมพู กลีบรูปไข่กลับ ยาว 2-4.5 ซม.เกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรวงนอกมีอับเรณูสีม่วงยาว 12-15 มม.เกสรวงในมีอับเรณูสีชมพูหรือสีเหลืองยาว 1.1 ซม.รยางค์สั้น รังไข่ปลายมีขนแข็ง ผลแคปซูลเนื้อรูประฆังเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-19 มม.แตกไม่เป็นระเบียบ เนื้อในสีเหลืองและมีเมล็ดสีส้มละเอียด
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในการรักษาโรคในฐานะยาสมานแผล และอาจจะใช้เป็นอาหาร
-ใช้กิน ไม่มีข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่ผลไม้หลายชนิดในสกุลจะถูกกินเป็นของว่าง โดยทั่วไปแล้วจะมีรสหวาน ค่อนข้างฝาดถ้ายังไม่สุก
-ใช้เป็นยา ราก ใบ ดอก ผล เป็นยาสมานแผลและนำมาใช้ในการรักษาสภาพเช่นท้องเสีย ตกขาวและโรคบิด รากใช้เป็นสารกระตุ้นและยาชูกำลัง รักษาอาการวิงเวียน ใบรักษาอาการตกเลือดใช้หยุดเลือด
-ใช้ปลูกประดับ พืชมักปลูกเป็นไม้ประดับ ในฮาวายพิสูจน์แล้วว่าเป็นไม้พุ่มรุกรานที่สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและอาจก่อตัวเป็นพุ่มหนาแน่นในแหล่งอาศัยที่หลากหลาย เช่น พื้นที่เปิด ทุ่งหญ้า พุ่มไม้และป่าพื้นเมือง
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี/สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ม้าสามต่อน/Asparagus filicinus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Asparagus filicinus Buch.-Ham. ex D.Don.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.
---Asparagus qinghaiensis Y.Wan,(1991)
---Protasparagus filicinus (Buch.-Ham. ex D.Don) Kamble.(1992)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-275055
ชื่อสามัญ---Fern Asparagus.
ชื่ออื่น---ม้าสามต๋อน (เชียงใหม่); พอควายมิ (กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน); ผักซีซ้าง (เลย) ;[CHINESE: Yang chi tian men dong.];[GERMAN: Farn-Spargel.];[HINDI: Sahasimuli, Sharanoi, Chiriya-kanda.];[MYANMAR: Ka-nyut.];[NEPALI: Ban kurilo, Van kurilo.];[SANSKRIT: Satavari.];[THAI: Ma sam ton (Chiang Mai); Pho-khwai-mi (Karen-Mae Hong Son); Phak si sang (Loei).];[VIETNAM: Thiên Môn Ráng.].
EPPO Code---ASPSS (Preferred name: Asparagus sp.)
ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ตั้งแต่อินเดียถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Asparagus filicinus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton (1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปีพ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย (เทือกเขาหิมาลัย ที่ระดับความสุง 1,700 -2,700 เมตร) ในภาคตะวันตกของจีน พบขี้นตามป่าไม้พุ่มที่ร่มรื่นและชื้นตามหุบเขา ที่ระดับความสูง 1,200-3,000 เมตร เป็นพืชส่วนใหญ่ของเขตอบอุ่นไปยังเขตกึ่งร้อนเข้าสู่เขตร้อนในเวียดนาม พม่าและไทย ในประเทศไทยพบเจิญเติบโตตามซอกหิน ที่โล่งแจ้งของเขาหินปูน หรือตามภูเขาสูงบริเวณที่แสงแดดส่องถึง ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 300-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 30-45 ซม.กึ่งไม้เถา ลักษณะมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นบนดินเลื้อยพันแตกกิ่งจำนวนมาก ตามกิ่งมีครีบเป็นเส้นนูนยาว แผ่นใบลดรูปเป็นเส้นสีเขียวรูปเคียว ออกเป็นวงรอบข้อ 3-5 ใบไม่มีก้านใบ มีหูใบเป็นติ่งสีน้ำตาลสั้น ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อซี่ร่มหรือออกเดี่ยวๆตามซอกกิ่ง ดอกรูปถ้วยขนาด 3 มม.ผลเป็นผลสดรูปค่อนข้างกลม หยักเป็น 3 พูเมื่อผลสุกเป็นสีแสด ผิวเรียบขนาด 2-3 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่ร่มรื่น  ชอบดินร่วนปนทรายชื้นสม่ำเสมอ ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -10 ถึง -15°c
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค บางครั้งปลุกเป็นไม้ประดับในสวน
-ใช้กิน หน่ออ่อน - สุก ใช้กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา รากแห้งใช้เป็นยาลดไข้, แก้ไอ, ยาขับปัสสาวะ, เสมหะ, กระเพาะอาหาร, กระตุ้นประสาทและยาชูกำลัง  ยาพื้นบ้านใช้ ราก ต้มดื่มสำหรับสตรีหลังคลอด ตากแห้งฝน ผสมน้ำผึ้งหรือต้มดื่มแก้ท้องเสีย ต้มดื่มแก้ท้องอืด แก้ปวดหลัง ปวดเอว แก้นิ่ว แก้ปวดเมื่อย ทั้งต้น แก้ปวดหลังปวดเอว บำรุงกำลัง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากพื้นฐานข้อมูลไม่เพียงพอ ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยงของการสูญ จึงถูกจัดวางไว้ในThe IUCN Red List ประเภท 'ข้อมูลไม่เพียงพอ'
สถานะการอนุรักษ์---DD -Data Deficient-IUCN Red List of Threatened Species. 2017
สถานภาพ--- เป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-มิถุนายน/กรกฎาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด, แยกหน่อ ;-เมล็ดหว่านได้ดีทันทีที่สุก มักจะงอกใน 3 - 6 สัปดาห์ที่ 25°c


ระย่อมหลวง/Rauvolfia cambodiana

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Rauvolfia cambodiana Pierre ex Pit.(1933)
ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-176821
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ขะย่อมตีนหมา (ภาคเหนือ); ขะย่อมหลวง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); นางแย้ม (นครราชสีมา); ระย่อม (ตราด); ระย่อมหลวง (ภาคกลาง) ;[SWAHILI: Mutongo (Kenya).];[THAI: Khayom tin ma (Northern); Khayom luang (Northeastern); Nang yaem (Nakhon Ratchasima); Rayom(Trat); Rayom luang (Central).];[VIETNAM: Ba Gạc Lá To.].
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย เวียตนาม ลาว กัมพูชา
Rauvolfia cambodiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)และอยู่ในวงศ์ย่อยระย่อม (Rauvolfioideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Charles-Joseph Marie Pitard-Briau ( 1873-1928 ) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2476
ที่อยู่อาศัย พบในจีน ไทย เวียตนาม ลาว กัมพูชา การกระจายพันธุ์แคบในเวียดนามและกัมพูชา ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 0.30-1 เมตร มีน้ำยางขาว ใบเดี่ยวเรียงรอบข้อ ข้อละ 3 ใบ เป็นรูปขอบขนานหรือรูปหอกกลับ ขนาดกว้าง 3.5-7 ซม.ยาว 12-30 ซม.ปลายใบและโคนใบจะเรียวแหลม หรืออาจจะเป็นหางยาว ส่วนตรงปลายสุดนั้นจะแหลม เส้นแขนงใบข้างละ 12-25 เส้น ก้านใบยาว 1-3.5 ซม.ดอกช่อออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ยาวประมาณ 5-10 ซม.ก้านช่อมีความยาว 1.5-4.5 ซม.ก้านดอกยาว 3-6.5 มม.กลีบเลี้ยงรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2.5 มม.กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ปลายมน กลีบดอกสีขาวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง ผลสดเป็นผลแฝดไม่ติดกัน รูปรี ยาว 0.7-1.1 ซม.มีน้ำมาก ผลอ่อนจะมีสีเขียวผลแก่สีเลือดหมู ภายในมี 1 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านรากใช้แก้ไข้ และเป็นยาบำรุงประสาท ไม่ระบุส่วนที่ใช้ช่วยทำให้เจริญอาหาร
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/เมษายน-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

รักในสายหมอก/Nigella damascena

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nigella damascena L.(1753)
ชื่อพ้อง--Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2381631
---Erobathos damascenum Spach.(1838)
---Melanthium damascenum Medik.(1789)
ชื่อสามัญ---Love in a mist, Devil in the bush, Ragged lady, Blue crown, Blue spiderflower, Chase-the-devil, Devil in a bush, Devil in the bush, Garden fennel, Jack in prison, Jack in the green, Katherine's flower, Kiss-me-twice-before-I-rise, Lady in the bower, Love-in-a-puzzle, Love-in-a-tangle, St Catherine's flower
ชื่ออื่น---รักในสายหมอก (ทั่วไป) ;[ALBANIAN: Nigela e Damaskut, Nigelë.];[CHINESE: Hēi zhǒng cǎo.];[CZECH: Cernucha damašská.];[DUTCH: Juffertje-in-het-groen.];[FRENCH: Barbiche, Cheveux de Venus, Nigelle de Damas, Patte d'araignée.];[GERMAN: Damaszener Schwarzkümmel, Gretchen im Busch, Gretel im Busch, Jungfer im Grünen, Türkischer Schwarzkümmel.];[HUNGARIAN: Borzaskata, Vetési katicavirág.];[ITALIAN: Anigella, Damigella, Damigella scapigliata, Erba bozzolina, Nigella di Damasco.];[JAPANESE: Kurotanesou, Kurotane-sô.];[KOREA: Nigella.];[MALAYALAM: Nigalla ḍamāskina.];[PORTUGUESE: Barbas-de-velho, Damas-do-bosque, Damas-entre-verde.];[ROMANIA: Chica voinicului.];[SPANISH: Ajenuz de jardín, Araña, Arañuela, Neguilla, Neguilla de Damasco];[SWEDISH: Jungfrun i det gröna.];[THAI: Rak nai sai mok.];[TURKISH: Sam çörekotu.].
EPPO Code---NIGDA (Preferred name: Nigella damascena.)
ชื่อวงศ์---RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา, ทวีปยุโรป, ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนทั่วโลก
Nigella damascena เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเหนือ ยุโรปตอนใต้ (เมดิเตอร์เรเนียน) และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ พบในพื้นที่ที่ถูกทอดทิ้งและชื้น
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กอายุไม่ยืนสูง 30- 60 ใบเป็นแฉกรูปแถบแบบขนนก ใบประดับเป็นเส้นเล็กเรียวออก ดอกออกเดี่ยวๆที่ปลายยอด ขนาด 3-4 ซม.กลีบเลี้ยง5กลีบคล้ายกลีบดอก มีสีม่วง ขาว และฟ้า
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดมีรสชาติค่อนข้างเผ็ด (บางคนสังเกตว่ามีความคล้ายคลึงกับลูกจันทน์เทศ) และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสและในลูกกวาด มีการใช้เมล็ดอะโรมาติกโดยเฉพาะในตุรกีตะวันออกกลางและอินเดียสำหรับวัตถุประสงค์ในการทำอาหารและยาถึงแม้ว่าสายพันธุ์นี้จะด้อยกว่าN. sativa (ยี่หร่าสีดำ) ซึ่งเมล็ดมีการพัฒนารสชาติและกลิ่นคล้ายออริกาโนที่ขมเล็กน้อย
-ใช้ปลูกประดับ ได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกพอสมควร เป็นไม้ ดอกเมืองหนาวที่สวยงามน่ารักนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนและส่วนประกอบที่มีสีสันของการจัดดอกไม้ทั้งสดและแห้ง มีการพัฒนาสายพันธุ์หลายสายพันธุ์เพื่อขยายช่วงสีให้ครอบคลุมสีชมพูและม่วงรวมถึงการผลิตดอก ให้ได้พืชที่เตี้ยกว่าหรือสูงกว่า เพื่อรองรับสถานการณ์ภูมิทัศน์ที่แตกต่างกัน
ระยะออก/ติดผล---กรกฎาคม-ตุลาคม/ผลแก่--สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ลูกพรวนหมา/Pycnospora lutescens


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pycnospora lutescens (Poir.) Schindl.(1926)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Desmodium lutescens (Poir.) Desv. ex DC.(1825)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-2402
ชื่อสามัญ---Pycnospora
ชื่ออื่น---ลูกพรวนหมา (นครราชสีมา) ;[CHINESE: Mì zi dòu, Jjiǎ fān dòu cǎo.];[JAPANESE: Kinchakumame.];[THAI: Luk phruan ma (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: Quần châu.].
EPPO Code---QYZLU (Preferred name: Pycnospora lutescens.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และนิวกินี
Pycnospora lutescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Louis Marie Poiret (1755–1834) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Anton Karl Schindler (1879-1964) เป็นทันตแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2469
ที่อยู่อาศัย พบในจีน (ตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซี, กวางจง, ไหหลำ, กวางสี, ตะวันตกเฉียงใต้ของกุ้ยโจว, ยูนนานและไต้หวัน) นอกจากนี้ยังมีการกระจายในอินเดีย, พม่า, ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, นิวกินีและออสเตรเลียตะวันออกส่วนใหญ่พบขึ้นตามทุ่งหญ้าและที่เปิดโล่งของป่าผลัดใบที่ระดับความสูง 50-1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกแบบเลื้อยพันต้นสูงประมาณ 0. 50-0.70 เมตร  ลักษณะลำต้นสีเขียว-น้ำตาล มีขนสีน้ำตาลยาว 1-2 มม.ปกคลุมจำนวนมาก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) รูปไข่กลับ กว้าง 0.7-1.8 ซม. ยาว1-2.5 ซม.ปลายใบมน ฐานใบเว้ารูปหัวใจ  ก้านใบยาว 0.61-1.15 ซม.ดอกสีม่วงแกมชมพู ออกเป็นช่อจากปลายกิ่ง ยาวถึง 10 ซม. ดอกเดี่ยวมี 10-14 ดอกต่อช่อ ดอกรูปดอกถั่วขนาด 0.7 ซม. กลีบรองดอกปลายแยก 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ กลีบบนแผ่กว้างเกือบกลม มีหยักเว้าเล็กน้อย เกสรผู้ 10 อัน รังไข่มีขนปกคลุม ผลเป็นฝักสีเขียวอ่อน มีข้อเดียวขนาดค่อนข้างใหญ่ มีขนยาวสีขาว 2-3 มม.ปกคลุมอยู่มาก รูปรี กว้าง 0.6 ซม.ยาว 1.3 ซม.มีขนสั้นปกคลุม แก่แล้วแตกด้านข้างมีจำนวน 7-14 ฝักต่อช่อ เมล็ดมีขนาดเล็กมี 8-10 เมล็ดรูปไข่ยาวประมาณ 2 มม.
ใช้ประโยชน์---เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติของ โค กระบือ สำหรับแทะเล็ม
ระยะออกดอก---ตุลาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

โลดทะนง/Trigonostemon reidioides

ชื่อวิทยาศาสตร์---Trigonostemon reidioides ( Kurz) Craib.(1911)
ชื่อพ้อง--Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-208903
---Baliospermum reidioides Kurz.(1875)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ข้าวเย็นเนิน, ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์); ดู่เตี้ย, ดู่เบี้ย (เพชรบุรี); ทะนง, รักทะนง (นครราชสีมา); นางแซง (อุบลราชธานี); โลดทะนง (ปราจีนบุรี, ราชบุรี, ตราด); โลดทะนงแดง (บุรีรัมย์); หนาดคำ (ภาคเหนือ); หัวยาข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี) ; [THAI: Khao yen noen (Prachuap Khiri Khan); Du tia (Phetchaburi); Du bia (Phetchaburi); Thanong (Nakhon Ratchasima); Thanong daeng (Prachuap Khiri Khan); Nang saeng (Ubon Ratchathani); Rak thanong (Nakhon Ratchasima); Lot thanong (Prachin Buri, Ratchaburi, Trat); Lot thanong daeng (Buri Ram); Nat kham (Northern); Hua ya khao yen noen (Ratchaburi).];[VIETNAM: Tam hùng hẹp, Thần xạ mốc.].
EPPO Code---BWUSS (Preferred name: Baliospermum sp.)
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่าไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม
Trigonostemon reidioides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะไฟ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2454
*หมายเหตุ : โลดทะนงมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ "โลดทะนงแดง" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib) ที่กล่าวในบทความนี้ และอีกชนิดคือ "โลดทะนงขาว" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Trigonostemon albiflorus Airy Shaw) โดยทั้งสองชนิดคนส่วนใหญ่จะนิยมปลูกเป็นไม้สมุนไพร แต่ส่วนมากจะรู้จักเฉพาะ "โลดทะนงแดง" ส่วนโลดทะนงขาวนั้นน้อยคนนักที่จะรู้จัก เนื่องจากเป็นไม้หายาก จึงนิยมใช้โลดทะนงแดงในการแก้พิษกันมากกว่า โดยทั้งสองชนิดนี้มีข้อแตกต่างกันตรงเปลือกหุ้มราก ถ้าเปลือกหุ้มรากเป็นสีแดงจะเรียกว่า "โลดทะนงแดง" หากเปลือกหุ้มรากเป็นสีดำจะเรียกว่า "โลดทะนงขาว" * See all https://medthai.com/โลดทะนงแดง/


ที่อยู่อาศัย พบที่ภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบแทบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือที่โล่งแห้งแล้ง ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กสูงราว 0.5-1 เมตร มีรากเก็บสะสมอาหารพองโต ผิวสีแดงอมม่วง เนื้อสีขาว ลำต้นเรียวเล็ก ขึ้นเป็นกอ ทุกส่วนของต้นมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-4 ซม.ยาว 7-12 ซม.ผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ขอบใบเรียบ  ก้านใบยาว 0.8-2 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ยาว 9-14 ซม. ดอกสีแดงเลือดนก มี5กลีบออกเป็นช่อตามซอกใบและตามกิ่งก้าน ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเลี้ยงรูปไข่กลับ ยาว 2-3 มม. กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ยาว 4-5 มม. เกสรเพศผู้ 3 อัน ดอกเพศเมียก้านดอกยาว 0.8-1.5 ซม. ขยายในผลยาว 1.5-3.5 ซม. กลีบเลี้ยงรูปขอบขนาน ยาว 2-5 มม. กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 4-5 มม.  ผลกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.สีน้ำตาลเทารูปค่อนข้างกลม มีขนสั้นนุ่มปกคลุมหนาแน่น แบ่งเป็น 3 พูชัดเจน ผลแห้งแล้วแตกได้ เมล็ดค่อนข้างกลมหรือรูปไข่แกมสามเหลี่ยม ผิวเรียบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญงอกงามในฤดูฝน พอถึงฤดูแล้งต้นมักตายแล้วเกิดหน่อใหม่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี  ใช้ ราก เข้ายากับน้ำมะนาว ฝนกับน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง พิษแมงมุม ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา เหง้า ฝนทา แก้สิว ฝ้า และฟกช้ำเคล็ดบวม ราก ผสมกับพญาไฟ และปลาไหลเผือก ฝนน้ำดื่มถอนเมาเหล้า
-ยาพื้นบ้านใช้ ราก ผสมกับเมล็ดหมาก ฝนน้ำกิน และผสมกับน้ำมะนาว ทาแผลแก้พิษงูชนิดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ซึ่งควรมีการวิจัยเพิ่มเติม ต้มน้ำดื่ม หรือฝนรับประทาน ทำให้อาเจียนอย่างหนัก ใช้ถอนพิษคนกินยาเบื่อยาเมา หรือฝนน้ำกินช่วยให้เลิกดื่มเหล้า
-ตำรายาไทยใช้ ราก มีรสร้อน ฝนน้ำกินทำให้อาเจียน เพื่อถอนพิษคนกินยาเบื่อ เมาพิษเห็ดและหอย แก้พิษงู แก้เสมหะเป็นพิษ (เสมหะหรืออุจาระเป็นมูกเลือด) แก้หืด แก้วัณโรค เป็นยาระบาย ฝนเกลื่อนฝี หรือดูดหนองถ้าฝีแตก แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม แก้ปวดฝี คุมกำเนิด ต้มดื่ม แก้วัณโรค ฝนกับน้ำมะนาว หรือสุรา รับประทานแก้พิษงู ฝนทาแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก
ข้อมูลเครื่องยา : www.thaicrudedrug.com.See all http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=108
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด

วนารมย์/Campylotropis sulcata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Campylotropis sulcata Schindl.(1916)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-44378
---Campylotropis purpurascens Ricker.(1946)
---Lespedeza sulcata Craib.(1928)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ถั่วดอยขนยาว, วนารมย์ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Cao jing hang zi shao; Cáo jīng [cao/háng] zi shāo; [Cao/háng] zi shāo shǔ];[THAI: Thua doi khon yaw; Wa na rom (General).];
EPPO Code---CMLSS (Preferred name: Campylotropis sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ เอเซีย
Campylotropis sulcata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anton Karl Schindler(1879-1964) เป็นทันตแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2459
ที่อยู่อาศัยพบในเขตอบอุ่นของโลกซึ่งมีอากาศค่อนข้างเย็นเช่น ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือและกระจายลงมาถึงทางใต้ของทวีปเอเซีย เติบโตตามเนินเขา, พุ่มไม้หนาทึบ, ป่าไม้ที่ระดับความสูง 1,200-2,100 เมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มักพบในป่าเบญจพรรณและป่าสน บริเวณทุ่งหญ้ากลางแจ้งที่ชุ่มชื้น
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นแตกกอสูง 1-2 เมตร ใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย(trifoliolate) รูปใบหอกยาวประมาณ 12 ซม. ก้านใบยาว 3.7 ซม.แผ่นใบย่อยรูปไข่หรือรูปขอบขนานยาวสูงสุด 6.6 ซม.กว้างสูงสุด 3.5 ซม.ใบและกิ่งก้านมีขนนุ่มปกคลุม ดอกแบบดอกถั่วออกเป็นช่อตั้งที่ปลายกิ่งสีม่วงอมชมพูช่อดอกยาวได้ถึง 4.5 ซม.กลีบดอก 5 กลีบรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ดอกในช่อจะทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อ เวลาดอกบานทั้งช่อจะสวยงามมาก ฝักรูปรีกลมปลายยอดแหลมปากสั้นยาว 4.5-6 (7) มม. และกว้าง 3.5-4 มม.มีปลายจะงอยปากสั้นที่ด้านบน คอยาว 0.9-1 มม. และมีขนสั้นปกคลุม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ดินปนทรายร่วนซุย ระบายน้ำดี
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ว่านดอกดินขาว/Balanophora latisepala

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Balanophora latisepala (Tiegh.) Lecomte.(1915)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Basionym: Balaniella latisepala Tiegh.(1907)
---Balaniella fasciculata Tiegh.(1907)
---Balanophora fasciculata (Tiegh.) Lecomte.(1915)
---Balanophora thorelii Lecomte.(1915)
---Balanophora truncata Ridley.(1913)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2668085
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ว่านดอกดินขาว, กากหมาก, โหราเท้าสุนัข ;[THAI: Kak mak (general), Wan dok din kao, Hoh-ra-thao-su-nak.]; [VIETNAM: Toả dương, Dó đất hình cầu, Dương đài hình cầu, Cu chó, Xà cô, Tên khoa học.].
EPPO Code---BNPSS (Preferred name: Balanophora sp.)
ชื่อวงศ์---BALANOPHORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- มาเลเซีย, ลาว, ไทย, เวียดนาม, สุมาตรา, บอร์เนียว
Balanophora latisepala เป็นสายพันธุ์ของพืชเบียนมีดอกในครอบครัววงศ์ขนุนดิน (Balanophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Philippe Édouard Léon Van Tieghem (1839–1914) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Paul Henri Lecomte (1856–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2458
ที่อยู่อาศัยพบใน มาเลเซีย, ลาว, ไทย, เวียดนาม, สุมาตรา, บอร์เนียว ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคของประเทศ ที่ความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง1,800 เมตร พบตามป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกประเภทพืชเบียนเกาะอาศัยแย่งอาหารจากรากพืชชนิดอื่น ดูดกินน้ำเลี้ยงและธาตุอาหารจากรากพืชที่เป็นไม้ต้น ลักษณะคล้ายกับขนุนดินแต่มีสีอ่อนและขนาดเล็กกว่า สูง 6-8 ซม.ลำต้นเป็นก้อนขรุขระใต้ดินขนาด 2-3 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียวขนาดเล็กออกตรงข้าม 3-6 คู่ ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious)ใช้กลิ่นช่วยล่อแมลงมาผสมพันธุ์ โดยช่อแก่จะส่งก้านขึ้นเหนือผิวดินเป็นกลุ่มหรือเป็นกระจุก อาจ มีมากกว่า10ดอก ช่อดอกเพศผู้เป็นแกนยาว กว้าง2-6ซม.ยาว3-10ซม.กาบรองดอกรูปลิ่มหรือเกือบสี่เหลี่ยม ดอกมีจำนวนมาก ก้านดอกยาว 1.5-6มม. กลีบดอก 4-5 กลีบสีครีมขนาดเล็กมาก เกสรผู้ 4-5 อันเชื่อมติดกันเป็นก้อนแบนแคบๆ ตุ่มเกสรรูปเกือกม้า ช่อดอกเพศเมียรูปรี หรือรูปไข่กลับ สีน้ำตาลถึงน้ำตาลอมแดงกว้าง 1-4 ซม.ยาว1-6ซม.ดอกเล็กละเอียดจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบร่มเงาและความชื้นสูง
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล้ด

ว่านดอกสามสี/Christisonia siamensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Christisonia siamensis Craib.(1914)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2719807
---Aeginetia siamensis (Craib) Livera.(1927)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ดอกดิน (เลย, ภาคเหนือ); ว่านดอกสามสี (กาญจนบุรี); ว่านหญ้าแฝก (ลพบุรี); เอื้องดิน (ภาคเหนือ) ; [THAI: Dok din (Loei, Northern);  Wan dok sam si (Kanchanaburi); Wan ya faek (Lop Buri); Ueang din (Northern).].
EPPO Code---AEISS (Preferred name: Aeginetia sp.)
ชื่อวงศ์---OROBANCHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Christisonia siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืช Holoparasitic (ทั้งหมดเป็นกาฝาก)ในครอบครัววงศ์ดอกดิน(Orobanchaceae) เดิมรวมอยู่ในครอบครัววงศ์มณเฑียรทอง (Scrophulariaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2457


ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเป็นพืชถิ่นเดียวที่พบเฉพาะในประเทศไทย พบตามทุ่งหญ้าและป่าผลัดใบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ตั้งแต่ระดับความสูง 500-1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นพืชเบียนของรากไผ่ มักพบในร่มที่ค่อนข้างชื้นที่มีเศษใบไม้ผุพังมาก ดอกมีสีขาว ม่วง และเหลือง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าว่านดอกสามสี มีลำต้นอยู่ใต้ดินขนาดเล็กอาศัยบนรากพืชชนิดอื่น ทุกส่วนไม่มีสีเขียว ยอดมีเมือกใส สูง 3-5 ซม.พบเฉพาะช่วงออกดอก ใบขนาดเล็ก ก้านดอกสั้น ดอก เป็นดอกเดี่ยวออกที่ปลายสุดของลำต้น กลีบเลี้ยงสีขาวอมเหลืองหรือม่วง หลอดกลีบยาวประมาณ 3 ซม. มักแยกเป็น 3 แฉก ยาว 3-6 มม. ดอกสมบูรณ์เพศ ออกดอกเป็นกระเปาะใหญ่รูประฆัง สีม่วงแกมชมพูหรือม่วงเข้ม ด้านในกลีบปากล่างมีปื้นสีเหลือง หลอดกลีบดอกยาว 5-7 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ กลีบรูปปากเปิดไม่ชัดเจน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. ขอบจักชายครุย เกสรเพศผู้ 4 อันอยู่ชิดกัน ติดภายในหลอดกลีบดอก อับเรณูมีช่องเดียว มีรูเปิดด้านบน โคนมีเดือย ก้านชูอับเรณูสีเหลือง โคนมีกระจุกขน มี 2 คาร์เพล ออวุลจำนวนมาก พลาเซนตารอบแนวตะเข็บ ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ยอดเกสรเพศเมียรูปโล่ ผลเป็นฝักเมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
การใช้ประโยชน์---ยังไม่มีการศึกษาถึงการใช้ประโยชน์ เป็นไม้ป่าที่ค่อนข้างพบได้ยากในปัจจุบัน เพราะพื้นที่ที่เหมาะสมถูกคุกคาม
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic)
ระยะออกดอก---เดือนกรกฏาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ว่านหาวนอน/Kaempferia rotunda


ชื่อวิทยาศาสตร์---Kaempferia rotunda L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.
---Kaempferia longa Jacq.(1798)
---Kaempferia versicolor Salisb.(1812)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-250834
ชื่อสามัญ--- Indian crocus, Peacock ginger, Round-rooted galangale, Round zedoary, Chengkur, Blackhorm, Kaempferia, Resurrection-lily, Tropical-crocus, Himalayan crocus.
ชื่ออื่น---ว่านดอกดิน, ว่านตูหมูบ (เลย); ว่านนอนหลับ (เชียงใหม่); ว่านส้ม (ขอนแก่น); ว่านหาวนอน (ราชบุรี); เอื้องดิน (ภาคเหนือ); ว่านทิพยเนตร, ว่านเจ้าน้อยมหาพรหม, ว่านมหาประสาน; [ASSAMESE: Bhui-champa.];[BANGLADESH: Bhuichampa, Misri dana.];[CHINESE: Hai nan san qi, Sha jiang.];[GERMANY: Runde gewurzlilie, Gefkecjte, Runder kentjur.];[HINDI: Bhoomee champa, Bhumichampa, Nela Sampige.];[INDONESIA: Temu putri, Temu lilin (Btw.), Temu rapet, Kunci pepet, Kunir Putih, Kunyit putih.];[KANNADA: Nela sampige.];[MALAYALAM: Chengazhineerkizhangu, Malan-kua.];[MALAYSIA: Temu putih (Malay); Janda lepak, Gendang lepak.];[PHILIPPINES: Gisol na bilog (Tag.);[SANSKRIT: Bhuchampaca, Bhumichampa, Blackhorm.];[THAI: Wan dok din, Wan tu mup (Loei); Wan non lap (Chiang Mai); Wan som (Khon Kaen); Wan hao non (Ratchaburi); Ueang din (Northern); Wan tip-pha-ya-net, Wan chao noi maha phrom, Wan maha prasan.];[VIETNAM: Cẩm địa.].
EPPO Code---KAERO (Preferred name: Kaempferia rotunda)
ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน ชวา มาเลเซีย คอสตาริกา
Kaempferia rotunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง(Zingiberaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พบแพร่กระจายตามธรรมชาติในเอเชียจากอินเดียตะวันตก, ภูฏาน, เนปาล , พม่า , จีน (กวางตุ้ง กวางสี ไห่หนาน ยูนนาน ไต้หวัน ) ผ่านอินโดจีน(ไทยเวียดนามตอนบน) มาเลเซียถึงอินโดนีเซียและคอสตาริก้า ขึ้นตามที่โล่งในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และเขาหินปูน ความสูง 50-1,300 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค พบบนภูเขาหินปูน ทุ่งหญ้าเปิดหรือพื้นที่เปิดโล่งของป่าผลัดใบผสม และป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 200-1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าใต้ดินเป็นเหง้าทอดเลื้อยรูปกลมเหง้ายาว 2.5-3.5 x 2 ซม สีน้ำตาล เนื้อในสีเหลืองอ่อน และมีตุ้มสะสมอาหาร กลิ่นหอมแรง ลำต้นเทียม (pseudostem) สูง10-30 ซม.ใบมี 2-4 ใบ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 7-35 ซม. ก้านใบยาว 1-2 ซม. กาบใบยาว 6-10 ซม.(ใบยาวรวมประมาณ 50-65 ซม.) ผิวใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างสีม่วงดำ มีขน ก้านดอกผลิตจากเหง้า ออกเป็นช่อสั้นจากเหง้าใต้ดิน ก่อนแทงใบ(ทั้งดอกไม้และใบไม้ไม่สามารถมองเห็นได้ในเวลาเดียวกัน) ดอกสีม่วงอ่อนปนสีขาว กาบประดับยาวได้ถึง 5 ซม. มี 4-12 ดอก บานครั้งละ 1-2 ดอก ใบประดับรูปขอบขนาน ยาว 2-4 ซม.ใบประดับย่อยสั้นและเรียวแคบกว่า กลีบเลี้ยงยาว 3-6 ซม. ดอกสีขาวหลอดกลีบดอกยาว 5-5.5 ซม.กลีบดอกรูปแถบ ปลายมีรยางค์ กลีบหลังยาว 4-5 ซม.กลีบข้างสั้นกว่าเล็กน้อย แผ่นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันรูปขอบขนาน ยาว 2-4 ซม.กลีบปากสีม่วงมีปื้นสีเหลืองที่โคน ยาวประมาณ 4 ซม.ปลายแฉกลึก อับเรณูยาว 5-8 มม.ยอดเกสรรูปถ้วย ขอบมีขน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดรำไร ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี น้ำปานกลาง ในฤดูหนาวควรงดให้น้ำ เพื่อป้องกันหัวเน่า
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ใบอ่อนและรากกินเป็นผักสด เหง้าและใบอ่อนใช้สำหรับแต่งกลิ่นอาหาร
-ใช้เป็นยาในอายุรเวทจำนวนมาก เหง้า- ขับปัสสาวะ นำมาบดและนำไปใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการเคล็ดขัดยอก เหง้าและรากทำเป็นครีมใช้ ทาแผลสดและใช้ร่วมเป็นยาสมุนไพรหลายขนาน พืชมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระในการควบคุมโรคที่ขึ้นกับอายุ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย, เบาหวาน, หลอดเลือด, มะเร็ง ฯลฯ ;-ตั้งแต่สมัยโบราณ มันถูกใช้เป็นสมุนไพรพื้นบ้านในเกาะกาลิมันตันของอินโดนีเซียที่เรียกว่าJamu ในอินโดนีเซียสมัยใหม่ มักใช้เป็นชาหรือน้ำหอม (น้ำมันหอมระเหย) เป็นประจำทุกวัน ;-กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานการวิจัยและพัฒนาของกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียได้เลือก Kempferia Rotunda เป็นหนึ่งใน 100 พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ใช้แก้ท้องเสียแก้อาเจียนส่งเสริมสุขภาพของผู้หญิงและโรคมะเร็งของระบบทางเดินหายใจ
-ใช้ปลูกประดับ มักจะปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อน ชนิดนี้มีใบหลายแบบ ถ้าใบรูปรีแกมรูปไข่กว้าง ไม่มีลาย เรียกว่า ว่านไก่ดำ ใบแคบเรียวแหลมไม่มีลายใต้ใบสีม่วงแดงเรียก ว่านไม้ดีด ใบเป็นกำมะหยี่ สีเขียว มีแต้มสีม่วงคล้ำและสีเขียวสลับเทาเรียก ว่านไม้ลัด
-อื่น ๆ น้ำมันหอมระเหยที่มี cineol สารที่มีกลิ่นของการบูร ได้มาจากเหง้าให้น้ำมันหอมระเหย 0.2% ที่มีสีเหลืออ่อน สารสกัดจากเหง้าได้แสดงกิจกรรมการฆ่าแมลงที่สำคัญต่อตัวอ่อนของแมลงศัตรูพืช Spodoptera littoralis(หนอนใบฝ้าย)
ความเชื่อ/พิธีกรรม---เชื่อว่าหากปลูกไว้ในบ้านจะส่งเสริมอำนาจและบารมี คงกระพันชาตรี มีเสน่ห์เมตตามหานิยมและค้าขายดี
ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---แยกเหง้า 

วิรุญจำบัง/Neohymenopogon parasiticus


ชื่อวิทยาศาสตร์---Neohymenopogon parasiticus (Wall.) Bennet.(1981)
ชื่อพ้อง---has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-133783
---Basionym: Hymenopogon parasiticus Wall.(1824)
---Mussaenda cuneifolia D.Don.(1825)
---Hymenopogon parasiticus var. longiflorus F.C.How ex W.C.Chen.(1987)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---วิรุญจำบัง (ทั่วไป), โพวาไหสยี (เชียงราย); โพอาศัย (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Shí dīng xiāng, Shí dīngxiāng.];[NEPALI: Biree, Gabre kaath, Gobre kaath, Hansaraaj, Vana gaajaa, Van viree.];[THAI: Wi run cham bang (general); Pho wa hai sa yi (Chiang Rai); Pho aa sai (Chiang Mai).];[VIETNAM: Đinh hương đá.].
EPPO Code---NHYPA (Preferred name: Neohymenopogon parasiticus.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ภูฏาน เนปาล พม่า อินโดจีน จีนตอนใต้
Neohymenopogon parasiticus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Joseph Bennett (1801-1876)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2524


ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย (หิมาลัย, ภูฏาน เนปาล), จีน (ยูนนาน), พม่า, อินโดจีน(ไทยและเวียตนามตอนบน), ที่ระดับความสูง 1600-2800 เมตร ในประเทศไทยพบตามภูเขาสูงทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้ [ภาคเหนือ: เชียงราย (ดอยผาห่มปก), เชียงใหม่ (ดอยเชียงดาว, ดอยอินทนนท์, ฯลฯ ), น่าน (ดอยภูคา ), ลำพูน (ดอยขุนตาล ), ลำปาง (ดอย หลวง), พิษณุโลก (ภูเมี่ยง, ภูหินร่องกล้า) ; ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ:เลย (ภูหลวง, ภูกระดึง , ภูเรือ ) ; ทางตะวันออกเฉียงใต้: จันทบุรี (เขาสอยดาว)อาศัยอยู่ตามคาคบไม้หรือบนก้อนหินที่มีมอสหนาแน่น หรือที่โล่งตามซอกหินปูนหรือหินทราย เป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น พบ ที่ระดับความสูง 1,200-2,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มส่วนมากอิงอาศัย epiphytic หรือ epilithic ขนาดความสูง1-2 เมตร ลำต้นอวบน้ำ หูใบรูปสามเหลี่ยม ยาว 0.5-1 ซม. ร่วงพร้อมใบ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ ตั้งฉากกัน รูปรีถึงรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ยาว 8-21 ซม.โคนเรียวแคบจรดก้านใบ แผ่นใบมีขนละเอียด เส้นแขนงใบข้างละ 15-28 เส้น ก้านใบยาว 0.5-2 ซม.ปลายใบแหลม ด้านล่างเห็นเส้นใบชัดเจน ดอกสีขาวสมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ประกอบด้วยช่อกระจุก 2-5 ช่อ ยาว 5-10 ซม. แต่ละช่อมีดอกย่อย มีใบประดับสีขาว หรือขาวแกมชมพูอ่อนรองรับ รูปรี กว้าง1.5-2 ซม.ยาว 5 ซม.กลีบรองดอกเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยก5กลีบด้านนอกมีขนนุ่ม กลีบดอกเป็นหลอดยาว 2.8-4 ซม.ส่วนปลายแผ่เป็น 5 กลีบรูปไข่ด้นในมีขนนุ่ม เกสรผู้5อัน ก้านชูสั้น อยู่บริเวณปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเมียยาวปลายแยกเป็น 2 แฉก ทิ้งใบช่วงติดผล ผล รูปโคนหัวกลับยาว 1.5-2 ซม.เมื่อแก่แล้วแตก มีขนปกคลุม และมีปีกที่ปลายทั้ง 2 ด้าน เมล็ดจำนวนมาก รูปแถบ ยาว 5-7 มม. รวมปีก
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม - กันยายน (ตุลาคม)/(กรกฎาคม) กันยายน - กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เศวตสุรีย์/Daphne sureil

ชื่อวิทยาศาสตร์---Daphne sureil W.W.Sm. & Cave.(1914)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2757258
---Daphne shillong Banerji.(1927)    
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เศวตสุรีย์, ไก่แก้ว, เข็มขาวป่า ;[BHUTAN: Argayle, Bhale, Kagate.];[CHINESE: Tou xu rui xiang, Ruì xiāng shǔ.];[FRENCH: Daphnà de l'Himalaya.];[NEPALESE: Argale.];[THAI: Sawaet suri, Khem kao pa, Kai kaew.];[VIETNAM: Chi Thụy hương.]
EPPO Code---DAPSU (Preferred name: Daphne sureil.)
ชื่อวงศ์---THYMELAEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล จีนตอนใต้ บังกลาเทศ  พม่า ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “daphne” ที่ใช้เรียก Laurus nobilis L.
*สกุล Daphne L. มีประมาณ 95 ชนิด พบในเอเชียโดยเฉพาะจีน มีหลายชนิดนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีกลิ่นหอม ต่างจากสกุล Eriosolena และ Wikstroemia ที่ก้านช่อไร้ก้านหรือมีก้านสั้นมากและออกตามซอกใบ ในไทยมีชนิดเดียว ส่วน D. composita (L. f.) Gilg ปัจจุบันให้เป็นชื่อพ้องของ Eriosolena composita (L. f.) Tiegh. *http://www.dnp.go.th/botany/
Daphne sureil เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กฤษณา (Thymelaeaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir William Wright Smith (1875–1956)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต H. Cave (1870 - 1965) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2457

 

ที่อยู่อาศัย พบในประเทศจีนโดยเฉพาะทิเบต พบตามป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 1,800-2,100 (-2,800) เมตร  และภูมิภาคอื่น ๆในบริเวณใกล้เคียง [บังคลาเทศ ภูฏาน  อินเดีย (หิมาลัย) ที่ระดับความสูง1,200-2400 เมตร] ในประเทศไทยพบตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือที่เชียงใหม่ ที่ระดับความสูง 1,200-2,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-4 เมตร กิ่งก้านสีน้ำตาลอมเทาใบเดี่ยวเรียงเวียนรูปรีหรือขอบขนาน กว้าง 1.5-5 ซม.ยาว 6-20 ซม.โคนใบสอบเรียวปลายใบแหลมขอบใบเรียบแผ่นใบหนาคล้ายหนังผิวเกลี้ยง ก้านใบยาว 0.5-1 ซม.ดอกสีขาวมีกลิ่นหอมออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอดแบบช่อกระจุกแน่น ไม่มีก้านช่อหรือมีก้านช่อสั้น ๆ ใบประดับรูปไข่ ยาว 0.8-1 ซม.ร่วงเร็ว แต่ละช่อมี 5-14 ดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม.กลีบรองดอก4กลีบโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว1-1.5 ซม กลีบดอกลดรูป เกสรเพศผู้ 8 อันเรียงเป็นวง2วงในหลอด ชูอับเรณูหรือมีก้านสั้นมาก อับเรณูยาว 1-2 มม.จานฐานดอกรูปถ้วย ขอบจัก รังไข่มี 1 ช่อง ยอดเกสรรูปโล่ ผลเป็นผลสดรูปกลมรี ขนาด 0.8-1.5 ซม.สุกแล้วสีแดง มีหลายเมล็ด
ระยะออกดอก---ตุลาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สตรอเบอรี่ป่า/Duchesnea indica

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Potentilla indica (Andr.) Wolf. (1904)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/5365717
---Basionym: Fragaria indica Andrews.(1807)
---Duchesnea indica (Andrews) Teschem.(1835)
ชื่อสามัญ---Mock strawberry, Indian strawberry, False strawberry, Yellow-flowered Strawberry, Wild Strawberry.
ชื่ออื่น---สตรอเบอรี่ป่า, ยาเย็น ;[CHINESE: Shé méi.];[CZECH: Jahodka indická.];[DUTCH: Schijnaardbei, Schijnaardbij.];[FRENCH: Duchesnée des Indes, Fraisier de Duchesne, Fraisier des Indes, Fraisier à fleurs jaunes.];[GERMAN: Erdbeerfingerkraut, Falsche Erdbeere, Indische Erdbeere, Indische Scheinerdbeere, Scheinerdbeere.];[HINDI: Kiphaliya.];[HUNGARIAN: Indiai szamóca.];[ITALIAN: Fragola matta.];[JAPANESE: Hebi-ichigo, Yabu-hebi-ichigo, yabu-hebiichigo, Yabu hebi ichigo.];[KOREAN: Baem ttalgi, Min baem ttal gi, Sup baem ttal gi.];[MANIPURI: Kakyenkhujin Laba.];[POLISH: Poziomkówka indyjska.];[PORTUGUESE: Falso-morangueiro-da-índia, Morango-de-rato, Morangueiro-de-jardím.];[SPANISH: Falsa fresa, Fresal amarillo, Frutilla salvaje.];[SWEDISH: Skensmultron.];[THAI: Ya yen (Chiang Mai); Satro boe ri pa (Central).];[USA: Indian mock strawberry.].
EPPO Code---DUCIN (Preferred name: Potentilla indica.)
ชื่อวงศ์---ROSACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Potentilla indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุหลาบ (Rosaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard-Francois Andre (1840-1911) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Franz Theodor Wolf (1841–1921) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2447


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น, เทือกเขาหิมาลัย) เกิดขึ้นในสนามหญ้าบนถนนในทุ่งที่รกร้างในป่าที่ถูกรบกวนและตามลำธาร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ตามที่เปิดบนภูเขาที่ระดับความสูง 700-2,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นที่มีรากเป็นเส้น ฐานของใบและ stolons โค้งหรือยาวได้ถึง 80 ซม.ลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน สูง 8-12 ซม.ใบเป็นใบประกอบแบบมีใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) รูปไข่กลับ กว้าง 1-2.5 ซม.ยาว 1-3.5 ซม.แผ่นใบมีขนทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 6 ซม.มีขนละเอียด ดอกออกเดี่ยวตามข้อสีเหลือง กลีบเลี้ยง 5 กลีบขนาด 4-7 มม.มักจะโค้งขึ้นไปด้านบน, รูปไข่รูปสามเหลี่ยม, กลีบดอก 5 กลีบ ยาว 5-9 มม.รูปไข่กลับสีเทา, สีเหลือง เกสรเพศผู้ 15-25 อัน อับเรณูสีเหลือง เกสรเพศเมียมีจำนวนมาก ผลเป็นผลสดยาว 0.9-1.5 มม. รูปไข่ที่ไม่สมมาตร ผลแก่สีแดงอมส้มเป็นเงางามมีกลีบรองดอกและกลีบประดับติดคงทน
ใช้ประโยชน์ ---ใช้กิน ผลกินได้ แม้จะมีลักษณะที่หวานฉ่ำแต่ผลไม้ก็แห้งไม่น่าสนใจและไม่มีอะไรเหมือนสตรอเบอร์รี่แท้ๆ
-ใช้เป็นยา ในเอเชียใบที่ถูกบดนั้นใช้เป็นยาพอกรักษาแผลไหม้และโรคผิวหนัง เป็นสมุนไพรในการแพทย์พื้นบ้านที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์แผนจีนโบราณ สำหรับการบำบัดโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคมะเร็ง, การอักเสบ, โรคเรื้อน, แก้ไข้, เลือดออกและอื่น ๆ
-ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกเป็นไม้ประดับจากทั่วทุกมุมโลก
-วนเกษตรใช้ ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินสำหรับสถานที่ร่มรื่นและชื้น มีความทนทานต่อการตัดและมักพบในสนามหญ้า
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-สิงหาคม/สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ส้มสันดาน/Hibiscus hispidissimus


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hibiscus hispidissimus Griff.(1854)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-19603609
---Hibiscus aculeatus Roxb.(1832)
---Hibiscus surattensis var. furcatus Roxb. ex Hochr.
ชื่อสามัญ---Wild Hibiscus, Comfort root, Hill hemp bendy.
ชื่ออื่น---ส้มสันดาน (นครราชสีมา) ;[CHINESE: Si mao fu rong.];[HINDI: Van gurhal.];[KANNADA: Betta bande, Kairpuli, Huligeri.];[MALAYALAM: Naranambuli, Uppanachakam, Anicham, Kalapoo.];[MARATHI: Kateri bhendi.];[SANSKRIT: Santhambasti.];[TAMIL: Kantagomgura.];[THAI: Som sandan (Nakhon Ratchasima).].  
EPPO Code---HIBHS (Preferred name: Hibiscus hispidissimus.)
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังกลาเทศ, จีน, อินเดีย, พม่า, ศรีลังกา, ไทย; แอฟริกา
Hibiscus hispidissimus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2397
ที่อยู่อาศัย บริเวณเขตร้อนของทวีปเอเซียและแอฟริกา พบในยูนนาน (ซีเมา) [บังกลาเทศ, อินเดีย, เมียนมาร์, ศรีลังกา, ไทย; แอฟริกา] ตามป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบและยังอยู่ในที่ราบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,500 เมตร ประเทศไทยพบตามพื้นที่เปิดโล่งหรือชายป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 100-600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีขนหนามแหลม ใบเดี่ยวรูปไข่แกมรูปหอก กว้าง 3-5 ซม.ยาว 4-6 ซม.แผ่นใบเว้าลึก 3-5 พู ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก ผิวใบมีขนสากคาย ดอกสีเหลือง ออกเดี่ยวตามซอกใบ ดอกบานกว้าง 3- 4 ซม.ริ้วประดับ 10 กลีบ ตรงกลางกลีบมีรยางค์เป็นเส้นตั้งขึ้น กลีบรองดอก 5กลีบ รูปไข่กลับ ปลายกลีบมนกลม โคนกลีบเชื่อมกัน ใจกลางดอกเป็นแต้มสีแดงเข้ม เกสรผู้จำนวนมาก ปลายเกสรเมียแยกเป็น 5 แฉก ผลรูปกระสวยขนาดประมาณ 1.5 ซม เมื่อแก่แล้วแตกตามยาว มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ด ขนาด 4.5 มม.รูปไตสีน้ำตาลมีขนสีขาวประปราย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบสุกรสเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ใช้ปรุงอาหาร
-ใช้เป็นยา เถาใช้ดองเหล้าดื่มแก้ปวดเมื่อย แก้ไอ
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สร้อยทองทราย/Polycarpaea corymbosa

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Polycarpaea corymbosa (L.) Lam.(1797)
ชื่อพ้อง---Has 28 Synonyms.
---Achyranthes corymbosa L.(1753)
---Polycarpaea corymbosa var. corymbosa (L.) Lam
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2409432  
ชื่อสามัญ---Old Man's Cap, Oldman's Cap
ชื่ออื่น---สร้อยทองทราย (ภาคกลาง), หญ้าปุยขาว (ขอนแก่น) ชีป่า, สิตถีน้อย ;[AYURAVEDIC: Parpata.];[CHINESE: Bai gu ding; Bǎi huācǎo (guǎngdōng); Mǎn tiān xīng cǎo (hǎinán).];[HINDI: Bugyale.];[KANADA: Poude Mullu Gida, Poude Mullu, Paade Mullu Gida.];[MALAYALAM: Katu-mailosina, Akkaramkolli, Achaaramkolli.]; [MARATHI: MarathiMaitosin, Koyap.];[SANSKRIT: Okharadi, Bhisatta,Tadagamritikodbhava, Parpata.];[SIDDHA: Nilaisedachi.];[TAMIL: Pallippuntu, Cataicciver, Nilaisedachi.];[TELUGU: Bommasari, Rajuma.];[THAI: Soi thong sai (Central); Ya pui khao (Khon Kaen); Shi pa, Sattathi noi.];[VIETNAM: Cây Bạch Cổ Đinh.].
EPPO Code---PCYCO (Preferred name: Polycarpaea corymbosa.)
ชื่อวงศ์---CARYOPHYLLACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียเขตร้อน แอฟริกา ออสเตรเลียและอเมริกา
Polycarpaea corymbosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวดอกคาร์เนชั่น (Caryophyllaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัย เป็นพืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน  ในแอฟริกาใต้ พบในเคนยา โมซัมบิก เจริญเติบโตทั่วไปบนเนินเขา บนดินทรายในป่าเปิดโล่งและทุ่งหญ้า บนพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณชายหาดที่ระดับความสูง 900-1800 เมตร ในสถานที่อื่น เช่น ในประเทศจีนพบใน เกาะไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ (มณฑลเจียงซี, กวางสี, ยูนนาน, มณฑลอานฮุย, ไห่หนาน, ฝูเจี้ยน, กว่างจง) ที่ระดับความสูง 210 - 1,150 เมตร บางครั้งก็เป็นวัชพืชในพื้นที่เพาะปลูก
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ต้นสูง 10-30 ซม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามเป็นกระจุกรูปแถบกว้าง 1-2  มม. ยาว 0.5-2 ซม.ปลายใบแหลม  หูใบ รูปใบหอก ยาว 2-3 มม. มีขนสีขาวปลายแหลม  ดอกช่อแบบช่อเชิงลด ออกที่ปลายยอด มีใบประดับบางและแห้ง ยาว 3-4 มม.ดอกแบบสมบูรณ์เพศ ก้านช่อดอกยาว  2.5-3 มม.ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกขนาดเล็กมากมี 5 กลีบสีชมพูหรือสีส้ม มีกลีบรองดอก5กลีบหุ้มอยู่ ดอกมีเกสรเพศผู้5อัน ผลแคปซูลรูปรี1-2.5 มม มี 3 พูแห้งแล้วแตก เมล็ดรูปไตขนาด 5-8 มม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านอีสานใช้ ทั้งต้นต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ-ใบใช้ผสมกับน้ำตาลทำเป็นยารักษาโรคดีซ่าน ;-ใช้ในอายุรเวท ใบ -ใช้เป็นยาพอก ต้านการอักเสบ ใช้แก้อาการตัวเหลืองในรูปแบบของยาเม็ดที่มีกากน้ำตาล บรรเทาและปกป้องเนื้อเยื่อภายในที่เกิดระคายเคืองหรืออักเสบ เป็นพืชฆ่าเชื้ออสุจิ ;-จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่าสารสกัดเอทานอลของ Polycarpaea corymbosa มีฤทธิ์ต้านอาการท้องร่วง
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ธันวาคม  
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สร้อยทับทิม/Persicaria barbata 

ถาพประกอบเพื่อการศึกษา---Photo: https://biodiversityofwestbengal.wildwingsindia.in/share.php?id=B5AnDiCaPoPebax1 (ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์)
ชื่อวิทยาศาสตร์---Persicaria barbata (L.) H.Hara.(1966)
ชื่อพ้อง---has 4 Synonyms.See all The Plant List
---Basionym: Polygonum barbatum L.(1753)
---Persicaria omerostroma (Ohki) Sasaki
---Polygonum kotoshoense Ohki
---Polygonum omerostromum Ohki
ชื่อสามัญ---Joint Weed, Bearded knot weed, Bunch sedge, Field sedge, Knot grass, Knot weed, Water milkwort.
ชื่ออื่น---สร้อยทับทิม),ภาคกลาง) ผักไผ่น้ำ, ผักแพรวกระต่าย(น่าน) ;[BENGALI: Bekh-unjubaz.];[CAMBODIA: Kating he.];[CHINESE: Mao liao.];[INDIA: Konde malle, Yelang, Niralari.];[INDONESIA: Salah nyowo, Mengkrengan (Javanese), Jukut carang (Sundanese).];[JAPAN: Inutade zoku.];[MALAYSIA: Tebok seludang, Johong beraleh, Panchis-panchis.];[NEPALESE: Bish.];[PHILIPPINES: Subsuban, Sigan-lupa (Tag.).];[THAI: Soi tap tim, Phak phai nam, Phak paw kra tai.];[VIETNAM: Nghể râu.].
EPPO Code---POLBA (Preferred name: Persicaria barbata.)
ชื่อวงศ์---POLYGONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อนุทวีปอินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิวกินี ฟิลิปปินส์
Persicaria barbata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักไผ่ (Polygonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hiroshi Hara (1911–1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายอย่างกว้างขวางในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของแอฟริกาซึ่งครอบคลุมไปถึงอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียและไมโครนีเซีย พบขึ้นบริเวณริมน้ำ ริมคลอง หรือในที่น้ำท่วมขังตื้น ๆ ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 1200 (1400) เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุก มีอายุอยู่ได้หลายฤดู ลักษณะ ลำต้นมีขนตั้งตรง เห็นข้อปล้อง สุงประมาณ 40-80 ซม.ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ  รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมขอบใบเรียบมีขนที่ริมใบและเส้นกลางใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-3 ซม.และยาวประมาณ 8-15 ซม.ผิวใบทั้งสองด้านมีขนขึ้นปกคลุม ก้านใบสั้นมีกาบใบแผ่เป็นแผ่นบางหุ้มรอบลำต้น ทำให้บริเวณข้อโป่งพอออกออกดอกเป็นช่อชาวตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีจำนวนมาก ดอกยาว 2-3.3 มม กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีม่วงแกมชมพู ผลเป็นผลแห้งไม่แตก
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าและใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้กินเป็นผักสด
-ใช้เป็นยา ชาวเขาเผ่าแม้วจะใช้ใบสร้อยทับทิม นำมาตำคั้นเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย-ตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ใบสร้อยทับทิมสด ผสมกับยาเส้น คั้นเอาน้ำทารักษาเกลื้อน เรื้อน และอาการคัน-เมล็ดใช้เพื่อบรรเทาอาการปวและจุกเสียด รากใช้รักษาหิด
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนน้ำทั่วไป
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2013
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำลำต้น     

สร้อยบุปผา/ Persicaria capitata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Persicaria capitata (Buch.-Ham. ex D.Don) H.Gross.(1913)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2576526
---Basionym: Polygonum capitatum Buch.-Ham. ex D.Don.(1825)
---Cephalophilon capitatum (Buch.-Ham. ex D.Don) Tzvelev.(1987)
ชื่อสามัญ---Japanese knotweed, Pink-headed Persicaria, Pink-headed Knotweed, Knotwood, Pink bubble persicaria, Magic carpet plant, Magic carpet polygonum, Pinkhead smartweed, Himalayan smartweed.
ชื่ออื่น---สร้อยบุปผา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Cǎo shí jiāo, Tou hua liao.];[CZECH: Rdesno hlavaté.];[DEUTSCH: Knöpfchen-Knöterich.];[DUTCH: Kogelduizendknoop.];[FINNISH: Nuppitatar.];[FRENCH: Herbe corail, Couvre-sol, Herbe de l’Himalaya, Renouée, Boule à Boissier, Renouée capitée.];[GERMAN: Kopf-Knöterich, Köpfchen-Knöterich.];[JAPANESE:Himetsurusoba, Tsurusoba.];[KOREA: Mardidae.];[GERMAN: KopfKnöterich.];[NEPALI: Ratnyaule Jhar.];[PORTUGUESE: Nudosilla, Poligono- de- jardim,Tapete-inglês.];[SPANISH: Nudosilla.];[SWEDISH: Slingerpilört.];[TAMIL: Nilgiri.];[THAI: Soi buppha (General).];[VIETNAM: Nghể hoa đầ u.].
EPPO Code---POLCT (Preferred name: Persicaria capitata.)
ชื่อวงศ์--- POLYGONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- จีน, อนุทวีปอินเดีย, อินโดจีน, ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, สหรัฐอเมริกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Persicaria มาจากภาษาละติน "persicarius,a,um" = คล้ายกับต้นพืชโดยอ้างอิงถึงรูปร่างของใบไม้; ชื่อของสายพันธุ์คือคำคุณศัพทฺภาษาละติน "capitatus,a,um"=มีหัว โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของช่อดอก
Persicaria capitata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักไผ่ (Polygonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hugo Gross (1888–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2456
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ผ่านทิเบต อนุทวีปอินเดีย (ภูฏาน, อินเดียตอนเหนือ, เนปาลและศรีลังกา) ;-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พม่า, ไทย, เวียดนามและมาเลเซีย)กลายเป็นสัญชาติในออสเตรเลีย แอฟริกาใต้และสถานที่กระจัดกระจายไม่กี่แห่งในสหรัฐอเมริกา(แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน ลุยเซียนา ฮาวาย)และพบใน นิวซีแลนด์ ลาเรอูนียง ส่วนใหญ่มักพบบนลาดภูเขา สถานที่ร่มเงาในหุบเขาที่ระดับความสูง 600-3,500 เมตร พืชมักจะแพร่กระจายได้อย่างอิสระในการเพาะปลูกและสามารถรุกรานได้ ถือเป็นการรุกรานในฮาวาย
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นทอดเลื้อยได้ไกล1-2 เมตร มีรากพิเศษแตกตามข้อ กิ่งก้านมีขนปกคลุม ใบรูปไข่แกมรูปรี ขนาดของใบ กว้าง 2-2.5 ซม.ยาว 4-5 ซม.ปลายมบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบบางมีแถบสีชมพูกลางใบ ผิวใบมีขนปกคลุม มีหูใบเป็นปลอก ดอกออกเป็นกระจุกกลมที่ปลายยอดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.5 ซม.บนก้านช่อดอกยาว 1-4 ซม.ดอกย่อยจำนวนมากอัดกันแน่น กลีบดอกสีขาวอมชมพูขนาดดอก 3-5 มม.ผลเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กสีน้ำตาลเข้ม ประมาณ1.5-2.2 × 1-1.5 มม.มี1เมล็ด กลีบเลี้ยงติดทน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดจนถึงร่มเงาบางส่วน ชื้น ดินที่อุดมด้วยฮิวมัสเล็กน้อย มักพบพืชเติบโตในที่ที่ไม่เอื้ออำนวยและดินที่ไม่ดี เช่น รอยแตกบนทางเท้า หิน ฯลฯ ทนต่อช่วงเวลาสั้น ๆ โดยมีอุณหภูมิลดลงถึง -5 ถึง -8°c
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนในการรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะต่างๆรวมทั้งนิ่วทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ สารสกัดจากน้ำหรือเอธานอลิกของพืชมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, ยาแก้ปวด, ต้านการอักเสบ, อุณหภูมิ, ขับปัสสาวะและกิจกรรมต่อต้านอนุมูลอิสระ พืชมีการใช้กันอย่างแพร่หลายอย่างมีประสิทธิภาพ ยาจำนวนหนึ่งจากพืชชนิดนี้ (เช่น Relinqing Granule และ Milin Capsule) ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศจีน
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้แขวนหรือเป็นไม้เลื้อยคลุมดินโดยใช้พันธุ์ต่างๆ เช่น 'Magic Carpet' เพื่อปลูกเป็นพืชคลุมดิน
ระยะออกดอก---พฤษภาคม-สิงหาคม/มิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด, ปักชำ เม็ดใช้เวลาในการงอก 3-6 สัปดาห์

สร้อยสุวรรณา/Utricularia bifida


ชื่อวิทยาศาสตร์---Utricularia bifida L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Nelipus bifida (L.) Raf.(1836)    
---Utricularia alata Benj.(1845)    
---Utricularia brevicaulis Benj.(1847)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50061638
ชื่อสามัญ---Bladderwort, Bifid Bladderwort
ชื่ออื่น---สร้อยสุวรรณา, เหลืองพิศมร (กรุงเทพฯ); สาหร่ายดอกเหลือง (ภาคกลาง); หญ้าสีทอง (เลย) ;[ASSAMESE: Patol-khar.];[CHINESE: Wa er cao.];[CZECH: Bumblebee.];[JAPANESE: Mimikakigusa.];[KOREAN: Ttang gwi gae.];[MALAYSIA: Lumut Ekor Kucing (Malay).];[THAI: Soi su wanna, Lueang phit samon (Bangkok); Sarai dok lueang (Central); Ya si thong (Loei).];[VIETNAMESE: Nhỉ cán chẻ hai.].
EPPO Code---UTRBD (Preferred name: Utricularia bifida.)
ชื่อวงศ์---LENTIBULARIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย ออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก
Utricularia bifida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สร้อยสุวรรณา (Lentibulariaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียและโอเชียเนียและสามารถพบได้ในประเทศจีน (มณฑลอานฮุย, ฉงชิ่ง, ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, เหอหนาน, หูเป่ย์, หูหนาน, เจียงซู, เจียงซี, ซานตง, ไต้หวัน, ยูนนาน, เจ้อเจียง) บังคลาเทศ, กัมพูชา, อินเดีย,  อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ปาปัวนิวกีนี, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม;, ออสเตรเลียตอนเหนือ, หมู่เกาะแปซิฟิก (กวม, ปาเลา) เติบโตในนาข้าว บึงและทุ่งหญ้าชื้นแฉะที่ระดับตวามสูงระหว่าง 600- 2,100 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ พบมากตามพื้นที่ชื้นแฉะ พื้นที่มักเป็นดินทรายและเป็นกรด พบบ้างบนหินชื้นแฉะ และพบได้น้อยในน้ำตื้นๆ พบที่ระดับความสูง 300-1,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกกินแมลงขนาดเล็ก อายุปีเดียวขึ้นเป็นกอเล็กสูง 10-15 ซม.มีไหลเป็นเส้นขนาดเล็กมีใบหลายใบออกจากไหล ใบเดี่ยวขนาดเล็กเรียงเวียนรอบโคนต้น มีอวัยวะจับแมลงเกิดตามข้อของไหลหรือบนใบรูปกลมขนาดเล็กมีก้านชูสั้นๆ ยาวประมาณ 1 มม.ช่อดอกออกจากโคนกอแบบช่อกระจะเป็นช่อตั้งสูงได้ถึง 60 ซม.มีดอกย่อย1-10 ดอก ใบประดับและใบประดับย่อยติดที่โคน ก้านดอกยาว 2-5 มม.มีปีกแคบ ๆ กลีบเลี้ยงแฉกลึกรูปไข่ ยาว 2-7 มม.ดอกสีเหลืองขนาด 6-10 มม.กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบบนมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของกลีบอื่น ปลายมนรูปไข่กลับ บริเวณโคนมีเส้นสีแดงเข้มตามยาว กลีบล่างมนกลมหรือแยกเป็นสองพู ตรงกลางกลีบเป็นถุงรูปจงอยโค้งไปด้านหลัง เกสรผู้ 2 อันติดอยู่บนหลอดกลีบดอก ช่วงออกดอกจะทิ้งใบหมด ผลแบบผลแห้งแตก รูปหัวใจ ขนาดเล็กยาวประมาณ 2.5 x 2 มม.ก้านผลพับงอ เปลือกผลบาง เมื่อแก่แตกตามแนวบนและล่าง เมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก รูปไข่กลับปลายตัด ยาว 0.4-0.6 มม มีลายร่างแห
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ดินร่วนปนทราย ชอบที่ชื้นแฉะ ชอบความชื้นสูงและอากาศเย็น
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา *ตำรายาไทยทั้งต้นมีสรรพคุณแก้ไข้ บำรุงเลือด รักษาโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ;-ตำรายาพื้นบ้านอีสาน ใช้ ทั้งต้น ต้มแล้วคั้นดื่มเพื่อบำรุงเลือด* http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=287
สำคัญ---เป็นดอกไม้ป่า 1 ใน 5 ชนิดที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานชื่อไว้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-มกราคม ช่วงออกดอกจะทิ้งใบ
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

สรัสจันทร/Burmannia coelestris


ชื่อวิทยาศาสตร์---Burmannia coelestris D.Don.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.
---Burmannia azurea Griff.(1851)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-222659
ชื่อสามัญ--- Indian Bluethread.
ชื่ออื่น--- กล้วยมือนาง (ชุมพร); กล้วยเล็บมือนาง (ภาคใต้); ดอกดิน, สรัสจันทร (ภาคกลาง); หญ้าหนวดเสือ (สุราษฎร์ธานี) ;[CHINESE: San pin yi zhi hua.];[INDONESIA: Sisik naga.];[JAPANESE: Mi do ri sha ku jou.];[MARATHI: Neelmani.];[THAI: Kluai mue nang (Chumphon); Kluai lep mue nang (Peninsular); Dok din (Central); Sarat chanthon (Central); Ya nuat suea (Surat Thani).].
EPPO Code---BWMCO (Preferred name: Burmannia coelestis.)
ชื่อวงศ์---BURMANNIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิวกินี ออสเตรเลีย ไมโครนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Burmannia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Johannes Burman (1707-1780) นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวดัตช์
Burmannia coelestris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้าข้าวก่ำ (Burmanniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายอย่างกว้างขวางในเนปาล, บังคลาเทศ, อินเดีย, จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ), พม่า, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, บอร์เนียว, อินโดนีเซีย, นิวกินีและออสเตรเลีย พบบริเวณทุ่งหญ้าเปิด ชายป่าโปร่ง ตามพื้นที่ชุ่มน้ำและที่แฉะตื้นๆที่ระดับน้ำทะเลถึง 300 (-800) เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามที่โล่งที่ชื้นแฉะ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูง10-30ซม.ลำต้นสีเขียวเล็กเรียวเป็นแกนบอบบาง ใบเดี่ยวสีเขียวซีดรูปแถบ ยาว 0.5-3 ซม.ออกเป็นกระจุกที่โคนต้น ตามข้อส่วนบนของแกน มีใบเกล็ดขนาดเล็ก 2-3 ใบ ดอกสีชมพูถึงสีม่วงอ่อนอมฟ้า ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด มี1-8 ดอก ใบประดับรูปใบหอก ยาว 3-6 มม.ดอกยาว 1-1.5 ซม.หลอดกลีบสีน้ำเงิน ยาว 0.5-1.3 ซม.มี 3 ปีก กว้าง 1.5-3 มม.กลีบรวมสีเหลืองอ่อน รูปสามเหลี่ยม วงนอกยาว 1-2 มม.ขอบซ้อน ติดทน วงกลีบในยาว 0.5-1 มม.อับเรณูปลายมีรยางค์เป็นสัน 2 สัน โคนมีเดือย รังไข่ยาว 3-7 มม. ยอดเกสรเพศเมียยาว 3-7 มม.ผลแห้งแตกรูปไข่กลับ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบขึ้นเป็นกลุ่มๆ บนซากพืชที่เน่าเปื่อย บนพื้นที่ชื้นแฉะ โดยเฉพาะตามแอ่งของลานหินทราย
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา *ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม บำรุงโลหิตหลังการอยู่ไฟ ผสมน้ำผึ้งปรุงเป็นยาลูกกลอน รับประทานแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือนำมาต้มดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง นำทั้งต้นมาขยำ และวางไว้ที่เล็บมือ แก้โรคเล็บออกดอก (เล็บมีสีขาว)* http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=288
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011
สถานภาพ--- พืชหายาก (ในประเทศไทย) เนื่องจากต้องอาศัยระบบนิเวศที่เปราะบางของพื้นที่ชื้นแฉะตามฤดูกาล ถิ่นกำเนิดมักจะถูกทำลายหรือเปลี่ยนสภาพ ประชากรจึงมีจำนวนลดน้อยลงทุกปี
ระยะออกดอก/ติดผล--- กันยายน- ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สะเดาดิน/ Lobelia alsinoides


ชื่อวิทยาศาสตร์---Lobelia alsinoides Lam.(1792)
ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms
---Dortmanna alsinodes (Lam.) Kuntze.(1891)
---Dortmanna trigona (Roxb.) Kuntze.(1891)
---Lobelia trigona Roxb.(1824)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-352002
ชื่อสามัญ---Chickweed Lobelia.
ชื่ออื่น---สะเดาดิน(ชัยนาท) ;[CHINESE: Duǎn bǐng bàn biān lián.];[MALAYALAM: Kakkapoo.];[THAI: Sadao din (Chai Nat).];[VIETNAMESE: Lỗ bình.].
EPPO Code---LOBAL (Preferred name: Lobelia alsinoides.)
ชื่อวงศ์---CAMPANULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย ภูฏาน เนปาล ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น อินโดจีน ฟิลิปปินส์ นิวกินี
Lobelia alsinoides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พระจันทร์ครึ่งซีก (Campanulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2335
ที่อยู่อาศัยพบกระจายใน จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ไต้หวัน, ทิเบต, ยูนนาน), บังคลาเทศ, อินเดีย, ญี่ปุ่น (รวมถึงหมู่เกาะริวกิว), ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, นิวกินี, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม พบตามทุ่งหญ้า ทุ่งนา ดินปนทรายบริเวณที่ชุ่มชื้น ที่ระดับความสูง (-800) เมตร ในประเทศไทยพบตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงบนดอยสูงทางภาคเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กสูง 10-50 ซม.ใบรูปแถบหรือรูปไข่ ขนาดกว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 1.5-2.5 ซม.ออกเรียงสลับขอบใบจักฟันเลื่อย  ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ ก้านดอกยาว 2-4 ซม.กลีบเลี้ยง5กลีลเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกแหลมสีแดง ดอกสีม่วงหรือฟ้าอมม่วง โคนกลีบดอกเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก ด้านล่าง3แฉกมีแต้มสีขาว ส่วนด้านบน 2 แฉกเชื่อมติดกัน ตรงกลางหยักเว้า ผลแคปซูลขนาด 4-5 × 3-4 มม.มีเนื้อนุ่มขนาดเล็ก มีเมล็ดมากมายสีน้ำตาล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ดินปนทรายหรือดินทั่วไป อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา แพทย์แผนโบราณของอินเดียตอนใต้ใช้ รูปแบบยาอายุรเวทที่เรียกว่า 'kalka' ใช้ในการรักษาความผิดปกติของตับเช่นโรคดีซ่าน
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม/กันยายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สัตฤาษี/Paris polyphylla


ชื่อวิทยาศาสตร์---Paris polyphylla Sm.(1813)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Daiswa polyphylla (Sm.) Raf.(1838)  
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-283892  
ชื่อสามัญ---Herb paris, Love Apple, Himalayan Paris.
ชื่ออื่น---สัตฤาษี, ตีนนกฮุ้ง, ตีนฮุ้งดอย (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Dian chonglou, Hua chonglou, Zao Xiu (Cao He Che, Chong Lou), Qī yè yī zhī huā, Qi ye yizhihua.];[HINDI: Satwa, Satuwa.];[NEPALI: Satuwa.];[SWEDISH: Himalayaormbär.];[THAI: Satta ruesi, Tin nok hung doi, Tin hung doi (Northern).];[VIETNAM: Trọnglâunhiềulá.].
EPPO Code---PJRPO (Preferred name: Paris polyphylla.)
ชื่อวงศ์---MELANTHIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อนุทวีปอินเดียและคาบสมุทรอินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Paris มาจากคำว่า parsหรือเท่ากับ ซึ่งหมายถึงความสมมาตรของพืชและผลคูณของสี่ที่ใบ ดอก และผลเติบโต : ชือสายพันธุ์ 'polyphylla' หมายถึง 'มีหลายใบ'
Paris polyphylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Bunchflower (Melanthiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2356
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน อินเดียตอนเหนือ, เนปาล, จีนตอนกลางและตอนใต้, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม,มักขึ้นอยู่ตามพื้นป่าดงดิบที่มีความชื้นสูงหรือตามซอกของโขดหินปูนที่มีร่มเงา ที่ระดับความสูง 100-3,500 เมตร ในประเทศไทยพบตามภูเขาสูงทางภาคเหนือ เช่น ดอยอ่างขาง ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ดอยภูแว จังหวัดน่านเป็นต้น ขึ้นตามป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 900-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า ลำต้นเทียมสูงได้ถึง 50 ซม. ใบเดี่ยวออกเป็นวงรอบข้อมีใบ 4-9 ใบ แผ่นใบรูปใบหอก หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ยาว 10.5-16.5 ซม.กว้าง2.5-5.5ซม. มีใบประดับ 4-6 ใบ ยาว 5-10 ซม.ดอก เดี่ยวเกิดที่ปลาย กลีบรวมวงนอกมีรูปร่างสีสันคล้ายแผ่นใบ ขนาดกว้าง 1.3-3.3 ซม.ยาว 5-10 ซม.มีเส้นคล้ายเส้นใบแบบร่างแห ส่วนกลีบรวมที่อยู่วงในมีขนาดสั้นกว่า สีเหลืองหรือสีเขียวอมเหลือง เกสรเพศผู้จำนวน 20-22 อัน ก้านเกสรเพศผู้แบน อับเรณูรูปแถบสีเขียวอ่อนมีร่องแตกตามยาว ยอดเกสรเพศเมีย6อันสีเหลืองสั้นอยู่ตรงกึ่งกลางดอก ผลแห้งแล้วแตก รูปเกือบกลมขนาด 2.5 ซม.มีช่องเปิด 4-5 ช่อง ภายในมีเมล็ดจำนวนมากสีแดงสด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ตำแหน่งในที่ร่มหรือบางส่วน ชอบดินร่วนปนทราย ขี้นได้ง่ายในดินที่อุดมด้วยฮิวมัสชื้นในสภาพป่าไม้ พืชที่เติบโตจากเมล็ดจะออกดอกช้ามากที่จากเมล็ด ดอกไม้แต่ละต้นมีอายุยาวนานมากถึง 3 เดือน
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดมีเนื้อหุ้มสีแดงและฉ่ำรสหวานกินได้แต่ดูไม่น่ากิน
-ใช้เป็นยา เป็นพืชสมุนไพรของคนภาคเหนือ ทั้งต้นมีสรรพคุณลดไข้ ส่วนหัวมีสรรพคุณแก้ปวด แก้อักเสบ และคลายกล้ามเนื้อ นำไปต้มแก้พิษงู, แผลน้ำร้อนลวก รักษาโรคคอตีบและสมองอักเสบ เหง้าใช้บรรเทาโรคหอบหืด ;-ในจีนใช้รักษา เลือดออกมดลูก, หลอดลมอักเสบ, ไวรัสตับอักเสบบี, การติดเชื้อของระบบน้ำดี, มะเร็งกระเพาะอาหาร
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกใต้ร่มเงาต้นไม้ในสวนป่า
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท "มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ" (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สางเขียว/Cautleya gracilis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cautleya gracilis (Sm.) Dandy.(1932)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all The Plant List
---Basionym: Roscoea gracilis Sm.(1822)
---Cautleya lutea (Royle) Hook.f.(1888)
---Roscoea lutea Royle.(1839)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-232554
ชื่อสามัญ---Hardy ginger, Hardy shade ginger, Cautleya lutea, Himalayan ginger, Slender Shade Ginger.
ชื่ออื่น---ข่าคาคบ, ปิ่นมวยคำ, เปราะสีชมพู, สางเขียว (ทั่วไป);[CHINESE: Ju yao jiang.];[GERMAN: Gelbe Cautleya.];[THAI: Kha kha khop, Pin muai kham, Pro si chomphu, Sang khiao (General).].
EPPO Code---CWJGR (Preferred name: Cautleya gracilis.)
ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ภูฏาน, จีน, อินเดีย, แคชเมียร์, พม่า, เนปาล, สิกขิม, ไทย, เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Cautleya ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Proby Thomas Cautley (1802–1871) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ;ชื่อสายพันธุ์ 'gracilis' มาจากภาษาละติน "gracilis" (= slim) และอาจอธิบายถึงลำต้นเทียมที่เพรียวบาง
Cautleya gracilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Edgar Dandy (1903–1976) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2475
ได้รับการยอมรับสองประเภท (Varieties):
---Cautleya gracilis var gracilis (syn. C. lutea (Royle) Hook.f.) - ปกติมีดอกไม่เกิน 10 ดอกใบประดับครอบคลุมกลีบเลี้ยงน้อยกว่า 2/3
---Cautleya gracilis var robusta (K.Schum.) Sanjappa (syns C. lutea var. robusta K.Schum.,C. cathcartii Baker) - โดยทั่วไปแล้วจะมีดอกสูงมากกว่า 10 ดอก ใบประดับครอบคลุมสองในสามของกลีบเลี้ยง (Wikipedia  site:emirate.wiki)


ที่อยู่อาศัย เทือกเขาหิมาลัย ;-ภูฏาน อินเดีย แคชเมียร์ เมียนมาร์ เนปาล สิกขิม ;-จีน (เสฉวน ซีซัง ยูนนานรวมถึงทิเบต) ;-อินโดจีน ไทย, เวียดนาม เติบโตในหุบเขาชื้นที่ระดับความสูง 900--3,100 เมตร ในประเทศไทยพบบนภูเขาสูงที่อากาศหนาวเย็นตลอดปีเช่น ทางภาคเหนือ-ดอยอินทนนท์ ดอยเชียงดาว ดอยภูคาและดอยผ้าห่มปก ภาคตะวันตกที่กาญจนบุรี ขึ้นอิงอาศัยบนไม้อื่น ตามคบไม้หรือโขดหินในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,300-2,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอิงอาศัยบนไม้อื่น (Epiphytic)หรือบนก้อนหิน (Lithophytic) มีเหง้าสั้น ลำต้นเทียมที่เกิดจากกาบใบห่อแน่นสีเขียวปนสีม่วงแดง สูงประมาณ 30-80 ซม.ลิ้นใบบาง ยาวประมาณ 2 มม ใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว รูปใบหอกแกมขอบขนานกว้าง 2-3.5 ซม.ยาว15-20 ซม. ปลายใบแหลมฐานใบรูปลิ่ม แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างใบมักมีสีม่วง ก้านใบสั้นหรือไม่มีก้านใบ ดอก สีเหลืองออกเป็นช่อจากปลายยอดยาวประมาณ12ซม.แกนช่อดอกสีแดง ใบประดับรูปขอบขนานยาวประมาณ 1.2 ซม กลีบรองดอกสีแดงปลายจักเป็นซี่เล็กๆ กลีบดอกเป็นหลอดยาว 4มม.ปลายแยกเป็นแฉกยาว 1.5-2 ซม.กลีบปากยาว 2 ซม.ปลายแยกเป็น 2 แฉก รูปขอบขนาน เกสรผู้ที่เป็นหมันยาวเท่ากับกลีบดอก เกสรผู้แท้มีอันเดียว ที่โคนมีเดือยสั้นๆ ผลรูปทรงกลมสีแดงสด เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2.ซม.ผลแก่แล้วแตกออกเป็น 3 ซีก เมล็ดสีดำขรุขระเป็นมันวาว ไม่มีเยื่อหุ้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดหรือใต้ต้นไม้ มีร่มเงาเป็นบางส่วน ดินที่กักเก็บความชื้นที่อุดมด้วยฮิวมัส ทนทานต่อความเย็น ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ถึง (-12°C)
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เหง้ามีสรรพคุณขับลม แก้ปวดท้อง
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นพืชสวนประดับ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-กันยายน/กันยายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า แยกหน่อ

สามสิบกีบ/Stemona phyllantha

ชื่อวิทยาศาสตร์---Stemona phyllantha Gagnep.(1934)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-309832
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือสามสิบ (ชลบุรี); สามสิบกีบ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); หนอนตายหยาก (เลย, ภาคกลาง, ภาคตะวันตกเฉียงใต้) ;[THAI: Khruea sam sip (Chon Buri); Sam sip kip (Northeastern); Non tai yak (Central, Southwestern, Loei).];[VIETNAMESE: Bách bộ hoa trên lá.].
EPPO Code---SMTSS (Preferred name: Stemona sp.)
ชื่อวงศ์---STEMONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--ไทย กัมพูชา
Stemona phyllantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์หนอนตายหยาก(Stemonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francois Gagnepain (1866-1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2478
ที่อยู่อาศัยพบในไทย กัมพูชา ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณใกล้ลำธาร หรือป่าดิบแล้ง และเขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาล้มลุก อายุหลายปี ยาวได้ถึง 6-10 เมตร ลำต้นสีเขียวอวบน้ำ รากรูปกระสวยออกเป็นกระจุกคล้ายรากกระชายจำนวนมาก ยาว 40-50 ซม.ใบเดี่ยวรูปไข่เรียงเวียน เรียงตรงข้าม หรือเวียนรอบข้อ กว้าง ยาว 12-17 ซม.โคนเว้าตื้น เส้นใบ 9-13 เส้น ก้านใบยาว 5-9 ซม.ดอกช่อ ออกที่ซอกใบมีดอกย่อย2-3ดอก ก้านช่อยาว 3-8 ซม.เชื่อมติดก้านใบ 0.5-1.5 ซม.ใบประดับยาว 0.5-1 ซม. ดอกสีเขียวอ่อนมีเส้นกลีบสีม่วงอมแดง ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม.กลีบรวมสีเหลืองอ่อนมีเส้นสีเขียวตามยาวรูปใบหอก ปลายแหลม กว้าง 1.2-2 ซม. ยาว 5.5-6.5 ซม.ตรงกลางดอกสีแดงกลิ่นเหม็น ผลรูปไข่แห้งแตกได้ ยาว 3-4 ซม.มี 10-12 เมล็ด สีน้ำตาลเข้มเรียวแคบ ยาวประมาณ 1.5 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา สรรพคุณ รสกลิ่นมันเมา ใช้หัวหรือรากตำให้ละเอียดผสมน้ำแก้เหา ฆ่าแมลง หนอน ทุบหัวปกหน้าไหปลาร้าให้หนอนตายใช้ส่วนหัวหรือราก3-5หัวต้มกินแก้พยาธิตัวจี๊ด ประดงผื่นคัน (บวมๆคันๆยิ่งเกายิ่งบวมย้ายที่) ต้มกินแทนน้ำประจำฆ่าพยาธิตัวจี๊ด ถ่ายน้ำเหลืองในคนมีเชื้อมะเร็งผิวหนัง ;-ยาพื้นบ้านอีสานใช้รากสระผมฆ่าเหา
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

สามสิบกีบน้อย/ Stemona hutanguriana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Stemona hutanguriana Chuakul.(2000)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-287780
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---สามสิบกีบ (หนองคาย), สามสิบกีบน้อย (อุบลราชธานี), หญ้าพบหนอน (ศรีสะเกษ) ;[THAI: Sam sip kip (Nong Khai); Sam sip kip noi (Ubon Ratchathani); Ya phop non (Si Sa Ket).]
EPPO Code---SMTSS (Preferred name: Stemona sp.)
ชื่อวงศ์---STEMONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Stemona hutanguriana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์หนอนตายหยาก(Stemonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Prof. Dr. Wongsatit Chuakul [(ศาสตราจารย์ดร.ภก. วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล (fl. 1999)] นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย ในปีพ.ศ.2543
ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย
ลักษณะ *เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงได้ถึง 30 ซม.มีรากสะสมอาหารเป็นกระจุก ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ถึงรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 1.5-3.5 ซม.ยาว 5-7.5 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบสอบเรียว ดอกช่อคล้ายช่อกระจะออกที่ซอกใบ กลีบรวม 4 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น รูปใบหอก กว้าง 2 - 2.5 มม. ยาว 7 - 13 มม. สีชมพูถึงชมพูเข้ม ผลแห้งแล้วแตก รูปกระสวย เมล็ดรูปขอบขนาน
ใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา สรรพคุณทางยา รสเมาเบื่อ หากนำไปต้มโดยผ่านการสะตุแล้วจะไม่เบื่อเมา ยาพื้นบ้านอีสานใช้รากต้มน้ำดื่มขับพยาธิตัวจี๊ด พยาธิผิวหนัง รักษาอาการน้ำเหลืองเสีย
-ใช้อื่น ๆ ตำผสมน้ำโชลมศรีษะฆ่าเหา ตำหมักน้ำมันพืชเป็นกระสาย ทาเหาและโรคเรื้อนในสัตว์
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า
*เอกสารอ้างอิง---มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล. (2548). สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5 สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. หน้า 151.

สาวสนม/Sonerila griffithii


ชื่อวิทยาศาสตร์---Sonerila griffithii C.B.Clarke.(1879)
ชื่อพ้อง-This name is unresolved.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ifn-80207
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---สาวสนม (นครราชสีมา) ;[THAI: Sao sanom (Nakhon Ratchasima).]
EPPO Code---SOESS (Preferred name: Sonerila sp.)
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย พม่า คาบสทุทรมาลายู
Sonerila griffithii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Charles Baron Clarke (1832-1906) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2422
ที่อยู่อาศัย พบที่พม่าและคาบสมุทรมลายู ประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เลย นครราชสีมา พบขึ้นทั่วใปตามบริเวณก้อนหินที่มีมอสปกคลุม หรือพื้นที่ชุ่มชื้นภายใต้ร่มเงาของป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาโดยเฉพาะริมลำธารที่ระดับ ความสูง 300-1,700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นอวบน้ำสั้น ๆ หรืออยู่ใต้ดิน สูง 5-10 ซม.บางครั้งมีปีกบาง ๆ มีขนประปรายตามลำต้น ใบเรียงตรงข้ามที่โคนต้นคล้ายออกเป็นกระจุก ใบเดี่ยวรูปรีไข่หรือรูปรีกว้าง1.5-4.5 ซม.ยาว 0.8-2.4 ซม.โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบหยักห่าง หลังใบสีเขียวเข้มหรือเขียวแก่ และมีจุดสีขาวตามเส้นกลางใบ ใบมักขึ้นอยู่ชิดติดกันและหนาแน่นตามยอด ก้านใบยาว 0.8-2.5 ซม.ดอกออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อโค้งสั้นๆที่ปลายยอดมี 3-6 ดอก ก้านช่อยาว 4-7 ซม.ขนาดดอก2-2.5ซม. กลีบดอก 3 กลีบรูปไข่กลับ กลีบกลางตั้งฉากกับสองกลีบด้านข้าง กลีบรูปรี ยาว 0.7-1.7 ซม.โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดตื้น ก้านเกสรเพศผู้สีชมพูอมแดงเกสรเพศผู้ 3 อัน สีเหลือง อับเรณูรูปรีปลายแหลมสีเหลืองสด ก้านเกสรเพศเมียเป็นหลอดเรียวสีชมพูอมแดง ผลรูปกรวย ยาว 4-6 มม. เรียบหรือมีสันตื้น ๆ
สถานภาพ---เป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก---เดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สิงขรา/Swertia calcicola


ชื่อวิทยาศาสตร์---Swertia calcicola Kerr.(1940)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Swertia calcicola Kerr is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2590536
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- ตากะปอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); หญ้าดอกลาย; สิงขรา (ทั่วไป); [THAI: Ta-ka-po (Karen-Chiang Mai); Ya dok lai, Sing kha ra.(general).]
EPPO Code---SWESS (Preferred name: Swertia sp.)
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Swertia calcicola เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Arthur Francis George Kerr (1877–1942) แพทย์ชาวไอริช เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานพฤกษศาสตร์ของเขาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาของพืชของประเทศไทยในปี พ.ศ.2483
ที่อยู่อาศัย *พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือที่ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เจริญอยู่ตามพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทุ่งหญ้าและตามซอกหินปูนแสงแดดจัด ระดับความสูง 2,000-2,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก ต้นสูงประมาณ 10-30 ซม.ไม่ค่อยแตกกิ่ง แตกใบมากบริเวณโคนต้น กิ่งก้านใบเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวออกตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่ กว้าง 2-3 ซม.ยาว 3-5 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบมน แผ่นใบอ่อนนุ่ม มีขนสั้นนุ่มปกคลุม ขอบใบจักฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อเชิงลดหลั่น มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกเป็นช่อตั้งตรงยาว 10-15 ซม.ดอกย่อยขนาด1ซม.ผลรูปขอบขนาน ยาว 5-8.5 มม.แก่แล้วแตกเป็น 2 พูมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก*
สถานภาพ---พรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย (endemic)
ระยะออกดอก---เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด
แหล่งอ้างอิง :*หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7
*http://www.qsbg.org/Database/Botanic_Book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=1534

สุวรรณภา/Senecio craibianus

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Senecio craibianus Hosseus.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:244654-1
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---สุวรรณภา, ไข่ขาง ;[THAI: Suwan napha (General); Khai khang (Chiang Mai).].
EPPO Code---SENSS (Preferred name: Senecio sp.)
ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เทือกเขาหิมาลัย เนปาล จีนตอนใต้ อินเดียตอนเหนือ ตอนเหนือของพม่าและไทย
นิรุกติศาสตร์---คำระบุชนิด 'craibinnus' เป็นเกียรติแก่ Dr. Carl Curt Hosseus นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันซึ่งสำรวจและเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทางภาคเหนือของไทย
Senecio craibianus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Dr Carl Curt Hosseus (1878-1950) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2454

 

ที่อยู่อาศัย เทือกเขาหิมาลัย เนปาล จีนตอนใต้ อินเดียตอนเหนือ ตอนเหนือของพม่าและไทย ในประเทศไทย พบได้ตามภูเขาทางภาคเหนือตอนบนของไทย พบมากที่ดอยหลวงเชียงดาว ดอยกิ่วลมและดอยหนอก ขึ้นเป็นดงขนาดใหญ่ตามซอกหินบริเวณไหล่เขา หรือยอดเขาหินปูนที่มีความชื้นสูง และเป็นบริเวณโล่งแจ้ง สูงจากระเับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 เมตรขึ้นไป
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีเป็นไม้พุ่มเตี้ยสูง 5-10 ซม.มักขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับเป็นเกลียวรอบต้นไม่มีก้านใบ แตกใบมากเป็นกระจุกบริเวณปลายยอด แผ่นใบรูปแถบขนาดเล็ก เนื้อใบหนานุ่ม กว้าง 0.5 ซม.ยาว 2-4 ซม.เห็นเส้นกลางใบได้ชัดเจน เมื่อแก่ใบจะเป็นสีม่วงอมเขียว ดอก ออกเป็นช่อ ตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อละหลายๆดอก สีเหลืองสด ขนาดดอกประมาณ 3 ซม.ดอกย่อยแบบช่อกระจุกแน่น ใบประดับซ้อนกันแน่นเป็นวงรอบฐานดอก สีเขียวเข้ม ดอกบนฐานรองดอกแบ่งออกเป็น 2 วง ดอกวงนอกเชื่อมกันเป็นรูปลิ้นหรือรูปไข่กลับ และดอกวงในขนาดเล็ก กลีบดอก 5 กลีบโคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด
สถานภาพ---พรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย (endemic)
ระยะออกดอก---ช่วงเดือนธันวาคม-เดือนมีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สุวรรณหงส์/ Pomereschea lackneri


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pommereschea lackneri Wittm.(1895.)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-259433
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---สุวรรณหงส์ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Zhí chún jiāng.];[THAI: suwan nahong (General).].
EPPO Code---1ZINF (Preferred name: Zingiberaceae.)
ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ พม่า ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pommereschea ตั้งตาม Bishop of Pommer-Eschen ในเยอรมนี (ชื่อฆราวาสJānis PommersหรือIvan Andreyevich Pommer)
*สกุล Pommereschea Wittm. มี 2 ชนิด พบที่จีนตอนใต้ พม่า ในไทยมีชนิดเดียว อีกชนิดคือ P. spectabilis (King & Prain) K.Schum. แผ่นใบเกลี้ยง ก้านใบสั้น พูที่โคนเรียงชิดกัน
Pommereschea lackneri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ludwig Wittmack (1839–1929) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2438
ที่อยู่อาศัย จีนตอนใต้ พม่า ไทย พบเจริญอยู่ตามซอกหิน สามารถเติบโตได้ตามซอกหินบนเขาหินปูน บริเวณที่โล่งแจ้งอากาศเย็น หรืออาจพบตามซอกหินปูนในป่าดิบเขา ที่มีต้นไม้ในวงศ์ก่อขึ้นห่างๆ ในประเทศไทยพบตามเขาหินปูนทางภาคเหนือ ที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ที่ระดับความสูง 800-2,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นลำต้นเทียมสูง 50-70 ซม.ใบจำนวน 4-5 ใบ รูปใบหอกแกมรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง 3.5-6 ซม.ยาว15-25 ซม.ผิวใบด้านล่างมีขนสั้นนุ่ม โคนใบเว้า ดอกออกแบบช่อเชิงลด สีเหลืองช่อดอกยาว 8-12 ซม.ใบประดับรูปใบหอก ยาว 1.5-2.5 ซม.หลอดกลีบเลี้ยงยาว 1.5 ซม.ปลายจักซี่ฟันเป็น 2 แฉก หลอดกลีบดอกยาว 2-2.5 ซม.ปลายแยกเป็น 3 แฉก รูปใบหอกยาว 1-1.3 ซม. ผลแห้ง แตก 3 ซีก
ระยะออกดอก---กรกฏาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

แสงคราม/Rhynchoglossum obliguum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhynchoglossum obliquum Blume.(1826)    
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Antonia obliqua (Blume) R.Br.(1832)
---Loxotis obliqua (Wall.) Benth.(1838)     
---Rhynchoglossum zeylanicum Hook.(1845)    
---Wulfenia obliqua Wall.(1826)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2426420
ชื่อสามัญ--Small-Flowered Tongue-Lip, Small Flowered Rhynchoglossum.
ชื่ออื่น---ดอกฟ้า, แสงคราม, เฉวียนฟ้า,โคมสายกระดิ่ง (ทั่วไป) ;[CHINESE: Jian she ju tai.];[MALAYALAM: Kalu-tali.];[THAI: Dok fa, Sang khram, Khom sai krading ; Chawian fa (General).
EPPO Code---RYMOB (Preferred name: Rhynchoglossum obliquum.)
ชื่อวงศ์---GESNERIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา จีนถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Rhynchoglossum obliquum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ว่านไก่แดง (Gesneriaceae) สกุลสายน้ำค้าง (Rhynchoglossum) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัย พบในจีน (กวางสี กุ้ยโจว ไต้หวัน ทิเบต ยูนนาน), กัมพูชา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม พบขึ้นบนเขาหินปูน ตามหน้าผา ที่ระดับความสูง 100-2,800 เมตร ในประเทศไทยพบที่ระดับความสูง 600-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอวบน้ำ ต้นสูงได้ถึง 70 ซม.ใบเดี่ยวรูปไข่ กว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 4.5-10 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบไม่สมมาตร ผิวใบด้านบนมีขน ดอกสีม่วงแกมฟ้า ออกเป็นช่อ จากซอกใบหรือปลายยอด ยาวได้ถึง 20 ซม.ดอก ย่อยขนาดบานกว้าง 1.5 ซม.ดอกติดระนาบเดียวกันบนก้านช่อดอก กลีบรองดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก มีขน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายกลีบแยกเป็น 2 ปาก กลีบปากล่างกว้างและยาวกว่ากลีบปากบนกลางกลีบล่างมีแต้มสีเหลือง เกสรเพศผู้ 2 อัน ผลรูปไข่ป้อม ขนาด 0.5 ซม.ถูกห่อหุ้มด้วยกลีบรองดอก เมล็ดกลมขนาดเล็กขนาดประมาณ 3-4.5 มม.มีเมล็ดจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดด ตลอดวัน ดินร่วยซุยมีอินทรียวัตถุสูง ความชื้นสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-พฤศจิกายน/สิงหาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

แสงแดง/Colquhounia coccinea var. mollis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Colquhounia coccinea var. mollis (Schltdl.) Prain.(1893)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-46338
---Bassionym: Colquhounia mollis Schltdl.(1852)
---Colquhounia tomentosa Houllet.(1873)
---Colquhounia vestita var. rugosa C.B.Clarke ex Prain.(1893)
ชื่อสามัญ---Himalayan mint shrub, Scarlet-flowered colquhounia.
ชื่ออื่น---แสงแดง, เฮาบาฮัว (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Shēn hóng huo bǎ huā; Mì méng huā (yúnnán dàlǐ), Xì yáng bābā huā (yúnnán fèng qìng), Pào zhang huā.];[THAI: Saeng daeng, Hao ba hua (Chiang Mai).].
EPPO Code---CQOCO (Preferred name: Colquhounia coccinea.)
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล ภูฎาน จีน อินเดีย พม่า ไทย
Colquhounia coccinea var. mollis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Diederich Franz Leonhard von Schlechtendal (1794–1866) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปีพ.ศ.2436


ที่อยู่อาศัย พบในเทือกเขาหิมาลัยของเนปาล ทางตอนเหนือของอินเดียและภูฏานกระจายไปทางใต้สู่ จีน(ทิเบตตอนใต้) ตะวันตกเฉียงใต้ของพม่าและภาคเหนือไทย เจริญเติบโตอยู่บนพื้นตามซอกหิน หุบเขา แม่น้ำและพื้นที่ป่า บางครั้งบริเวณที่เป็นที่โล่งแจ้งมีอากาศเย็น ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,400-2,300เมตร ประเทศไทยพบที่ ดอยเชียงดาวและดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นตามที่โล่งบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูง 1600-2200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม ต้นสูง 1-4 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านทุกส่วนของต้นมีขนสีเขียวนวลยาวหนานุ่มปกคลุมทั่วไป ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันและสลับตั้งฉาก แผ่นใบรูปหอกแกมรูปไข่ ขนาดกว้าง 3-5 ซม.ยาว 8-12 ซม.ปลายใบเรียวแหลมโคนใบมน ขอบใบจักถี่ ผิวใบทั้งสองด้านมีขนสั้นนุ่มสีขาวปกคลุมหนาแน่นดอกสีแดงส้ม ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่งและปลายยอดขนาดของดอกย่อย 3-5 ซม.มีดอกย่อย 8-20 ดอก  ตรงโคนก้านดอกมีใบประดับขนาดเล็กเป็นรูปหลอด ดอกย่อยรูปปากเปิด ส่วนปลายโค้งลงเล็กน้อยมีกลีบดอก4กลีบขนาดไม่เท่ากัน โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหหลอดปลายแยกเป็น 2 แฉก แฉกบนมีกลีบดอก1กลีบขนาดใหญ่รูปไข่กว้าง แฉกล่างมีกลีบดอก3กลีบแต่ละกลีบขนาดเล็กกว่ากลีบบน รูปกลม เกสรเพศผู้จำนวน 4 อันยื่นยาวโผล่พ้นกลีบดอกออกมา เกสรเพศเมียสีเหลือง ก้านชูเกสรยาวยื่นกว่าเกสรเพศผู้และโผล่พ้นกลีบดอกออกมาอย่างชัดเจน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดด ตลอดวันอากาศเย็นในเวลากลางคืน ดินร่วยซุยมีอินทรียวัตถุสูง ความชื้นสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ถึง (-12 ° C)
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนหรือไม้กระถางในที่ที่มีอากาศเย็น
สถานภาพ---ในประเทศไทย เป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก/ติดผล--- พฤศจิกายน- กุมภาพันธ์  
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ

แสงระวี/Colquhounia elegans


ชื่อวิทยาศาสตร์---Colquhounia elegans Wall.(1830)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-46343
---Colquhounia elegans var. elegans
---Colquhounia martabanica Kurz ex Prain.(1893)    
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---แสงระวี, แสงแดงน้อย ;[CHINESE: Xiù lì huǒ bǎ huā.];[THAI: Saeng rawee, Saeng daeng noi (General).];[VIETNAMESE: Tế Miên Hoa.]
EPPO Code---CQOSS (Preferred name: Colquhounia)
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ พม่า จีน อินโดจีน
Colquhounia elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2376
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (ยูนนาน) ,กัมพูชา ,ลาว ,พม่า ,ไทย ,เวียดนาม ตามชายป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา หรือบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูง 1.100-2.000 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-3 เมตร กิ่งอ่อน แผ่นใบ ช่อดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกด้านนอก มีขนสีน้ำตาลแดงสั้นนุ่ม ใบเดี่ยวรูปไข่ กว้าง 1.5-3.5 ซม.ยาว 2-4.5 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบกลมมนหรือทู่ ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ขอบใบจัก ก้านใบยาว 1-1.5ซม. ดอกสีส้ม ออกเป็นช่อกระจุกแน่น เป็นวงตามซอกใบ ดอกย่อย ขนาด 1.5-2 ซม.มี 5 แฉก มีขน กลีบดอกมี 5 กลีบเชื่อมเป็นหลอดโค้งงอเล็กน้อย ปลายแผ่แยกเป็น 2 ปาก เกสรเพศผู้ 5 อัน ผลรูปทรงกลมขนาดเล็ก
ใช้ประโยชน์---ดอกมีความสวยงาม นำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ได้ดี
ระยะออกดอก---มกราคม-กุมภาพันธ์  
ขยายพันธุ์---เมล็ด
แหล่งอ้างอิง---หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7 (http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=1436)

หญ้าเขมร/ Lindernia cambodgiana

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา Vandellia L.---Photo: https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:38096-1
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Vandellia cambodgiana (Bonati) Eb.Fisch., Schäferh. & Kai Müll.(2013)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77135799-1
---Basionym: Lindernia cambodgiana (Bonati.) Philcox.(1970)
---Ilysanthes cambodgiana Bonati.(1908)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หญ้าเขมร, เข็มลาย (ทั่วไป) ;[THAI: Ya khamen, Khem lai (General).];[VIETNAM: Lữ đằng cam bốt.].
EPPO Code---VDASS (Preferred name: Vandellia sp.)
ชื่อวงศ์---LINDERNIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน
Vandellia cambodgiana แต่เดิมใช้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Lindernia cambodgiana (Bonati) Philcox เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Linderniaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Gustave Henri Bonati (1873-1927)เภสัชกรและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Eberhard Fischer (born 1961) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน.,Bastian Schäferhoff (fl. 2009)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน.และKai Müller (born 1975).นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2556
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูง 8-30 ซม.ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปใบหอกแกมรูปแถบ หรือรูปขอบขนาน กว้าง1-3 มม.ยาว 4-20 มม.ปลายใบโคนใบแหลม ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจะสั้น ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อย 5-12 ดอกสีม่วงเข้ม ผลรูปไข่แห้งแล้วแตก
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสานใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื่ม ขับเสมหะแก้หืด;-ทั้งต้น ผสมเหง้าข่า เหง้าข่าคม เหง้าขมิ้นชัน ห่อข้าวสีดาทั้งต้น ชุมเห็นเทศทั้งต้น และใบขี้เหล็ก หรือผสมเข็มแดง (Lindernia aculeata (Bonati) T.Yamaz.) ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม ขับเสมหะ แก้หืด
ระยะออกดอก/ตืดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด
เอกสารอ้างอิง---มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล. (2548). สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5 สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. หน้า 106.
http://pharmacy.su.ac.th/herbmed/herb/text/herb_detail.php?herbID=381

หญ้าไข่เหา/Mollugo pentaphylla


ชื่อวิทยาศาสตร์---Trigastrotheca pentaphylla (L.) Thulin.(2016)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77158653-1
---Basiontm: Mollugo pentaphylla L.(1753)
---Pharnaceum pentaphyllum (L.) Spreng.(1824)
---Pharnaceum triphyllum Spreng.(1824)
ชื่อสามัญ---Five Leaved Carpetweed, African Chickweed, Itch flower.
ชื่ออื่น---หญ้าไข่เหา (ภาคเหนือ), สร้อยนกเขา (ชลบุรี), หญ้าตีนนก (ตราด), หญ้านกเขา (ชัยนาท) ;[ASSAMESE: Khet papra, Khet-papra];[BENGALI: Khet-papra.];[CHINESE: Su mi cao, Di ma huang, Su mi cao.];[FRENCH: Mollugine, Olsine.];[HINDI: Chamas, Khet papar, Triyashti.];[INDONESIA: Jampang kulut, Jukut taridi, Gaingsa.];[JAPANESE: Zakuro sou.];[MALAYALAM: Parpadakapullu.];[MALAYSIA: Tapak burong, Rumput belangkas, Bunga karang, Daum mutiara (Malay).];[MARATHI: Jharasi, Sarsalida.];[NEPALI: Nyaulee, Nyauli.];[ORIYA: Malagoso.];[PHILIPPINES: Malagoso (Tag.).];[SANSKRIT: Chamas, Grishmasundara, Parpataka, Triyashti.];[TAMIL: Kuttuttiray, Seeragappoondu, Turapoondu.];[TELUGU: Chetaras, Verri chatarasi.];[THAI: Ya khai hao (Northern); Soi nok khao (Chon Buri); Ya tin nok (Trat); Ya nok khao (Chai Nat).]; [VIETNAMESE: Cây Bình Cu, Bình Cu.].
EPPO Code---MOLST (Preferred name: Trigastrotheca pentaphylla.)
ชื่อวงศ์---MOLLUGINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เมลเซีย( Malesia) ญี่ปุ่นนิว แคลิโดเนีย
Trigastrotheca pentaphylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สะเดาดิน (Molluginaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thulinในปีพ.ศ.2559
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายจากอินเดียผ่านเอเชียเขตร้อนไปยังออสเตรเลียนิวแคลิโดเนียและไมโครนีเซีย เป็นวัชพืชท้องถิ่นในพื้นที่เพาะปลูกรวมถึงนาข้าวและทุ่งหญ้าเปิด แต่ยังอยู่ในเขตทรายหรือหินที่ระดับความสูงต่ำและปานกลาง
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กสูง20 ซม. แตกกิ่งมาก กิ่งมักมีสีแดง ใบเดี่ยว1.5-3.5 x 0.6-1.2 ซม เรียงตรงข้าม รูปแถบแกมใบหอก ปลายใบเรียวแหลมโคนใบแหลม ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบหรือปลายยอด กลีบรวม5กลีบสีขาว ผลแคปซูล 2-2.5 มม.แห้งแล้วแตก เมล็ดรูปไตจำนวนมากสีน้ำตาลเข้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแดดจัดหรือมีร่มเงาบ้าง เติบโตในทรายหรือหิน
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในประเทศอินเดีย ใบจะกินเป็นหม้อขมสมุนไพร-ในประเทศจีน ทำเป็นซุปเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
-ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสานใช้ทั้งต้น ขยี้ผสมเกลือ อุดฟัน แก้รำมะนาด;-ในยาพื้นบ้านของไต้หวันใช้เป็นยาต้านมะเร็ง ยาต้านพิษและยาขับปัสสาวะ ในขณะที่ยาต้มจากรากใช้รักษาโรคตา;-ในชวาใช้สำหรับป่วงและปากติดเชื้อ;-ในมาเลย์ใช้เป็นยาพอกขาแก้ปวด;-ในประเทศอินเดียพืชทั้งหมดจะใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ใช้กับโรคกระเพาะอาหาร ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ;-ในประเทศจีนใช้ยาต้มรากเพื่อรักษาโรคตา;-ในบังคลาเทศลำต้นและผล ใช้ในการรักษาโรคไขข้ออักเสบ;- ในประเทศไทยพืชทั้งหมดใช้เป็นยาลดไข้
-อื่นๆ ในหมู่เกาะโซโลมอนพืชทั้งต้นถูกเผาเพื่อทำยากันยุง
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าจาม/Limnophilla micrantha

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---Photo: Original - https://inaturalist.ca/taxa/156861-Limnophila
ชื่อวิทยาศาสตร์---Limnophila micrantha (Benth.) Benth.(1846)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:804338-1
---Herpestis pygmaea Griff.(1854)
---Stemodia micrantha Benth.(1832)
---Terebinthina micrantha Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หญ้าจาม (ภาคใต้), เนียมนกขาบ (อุบลราชธานี) ;[THAI: Ya cham (Peninsular), Niam nok khab (Ubon Ratchathani).]; [VIETNAMESE: Om hoa nhỏ.]
EPPO Code---LIOMI (Preferred name: Limnophila micrantha.)
ชื่อวงศ์---SCROPHULARIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย, บังคลาเทศ, ปากีสถาน, เนปาล, จีน, พม่า, ลาว, ไทย, กัมพูชา, เวียตนาม, มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Limnophila มาจากภาษากรีก “limne”=ที่ชื้นแฉะ และ“philos” =ชอบ อ้างอิงถึงพืชที่ชอบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ
Limnophila micrantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มณเฑียรทอง (Scrophulariaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2389
ที่อยู่อาศัย พบใน อินเดีย (อัสสัม), บังคลาเทศ, ปากีสถาน, เนปาล, จีน (ไหหนาน), พม่า, ลาว, ไทย, กัมพูชา, เวียตนามและมาเลเซีย
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูง 3-20 ซม.ทอดเลื้อยตามผิวดิน ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปขอบขนานแกมรูปแถบ กว้าง 1-5 มม.ยาว 4-14 มม.ปลายใบมนหรือเกือบกลม ขอบใบเรียบหรือหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อ 2-4 ดอก ออกที่ซอกใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบโคนกลีบติดกันเป็นรูปกรวยสีม่วง สีม่วงอ่อนอมชมพู หรือสีขาว ผลเดี่ยวแบบแห้งแล้วแตกตามตะเข็บ มีเมล็ดเล็กๆจำนวนมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสานใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื่ม ขับลม
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าดอกลาย/Swertia angustifolia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Swertia angustifolia Buch.-Ham ex D. Don.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:370793-1
---Ophelia angustifolia (Buch.-Ham. ex D.Don) D.Don ex G.Don.(1825)
ชื่อสามัญ-- Hill chirata, Narrow-leaved swertia.
ชื่ออื่น---ผักหอมโคก, หูกระต่ายโคก (เลย); หญ้าดอกลาย, หญ้าดีควาย, หญ้าดีแฟน (เชียงใหม่) ;[AYURVEDIC: Kiraata.];[CHINESE: Xia ye zhang ya cai.]; [NEPALI: Chiraito, Bhale chiraito, Gotha Tite, Patlay Chireto, Khupli, Tikta.];[INDIA: Pahaari Kiretta, Mithaa (sweet) Kiryaat.(Folk).];[THAI: Phak hom khok (Loei); Ya dok lai (Chiang Mai); Ya di khwai (Chiang Mai); Ya di faen (Chiang Mai); Hu kratai khok (Loei).].
EPPO Code---SWEAN (Preferred name: Swertia angustifolia.)
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ภูฏาน อินเดีย แคชเมียร์ เมียนมาร์ เนปาล สิกขิม จีน อินโดจีน
Swertia angustifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย พบใน ภูฏาน อินเดีย แคชเมียร์ เมียนมาร์ เนปาล สิกขิม ที่ระดับความสูง 600-2,600 เมตร;-ในประเทศ จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, หูเป่ย, หูหนาน, เจียงซี, ยูนนาน)ที่ระดับความสูง100-3,300 เมตรและภูมิภาคอินโดจีน (ไทย, ลาว, เวียตนาม) ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขึ้นตามที่โล่งบนเขาหินปูน ทุ่งหญ้าป่าโปร่ง ที่ระดับความสูง 200-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกสูง 30-80 ซม.ลำต้นเหลี่ยม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีแคบหรือรูปใบหอก ยาว 2-6 ซม.โคนใบสอบปลายใบแหลม ไม่มีก้านใบ ช่อดอกออกที่ยอด ก้านดอกยาว 3-7 มม.กลีบเลี้ยงรูปใบหอก ยาว 6-8 มม.ปลายแหลม มีเส้นกลีบ 1-3 เส้น ดอก 4 กลีบสีขาว มีขีดและจุดม่วงอมน้ำเงินทั่วกลีบ กลีบรูปรี ยาว 4-6.5 มม.ปลายแหลม ขอบเว้าเล็กน้อย โคนกลีบมีต่อมน้ำต้อย 1 ต่อม มีเกล็ดเป็นแผ่นกลมรอบ ขอบจักชายครุยสั้น ๆผล ผลรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาว 4-8 มม.แห้งแล้วแตก เมล็ดสีน้ำตาล ทรงรี ขนาดประมาณ. 0.6 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ในดินทั่วไป ความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ช่วยลดอาการบวม (การอักเสบ) พยาธิผิวหนัง และโรคมะเร็ง บางคนใช้เป็น“ ยาชูกำลังขม” ในอินเดียใช้สำหรับรักษามาลาเรียเมื่อรวมกับเมล็ดของสวาด [divi-divi (Guilandina bonducella).]
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน--พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าดาว/Swertia striata

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Swertia striata Collett & Hemsl.(1890)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Swertia striata Collett & Hemsl is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2590051
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หญ้าดาว, หญ้าดอกลาย ;[THAI: Ya dok lai (Chiang Mai), Ya dao.]
EPPO Code---SWESS (Preferred name: Swertia sp.)
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย
Swertia striata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)สกุลหญ้าดอกลาย(Swertia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ambroise Colete Alexandre Verschaffelt (1825-1886) นักพืชสวนชาวเบลเยี่ยมและWilliam Botting Hemsley (1843-1924) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2433
ที่อยู่อาศัย พบใน พม่า ไทย ในประเทศไทยพบตามเทือกเขาทางภาคเหนือบนยอดดอยหลวงเชียงดาวและกิ่วลม เจริญเติบโตอยู่ตามที่แจ้งบนภูเขาหินปูนและมีหญ้าขึ้นปกคลุม ที่ระดับความสูง1,700-2,200 เมตร
ลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีแตกกิ่งเป็นพุ่มขนาดเล็ก กิ่งมักทอดเลื้อยไปตามผิวดินแล้วชูยอดขึ้นมา ต้นสูง 30-60 ซม.ใบเดี่ยวออกตรงข้ามสลับตั้งฉาก มักแตกใบมาก ออกเป็นกระจุกตรงโคน แผ่นใบขนาดเล็กรูปรีหรือรูปขอบขนาน มักโค้งงอเป็นรูปเคียว กว้าง 0.3-0.4 ซม.ยาว1.5-2 ซม.ไม่มีก้านใบ ดอกช่อออกตามปลายกิ่งก้านดอกยาว 5–10 มม.ขนาดดอก1.5-2.5 ซม.กลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดสั้นๆปลายแยกเป็น 5 แฉก เรียวแหลมคล้ายแผ่นใบ กลีบดอก 5 กลีบโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉกกลีบดอกแหลมและห่อคล้าย รูปเรือ ผลเป็นแบบผลแห้งแล้วแตก รูปขอบขนานยาว 0.7–1 ซม.สีเหลืองหรือสีเขียวอ่อน
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้าน พืชในสกุลหญ้าดอกลายใช้ในตำรายาอายุรเวทของอินเดีย และตำรายาของทิเบต
ระยะออกดอก/ติดผล--- พฤศจิกายน- กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าน้ำค้าง/Drosera indica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Drosera indica L.(1753).
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Drosera angustifolia F.Muell.(1855)
---Drosera hexagynia Blanco.(1845)
---Drosera makinoi Masam.(1935)
---Drosera metziana Gand.(1913)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-64386
ชื่อสามัญ---Indian Sundew, Flycatcher, Dew Plant, Sundew
ชื่ออื่น---หญ้าน้ำค้าง (ตะวันออกเฉียงเหนือ) หยาดน้ำค้าง, ต้นบาดทะยัก, มะไฟเดือนห้า, หญ้ายองไฟ, หนามเดือนห้า ;[CAMBODIA: Sansaeum duoch (Central Khmer).];[CHINESE: Zhang ye mao gao cai.];[HINDI: Kandulessa.];[[INDIA: Azhukanni (Other).];[JAPANESE: Shoku chūsō, Naga ba no ishimochi sou, Nagaba-no-ishi-mochi-sô.];[MALAYALAM: Theeppullu, Akara-puda.];[MARATHI: Gawati Davbindu.];[RUSSIA: Rosyanka indiyskaya.];[THAI: Ya nam khang (Northeastern).].
EPPO Code---DRSID (Preferred name: Drosera indica.)
ชื่อวงศ์---DROSEARACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เอเซีย ออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเซียและออสเตรเลีย
Drosera indica เป็นสายพันธุ์พืชกินเนื้อในครอบครัววงศ์หยาดน้ำค้าง (Droseraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนและแอฟริกาใต้จากเซเนกัลถึงซิมบับเวและโมซัมบิก, มาดากัสการ์, เขตร้อนและเอเชียกึ่งเขตร้อน-อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, จีน, ญี่ปุ่น,อินโดจีน, ออสเตรเลีย(รัฐควีนส์แลนด์และตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียตะวันตก),ในประเทศไทยพบตามทุ่งหญ้า ตามที่ชื้นแฉะ ที่โล่งและสภาพดินไม่สมบูรณ์  ในพื้นที่เปิดทั่วประเทศ พบมากที่ภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง ถึง1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกกินแมลงลักษณะลำต้นอ่อนสีแดงทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ส่วนยอดชูตั้งขึ้น สูงได้ถึง 30 ซม.ไม่มีหูใบ ใบเดี่ยวออกสลับไปตามลำต้น รูปแคบเรียว กว้าง1-2มม.ยาวถึง10 ซม.มีขนสีแดงปกคลุมชัดเจน ปลายใบม้วนงอ ตอนปลายเป็นตุ่มใสภายในมีเมือกเหนียวสำหรับดักจับแมลงเป็นอาหาร ดอกสีม่วงหรือชมพูออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด ยาว 5-15 ซม.มีได้ถึง 20 ดอก ดอกบานกว้าง 0.5 ซม. กลีบรองดอก5กลีบรูปใบหอก ยาว 3-5 มม.ด้านนอกมีขน กลีบดอก5กลีบ รูปไข่กลับ ยาวเกือบ 1 ซม.ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านเกสรเพศเมีย 3 อัน แต่ละอันแยก 2 แฉกเกือบจรดโคน ผลรูปขอบขนานขนาดเล็ก ยาวประมาณ 3 มม.แก่แล้วแตกเป็น3ซีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ชอบดินปนทราย ขึ้นได้ในดินทั่วไปความชื้นสม่ำเสมอน้ำค่อนข้างมาก อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอิสาน ใช้ต้นแห้งดองเหล้าดื่ม แก้ท้องมาน ต้นสดขยี้ทารักษากลากเกลื้อน ใบ ต้มน้ำดื่มแก้ตับอักเสบ บำรุงหัวใจ ขับระดูและพยาธิ ทั้งต้น เป็นยาบำรุง  
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018
ระยะออกดอก/ติดผล--- สิงหาคม - พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าบัว/Xyris indica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Xyris indica L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Ramotha vera Raf.(1837)
---Xyris calocephala Miq.(1857)
---Xyris capito Hance.(1876)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-272754
ชื่อสามัญ---Tall yellow-eyed grass, Indian yellow-eyed grass.
ชื่ออื่น---กระจับแดง (นราธิวาส); กระถินทุ่ง (ตราด); กระถินนา (จันทบุรี); หญ้ากระเทียม (ปราจีนบุรี); หญ้าขี้กลาก (สระบุรี); หญ้าบัว (ปราจีนบุรี) ;[AYURVEDIC: Daadmaari, Dhobi Deeb.];[BENGALI: Haabiduuba.];[CAMBODIA: Smaw thnaktuk (Central Khmer).];[CHINESE: Huáng yǎn cǎo.];[MALAYALAM: Kochelachi-pullu.];[THAI: Krachap daeng (Narathiwat); Kra thin thung (Trat); Kra thin na (Chanthaburi); Ya kra thiam (Prachin Buri); Ya kra thiam (Prachin Buri); Ya khi klak (Saraburi); Ya bua (Prachin Buri).];[VIETNAM: Cỏ vàng.].
EPPO Code---XYRIN (Preferred name: Xyris indica.)
ชื่อวงศ์---XYRIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย
Xyris indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระถินทุ่ง (Xyridaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย (เบงกอล,อัสสัม,คาบสมุทรตะวันตก) ศรีลังกา พม่า จีน (ไห่หนาน) ภูมิภาคอินโดจีน (พม่า ลาว ไทย กัมพูชา)และมาเลเซีย ออสเตรเลีย ขึ้นตามที่โล่งที่ชื้นแฉะ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 300 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค พบมากในนาข้าว บริเวณที่ลุ่มชื้นและมีน้ำขัง พบมากในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว  
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียวลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน ใบแตกเป็นกอขึ้นเหนือดินสูงได้ถึง 1 เมตร.ใบเดี่ยวจำนวนมากแบนยาวคล้ายใบหญ้าโคนใบแผ่เป็นกาบยาว 20-45 x 0.4-0.8 ซม.ก้านช่อดอกยาว 30-70 ซม.มีริ้ว 6-15 เส้น.ช่อดอกรูปไข่หรือทรงกระบอก ยาว 1-3.5 ซม.มีใบประดับสีน้ำตาลซ้อนกันแน่น คล้ายเกล็ดปลารูปไข่ค่อนข้างกลมหรือยาวรี ยาว 4-8 มม.ดอกสีเหลืองสดบางใสขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกมี 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกรูปไข่กว้าง ยาว 1.2-1.5 มม.ปลายกลีบหยักเป็นครุย เหี่ยวง่ายทยอยบานจากโคนช่อไปหาปลายช่อ ผลเดี่ยวสีน้ำตาล รูปไข่กลับ ยาว 5-7 มม.เมล็ดมีสันตามยาว 14-19 สัน สันตามแนวขวางมี 1-3 สัน เมล็ดขนาดเล็ก ติดอยู่ตามช่อดอก มีสีดำ เป็นจำนวนมาก พอแก่เต็มที่จะร่วงไป
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ชอบดินร่วนปนทราย
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ทั้งต้น ผสมไหลหญ้าชันกาด และรากครามป่า ต้มน้ำดื่ม บำรุงกำลัง ใช้ภายนอกรักษาขี้กลาก;- ตำรายาไทย ลำต้น รักษาโรคกลากเกลื้อน;-ในกัมพูชาใบใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนัง-ในอินเดียใช้ทั้งต้นล้างพิษ ใช้รักษาแผลพุพองโรคเรื้อนและคัน
-ใช้อื่น ๆ นำมาใช้จัดร่วมกับช่อดอกไม้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2011
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

หญ้าใบกลม/Rotata rotundifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Rotala rotundifolia (Buch.-Ham. ex Roxb.) Koehne.(1880)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-19200816
ชื่อสามัญ---Dwarf rotala, Roundleaf Toothcup, Pink sprites.
ชื่ออื่น---หญ้าใบกลม, แพงพวยน้ำ, ห้วยชินสีแดง (ทั่วไป) ;[CHINESE: Yuán yè jié jié cài.];[JAPANESE: Hozakikikashigusa.];[MANIPURI: Ishing Kundo, Loubuk Leiri.];[PORTUGUESE: Rotala-de-folhas-redondas.];[SLOVENSKY: Okrúhlovka rotundifolia.];[THAI: Huai chin nasi daeng (General).].
EPPO Code---ROTRO (Preferred name: Rotala rotundifolia.)
ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้สู่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียตะวันออก
Rotala rotundifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดียจากอดีต William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต.)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bernhard Adalbert Emil Koehne (1848 –1918) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2423
ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย บังกลาเทศ เนปาล จีนตอนใต้ (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, หูเป่ย, หูหนาน, เจียงซี, ซานตง, เสฉวน, ไต้หวัน, ยูนนาน, เจ้อเจียง) ญี่ปุ่น, พม่า, ไทย, ลาว ,กัมพูชา, เวียตนาม พบในหนองน้ำในแม่น้ำและในนาข้าวจากที่ราบลุ่มถึงที่ระดับความสูง 2,700 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก ขึ้นตามทุ่งหญ้า แหล่งน้ำซับในป่าเต็งรังหรือป่าสนเขา ที่ระดับความสูง 500-1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ทอดเลื้อยหรือขึ้นในน้ำต้นสูง 10-40 ซม.ลำต้นทอดนอนตามผิวดินออกรากตามข้อแตกกอหนาแน่น ลำต้นกลมอวบน้ำเรียบเกลี้ยงสีเขียวหรือสีม่วงแดงช่วงปลายลำต้นมักเป็นเหลี่ยม ใบออกตรงข้ามตั้งฉากรูปกลมถึงรูปหัวใจ กว้าง 2.5 ซม.ยาว 2 ซม.ก้านใบสั้นมากหรือไม่มีก้าน แผ่นใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน แผ่นใบด้านล่างสีแดงหรืออมม่วง ดอกเป็นดอกช่อยาว2-5ซม.ดอกย่อยจำนวนมากขนาดเล็ก มี4กลีบสีชมพูอมม่วงแต่ละดอกมีใบเล็กๆรองรับ1ใบ ผลแห้งแตกเป็น 4 ซีก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 มม. มีหลายเมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม่ต้องการแดดมากแต่ชอบแสงสว่างมากเพื่อให้เจริญ เติบโตในที่ชื้นหรือจมอยู่ในน้ำ สามารถทนต่ออุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็น การสูญเสียใบล่างมักจะหมายความว่าไม่ได้รับแสงเพียงพอ สามารถปลูกได้ในน้ำตื้นเกื่อให้ไดเดอกไม้ ก่อตัวเป็นกอที่ดีภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ต้นและใบมีสรรพคุณแก้ไข้ แก้ไอ
-ใช้ปลูกประดับ เป็นพรรณไม้ประดับในตู้ปลา       
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ ปักชำ

หญ้ามวนฟ้า/Cynoglossum lanceolatum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cynoglossum lanceolatum Forssk.(1775)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Cynoglossum hirsutum Thunb.(1794)
---Cynoglossum micranthum Desf.(1804)
---Paracynoglossum lanceolatum (Forssk.) R.R.Mill.(1984)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2752016
ชื่อสามัญ---Lanceleaf Forget-me-not
ชื่ออื่น---หญ้ามวนฟ้า (ทั่วไป) ;[CHINESE: Xiǎohuā liúlí cǎo, Xiǎo huā liú lí cǎo.];[INDIA: Laksmana.];[JAPANESE: Taiwanrurisō.];[THAI: Ya mouan fa (general).];[VIETNAM: Tro buồn.].
EPPO Code---CYWLA (Preferred name: Cynoglossum lanceolatum.)
ชื่อวงศ์---BORAGINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา, อาระเบีย, ปากีสถาน, แคชเมียร์, อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, เนปาล, ไปทางตะวันออกไปยังประเทศจีน, มาเลเซีย.ฟิลิปปินส์
Paracynoglossum lanceolatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้างวงช้าง (Boraginaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskal (1732–1763) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2318
ที่อยู่อาศัย กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งตั้งแต่ Cote D'Ivoire ไปจนถึงเอธิโอเปียทางใต้ถึงแอฟริกา คาบสมุทรอาหรับไปยังปากีสถาน เอเชียเขตร้อน ไปยังฟิลิปปินส์ พบตามทุ่งหญ้า ป่าหุบเขาบนฝั่งแม่น้ำ ริมลำธาร พื้นที่เพาะปลูกและริมถนน พบได้ทั่วไปและกระจายอย่างกว้างขวาง ที่ระดับความสูง 1,000 - 2,500 (-3,000) เมตร ในประเทศไทย พบเฉพาะตามภูเขาสูงทางภาคเหนือ สามารถเจิญเติบโตตามภูเขาหินปูน หรือตามภูเขาสูงบริเวณที่โล่งที่มีร่มเงาและความชื้นสูง ที่ระดับควมสูง 1,500-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1 (-1.5) เมตร แตกกิ่งก้านมากเรือนยอดโปร่ง ลำต้นกลมผิวเรียบสีเขียวลำต้นและกิ่งก้านปกคลุมไปด้วยขนสีขาวแข็งยาว 1-2 มม. แตกใบมากบริเวณโคนต้้น ใบ เดี่ยวรูปใบหอก  รวมถึงก้านใบ 10-20 x 2-4 ซม ขอบใบจักฟันเลื่อยห่าง ผิวใบทั้งสองด้านมีขน ดอกออกเป็นช่อเชิงลดที่ปลายกิ่งช่อดอกมักม้วนงอ สีม่วงหรือม่วงแกมน้ำเงิน กลีบเลี้ยง5กลีบ กลีบดอก5กลีบดอกบานขนาด 3-4 มม.ผลรูปค่อนข้างแบน ยาว 1.5-2 ซม.
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ใบปรุงสุกใส่ในซุป
-ใช้เป็นยา ขับเสมหะ ขับปัสสาวะและยาแก้ไข้ ใช้ภายนอก ทุกส่วนที่ถูกบดของพืชถูกนำไปใช้กับบาดแผล, รักษาอาการร้าว, อาการชาที่แขนขา, กำจัดการสะสมของของเหลวในข้อต่อ- รากใช้เป็นยารักษาโรคตา นอกจากนี้ยังปรับสมดุลสารอาหารสำคัญในร่างกายในขณะที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน พืชยังมีประโยชน์ในการกระตุ้นรอบประจำเดือนให้ปกติ นอกจากนี้ยังควบคุมความร้อน (สะสมน้ำดี) ในร่างกาย
รู้จักอันตราย---ไม่มีการกล่าวถึงความเป็นพิษที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่มีสมาชิกหลายคนในตระกูลพืช (Boraginaceae) ที่รู้กันว่ามีอัลคาลอยด์ pyrrolizidine อัลคาลอยด์เหล่านี้มีผลกระทบสะสมต่อร่างกายและหากปราศจากความเข้มข้นในพืชสูงการใช้เป็นครั้งคราวโดยทั่วไปจะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ พวกมันมาจากกรดอะมิโนรวมถึง ornithine อัลคาลอยด์ pyrrolizidine จำนวนมากมีพิษต่อตับเด่นชัด แต่ปอดและอวัยวะอื่น ๆ อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน กิจกรรมการก่อกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็งของอัลคาลอย
สถานภาพ---เป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก---มิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้ารากหอม/Salomonia ciliata


ชื่อวิทยาศาสตร์--- Salomonia ciliata (L.) DC.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms
---Basionym: Polygala ciliata L.(1753)
---Salomonia cavaleriei H. Lév.(1904)  
---Salomonia sessilifolia D. Don.(1825)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50117070
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หญ้ารากหอม (นครราชสีมา) ;[ARABIC: Sanjurjada.];[CHINESE: Tuo yuan ye chi guo cao.];[JAPANESE: Hina-no-kanzashi.];[KOREA: Byeong a ri da ri.];[THAI: Ya rak hom (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: Sa mông rìa lông, Xỉ quả thảo lá có lông.].
EPPO Code---SMJOB (Preferred name: Salomonia ciliata.)
ชื่อวงศ์--- POLYGALACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา จีน พม่า เอเซียตะวันออกเฉียงใต้  ออสเตรเลีย
Salomonia ciliata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ต่างไก่ป่า (Polygalaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปีพ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบังคลาเทศ, กัมพูชา, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ชวา, บอร์เนียว, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, เนปาล, ฟิลิปปินส์, หมู่เกาะโซโลมอน, ศรีลังกา, สุมาตรา, ไต้หวัน, ไทย, เวียดนาม, นิวกีนีและออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามชายป่า ที่โล่งที่ชื้นแฉะ ความสูงถึงประมาณ 1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูง 20-50 ซม.ลำต้นเป็นเหลี่ยมเกลี้ยงหรือมีขนประปราย แตกแขนงออกจากฐานและเหนือราก มีกลิ่นหอม บางครั้งแตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยวรูปไข่ยาว 0.4-1.2 ซม.เรียงสลับ โคนและปลายใบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบไม่มีหรือมีแต่สั้นมาก ดอกออกเป็นช่อกระจะบริเวณปลายยอด ยาว 10-20 ซม.ใบประดับยาว 0.8-1.4 มม.ดอกสีม่วงอมชมพู กลีบดอกพับซ้อนกันเหมือนดอกถั่ว กลีบเลี้ยงยาว 0.8-1.4 มม. กลีบดอกยาว 1.8-2.3 มม.ทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อ ผลเป็นแคปซูลยาว รูปร่างกลมแบน กว้างประมาณ 1-1.5 x 2 มม. หยักปลาย ผิวเกลี้ยงหรือมีขนประปราย ขอบมีแถบขนคล้ายหนาม 5-9 อัน ยาว 0.3-0.7 มม.มีเมล็ดสองเมล็ด เมล็ดกลมมนสีดำมันวาวขนาด 0.5 มม.
ศัตรูพืช/โรคพืช---สายพันธุ์ซาโลโมเนียไวต่อแมลงศัตรูพืชหลายชนิด โรคราแป้ง โรครากเน่า และเชื้อรา
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้ทั้งต้น รักษาโรคไขข้อ ปวดฟัน ใช้ภายนอกเพื่อรักษางูกัด
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หญ้าสองปล้อง/Desmodium velutinum subsp. velutinum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Polhillides velutina (Willd.) H.Ohashi & K.Ohashi.(2019)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77200648-1
---Basionym: Desmodium velutinum (Willd.) DC.(1825)
---Hedysarum velutinum Willd.(1802)
---Meibomia velutina (Willd.) Kuntze.(1891)        
ชื่อสามัญ---Velvet-leaf Desmodium
ชื่ออื่น---กะตึกแป, หญ้าตืดแมว, หญ้าตืดหมา (ลำปาง); ชาใบ, ตืดแมวขาว, เหมือดวัว (เชียงใหม่); หญ้าสองปล้อง (กลาง, เหนือ); หางกะหรอด (จันทบุรี); เหนียวใหญ่ (ประจวบคีรีขุนธ์); [CHINESE: Rong mao shan ma huang.];[THAI:  Katuek pae, Ya tuet maeo, Ya tuet ma (Lampang); Cha bai, Tuet maeo khao, Mueat wua (Chiang Mai); Ya song plong (Central, Northern), Hang karot (Chanthaburi); Niao yai (Prachuap Khiri Khan).].
EPPO Code: 1LEGF (Preferred name: Fabaceae.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย แอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะอันดามัน อเมริกา ออสเตรเลีย
Polhillides velutina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae หรือ Leguminosae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hiroyoshi Ohashi (born 1936) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นและ Kazuharu Ohashi นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพืชเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตร พบใน แอฟริกา - มาดากัสการ์; E. เอเชีย - จีน, อนุทวีปอินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี อเมริกาและออสเตรเลีย พบขึ้นในป่าโปร่ง
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีลำต้นกึ่งตั้งกึ่งแผ่คลุมดิน ต้นสูง 60-100 ซม.ลำต้นสีเขียวเข้ม โคนต้นหรือต้นแก่สีม่วงดำ กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ยอดของทรงพุ่มจะแผ่ออกด้านข้าง ใบประกอบมี3ใบหรือใบเดียว รูปไข่ ด้านบนและท้องใบมีขนคลุมหนาแน่น ขอบใบเป็นครุยสีน้ำตาล ช่อดอกออกตามซอกใบ ช่อดอกค่อนข้างยาว กลีบดอกสีชมพูอมม่วง ผลขนาดเล็กเป็นฝักแบบฝักถั่ว มีขนสีน้ำตาลคลุมหนาแน่นมาก มี 12-36 ฝักในแต่ละช่อ มี 1-7 ข้อในแต่ละฝักสามารถหักเป็นข้อๆได้
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ
ระยะออกดอก/ติดผล--- ตุลาคม - กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ

หญ้าเหลี่ยม/Exacum tetragonum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Exacum tetragonum Roxb.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms
---Canscora justicioides Griff. ex Voigt.(1845)
---Exacum bicolor Roxb.(1832)
---Exacum tetrapterum Meyen ex Griseb.(1845)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2806130
ชื่อสามัญ---Bicolor Persian Violet.
ชื่ออื่น---ฉัตรพระอินทร์ (ภาคกลาง); เทียนป่า (ปราจีนบุรี); นางอั้วโคก (นครราชสีมา); ไส้ปลาไหล (นครพนม); หญ้าหูกระต่าย (เลย); หญ้าเหลี่ยม (สุราษำณ์ธานี); เอื้องดิน (เชียงใหม่) ;[ASSAMESE: Sher-ri-takti.];[BENGALI: Koochuri.];[CHINESE: Zǎo bǎi nián.];[HINDI: Habshi-charayatah, Bara-charayatah, Avachiretta.];[INDIA: Udichirayet (Other).];[KANNADA: Dodda Chirayutha.];[MALAYALAM: Kannamthali.];[MARATHI: Udi Chirayat.];[MYANMAR: Pa-deing-ngo.];[TAMIL: Cheti.];[THAI: Chat phra in (Central); Tthian pa (Prachin Buri); Nang ua khok (Nakhon Ratchasima); Sai pla lai (Nakhon Phanom); Ya hu kratai (Loei); Ya liam (Surat Thani); Ueang din (Chiang Mai).];
EPPO Code: EXUTE (Preferred name: Exacum tetragonum.)
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ฟิลิปปินส์ นิวกินี และออสเตรเลีย
Exacum tetragonum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.
มี2 Infraspecifics ที่ยอมรับ
-Exacum tetragonum var. grande (Klack.) Shahina & Nampy.(2016)- พันธุ์พื้นเมืองของอินเดีย
-Exacum tetragonum var. tetragonum - มีถิ่นกำเนิดคือ S. China ถึง Tropical Asia และ N. Australia
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย เนปาล, จีนตอนใต้ (ยูนนาน กุ้ยโจว กวางสี กวางตุ้ง เจียงซี), พม่า,ไทย,ลาว,เวียตนาม,กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ นิวกินี และออสเตรเลีย ตามพื้นที่โล่งในป่าดงดิบจากที่ราบไปจนถึงระดับความสูง 200-1,500 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค พบมากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักขึ้นแทรกตามกอหญ้า หรือตามพื้นป่าโปร่ง และป่าสนเขา ที่ระดับความสูงประมาณ 600- 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกสูง 30-80 (-100) ซม.ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งน้อย ลำต้นเป็นสันสี่เหลี่ยมและเป็นครีบแคบตามสัน ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่แกมขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 1-5 ซม.ยาว 2.5-16 ซม.ไม่มีก้านใบ ดอกเป็นดอกช่อ ดอกย่อยมีใบประดับเล็กๆรองรับ1คู่ กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน กลีบดอก4กลีบ รูปรีแกมรูปไข่ ยาว 13 มม.ปลายกลีบสีเข้มและจางลงจนโคนกลีบเป็นสีขาว เกสรเพศผู้ 4 อัน อับเรณูสีเหลืองรูปไข่แคบ เกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่ค่อนข้างกลม ผลรูปรีกว้าง ยาวประมาณ 3.5 มม.มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ ผลแห้งแล้วแตก เมล็ดเล็กรูปขอบขนานยาว 0.7-1 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีสรรพคุณแก้ไข้ ท้องไส้ปั่นป่วน แก้โรคกระเพาะอาหาร ;-ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ใบหญ้าเหลี่ยม นำมาขยี้อุดหูประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อช่วยแก้หูน้ำหนวกในเด็ก ;-ในอินเดีย พืชทั้งต้นถูกใช้เป็นยาบำรุงกำลังสำหรับฟื้นไข้และเป็นยาแก้ท้องอืด
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หนาดคำ/Inula cappa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Inula cappa (Buch.-Ham. ex D.Don) DC.(1836)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Blumea arnottiana Steud.(1840)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-145812
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หนาดคำ, หนาดดอย, เขืองแผงม้า (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Yáng ěr jú, bái niú dǎn.];[THAI: Nat kham, Nat doi, Khueang phaeng ma (Northern).].
EPPO Code--- INUSS (Preferred name: Inula sp.)
ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, ชวา, ปากีสถาน, อินเดีย, สิกขิม, ภูฏาน
Inula cappa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปีพ.ศ.2379
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, เสฉวน, ยูนนาน, เจ้อเจียง), ปากีสถาน (NWFrontier Prov., Swat, Hazara, ปัญจาบปากีสถาน, Murree), พม่า [Shan] , Sikkim, Jammu & Kashmir (Poonch, Kashmir, Jammu), ปากีสถาน Kashmir (Muzaffarabad), อินเดีย (รัฐหิมาจัลประเทศ, อุตตรประเทศ, อัสสัม, Nagaland, Manal, Meghalaya, Darjeeling), ภูฏาน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, ชวา,
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีสูง 0.70-1.50 เมตร มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุมทั่วไป ใบเรียงสลับรูปขอบขนานแกมใบหอก ขนาด 5-15 x 1.5-5 ซม.ผิวใบด้านบนมีขนเหนียวติดมือใต้ใบมีขนยาวสีเทาเงินหนาแน่น ดอกเป็นช่อใหญ่ ช่อดอกย่อยจำนวนมากดอกย่อยสีเหลืองเป็นกระจุกแน่นรองรับด้วยใบประดัยบ2-3ชั้นสีเขียวอ่อน ผลรูปขอบขนานแคบมีขนยาวสีขาวประปราย
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา สรรพคุณทางสมุนไพร รากฝนน้ำกินแก้แพ้อาหาร ผื่นคัน ชาวเขาใช้ต้มน้ำดื่มเป็นยาบำรุงและช่วยให้คลอดบุตรง่าย ใบต้มน้ำดื่มช่วยย่อยอาหาร ทั้งต้น ต้มอาบแก้ปวดเมื่อย แก้วิงเวียนศีรษะ ต้มดื่มบำรุงเลือด
ระยะออกดอก/ติดผล--- ตุลาคม - มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด  

หนาดคำน้อย/Gnaphalium affine


ชื่อวิทยาศาสตร์--Gnaphalium affine D.Don.(1825)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/gcc-1631
ชื่อสามัญ---Jersey Cudweed, Cotton weed.
ชื่ออื่น---หนาดคำน้อย (ทั่วไป) ;[BHUTAN: Mito kappa, hooki phu.];[CHINESE: Ni shu qu cao.];[JAPANESE: Haha-go-husa, Hou ko gou sa (Japan).];[NEPALI: Kairo jhar.];[THAI: Nat kham noi (general).];[VIETNAM: Rau khúc.].
EPPO Code---1GNAG (Preferred name: Gnaphalium.)
ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อาฟกานิสถาน ภูฏาน อินเดีย จีน ปากีสถาน เนปาล พม่า ไทย ลาว เวียตนาม  ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย
Gnaphalium affine เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย พบในประเทศจีน(มณฑลอานฮุย, ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, เหอหนาน, หูเป่ย, หูหนาน, เจียงซู, เจียงซี, มณฑลส่านซี, ชานตง, มณฑลเสฉวน, ไต้หวัน, ซีซัน, ยูนนาน, เจ้อเจียง) อาฟกานิสถาน ภูฏาน อินเดีย เนปาล, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม; SW Asia (อิหร่าน), ออสเตรเลีย พบเป็นวัชพืชในที่รกร้างและพื้นที่ที่เพาะปลูกทั่วไป ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 2000 เมตร ที่ระดับความสูง 600 - 3,500 เมตรในประเทศเนปาล ในประเทศไทย พบมากทางภาคเหนือ ที่ระดับความสูง 900-2,500 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกขึ้นเป็นกอสูง 20-50 ซม.แตกกิ่งจากโคนต้นไม่มาก แตกกิ่งมากส่วนบนของต้น ต้นและใบปกคลุมด้วยขนปุยสีขาว ใบรูปแถบถึงรูปช้อน ขนาด 2-6 × 4-12 ซม ขอบใบงุ้มลงด้านล่าง ดอกเป็นช่อแน่นมีช่อดอกย่อยจำนวนมากขนาดเล็กสีเหลืองสดผลรูปขอบขนานขนาดเล็ก สีน้ำตาลปลายด้านหนึ่งมีขนเป็นพู่ยาว 2-3 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ในดินทั่วไป ความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนทำให้สุกกินเป็นผัก พืชมีแคโรทีนจำนวนมาก
-ใช้เป็นยา เป็นสมุนไพรแก้ไอขับเสมหะ พืชทั้งต้นมีฤทธิ์ต้านประจำเดือน ฤทธิ์ต้านการขับเสมหะ และยาแก้ไข้ ยาต้มใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ เจ็บคอ ไอมีเสมหะ ปวดข้อรูมาตอยด์ บาดเจ็บเป็นบาดแผล ตกขาว หลั่งน้ำเชื้อ ลมพิษ และอาการคันที่ผิวหนัง ;-พืชชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิม
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หนาดใหญ่/Blumea balsamifera

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Blumea balsamifera (L.) DC.(1836)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Basionym: Conyza balsamifera L.
ชื่อสามัญ---Buffalo-ear, Blumea Camphor, Kambibon, Ngai Camphor, Camphor tree, Dog bush, Nagi camphor, Shan camphor, Ngai camphor(Eng), Sambong, Sembung (Malay)
ชื่ออื่น---หนาดใหญ่, ใบหลม, ผักชีช้าง, พิมเสน (กลาง); คำพอง, หนาดหลวง (เหนือ); จะบอ (มลายู-ปัตตานี); ตั้งโฮงเซ้า (จีน); แน, พ็อบกวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน); หนาด (จันทบุรี) ;[ASSAMESE: Kaphur goch.];[AYURVEDIC: Kukundara, Gangaapatri.];[BENGALI: Kukur-soka, Kuk-sungh.];[CAMBODIA: Bai mat.];[CHINESE: Pen Ts’ao, Ai na xiang.];[DUTCH: Blumea-kamfer.];[FRENCH: Camphrier, Camphre de bluméa.];[GERMAN: Büffelohr.];[HINDI: Kakaronda, Kakoranda, Kukronda.];[INDONESIA: Sembung, Capa (Sulawesi); Sembung utan (Sundanese); Sembung gantung (Javanese).];[LAOS: Nat, Phi ma ‘sen.];[MALAYSIA: Capa, Chapa, Chapor, Sembong, Telinga kerbau.];[MYANMAR: Bonmathane-payoke, Hpon-mathein, Phon-ma-thein, Poung-ma-theing.];[PHILIPPINES: Sambong, Alibum, Lakad-bulan, Alimon, Lalakdan Sambong (Tag.).];[PORTUGUESE: Conforeira-negai.];[SANSKRIT: Kukundara, Kukkura-dru.];[SAUDI ARABIA: Kama, Phitus.];[THAI: Nat yai, Bai lom, Phak chi chang, Phim sen (Central); Kham phong, Nat luang  (Northern); Cha-bo (Malay-Pattani); Tang-hong-chao (Chinese); Nae, Phop-kwa (Karen-Mae Hong Son).];[UNANI: Kakarondaa.];[VIETNAM: Cay dai be.].
EPPO Code---BLUBA (Preferred name: Blumea balsamifera.)
ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา มาเลเเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
Blumea balsamifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปีพ.ศ.2379
ที่อยู่อาศัย พบบนถนนทุ่งนาที่ราบลุ่มและพื้นที่ภูเขาของเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนของเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การกระจาย - จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กุ้ยโจว, ไหหลำ, มณฑลยูนนาน), ไต้หวัน, อนุทวีปอินเดีย[บังคลาเทศ, ภูฏาน, อินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน.], มหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ (อินเดีย - อันดามันและนิโคบาร์), อินโดจีน (กัมพูชา, ลาว, พม่า , ไทย, เวียดนาม), มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์  ที่อยู่อาศัยที่มีความหลากหลายและพบได้ตั้งแต่ระดับพื้นดินไปจนถึงความลาดชันของภูเขาและจากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 2,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร สูง1-4 เมตร ใบเดี่ยวขนาด 6-30 ซม. x 1.5-12 ซม.เรียงสลับรูปรีแกมขอบขนาน ผิวใบทั้งสองด้านมีขนละเอียดหนาแน่น  ก้านใบยาว 0-3.5 ซม.ดอกช่อออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบเป็นช่อกระจุ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-10 มม.ยาว 10-50 ซม. ผลแห้งไม่แตกโค้งงอเล็กน้อยเป็นเส้น 5-10 เส้นมีขนสีขาว
ใช้ประโยชน์---พืชนี้มีประวัติการใช้ยามายาวนาน มีการใช้ทางการแพทย์ในหลายวัฒนธรรม ยังเป็นแหล่งของน้ำมันหอมระเหย  มักจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าและมีการปลูกประดับในสวนและปลูกในเชิงพาณิชย์
-ใช้กิน พืชมีกลิ่นของการบูร บางครั้งใช้เป็นเครื่องปรุงรสหอมกับอาหารต่าง ๆ
-ใช้เป็นยา เป็นสมุนไพรที่แพร่หลายในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ มันถูกใช้ในการแพทย์พื้นบ้านสำหรับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายที่รวมถึงการรักษาแผลติดเชื้อ ทางเดินหายใจ ปวดท้องและนิ่วในไต-ตำรายาไทยและยาพื้นบ้านใช้ใบขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ใบสดหั่นเป็นฝอยเหมือนยาเส้น ตากแดดพอหมาดมวนกับยาฉุนสูบ แก้ริดสีดวงจมูก (โรคติดเชื้อที่เกิดในจมูก ทำให้หายใจขัด มีฝีหนองในจมูก โพรงจมูกอักเสบ) ยาพื้นบ้านใช้ใบบดผสมต้นข่อย แก่นก้ามปู พิมเสนและการบูรมวนด้วยใบตองแห้งสูบ รักษาโรคหืด
-อื่น ๆ ในประเทศจีน ngai น้ำมันการบูร น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำของใบอ่อนใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์และใน พิธีกรรม การบูรที่ผ่านการกลั่น 'ngai p'ien' นั้นถือว่ามีคุณภาพสูงกว่าการบูรจาก Cinnamomum camphora แต่ไม่ได้รับการจัดอันดับสูงเท่ากับ Dryobalanops spp - รากและใบถูกใช้เป็นยาฆ่าแมลงตามธรรมชาติเช่นต่อต้านแมลงศัตรูพืช
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ชำราก ปักชำกิ่ง

หรีดเชียงดาว/Gentiana leptoclada subsp.australis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Gentiana leptoclada ssp. australis (Craib)Toyokuni
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Gentiana australis Craib    
---Metagentiana australis (Craib) T.N.Ho & S.W.Liu
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หรีดเชียงดาว,ดอกหรีดเชียงดาว ; [THAI: Dok rit chiang dao (General).].
EPPO Code---GETSS (Preferred name: Gentiana sp.)
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทสไทย
Gentiana leptoclada subsp. australis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Toyokuni, Hideo(1932-1992) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น
ที่อยู่อาศัยเป็นพืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือพบเพียงแห่งเดียวที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นอยู่ตามพื้นดินหรือตามซอกหินปูนในที่โล่งแจ้ง แทรกอยู่ตามพุ่มหญ้าโดยดอกมักจะบานเมื่อมีแสงแดดจัด มีอากาศหนาวเย็นและความชื้นสูง ที่ระดับความสูง 1,600-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุก ลักษณะ ลำต้นเกลี้ยง เป็นสัน อาจทอดเลื้อยไปตามผิวดิน แล้วชูส่วนปลายยอดตั้งขึ้น สูง 40-80 ซม.ใบเดี่ยวออกตรงข้ามและตั้งสลับฉาก โดยแตกใบมากตรงโคนต้น แผ่นใบมีขนาดเล็กรูปไข่โคนใบมนปลายใบแหลม  ขนาดของแผ่นใบกว้าง 1-1.3 ซม.ยาว 3-5ซม.ขอบใบจักฟันเลื่อย ผิวใบทั้ง 2 ด้านมีขนสีขาวนุ่มปกคลุม ดอก สีม่วงอมฟ้าออกเป็นกระจุก 1-5 ดอก.ออกที่ซอกใบและปลายยอดดอกบานขนาด 2.5-3 ซม.สีม่วงหรือสีม่วงอมน้ำเงิน กลีบเลี้ยงจำนวน 5 กลีบ โคนเชื่อมกันเป็นหลอด ผิวนอกสังเกตุเห็นเป็นสันนูน5สันแผ่เป็นครีบสั้นๆตามความยาว โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆปลายแยกเป็น5แฉก ผลรูปกระสวย ยาว 1.5-2 ซม.เมล็ดขนาดเล็กสีน้ำตาลรูปสามเหลี่ยม จำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชเฉพาะถิ่นของประเทศไทยพบเพียงแห่งเดียว และเป็นพืชหายาก ไม่สามารถนำมาปลูกเลี้ยงได้ เพราะต้องอาศัยสภาพตามธรรมชาติเท่านั้น
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียวและพืชหายาก
ระยะออกดอก---เดือนธันวาคม-เดือนมกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หลาว/Alpinia oxymitra


ชื่อวิทยาศาสตร์---Alpinia oxymitra K. Schum.(1902).
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-218948
---Alpinia comosa Ridl.(1899) [Illegitimate]
---Alpinia macrocarpa Gagnep.(1906)
---Cenolophon oxymitrum (K.Schum.) Holttum.(1950)
ชื่อสามัญ---There are no common names associated with this taxon.
ชื่ออื่น---หลาว (ภาคกลาง), เจี๊ยะ (ชุมพร), เรียว (จันทบุรี), กระวาน (ภาคใต้);[THAI: Lao (Central); Chia (Chumphon); Riao (Chanthaburi); Krawan (Peninsular).];[VIETNAM: Riềng núi.]
EPPO Code---AIISS (Preferred name: Alpinia sp.)
ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย , กัมพูชา , เวียตนาม  
Alpinia oxymitra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2445
ที่อยู่อาศัย พบใน ไทย, กัมพูชา, เวียตนาม ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักพบหลาวขึ้นเป็นดงใหญ่ๆตามป่าดิบที่มีความชุ่มชื้นสูง
ลักษณะ เป็นพืชวงศ์ ขิงข่ามีลำต้นใต้ดินหรือเหง้าขนาดใหญ่สะสมอาหาร ส่วนเหนือดินสูง 1-2 เมตร.ใบรูปใบหอกแกมขอบขนาน ผิวเกลี้ยง เป็นมัน ดอกออกเป็นช่อตั้งตรงที่ปลายยอด ใบประดับย่อยสีขาว มีขนแน่น ดอกสีขาวอมเขียว มีแต้มสีแดงที่โคนกลีบปาก ผลรูปรี มีสันนูนตามแนวยาวโดยรอบ มีเนื้อ ผลสุกสีเหลือง
ใช้ประโยชน์ ---ใช้กิน ผลอ่อนมักนำมากินได้เหมือนผักสดทั่วไป
ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

หัวไก่โอก/Decaschistia intermedia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Decaschistia intermedia Craib.(1915)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2758695
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หัวไก่โอก, หัวอีอุ๊ก (นครพนม), หญ้าขี้อ้น (ทั่วไป) ; [THAI: Hua kai oak; Hua i uk (Yao-Nakhon Phanom); Ya khi on (General).]
EPPO Code---1MAVF (Preferred name: Malvaceae)
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ภาคตะวันออกของไทย กัมพูชา
Decaschistia intermedia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2458
ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย กัมพูชา ในประเทศไทยพบทาง ภาคตะวันออกของไทยที่ จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี ตราด ขึ้นบนพื้นที่โล่งเป็นดินร่วนปนทราย ในป่าเต็ง-รัง ป่าละเมาะผลัดใบ และตามคันนา ที่ระดับความสูง 50-200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 10-60 ซม.ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปแถบ กว้าง 0.3-1 ซม. ยาว 2.5-10 ซม.ผิวใบด้านล่างมีขนรูปดาว ดอก เดี่ยวหรือดอกช่อออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอดมีริ้วประดับ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกรูปไข่กลับ เฉียงกว้าง 1-1.5 ซม ยาว 3 ซม.สีแดง เกสรเพศผู้จำนวนมาก ก้านชูเกสรเชื่อมกันเป็นมัด ใจกลางดอกเป็นสีขาว ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่คล้ายกับดอกชบา ผลรูปกลม แห้งแตกกลางพู เมล็ดรูปไต
ใช้ประโยชน์ ---ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านอีสาน หัวสด หรือ แห้ง ต้มน้ำดื่มแก้โรคซางในเด็ก
สถานภาพ--- พืชหายาก
ระยะออกดอก--- พฤษภาคม - กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

พืชสกุลหางกระรอก (Uraria Desv.) เป็นพืชสกุลหนึ่งในวงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ของวงศ์ถั่ว (Leguminosae) ซึ่งมีจำนวนสมาชิกมากที่สุด คือมีประมาณ 71 สกุล 450 ชนิด โดยรายงานพบในประเทศไทย 8 ชนิด ได้แก่
-Uraria acaulis Schindl.(1916)
-Uraria acuminata Kurze.
-Uraria cordifolia Wall.
-Uraria crinita (L.) Desv. ex DC.(1825)
-Uraria lagopodioides (L.) Desv. ex DC.
-Uraria picta (Jacq.) Desv. ex DC.
-Uraria rotundata Craib.
-Uraria rufescens (DC.) Schindl.
(แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)

หางกระรอก/Uraria acaulis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Uraria acaulis Schindl.(1916)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46684
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น--หางกระรอก (ชลบุรี), ดอกหางเสือ (เลย), หางเห็น (ลาว);ว่านเสลดพังพอน ;[THAI: Hang krarok (Chon Buri); Dok hang suea (Loei);[LAOS: Hang-hen; Wan salet punkphon.];[VIETNAM: Đuôi chồn không thân; Hầu vĩ không thân.].
EPPO Code--- URRSS (Preferred name: Uraria sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน
Uraria acaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae วงศ์ย่อย Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anton Karl Schindler(1879-1964) เป็นทันตแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2459


ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีน ประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกและภาคเหนือ ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็น*พืชล้มลุกเจริญแผ่คลุมพื้นดิน ลักษณะ ต้นสูงประมาณ 10-30 ซม.ลำต้นและกิ่งก้านมีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบมีใบย่อย 1 ใบ.รูปเกือบกลม ขนาด 7.5-23 ซม.ปลายใบมน โคนใบเว้ารูปหัวใจ ผิวใบและก้านใบมีขนหนาแน่น ก้านใบยาวได้ถึง 20 ซม.หูใบรูปสามเหลี่ยมปลายเรียวแหลมเป็นเส้นยาว 1-2 ซม.ดอก สีม่วงอ่อนแกมชมพูออกเป็นช่อตั้งยาว 6-10 ซม.ดอกย่อยจำนวนมาก รูปดอกถั่ว ขนาด 6-8 มม.ใบประดับรูปหอกสีน้ำตาลแดงยาว 1-1.5 ซม. กลีบรองดอกปลายแยก 5 กลีบ 3 กลีบล่างเป็นเส้นสีน้ำตาลแดงอ่อนยาวประมาณ 8 มม. กลีบดอก 5 กลีบ ขอบกลีบส่วนบนมีสีเข้มกว่ากลีบอื่นๆ ผลเป็นฝักแบนรูปกลมรี กว้างประมาณ 3 มม.มี 1 เมล็ด*
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาไทย ใช้ ราก รสจืดเย็นเบื่อ ฝนกับสุรา หรือน้ำมะนาวกินและทาแก้พิษงู แก้พิษสัตว์กัดต่อย
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด
*แหล่งอ้างอิง ---หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7 http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=1544

หางไก่ฟ้า/Lobelia nicotianaefolia

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Lobelia nicotianaefolia Heyn.(1925)
---Lobelia nicotianifolia Roth ex Schult.(1819) is an accepted name. The Plant List
ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-353650
ชื่อสามัญ---Wild Tobacco, Indian tobacco, Asthma weed
ชื่ออื่น---หางไก่ฟ้า (ทั่วไป) ;[AYURVEDIC: Devanala.];[BENGALI: Badanala, nala.];[HINDI: Dhaval, Narsal, Narasala.];[KANNADA: Kaadu hogesoppu, Kaadu tambaaku.];[MALAYALAM: Kaat pukayila.];[MARATHI: Dhaval, Ran-tambakhu.];[PHILIPPINES: Adlabong, Katlabung (Ig.); Balyongyong, Luñgog-luñgog, Subasob (Bon.).];[SANSKRIT: Mrityupushpa, Mriduchhada, Mahanala, Suradruma.];[SINGHALESE: Wal dunkola.];[TAMIL: Kattu-p-pukaiyilai, Upperichedi.];[TELUGU: Adavi pogaku.];[THAI: Hang kai fa (General).];[VIETNAM: Bã thuốc.].
EPPO Code---LOBNI (Preferred name: Lobelia nicotianifolia.)
ชื่อวงศ์--- CAMPANULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Lobelia ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ ชาวเบลเยียม Matthias de Lobel (1538-1616) ; ชื่อระบุชนิด 'nicotianifolia' มาจากคำคุณศัพท์ภาษาละติน อ้างอิงถึงนิโคตินในใบ.
Lobelia nicotianaefolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พระจันทร์ครึ่งซีก (Campanulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Gustav Heynhold (1800-1860) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2468
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของเอเซียเขตร้อน พบในอินเดีย [Kerala รัฐมัธยประเทศ มหาราษฏระ ทมิฬนาฑู Karnataka] ศรีลังกา ; อินโดจีน- พม่า,ไทย,เวียตนาม เติบโตบนขอบป่าลาดหญ้า พุ่มไม้ชื้นและหุบเหวที่ระดับความสูง 600- 2,300 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุก ลำต้นสูง 1-3 เมตร ลำต้นกลวง ใบเดี่ยวเรียงเวียนรอบต้น รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก ใบที่โคนต้นมีขนาดใหญ่ รูปไข่กลับแกมขอบขนาน กว้าง 4-8 ซม.ยาว 10-50 ซม.ใบใกล้ปลายยอดมีขนาดเล็กลงโคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก มีขนทั้งสองด้าน ดอกมีสีขาว หรือชมพู ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อดอกยาว 45 ซม.ดอกบานมีขนาด 1-4 ซม.กลีบรองดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกสองกลีบบนมีขนาดเล็กคล้ายเป็นเส้น ผลแคปซูลค่อนข้างกลมยาว 2-3 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม.เมล็ดรูปแบนเรียบ ผิวเรียบสีน้ำตาล มีขนาดเล็กมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา สมุนไพรแห้งเมื่อใช้จะรุนแรงมาก ฝุ่นที่ระคายเคืองคอและรูจมูกเหมือนยาสูบ ใช้ในประเทศอินเดียเพื่อการรักษาโรคหลอดลมอักเสบ ;- ราก ใช้ในการรักษาโรคตา ;- ยาต้มใช้สำหรับโรคหอบหืด  แมลงและแมงป่องกัด ;- รากนำไปใช้กับสุนัขกัด  ยังใช้ในการทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน ;- พืชที่เป็นพิษควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
รู้จักอันตราย---มีรายงานว่าเมล็ดและใบเป็นพิษ ยางใบสดอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังได้
ระยะออกดอก---มิถุนายน-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หางเสือ/Uraria crinita

ชื่อวิทยาศาสตร์---Uraria crinita (L.) Desv.ex DC.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Hedysarum crinitum L.(1767)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:524384-1
ชื่อสามัญ---Asian foxtail, Cat’s tail, Cat-tail pea, Fox’s-tail pea, Rabbit's tail grass, Malay lupin.
ชื่ออื่น---หางหมาจอก (สระบุรี); หญ้าตะขาบ (ราชบุรี); หญ้าหางแมว (สตูล); หางกระรอก (กรุงเทพฯ); หญ้าหางเสือ (เชียงใหม่); ขี้หนอน (กาฬสินธ์); เหนียวหมา (สุราษฎร์ธานี); กันตุยซาโม (เขมร-จันทบุรี) ;[AYURVEDIC: Prishniparni.];[CAMBODIA: Kantouyokngaok (Central Khmer).];[CHINESE: Mao wei cao.];[INDIA: Dieng-kah-riu, Prishniparni.];[INDONESIA: Uler-uleran (Java); Buntut careuh (Sundanese).];[JAPAN: Fuji-bô-gusa.];[MALAYSIA: Ekor anjing, Ekor asu, Ekor kuching, Keretok babi, Serengan, Serengan hutan.];[THAI: Hang ma chok (Saraburi); Ya ta khap (Ratchaburi); Ya hang maeo (Satun); Hang krarok (Bangkok); Ya hang suea (Chiang Mai); Khi non (Kalasin); Niao ma (Surat Thani); Kan-tui-sa-mo (Khmer-Chanthaburi).];[VIETNAMESE: Đuôi chó, Đuôi chồn quả đen.].
EPPO Code--- URRCR (Preferred name: Uraria crinita)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์
Uraria crinita เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae )วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Nicaise Auguste Desvaux (1784–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปีพ.ศ.2368


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบังคลาเทศ, จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, เจียงซีและยูนนาน), ไต้หวัน, สิงคโปร์, อินเดีย (อรุณาจัลประเทศ, อัสสัม, มณีปุระ, มหาราช, มิซารัม, ตริปุระ), ศรีลังกา, พม่า, ลาว, กัมพูชา,ไทย,เวียดนาม มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, หมู่เกาะริวกิว,  สุมาตรา, อินโดนีเซีย, ชวา,  เติบโตในทุ่งหญ้า, ป่าเปิด, ป่าผลัดใบ  ที่รกร้าง ที่ทิ้งขยะ, ถนน ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตร ในประเทศไทย พบในที่กึ่งร่มเปิดใหม่หรือชายป่า ที่ความสูง 550-700 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 0.5-1.5 เมตร ลำต้นสากคาย ใบประกอบ แบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 3-11 ใบ.รูปวงรี แกมขอบขนานกว้าง 3-5 ซม. ยาว 8-15 ซม. แผ่นใบเหนียว ผิวใบมัน ท้องใบสากคายหูใบเป็นเส้น ดอกสีม่วงแดงออกเป็นช่อตั้งที่ปลายยอด รูปทรงกระบอกโคนใหญ่ปลายเรียว กว้าง 2-3ซม.ยาว 15-40 ซม.ดอกย่อยคล้ายดอกถั่วขนาดเล็ก กลีบดอกตั้ง ขนาดกว้าง 0.5 ซม.ยาว 1-2 ซม.ด้านนอกสีซีด ด้านในสีเข้ม ก้านดอกย่อยมีขนคาย ผลอ่อนสีเขียวเป็นฝักเล็กขดบิดอยู่ชิดกันมีข้อรูปขอบขนานแบน เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำขนาดกว้างประมาณ 3 มม.ยาวประมาณ 1 ซม.ไม่แตก เมล็ดสีดำมันวาว
ใช้ประโยชน์---พืชมักถูกรวบรวมจากป่าและใช้ในท้องถิ่นเป็นสมุนไพร ใช้เป็นปุ๋ยพืชสดและพืชคลุมดิน บางครั้งปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา มีการใช้ส่วนต่างๆ ของพืชมานานแล้วในการแพทย์แผนจีนและอินเดียในการรักษาเงื่อนไขต่าง ๆ รวมทั้งบิดและท้องร่วง; ม้ามและตับโต รักษาตุ่มหนองเนื้องอก ริดสีดวงทวาร-ทุกส่วนใช้เป็นยาเพื่อหยุดเลือดลดไข้และบรรเทาอาการไอ มีประสิทธิภาพในการขับพยาธิหนอนลำไส้และปรสิตอื่น ๆ บางครั้งใช้เป็นยาขับลมสำหรับเด็ก ยาต้มจากรากใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง ใช้ใบที่บดสำหรับใช้ภายนอกเพื่อกำจัดเหา
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หางเสือลาย/Platostoma cochinchinense

ชื่อวิทยาศาสตร์---Platostoma cochinchinense (Lour.) A.J.Paton.(1997)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms
---Basionym: Dracocephalum cochinchinense Lour.(1790)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-157452
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หางเสือ, หางเสือลาย (เลย) ;[CHINESE: Lóngchuán cǎo, Xiancao, Sian-cháu.];[JAPANESE: Puratosutoma.];[THAI: Hang suea, Hang suea lai (Loei).];[VIETNAM: Hoa môi.].
EPPO Code--- PQOSS (Preferred name: Platostoma sp.)
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อินโดจีน ชวา สุมาตรา
นิรุกติศาสตร์---คำระบุชนิด “cochinchinense” หมายถึงภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งต้องลงท้ายด้วย 'ense' ไม่ใช่ 'ensis'
Platostoma cochinchinense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี1790 ภายใต้ชื่อ Dracocephalum cochinchinense และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Alan. J. Paton (born. 1963) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2540
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (รวมถึงไหหลำ) -อินโดจีน (กัมพูชา, ลาว, ไทย, เวียดนาม)ไปจนถึงอินโดนีเซีย  (เกาะสุมาตราและชวา) ในประเทศไทยพบในพื้นที่โล่งในป่าสนเขาและป่าดิบเขาทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ระดับความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกสูง 30-50 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ออกตรงข้ามเป็นคู่ กว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 4-6 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อตั้งบริเวณปลายกิ่งหรือปลายยอด ยาว 10-15 ซม.แต่ละช่อมีดอกย่อยสีฟ้าอมม่วงแทรกอยู่ภายใต้ใบประดับที่เรียงซ้อนกันหนาแน่นกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เหง้าน้ำทิพย์/Agapetes saxicola

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Agapetes saxicola Craib ex Kerr.(1935)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2625418
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- ยางขน, เหง้าน้ำทิพย์ (เลย) ;[THAI: Yang khon, Ngao nam thip (Loei).]
EPPO Code---AGFSS (Preferred name: Agapetes sp.)
ชื่อวงศ์---ERICACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Agapetes saxicola เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์กุหลาบป่า (Ericaceae)สกุลประทัดดอย (Agapetes) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Arthur Francis George Kerr (1877–1942) เป็นแพทย์ชาวไอริช เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานพฤกษศาสตร์ของเขาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาของพืชของประเทศไทยในปี พ.ศ.2478


*ที่อยู่อาศัย เหง้าน้ำทิพย์เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย พบในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ขึ้นตามป่าดิบเขาตามคาคบไม้หรือก้อนหินสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200-1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1.5 เมตร.รากสะสมอาหารอวบอ้วนบวมเป็นก้อนใหญ่ กิ่งอ่อน, แผ่นใบด้านล่าง, ก้านใบ, ช่อดอก, ก้านดอกและกลีบเลี้ยงมีขนต่อมหนาแน่น ใบเดี่ยวรูปไข่กลับกว้าง 0.6-1.7 ซม.ยาว1-3 ซม.ปลายใบมนหรือแหลมฐานใบรูปลิ่ม ขอบม้วน เส้นใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบสั้น ดอกสีขาวหรือขาวแกมชมพูอ่อนออกเป็นช่อจากซอกใบหรือปลายยอด ยาว2-4 ซม.มี 3-4 ดอก.ดอกย่อยเมื่อบานขนาด 1 ซม.กลีบรองดอกรูปถ้วยแคบ ปลายแยก 5 แฉก ผิวด้านนอกมีขนต่อม กลีบดอกรูประฆัง ส่วนที่เป็นหลอดยาว 0.8-1 ซม.ปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก ม้วนออกด้านนอกเกสรเพศผู้ 10 อัน ผลรูปทรงกลมสุกสีดำ ขนาด 4-5 มม.มีขนประปรายมีกลีบรองดอกติดทนเมล็ดแบนรีรูปไข่ขนาดเล็ก ผิวเป็นร่างแห
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic)*
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนธันวาคม-เดือนพฤษภาคม  
ขยายพันธุ์---เมล็ด
*ที่มาข้อมูล : สำนักงานหอพรรณไม้ http://www.dnp.go.th/botany/mindexplantmonthdetail.aspx…
*ที่มาข้อมูล : http://www.thaibiodiversity.org/Life/LifeDetail.aspx?LifeID=761

เหยื่อกุรัม/Impatiens mirabilis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Impatiens mirabilis Hook.f.(1891)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Impatiens mirabilis Hook.f is an unresolved name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2862870
ชื่อสามัญ---Gouty balsam, Giant balsam, Giant impatiens.
ชื่ออื่น---เหยื่อกุรัม (พัทลุง), พญาโม่งหิน (ภาคใต้); [THAI: Yuea kuram (Phatthalung); Phaya mong hin (Peninsular).]
EPPO Code--- IPAMI (Preferred name: Impatiens mirabilis.)
ชื่อวงศ์---BALSAMINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'mirabilis' หมายถึงวิเศษหรือน่าอัศจรรย์และพืชชนิดนี้ค่อนข้างแตกต่างจากพันธุ์Impatiensอื่น ๆที่มี Caudex ที่ชัดเจนในขณะที่ Impatiens ส่วนใหญ่ไม่มี Caudex เลย พืชชนิดนี้เป็นหนึ่งในอาหารของเลียงผา หรือที่ในภาษาไทยภาคใต้เรียกว่า โครำ หรือ กุรัม ดอกเทียนชนิดนี้จึงได้ชื่อว่า"เหยื่อกุรัม"
Impatiens mirabilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เทียนดอก (Balsaminaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2434

 

ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยพบได้เฉพาะภาคใต้ตอนบนแถบจังหวัด สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ ตรัง สตูล และในคาบสมุทรมาลายู ภาคเหนือของมาเลเซีย (เกาะลังกาวีและเกาะเปอร์ลิส) พบขึ้นกระจายห่างๆกันบนภูเขาหินปูน ที่ระดับความสูงระหว่างระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีหัวใต้ดินและลำต้นอวบน้ำขนาดใหญ่ สูง 0.90-1.80(-3) เมตร มีฐานลำต้นบวม (pachycaul) เส้นผ่านศูนย์กลาง 45-60 ซม. ทรงกระบอกและแตกกิ่งด้านบน ใบเดี่ยวเรียงสลับออกชิดกันเป็นกระจุกที่ปลายยอด แผ่นใบหนารูปไข่หรือไข่กลับกว้าง 6-10 ซม.ยาว9-25 ซม.ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบรูปลิ่ม ขอบใบจักฟันเลื่อย เส้นกลางใบเห็นชัดเจน ก้านใบยาว 5-12 ซม ช่อดอก ออกตามซอกใบ ช่อยาว 35-40 ซม.แตกแขนงคล้ายช่อซี่ร่ม ก้านดอกยาว 1-2 ซม.กลีบเลี้ยง3กลีบ กลีบเลี้ยงคู่ข้างค่อนข้างกลม ปลายกลีบเป็นติ่งแหลม และกลีบเลี้ยงด้านล่างมีเดือยโค้ง ยาว 1-1.5 ซม.ปลายม้วนงอ มีสีเข้ม กลีบดอกมี5กลีบขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกด้านบนเกือบกลม กลีบดอกคู่ข้าง 4 กลีบเชื่อมติดกัน มีแต้มสีเหลืองที่ปลายและกลางกลีบ ดอกมีชนิดสีเหลืองและสีชมพูซึ่งหายากกว่า ผลเป็นแคปซูลรูปกระบอง เรียวยาวสู่โคน ยาว 2 ซม.แห้งแล้วแตก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งในที่ร่มไปจนถึงแสงแดดบางส่วน ชอบขึ้นอยู่บนซอกหินปูนซึ่งมีความชื้นและชั้นอินทรีย์วัตถุบางๆสะสม โดยทั่วไปแล้วจะไม่เจาะจงเกินไปสำหรับชนิดของดิน เป็นพันธุ์ไม้เขตร้อนที่มีอุณหภูมิระหว่าง 21-32°C ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ถึง 15°C เป็นพืชที่เพาะเมล็ดอย่างอิสระและเกือบจะเป็นวัชพืช
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ยืนต้นที่ง่ายและอายุยืนยาว ปลูกเป็นไม้กระถางได้ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ขนาดใหญ่ เนื่องจากมีระบบรากที่เล็ก สามารถปลูกเป็นไม้บอนไซได้ดี
ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากเกินไปในท้องถิ่น จากการเก็บรวบรวมเพื่อการค้าไม้ประดับ ต้นไม้เริ่มหายากขึ้นในหลาย ๆ ช่วงของมัน จึงถูกจัดวางไว้ในThe IUCN Red List ประเภท "ความเสี่ยงใกล้ถูกคุกคาม" (ใกล้จะมีคุณสมบัติที่มีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องหรือใกล้สูญพันธุ์และ/หรืออาจมีคุณสมบัติในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species.2014
การดำเนินการอนุรักษ์---พบได้ตามพื้นที่คุ้มครองหลายแห่ง (เช่น อุทยานแห่งชาติเขาสก)
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด (งอกใน 4-5 สัปดาห์ ), ปักชำ (ยาก)

เหยื่อเลียงผา/Impatiens Kerriae


ชื่อวิทยาศาสตร์---Impatiens Kerriae Craib.(1926)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:103696-1
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- เทียนนางคาร์, เทียนหมอคาร์ (ทั่วไป); เหยื่อจง, เหยื่อเลียงผา (เชียงใหม่) ; [THAI: Thian nang kha, Thian mo kha (General);  Yuea chong, Yuea liang pha (Chiang mai).]
EPPO Code--- IPAKE (Preferred name: Impatiens kerriae.)
ชื่อวงศ์---BALSAMINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--ประเทศไทย
Impatiens Kerriae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เทียนดอก (Balsaminaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2469
พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 ที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
ที่อยู่อาศัย เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย พบทางภาคเหนือ ที่ดอยเชียงดาว ดอยนางนอน ดอยอ่างขางจังหวัดเชียงใหม่ ที่ดอยตุง จังหวัดเชียงราย และอุทยานทองผาภูมิจังหวัดกาญจนบุรี เติบโตบนซอกหินปูน บนเขาหินปูนในที่โล่งแจ้ง ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,300-2,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีลักษณะแตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ลำต้นอวบน้ำสูงถึง 0.30-0.70 (1 ) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 10 ซม.ลำต้นเกลี้ยงออกสีเหลืองแดง กิ่งเปราะ แตกหักง่าย ใบเดี่ยวเรียงสลับแตกใบเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง ใบรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 6-11 ซม.ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อยแหลม ตรงโคนใบมีต่อมอยู่ 1 คู่ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นคู่ตามซอกใบ ก้านดอกยาว กลีบเลี้ยงมี2กลีบขนาดใหญ่ กลีบดอก 5 กลีบสีเหลืองอ่อน สีขาว หรือสีชมพู แฉกกลีบบนรูปรีหรือรูปไข่กลับยาว 2 ซม.ปลายเว้าตื้นเป็น 2 แฉก กลีบดอกคู่ข้างรูปไข่ยาว 3 ซม.สีขาวอมชมพูหรือสีชมพูอมม่วง ปลายเป็นติ่งหนามแหลมสั้นๆ กลีบดอกล่างรูปกลมเป็นแอ่งลึกคล้ายถุงรองรับกลีบกลางยาว 2.5 ซม.สีเหลืองอ่อนๆ แฉกกลีบดอกกลางมีขนาดใหญ่ยาว 4 ซม.ขอบกลีบโค้งเป็นถุงลึก ปลายกลีบยื่นยาวออกมา และเว้าลึกเป็น 2 แฉก ตรงปลายสีเหลือง ด้านในสีเหลืองอมแดง ผลแคปซูลแบบแห้งแล้วแตก รูปกระสวยตรงกลางเต่งปลายแหลมเปลือกบาง ยาว 3 ซม.มี 6-18 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลมีขนละเอียด เมื่อแก่ก้านผลจะงอโค้งและจะดีดออกเมื่อผลแตก ทำให้เมล็ดปลิวไปได้ไกล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นและมีความชื้นสูง ต้องมีร่มเงาบางส่วนหรือกรองแสงแดด ชอบดินผสมที่อุดมสมบูรณ์ มีรูพรุน และมีการระบายน้ำได้ดี ไม่เจาะจงเกินไปสำหรับชนิดของดิน ทนอุณหภูมิต่ำสุด 12-15° C
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ดอกมีรูปทรงสวยงาม
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic)และพืชหายาก
ระยะออกดอก---สิงหาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ระยะเวลาในการงอกใน 4-5 สัปดาห์


อีแตน/Polygala persicariifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Polygala persicariifolia DC.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-25900948
---Polygala buchanani Buch.-Ham. ex D. Don.(1825)    
---Polygala septemnervia Merr.(1906)    
---Polygala wallichiana Wight.(1840)
ชื่อสามัญ---Milkwort, Knotweed Leaved Milkwort
ชื่ออื่น---อีแตน, หญ้าเลือดเพ็ดม้า (ทั่วไป) ;[AFRIKAANS: Mbarama (Kinyarwanda).];[CHINESE: Liǎo yè yuǎn zhì.];[THAI: I taen, Ya luet pet ma (general.];[VIETNAM: Kích nhũ lá hẹp, Viễn chí lá liễu.].
EPPO Code--- POGPF (Preferred name: Polygala persicariifolia.)
ชื่อวงศ์---POLYGALACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนเหนือของออสเตรเลีย
Polygala persicarlifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ต่างไก่ป่า (Polygalaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย พบในแอฟริกา ( แองโกลาผ่านแอฟริกาใต้ไปยังเอธิโอเปีย); เอเชีย-  จีน( ยูนนาน )  อินเดีย พม่าตอนบน ไทย เวียตนาม; ใน Malesia-สุมาตรา ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อย  บาหลี ติมอร์ นิวกินี  ฟิลิปปินส์(ลูซอน); ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) ขึ้นตามทุ่งหญ้า ถนนในป่าชื้น เนินเขาหินสูงชัน พื้นดินใกล้กับการเพาะปลูกที่ระดับความสูง 200-1,800 เมตร ในประเทศไทยพบกระจายห่าง ๆ ทางภาคเหนือที่ เชียงใหม่ เชียงราย ตากและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จังหวัดเลย ขึ้นตามพื้นที่โล่ง ป่าสน ป่าผลัดใบ หรือ ป่าดงดิบ ที่ระดับความสูง 200-1,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก สูง 20-80 ซม.ต้นเป็นเหลี่ยมมีขนปกคลุม ใบเดี่ยวรูปรีถึงรูปใบหอก ยาว 2-6.5 ซม.ปลายใบแหลม โคนเรียวแคบ ขอบมีขนครุย ก้านใบสั้นมาก ดอกสีม่วงแดงถึงสีชมพูเข้ม ออกเป็นช่อ มี 15-20 ดอก ใบประดับติดทน รูปไข่ดอกย่อยขนาด 2-3.5 มม. กลีบรองดอก 5 กลีบขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอก 3 กลีบขนาดไม่เท่ากัน แผ่นเกสรเพศผู้ยาว 3.5-5 มม. รังไข่รูปไข่ ขนาดประมาณ 1.5 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาว 3.5-5.5 มม. ปลายโค้ง ผลรูปรีกว้างมีปีกและขนที่ขอบ ขนาด 3.5-4.5 มม.มีกลีบรองดอกติดอยู่ เมล็ดรูปขอบขนาน ยาว 3.5-3.8 มม.มีขนสีขาวหนาแน่น เยื่อหุ้มเมล็ดจัก 3 พู ตื้น ๆ
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้ทั้งต้น บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ เจ็บหน้าอก งูกัด
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ฮ่อม/Strobilanthes cusia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Strobilanthes cusia (Nees) Kuntze.(1891).
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Goldfussia cusia Nees.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2476975
ชื่อสามัญ---Assam indigo
ชื่ออื่น---ฮ่อม (ภาคเหนือ), คราม (ทั่วไป), ครามหลอย (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ฮ่อมเมือง (น่าน) ;[CHINESE: Bǎn lán, Shān lán.];[FRENCH: Indigo de l'Assam.];[PORTUGUESE: Indigo-de-Assam.];[THAI: Hom (Northern); Khram (General); Khram loi (Shan-Mae Hong Son); Hom mueang (Nan).];[VIETNAM: Cây Chàm Mèo.].
EPPO Code---SBTCU (Preferred name: Strobilanthes cusia.)
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อินเดีย ภูฏาน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ญี่ปุ่น
Strobilanthes cusia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย พบในจีน (กวางตุ้ง, ไหหลำ, ฮ่องกง, กวางสี, ยูนนาน, กุ้ยโจว, เสฉวน, ฝูเจี้ยน, เจ้อเจียง, ไต้หวัน), อินเดีย, ภูฏาน, เวียดนาม, ญี่ปุ่น (คิวชู เกาะริกิว ), พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม เติบโตในพื้นที่ภูเขา มักจะพบในสถานที่ชื้นในป่า ที่ระดับความสูง 100 - 2,000 เมตร ในประเทศไทยพบตามที่ชุ่มชื้นในป่าดงดิบทางภาคเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 0.50-1.5 เมตร.ลำต้นเป็นเหลี่ยม รูปทรงกระบอก ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปรี กว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 5-16 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบสอบ ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกสีม่วงออกเป็นช่อที่ซอกใบ ดอกย่อยบานกว้าง 1.5-2 ซม.กลีบรองดอก 5 แฉก กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดโค้งงอ ปลายแยก 5 กลีบ เกสร้พศผู้ 4 อัน ผลเมื่อแก่แล้วแตก เมล็ดแบนสีน้ำตาลขนาดเล็ก
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและสีย้อม ต้นกำเนิดของ 'อัสสัมอินดิโก' ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปลูกในโรงงานย้อมสีขนาดใหญ่ในประเทศจีนและอินเดีย แต่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยสีย้อมสังเคราะห์และปลูกในขนาดเล็ก
-ใช้เป็นยา รากและใบต้านการอักเสบ แก้ไข้ ยาต้มใช้ในการรักษาโรคคางทูม, เจ็บคอ, ไฟลามทุ่งและผื่นที่เกิดจากไข้ ใบเป็นยาสมานแผลขับปัสสาวะ ยาพอกใบใช้รักษาอาการปวดข้อ
-ใช้อื่น ๆ ทั้งต้นสดสับเป็นท่อนต้มเคี่ยวเพื่อทำสีย้อมผ้าให้สีน้ำเงินเข้มเกือบดำ- รวมกับขมิ้น (Curcuma longa) เพื่อให้เป็นสีเขียว-รวมดอกคำฝอย (Carthamus tinctorius) เพื่อให้สีม่วง
ระยะออกดอก---มกราคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :

---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3 2554                                                     
---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย
โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี
The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี                                                                 
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2
โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ                                                 
---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้                                                
โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554                                                  ---หนังสือสูงเสียดดอย พรรณไม้งาม โดย ปิยะ โมคกุล เรื่อง ; บารมีเต็ม บุญเกียรติ ภาพ
----ชื่อพรรณไม้ เต็ม สมิตินันทน์ http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

---EPPO code---รหัสEPPOคือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int

Check for more information on the species:



Plants Database    ---Names, synonymy and distribution    The Garden.org Plants Database    https://garden.org/plants/
Global Plant Initiative    ---Digitized type specimens, descriptions and use    หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
Tropicos    ---Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
GBIF    ---Global Biodiversity Information Facility    Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
IPNI    ---International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
EOL    ---Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
PROTA       ---Uses    The Plant Resources of Tropical Africa    https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040
Prelude    ---Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google Images    ---Images                    
Online Resources
---JSON (data interchange format)
---GBIF
---Encyclopaedia of Life
---Biodiversity Heritage Library
---ALA occurrences
---Google search
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com

2/2/2020,8/2/2020,31/12/2021

24/6/2022



  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view