สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 28/03/2024
สถิติผู้เข้าชม 17,272,898
Page Views 23,416,241
 
« March 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      

ต้นไม้ในป่า10

ต้นไม้ในป่า10

ต้นไม้ในป่า 10

For information only-the plant is not for sale.

ต่อไปเป็นพวกไม้เถาเลื้อย เนื้ออ่อน เนื้อแข็ง ไม้ผิวดิน เท่าที่หาได้

1 ก้นบึ้ง/Uvaria microcarpa 38 คำผีแปง/Caesalpinia minax 
2 กระเช้าถุงแดง/Aristolochia tagala 39 คุย/Willughbeia edulis 
3 กระเช้าถุงทอง/Aristolochia pothieri 40 เครือข้าวมวก/Alyxia siamensis
4 กระเช้านกเล็ก/Aristolochia kerrii 41 เครือเขาแกบ/Bauhnia curtisii
5 กระเช้าผีมด/Hydnophytum formicarum 42 เครือเขาปู้/ Pueraria candollei var. Candollei
6 กระดังงาจีน/Artabotrys hexapetalus 43 เครือเขาหนัง/Phanera bassacensis
7 กระดูกกบ/Hymenopyramis brachiata Wall ex
44 เครือเขาหลวง/Argyreia splendens
8 กระเพาะปลา/Finlaysonia manitima 45 เครืองูเห่า/Toddalia asiatica
9 กล้วยพังพอน/Uvaria hamiltonii 46 เครือโงบ/Uncaria homomalla
10 กล้วยมะสังก้านสั้น/Fissistigma parviflorum 47 ครือจักกระทงแดง/Thunbergia hossei
11 กล้วยลิง/Fissistigma latifolium 48 เครือเทพรัตน์/Thepparatia thailandica
12 กล้วยอ้ายพอน/Uvaria lurida 49 เครือพูเงิน/Argyreia mollis
13 กล้วยอีเห็น/ Uvaria dac 50 เครือมวกไทย/Alyxia thailandica
14 กวางดูถูก/Naravelia laurifolia 51 เครือมุย/Ceropegia sootepensis
15 กาคาบแก้ว/Dalechampia bidentata 52 เครือเหนียว/Friesodielsia affinis
16 กาติด/Erycibe cochinchinensis 53 งวงชุ่ม/Combretum pilosum
17 กาฝากตีนปู/Viscum articulatum 54 จั่นดิน/ Asparagus acerosus
18 กาฝากมหาปราบ/Helixanthera parasitica 55 จิงจ้อเขา/Jacquemontia paniculata
19 ก๋าย/Artabotrys suaveolens 56 ชงโคดำ/Bauhinia pottsii
20 การเวกกระ/ Artabotrys aeneus 57 ช้างสารซับมัน/Erycibe elliptilimba
21 การเวกช่อ/Artabotrys multiflorus 58 ชิงช้าสะแกราช/Tinospora siamensis
22 การเวกน้ำ/Artabotrys oblanceolatus 59 ซังแกเถา/Combretum sundaicum
23 การเวกใบใหญ่/Artabotrys  grandifolius 60 ดอกน้ำตาล/Fissistigma minuticalyx
24 กำปองน้อย/Clematis subumbellata  61 ต้างไม้ฟันงู/ Hoya multiflora
25 กำปองหลวง/Clematis buchananiana 62 ติ่งตั่ง/Getonia floribunda
26 แก้วงามขำ/Hoya meliflua 63 เตยเลื้อย/Freycinetia multiflora
27 แก้วมือไว/Pterolobium integrum 64 เถากระดึงช้าง/ Argyreia lanceolata
28 ไกรกรัน/Jasminum annamense subsp.
65 เถานางรอง/ Epipremnum giganteum
29 ไก่ฟ้ายักษ์/Aristolochia grandiflora 66 เถาประสงค์/Streptocaulon juventas
30 ขางครั่ง/Dunbaria bella 67 เถาไฟ/Bauhinia integrifolia 
31 ข้าวสารค่าง/Cardiopteris quinqueloba 68 เถามวกขาว/Urceola minutiflora
32 เขี้ยวกระจง/Fagerlindia sinensis 69 เถายั้งดง/Smilax lanceifolia
33 เขี้ยวงู/Jasminum decussatum 70 เถาวัลย์กรด/Combretum tetralophum
34 เขี้ยวงูเล็ก/ Jasminum nervosum 71 เถาวัลย์ดำ/Marsdenia glabra
35 เขืองแดง/Smilax siamensis 72 เถาวัลย์ปูน/Cissus rependa
36 คดสัง/Combretum trifoliatum 73 เถาวัลย์ยั้ง/Smilax ovalifolia
37 คันธุลี/Tyrophora indica 74 เถาอีแปะ/ Dischidia hirsuta

EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int


ก้นบึ้ง/Uvaria microcarpa


ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria microcarpa Champ. ex Benth.(1851)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-1602903
---Uvaria badiiflora Hance.(1851)
---Uvaria macrophylla var. microcarpa (Champ. ex Benth.) Finet & Gagnep.(1906)
---Uvaria obovatifolia Hayata.(1913)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ก้นบึ้ง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[CHINESE: Zǐ yù pán.];[PORTUGUESE: Uvária.];[THAI: Kon bueng (Northeastern).];[VIETNAM: Bù dẻ trườn.].
EPPO Code---UVAMC (Preferred name: Uvaria microcarpa.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ ไหหนาน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ศรีลังกา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์  หมู่เกาะอันดามัน นิวกินี นิโคบาร์ ซุนดาน้อย โซโลมอน
Uvaria microcarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John George Champion (1815–1854) เป็นทหาร นักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจขาวอังกฤษ จากอดีต George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2394
ที่อยู่อาศัย พบใน บังคลาเทศ ไหหนาน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ศรีลังกา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์  หมู่เกาะอันดามัน นิวกินี นิโคบาร์ ซุนดาน้อย โซโลมอน เติบโตในป่าเปิดที่ระดับความสูง200 - 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ที่ระดับความสูง 200-400 เมตร  
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นได้ไกล 8-12 เมตร กิ่งอ่อนมีขนรูปดาวสีเหลืองทองหนาแน่น กิ่งแก่สีดำเกลี้ยง ตามกิ่งมีใบหนาแน่น ใบรูปไข่กลับ กว้าง 8-12 ซม.ยาว 16-23 ซม.โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างสีเขียวนวล ตามเส้นกลางใบและ เส้นแขนงมีขนรูปดาวสีเหลืองทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งตรงข้ามใบมี 2-9 ดอก สีแดงเข้ม ดอกบานขนาด 2 ซม.ผลกลุ่มมีผลย่อย 15-20 ผล แต่ละผลรูปรี กว้าง 1 ซม.ยาว 1.5-2 ซม.สุกสีเหลืองส้ม เมล็ดสีน้ำตาลเข้มหลายเมล็ด
ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าและใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นอาหารยาและเส้นใย
-ใช้กิน ผลสุกกินได้
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ รากและใบ รากใช้เป็นยากล่อมประสาทเพื่อหยุดอาเจียนและรักษาโรคไขข้อ ใบใช้บรรเทาอาการปวดและลดอาการบวม
-อื่น ๆ เส้นใยที่ได้จากเปลือกใช้สำหรับทำกระสอบ
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฏาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์--เมล็ด

กระเช้าถุงแดง/Aristolochia tagala

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Aristolochia tagala Cham.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Basionym: Aristolochia acuminata Lam.(1783)
---Aristolochia angulosa Wall. ex Duch.(1864)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2651940
ชื่อสามัญ---Indian birthwort.
ชื่ออื่น---กระเช้าถุงแดง, กระเช้าผีมด, กระเช้ามด, กระเช้าสีดา (ภาคกลาง); ปุลิง (เชียงใหม่); หาบกะเชอ (ขอนแก่น) ;[ASSAMESE: Pan-pipuli, Beli-kol.];[CHINESE: Yin du ma dou ling, Chui guo ma dou ling, Luan ye ma dou ling, Luan ye lei gong teng.];[FRENCH: Aristoloche.];[INDIA: Valiya arayan, Mala arayan.];[INDONESIA: Kalayar (Sundanese); Ppuyan (Javanese); Kunit (Sulawesi); Puyan, Prajon (Javanese).];[MALAYSIA: Akar ketola hutan, Akar petola hutan (Peninsular); Akar ara bukit.];[PHILIPPINES: Timbangan (Tagalog); Goan-goan (Bisaya); Nagerus (Iloko).];[TELUGU: Nallayishwari.];[THAI: Krachao thung daeng, Krachao phi mot, Krachao mot, Krachao sida (Central); Pu ling (Chiang Mai); Hap ka choe (Khon Kaen).];[VIETNAM: Dây khố rách, Phòng kỷ, Sơn dịch, Thiên tiên đằng.].
EPPO Code---ARPSS (Preferred name: Aristolochia sp.)
ชื่อวงศ์---ARISTOLOCHIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของออสเตรเลีย
Aristolochia tagala เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไก่ฟ้า (Aristolochiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adelbert von Chamisso (1781–1838) เป็นกวีและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2375


ที่อยู่อาศัย มีการกระจายอย่างกว้างขวางจากหิมาลัยไปยังศรีลังกาผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมถึงพม่า, อินโดจีน,อินโดนีเซีย)และจีนไปยังโอเชียเนีย (รวมถึงMalesiaทั้งหมด, หมู่เกาะโซโลมอนและควีนส์แลนด์ในออสเตรเลีย) เติบโตในป่าเปิดและป่าทึบเปิดโล่ง ที่ระดับความสูง  800-1,350 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และชายป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 1,050 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยลำต้นเกลี้ยง เลื้อยได้ไกล 4-10 (20) เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับรูปหัวใจแผ่นใบกว้าง 3-5 ซม.ยาว 8-20 ซม.โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อสั้นตามซอกใบ ช่อละ 1-4 ดอก ทยอยบานทีละดอก มีขนประปรายทั่วไปและมักมีกลิ่นหอมเอียน ดอกย่อยเป็นท่อยาวโค้งส่วนโคนป่องกลีบดอกชั้นเดียวผลเป็นผลแห้งรูปกระเช้าป้อมมีสันตื้นๆ เมื่อแก่จัดจะแยกเป็น 6 เสี่ยงก้านผลแยกเป็นระยางค์ 6 เส้นยาว 12.5-6 ซม. เมล็ดข้างในรูป สามเหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อนมีปีก กว้าง 7-8 มม.ยาว 5-8 มม.ด้านหนึ่งผิวเรียบอีกด้านหนึ่งมีตุ่มขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ห่าง ๆ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ แสงแดดจัดหรือร่มเงาบางส่วน สามารถอยู่ในพื้นที่อากาศหนาวเย็น ดอกไม้ของพืชหลายชนิดในสกุลนี้ก่อให้เกิดกับดักที่ซับซ้อนสำหรับแมลงผสมเกสร
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ต้นใช้กินเป็นยาบำรุงธาตุ รากใช้เป็นยาชูกำลังขับลม ใบ นำมาเผาให้ร้อน แล้ววางนาบไว้ตาม แขนหรือหน้าท้อง แก้ปวดบวม ตำให้ละเอียด พอกภายนอก แก้โรคผิวหนัง ลดไข้
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับและใช้เป็นอาหารเลี้ยงผีเสื้อได้[
รู้จักอันตราย---สายพันธุ์นี้มีกรด aristolochic ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีผลข้างเคียงที่เป็นพิษในปริมาณที่มากขึ้น อาการพิษเฉียบพลัน ได้แก่อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น, ataxia (โรคความเสื่อมของระบบประสาท การขาดการควบคุมกล้ามเนื้อ), และการขยายตัวของหลอดเลือด ผลกระทบระยะสั้นเป็นพิษเรื้อรัง ได้แก่ ความเป็นพิษต่อตับความเสียหายของไต  ความผิดปกติของเลือด
ระยะออกดอก---เดือนเมษายน
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง

กระเช้าถุงทอง/Aristolochia pothieri


ชื่อวิทยาศาสตร์---Aristolochia pothieri Pierre ex Lecomte.(1909)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2651798
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กระเช้าถุงทอง(ภาคกลาง) ; [THAI: Krachao thung thong (Central).]
EPPO Code---ARPSS (Preferred name: Aristolochia sp.)
ชื่อวงศ์---ARISTOLOCHIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน
Aristolochia pothieri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไก่ฟ้า (Aristolochiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Paul Henri Lecomte (1856–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2452


ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยมีการกระจายตั้งแต่ภาคเหนือลงมาจนถึงภาคใต้ตอนบน พบได้ตามป่าผลัดใบ ชายป่าดิบและทุ่งหญ้า และบริเวณเขาหินปูน ที่ระดับความสูง 100-400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาล้มลุก ทอดเลื้อยไปตามพื้นและเกี่ยวพันต้นไม้อื่น ลำต้นมีขนละเอียด ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กว้าง ขอบใบเรียบ หรือหยักเว้าเล็กน้อยเป็น 3 แฉก กว้าง12-14 ซม.ยาว11-12 ซม.ฐานใบเว้าลึกรูปหัวใจ ปลายใบแหลมมีขนกระจายทั้งสองด้าน เส้นโคนใบข้างละ 1 เส้น .ก้านใบยาว 3.5-5.2 ซม.ดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบมี 8-20 ดอก ช่อดอกมักแยกแขนง ยาว 6 ซม. ใบประดับรูปไข่ ยาวประมาณ 1 มม. ก้านดอกยาว 6-7 มม.ดอกสีเขียวแกมน้ำตาลหรือสีม่วงแกมน้ำตาล ยาวประมาณ 3-4 ซม. รูปร่างคล้ายหลอดยาว โคนเป็นกระเปาะ ส่วนปลายแผ่แบน ด้านนอกมีขนสั้นๆ ผลอ่อนสีเขียวรูปไข่กว้าง มี 6 สัน ยาว 4-4.5 ซม. ก้านผลยาว 3-6 ซม. เมื่อแก่แห้งแล้วแตก เป็นรูปกระเช้า สีน้ำตาล เมล็ดรูปสามเหลี่ยม ยาว 7-8 มม.รวมปีก มีตุ่มด้านเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงรำไร ดินร่วนอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ หัวใต้ดิน, ใบ -หัวใต้ดิน ฝานเป็นแว่นบางๆ ต้มน้ำดื่ม บำรุงร่างกาย เชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะและคงกระพัน-ใบ ตำเป็นยาพอกภายนอก เช่นพอกศีรษะลดไข้ พอกแก้โรคผิวหนังบางชนิด หรือนำใบมาเผาไฟให้ร้อนแล้ววางนาบบนท้องหรือแขนขาที่บวม แก้อาการบวม
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยและปลูกเพื่อเป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนของผีเสื้อ
รู้จักอันตราย---สายพันธุ์นี้มีกรด aristolochic ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีผลข้างเคียงที่เป็นพิษในปริมาณที่มากขึ้น อาการพิษเฉียบพลัน ได้แก่อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น, ataxia (โรคความเสื่อมของระบบประสาท การขาดการควบคุมกล้ามเนื้อ), และการขยายตัวของหลอดเลือด ผลกระทบระยะสั้นเป็นพิษเรื้อรัง ได้แก่ ความเป็นพิษต่อตับความเสียหายของไต  ความผิดปกติของเลือด
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง

กระเช้านกเล็ก/Aristolochia kerrii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Aristolochia kerrii Craib.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2651540
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กระเช้านกเล็ก, กระเช้าปากเป็ด (ภาคเหนือ), เครือไก่น้อย (เชียงใหม่) ;[THAI: Krachao pak pet (Northern); Khruea kai noi (Chiang Mai); Krachao nok lek.].
EPPO Code--- ARPSS (Preferred name: Aristolochia sp.)
ชื่อวงศ์---ARISTOLOCHIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Aristolochia kerrii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไก่ฟ้า (Aristolochiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2454
ที่อยู่อาศัย ไม้เถาเลื้อยถิ่นเดียว พบเฉพาะในประเทศไทย พบมากทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ พบกระจายห่างๆ ทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้จนถึงจังหวัดสุราฎร์ธานี ขึ้นตามที่โล่งในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ตามป่าละเมาะและชายป่าดิบ หรือบนเขาหินปูนที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ที่ระดับความสูง 500-1,370 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นเกลี้ยง ใบเดี่ยวออกสลับรูปไข่แกมรูปหอกค่อนไปทางสามเหลี่ยม ขนาด กว้าง 4.5-6.6 ซม.ยาว 5.2-7.4 ซม.ปลายใบแหลม ฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนเรียบด้านล่างมีขนอ่อนนุ่มปกคลุม ดอกออกเป็นกลุ่มตามซอกใบมีเพียง 1-2 หรือ 3 ดอกดอกย่อยโค้งงอ ยาว1.5-2 ซม.โคนเป็นกระเปาะปลายแผ่แขนงอออกเป็นจงอย ด้านนอกสีม่วงเข้มด้านในสีครีมผล รูปไข่ กว้าง 1.6-1.8 ซม.ยาว 1.8-2.2 ซม.ก้านผลยาว 1.8-2.2 ซม.แก่แล้วแตกเป็นรูปกระเช้า เมล็ดรูปไข่กลับ แบน ไม่มีปีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ แสงแดดจัดหรือร่มเงาบางส่วน
ประโยชน์---ยังไม่มีรายงานการวิจัย
รู้จักอันตราย---สายพันธุ์นี้มีกรด aristolochic ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีผลข้างเคียงที่เป็นพิษในปริมาณที่มากขึ้น อาการพิษเฉียบพลัน ได้แก่อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น, ataxia (โรคความเสื่อมของระบบประสาท การขาดการควบคุมกล้ามเนื้อ), และการขยายตัวของหลอดเลือด ผลกระทบระยะสั้นเป็นพิษเรื้อรัง ได้แก่ ความเป็นพิษต่อตับความเสียหายของไต  ความผิดปกติของเลือด
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง

กระเช้าผีมด/Hydnophytum formicarum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydnophytum formicarum Jack.(1823)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms.See all The Plant List    
---Hydnophytum blumei Becc.(1884)      
---Hydnophytum borneense Becc.(1884)  
---Hydnophytum montanum Blume.(1826)   
---Lasiostoma formicarum (Jack) Spreng.(1824)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-100941
ชื่อสามัญ---Baboon's Head, Ant Plant, Ant-house plant.
ชื่ออื่น---กระเช้าผีมด (สุราษฎร์ธานี); ดาลูปูตาลิมา (มาเลย์-ภาคใต้); ปุมเป้า (ตราด); ร้อยรู (ปัตตานี); หัวร้อยรู (ภาคกลาง) ;[CAMBODIA: Suot damri (Central Khmer).];[CHINESE: Hua roi ru.];[INDONESIA: Urek-urek polo (Javanese); Sarang semut (Malay).];[MALAYSIA: Dedalu api laut, Kepala berok, Hempedal itek (Peninsular); Hempedu Beruang, Raja Satung (Kedah); Kepala Beruk, Sarang Semut (Malay).];[PHILIPPINES: Banghai (Bisaya).];[THAI: Krachao phi mot (surat thani); Da-lu-pu-ta-li-ma (Malay-Peninsular); Pum pao (Trat); Roi ru (Pattani); Hua roi ruu (Central).];[VIETNAM: Cây Bí Kỳ Nam.].
EPPO Code---HDOFO (Preferred name: Hydnophytum formicarum.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--หมู่เกาะอันดามัน, เมียนมาร์, กัมพูชา, เวียดนาม, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี, ฟิจิ, ออสเตรเลีย
Hydnophytum formicarum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2366


ที่อยู่อาศัย สกุล Hydnophytum Jack เป็นหนึ่งในสกุลพืช myrmecophyte (พืชที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับอาณานิคมของมด)  ในจำนวน 5 สกุลของวงศ์ Rubiaceae มีประมาณ 50 ชนิด พบที่หมู่เกาะอันดามันของอินเดีย เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฟิจิ และแหลมยอร์กในออสเตรเลีย พบมากในนิวกินี ในประเทศไทยพบชนิดเดียว คือ H.formicarum ส่วนมากพบทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นตามคบไม้ในป่าดิบชื้น ป่าชายหาด และป่าพรุน้ำจืด ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอิงอาศัยต้นไม้อื่น ลำต้นสูง 30-60 ซม.ลักษณะโคนต้นป่องออกเป็นหัวกลมป้อม ผิวด้านนอกหยักเป็นลอนคลื่นสีน้ำตาลอมเทาเป็นมัน เนื้ออวบน้ำหนา ภายในเป็นโพรงและมีช่องทะลุติดต่อกันเป็นที่อาศัยของมดและสัตว์หลายชนิดใบเป็นใบเดี่ยวแผ่นใบหนารูปรีถึงรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ขนาด -7 ซม.ยาว 4-15 ซม.สีเขียวอ่อนถึงเขียวคล้ำ หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ดอก เดี่ยวแต่มักออกรวมเป็นกระจุก 2-5 ดอกดอกขนาดเล็กรูปดอกเข็มสีขาวไม่มีก้านขนาด 0.2-0.4 ซม.ผลแบบผลมีเนื้อรูป ทรงรีถึงไข่กลับขนาด 0.3-0.4 x 0.5-0.7 สีเขียว สุกสีส้มถึงแดงฉ่ำน้ำเมล็ดแข็งมี2เมล็ด ยาวประมาณ 5 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ;-หัวร้อยรู จัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดมหากาฬทั้ง 5" ซึ่งประกอบไปด้วย หัวร้อยรู หัวถั่วพู หัวกระเช้าผีมด มหากาฬใหญ่ และมหากาฬนกยูง โดยมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อน แก้พิษไข้ ถอนพิษไข้ ไข้กาฬ ประดงผื่นคัน แก้พิษอักเสบ ช้ำบวม น้ำเหลืองเสีย ;-น้ำต้มจากหัวมีสรรพคุณแก้ตับและลำไส้อักเสบ ใช้เป็นยาแก้พิษประดงหรืออาการของโรคผิวหนังที่มีผื่นคันเป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมาก และมักมีไข้ร่วมด้วยเสมอ ;-ต้น ตำกิน ถ่ายพยาธิ บำรุงหัวใจ แก้พิษในกระดูก แก้ปวดเข่า และผสมกับ ยาชุดรักษาโรคเบาหวาน
สถานภาพ---ระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในเวียดนามและสิงคโปร์ อาจหายากในอินเดียด้วย
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ


กระดังงาจีน/Artabotrys hexapetalus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys hexapetalus (L.f.) Bhandari.(1965)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms
---Basionym: Annona hexapetala L.f.(1781)
---Artabotrys odoratissimus R.Br.(1819)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2653287
ชื่อสามัญ---Climbing Ylang -Ylang, Ylang Ylang Vine, Climbing lang-lang, Tail grape.
ชื่ออื่น---กระดังงาจีน, การเวก (ภาคกลาง); สะบันงาเครือ, สะบันงาจีน (ภาคเหนือ) ;[ASSAMESE: Kothali-champa.];[BENGALI: Kanthalichampa.];[CHINESE: Yīng zhǎo huā.];[FRENCH: Coq du levant, Coque du levant, Ylang-ylang grimpant.];[HINDI: Hari champa, Madanmast, Manorangini.];[KANNADA: Kandali sampige, Manoranjanihu balli.];[MALAYSIA: Kenanga Bengkok (Malay).];[MARATHI: Hirva chapha.];[PORTUGUESE: Falso-ilangue-ilangue.];[SANSKRIT: Harachampaka.];[SPANISH: Ilan-Ilán trepador.];[TAMIL: Manoranidam, Manoranjitham.];[THAI: Kradang nga chin, Karawek (Central); Saban nga khruea, Saban nga chin (Northern).].
EPPO Code--- BTBHE (Preferred name: Artabotrys hexapetalus.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีนตอนใต้ ถึง ชวา
Artabotrys hexapetalus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarl Linnaeusและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Madan Mal Bhandari (born-1929) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดียในปีพ.ศ.2508
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา อินเดียตอนใต้ บังคลาเทศ เมียนมาร์ จีน ไต้หวัน พบที่ระดับความสูง 100-300 เมตร ลักษณะทั่วไปคล้ายกับ A. siamensis Miq.แต่เป็นพรรณไม้จากต่างประเทศ ดอกใหญ่กว่า สีเข้มกว่าและออกดอกดกกว่า
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งอายุหลายปี เลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร ลำต้นมีช่องอากาศ มักมีหนามยาว 2-4 ซม.ตามกิ่งและยอดไม่มีขนหรือมีขนประปราย ใบเรียงเวียน รูปขอบขนาน ยาว 6-25 ซม.แผ่นใบด้านล่างมีขนละเอียดตามเส้นกลางใบ ใบแข็งหนาสีเขียวเข้มเป็นมัน  ช่อดอกมี 1-3 ดอก สีเหลือง กลีบดอกรูปรีปลายแหลม มี 6 กลีบ แข็งหนา เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบด้านในเล็กกว่าด้านนอก ดอกบานขนาด 5-7 ซม.ส่วนโคนก้านดอกแบนและโค้งคล้ายตะขอใช้เกาะพยุงลำต้น ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 4-15 ผล รูปรีกว้าง ยาว 2.5-4 ซม. ก้านสั้นหรือไม่มีก้าน ปลายมีติ่งแหลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง แต่ละผลมี 1-2 เมล็ด เมล็ดยาว 1.5-2 ซม.ดอกบานวันเดียวร่วงหอมตลอดวันและแรงขึ้นตอนช่วงพลบค่ำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัดหรือร่มรำไร ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง
ใช้ประโยชน์ ---ดอกมีกลิ่นหอมใช้ทำน้ำหอมและใส่ในใบชา
-ใช้เป็นยา ผลมีสรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับซุ้ม ทั่วไปในเขตร้อน ซุ้มไม้ในกรุงเทพฯตามที่จอดรถประจำทางจะเป็นกระดังงาจีน แต่มักจะเรียกกันว่าการเวก
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง

กระดูกกบ/Hymenopyramis brachiata

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--- Photo: http://crassa.cocolog-nifty.com/blog/2014/10/hymenopyramis-b.html
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hymenopyramis brachiata Wall. ex Griff.(1843)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-101269
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กระดูกกบ, กระพัดแม่ม่าย, กระดูกแตก (ภาคกลาง), กงกาง(เชียงใหม่-พิษณุโลก),  กงกางเครือ(ภาคกลาง-นครราชสีมา), กงเกง, ขงเข็ง, ขาเปีย, จะก๊า, จ๊าเปื๋อย, ตีนตั่งลม(ภาคเหนือ), ควายแก่ร้องไห้, เปื๋อยเครือ(นครราชสีมา), คอแร้ว(ประจวบคีรีขันธ์), เครือขาเปีย(แพร่), โกงกาง(สระบุรี) ;[THAI: Kraduk kop, Kra phat mae mai, Kraduk taek (Central); Kong kang (Chiang Rai, Phitsanulok); Kong kang khruea (Central, Nakhon Ratchasima); Kong keng, Khong kheng, Kha pia, Chaka, Ccha pueai, Tin tang lom (Northern); Khwai kae rong hai, Pueai khruea (Nakhon Ratchasima); Kho raeo (Prachuap Khiri Khan); Khruea kha pia (Phrae); Kong kang (Saraburi).].
EPPO Code--- 1LAMF (Preferred name: Lamiaceae.)
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า อินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Hymenopyramis อาจเป็นตัวแทนของรูปร่างนี้ Hymeno = membrane  + pyramis=กรวย
Hymenopyramis brachiata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2386
ที่อยู่อาศัย พบการกระจายพันธุ์ในอินเดีย ศรีลังกา พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูงถึง 4 เมตร โคนต้นมีหนามแข็ง กิ่งอ่อนเป็นสันเหลี่ยมมีขนละเอียดสั้น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูป วงรี กว้าง 2.5-8 ซม. ยาว 5-12 ซม.แผ่นใบบาง มีขนทั้งสองด้าน  ดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ออกดอกที่ซอกใบ และปลายกิ่ง ออกดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก  มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนติดกันเป็นรูปถ้วยขนาดเล็ก กลีบดอก 4 กลีบสีขาว ขนาดเล็กมาก โคนติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเล็กน้อย ผลสด รูปค่อนข้างกลม มีกลีบเลี้ยงที่ขยายใหญ่ เชื่อมติดกันเป็นถุงสี่เหลี่ยมหุ้ม
ใช้ประโบชน์---ใช้เป็นยา เปลือกต้นหรือแก่น ต้มน้ำแก้โรคไตพิการ
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

กระเพาะปลา/Finlaysonia manitima


ชื่อวิทยาศาสตร์---Finlaysonia obovata Wall.(1831)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.
---Finlaysonia maritima Backer ex K.Heyne.(1927)
---Tabernaemontana cirrhosa Blanco.(1837)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2812950
ชื่อสามัญ---Finlayson’s Creepe, Finlaysonia.
ชื่ออื่น---กระเพาะปลา (ภาคกลาง) ;[INDIA: Lata Rai (Odia).];[MALAYSIA: Daun Korpo Laki-laki, Pilir Kambing, Kalak Kambing, Pepanjat (Malay).];[SINGAPORE: Kalak Kambing (Malay).];[THAI: Kra pho pla (Chanthaburi).];[VIETNAM: Dây mủ.].
EPPO Code---FNYOB (Preferred name: Finlaysonia obovata.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า กัมพูชา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไนและอินโดนีเซีย
Finlaysonia obovata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wolff Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2374


ที่อยู่อาศัย พบใน อินเดีย ศรีลังกา พม่า กัมพูชา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไนและอินโดนีเซียพบขึ้นทั่วไปตามป่าชายเลน โดยเฉพาะบริเวณริมชายฝั่ง
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่น ลำต้นเรียบเกลี้ยง เลื้อยได้ไกลถึง 5 เมตร ส่วนต่างๆมีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนม เถาและใบสีเขียวอ่อนถึงสีแดงอมม่วง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่กลับถึงรูปรี ขนาดกว้าง 2- 5 ซม.ยาว 6-12 ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบมนเป็นติ่งแหลมสั้น เนื้อใบหนากึ่งอวบน้ำ ผิวใบเกลี้ยงถึงมีขนสั้นนุ่ม ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่าดอก แบบช่อกระจุก แตกแขนงแบบสองหรือสามง่าม แขนงของช่อและก้านดอกอวบหนา สีม่วงแดงมีขนปกคลุม ดอกย่อยขนาดเล็กรูปกงล้อสีม่วงอมชมพู ขอบขาว ดอกบานขนาด 1-1.7 ซม.มีกลิ่นเหม็น กลีบเลี้ยง 5 กลีบขนาดเล็กมีขนยาวเส้าเกสรรูปมงกุฏสีขาว ผลเป็นผลคู่ แบบแตกแนวเดียว ขนาดใหญ่รูปไข่โป่งข้างเดียว ปลายแหลมและม้วนงอ ขนาดกว้าง 3-4 ซม.ยาว 4-6 ซม. ฝักมีสันตามแนวยาวคล้ายครีบและมีสันเล็กๆแทรกหลายสัน ด้านบนสีม่วงอมชมพู ด้านล่างสีเขียว เมล็ดจำนวนมาก รูปไข่มีขนเป็นพู่ที่ปลาย
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อน รับประทานสด หรือเป็นผักร่วมในสลัด
-ใช้เป็นยา ในอินเดีย พืชใช้ในการรักษาโรคหอบหืด
ภัยคุกคาม---เนื่องจากคาดว่ามีพืชที่โตเต็มที่เหลือน้อยกว่า 50 ต้นในป่าโดยมีหลักฐานการเสื่อมถอยและการกระจายตัวของที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ถูกวางไว้ในรายการแดงของพืชที่ถูกคุกคามของสิงคโปร์ ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต'
สถานะการอนุรักษ์---CR-Critically Endangered-Red List of threatened plants of Singapore.
สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated อนุกรมวิธานนี้ยังไม่ได้รับการประเมินสำหรับ IUCN Red List
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/พฤศจิกายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

กล้วยพังพอน/Uvaria hamiltonii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria hamiltonii Hook.f.& Thomson.(1855)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-1602923
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กล้วยพังพอน (ตราด), นมควาย (ลำปาง) ;[BENGALI: Latkean.];[ORIYA: Lakhana koli.];[THAI: Kluai phang phon (Trat); Nom khwai (Lampang).].
EPPO Code---UVAHA (Preferred name: Uvaria hamiltonii.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียเขตร้อน: คาบสมุทรอินเดีย บังกลาเทศ อินโดจีน
Uvaria hamiltonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ จากอดีต Thomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรอินเดีย บังกลาเทศ อินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 50-300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ขนาดใหญ่ เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นได้ไกล 10-18 เมตร เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอมเทา มีช่องอากาศเป็นจุดสีขาวประปราย ใบรูปไข่กลับกว้าง 9-14 ซม.ยาว 15-26 ซม.โคนใบมนปลายใบมนมีติ่งแหลมยาว 1-2 ซม.มีขนรูปดาวสีน้ำตาลเหลืองหนาแน่นตามเส้น กลางใบและเส้นใบ ดอก เดี่ยวสีแดงเข้มมีกลิ่นหอมอ่อน ดอกบานขนาด6-8ซม. ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 20-35 ผล ยาว1.5-2.5 ซม ก้านผลอ้วน ยาว 2.5-3.5 ซม.สีส้มแดงเมื่อสุก มีเมล็ดจำนวนมาก
ระยะออกดอก/ติดผล--- มิถุนายน-กรกฎาคม/กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

กล้วยมะสังก้านสั้น/Fissistigma latifolium var.latifolium

ชื่อวิทยาศาสตร์---Fissistigma latifolium (Dunal) Merr.(1919) var. latifolium
ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กล้วยมะสังก้านสั้น (ทั่วไป) ;[CHINESE: Dà yè guā fù mù.];[MALAYSIA: Akar Rarak, Randau Rarak  (Iban); War Muan (Kelabit).];[THAI: Kluai ma sang kan san (General).]
E
EPPO Code---FSGLA (Preferred name: Fissistigma latifolium.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาลายา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี
Fissistigma latifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Michel Félix Dunal (1789–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2462
ความหลากหลาย (Variety)ที่ยอมรับ 2 สายพันธุ์ได้แก่:
-Fissistigma latifolium var.latifolium
-Fissistigma latifolium var. ovoideum (King) J.Sinclair
(แสดงในที่นี้ 1 สายพันธุ์)
ที่อยู่อาศัย พบในมาลายา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี ในประเทศไทยพบในป่าดิบเขาทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 900-1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อย พาดพันไม้อื่นได้ไกล 5-8 เมตร ลักษณะกิ่งแก่มีสีน้ำตาลเข้ม มีช่องอากาศมาก กิ่งอ่อนสีเขียว มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบรูปขอบขนาน กว้าง 3-4 ซม.ยาว 9-12 ซม.โคนใบมน ปลายใบแหลม ใบหนา ใบด้านบนสีเขียวเข้ม และมีเส้นกลางใบเป็นร่อง ใบด้านล่างสีอ่อนกว่าขอบใบเรียบ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก 1-2 ดอก ตามกิ่งบริเวณนอกซอกใบหรือตรงข้าม  ดอกสีน้ำตาลและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบเลี้ยงสีน้ำตาลกลมป้อม กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้น กลีบชั้นนอกรูปหอกมีขนคลุม กลีบบนกางออก กลีบชั้นในรูปหอกโคนกลีบกางจรดกัน เมื่อบานปลายกลีบกางแยกออก ผลเป็นผลกลุ่มมีจำนวน 4 ผล ผลย่อยติดอยู่บนแกน ก้านผลยาว 1 ซม.แต่ละผลกลมรีกว้าง 1 ซม.ยาว 1.5-1.7 ซม.ผิวผลมีขนอ่อนนุ่มคลุมอยู่
ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

กล้วยลิง/Fissistigma latifolium var. ovoideum

    

ชื่อวิทยาศาสตร์---Fissistigma latifolium var. ovoideum (King) J. Sinclair.(1955)
ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กล้วยลิง, นมวัว (นครศรีธรรมราช);[THAI: Kluai ling, nom wua (Nakhon Si Thammarat).]
EPPO Code---FSGLA (Preferred name: Fissistigma latifolium.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE    
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาลายา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว โมลุกกะ ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี
Fissistigma latifolium var. ovoideum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปีพ.ศ.2498
ความหลากหลาย (Variety)ที่ยอมรับ 2 สายพันธุ์ได้แก่:
-Fissistigma latifolium var.latifolium
-Fissistigma latifolium var. ovoideum (King) J.Sinclair (1955)
(แสดงในที่นี้ 1 สายพันธุ์)
ที่อยู่อาศัยพบในมาลายา สุมาตรา ชวา บอร์เนียว โมลุกกะ ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี ในประเทศไทย ขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้ ที่ระดับความสูง 500-900 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นไปได้ไกล 8-12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนสีเขียวมีขนยาวสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น ใบรูปขอบขนาน กว้าง 4-7 ซม.ยาว 11-20 ซม.โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบหนา ด้านบนใบสีเขียวเข้ม ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอก ออกตรงข้ามใบหรือซอกใบใกล้ปลายยอด 1-3 ดอก ก้านดอกมีขนสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น ดอกสีน้ำตาลแดง เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีชมพูมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบเลี้ยงสีเขียวนวลมีขนสีน้ำตาลคลุมอยู่ กลีบดอกหนาเรียงเป็น 2 ชั้น ปลายกลีบแยกจากกัน ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 6-10 ผล ผลติดอยู่บนฐานตุ้มกลมผลรูปกลมรี ยาว 1.5-2 ซม.มีขนคลุมอยู่โดยรอบ
ระยะออกดอก---เดือน กรกฎาคม-เดือนกันยายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

กล้วยอ้ายพอน/Uvaria concava

ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria concava Teijsm. & Binn.(1852)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.
---Uvaria lurida Hook.f. & Thomson.(1855)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2447557
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กล้วยอ้ายพอน (จันทบุรี), บัวบก (ชลบุรี) ;[INDIA: Gaichiria (Oriya).];[THAI: Kluai ai phon (Chanthaburi); Bua bok (Chon Buri).].
EPPO Code---UVACO (Preferred name: Uvaria concava.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย
Uvaria concava เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJohannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และ Simon Binnendijk (1821–1883) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2395
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อนถึงออสเตรเลีย พบที่หมู่เกาะอันดามัน เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก อัสสัม บังคลาเทศ อินเดีย ไทย เวียดนาม คาบสมุทรมาลายา บอร์เนียว ชวา สุลาเวสี สุมาตรา ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะซุนดาน้อย นิวกินี นิโคบาร์ ควีนส์แลนด์ ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 30-300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นได้ไกล 5-8 เมตร ทรงต้นแตกกิ่งน้อย ใบรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 3-5 ซม.ยาว 7-13 ซม.โคนใบมนปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างสีเขียวนวล มีขนรูปดาวสีน้ำตาลเหลืองเป็นกลุ่มเล็กๆประปรายกระจายตามเส้นกลางใบ ดอกเดี่ยวสีแดงเข้มมีกลิ่นหอมอ่อน ดอกบานขนาด 4-6 ซม.ผลเป็นผลกลุ่ม มี 8-15 ผล ติดอยู่บนแกนตุ้มกลม ผลรูปทรงกระบอกสั้น มีรอยคอดเป็นช่วงๆ ผลแก่สีส้ม
ระยะออกดอก---เดือนมิถุนายน-เดือนกรกฎาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด 

กล้วยอีเห็น/ Uvaria dac


ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria dac Pierre ex Finet & Gagnep.(1906)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to the plant list.Uvaria dac Pierre ex Finet & Gagnep is anun resolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2447581
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กล้วยอีเห็น, กล้วยเหลืองอีเห็น (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); พีพวน (เลย, อุดรธานี) ; [THAI: Kluai i hen, Kluai lueang i hen (Southeastern); Pipuan (Loei, Udon thani).].
EPPO Code---UVASS (Preferred name: Uvaria sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา
Uvaria dac เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และ Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2449
ที่อยู่อาศัย พบในไทย กัมพูชา ในประเทศไทยพบได้เฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ตามป่าดิบแล้งหรือตามริมห้วย
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกล 5-10 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งอ่อนมีมีขนรูปดาวสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น เปลือกต้นสีน้ำตาลมีช่องอากาศมาก ใบเกิดเดี่ยวๆ เรียงสลับรูปรีหรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 4-7.5 ซม.ยาว 8-16.5 ซม.ผิวใบมีขนปกคลุมเล็กน้อยโดยเฉพาะบริเวณเส้นใบ ดอกเกิดเดี่ยวๆ หรือออกเป็นกระจุก ๆละ 2 ดอก ออกที่ปลายกิ่งหรือตรงข้ามใบ กลีบดอก 6 กลีบ สีขาวหรือสีเหลืองนวล รูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 0.8-1.5 ซม.ยาว 1.3-2.5 ซม.เรียงเป็น 2 วงๆ ละ 3 กลีบ วงนอกใหญ่กว่าวงในเล็กน้อย มีขนสั้นนุ่มปกคลุม เส้นผ่านศูนย์กลางดอกบานประมาณ 2-4.5 ซม.ดอกไม่สะดุดตาแถมไม่หอม ผลเป็นผลกลุ่มก้านช่อผลยาว 1-4.5 ซม.มีผลย่อย 10-30 ผล ผลย่อยรูปขอบขนานโค้งขึ้นยาว 4-7 ซม.ผิวผล ขรุขระ ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่สีเหลือง มี 10-20 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดปานกลาง ขึ้นได้ดีในดินค่อนข้างชื้น
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้รสหวานอมเปรี้ยว                                                
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม – มิถุนายน/กรกฎาคม – สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด 


กวางดูถูก/Naravelia laurifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Naravelia laurifolia Wall. ex Hook.f. & Thomson.(1855)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to the plant list.Naravelia laurifolia Wall. ex Hook. f. & Thomson is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2381403
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กวางดูถูก, ดอกตาย, หลอกตาย (ปัตตานี); อุโซมาติ(มาเลย์-ปัตตานี) ;[THAI: Kwang du thuk (Pattani); Dok tai (Pattani); Lok tai (Pattani); U-so-ma-t (Malay-Pattani).];[VIETNAM: Bạch tu lá quế.]
EPPO Code---1RANF (Preferred name: Ranunculaceae.)
ชื่อวงศ์---RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์
Naravelia laurifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wolff Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและ Thomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398


ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ไทย, เวียดนามและฟิลิปปินส์ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 800 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค พบได้มากในป่าโปร่งทางภาคใต้และภาคอีสาน ขึ้นตามชายป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ที่โล่ง ที่ระดับความสูงใกล้ระดับน้ำทะเล จนถึงประมาณ 30 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยมีเนื้อไม้ ลำต้นเป็นเถาแข็งเลื้อยได้ไกล 2-6 เมตร ใบเป็นใบประกอบเรียงตรงข้าม มีใบย่อยคู่เดียว ใบย่อยรูปรีหรือรูปไข่ ยาว 7-17 ซม.มีรยางค์เป็นสายยาว ปลายแยกเป็น 3 เส้นอยู่ระหว่างคู่ใบย่อย ก้านใบประกอบยาว 4-6 ซม.ใบย่อยรูปไข่กว้าง 2-6 ซม.ยาว 5-10 ซม.โคนใบสอบมนปลายแหลม ขอบเรียบหรือหยักตื้นแผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบสีเหลืองอมเขียว ขนาดดอก 2-2.5 ซม.เป็นดอกสมบูรณ์เพศ รูปไข่หรือรูปรี กลีบรองดอก 5 กลีบสีเขียวแกมม่วง เกสรเพศผู้ไม่สมบูรณ์ ลักษณะคล้ายกลีบดอกมี 6-15 อัน เกสรเมียแยกกัน 11-16 อัน ผลแข็งรูปกระสวยมีขนสีขาวคลุมประปรายยาวประมาณ 1 ซม.มีขนสั้นนุ่ม ปลายผลมีเส้นยาวคล้ายแส้บิดโค้ง ยาว 3-4 ซม.มีขนยาวนุ่ม ยาว 3-4 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ในดินทั่วไป น้ำปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบแก้คัน เถา แก้พยาธิ แก้ประดง แก้ริดสีดวงจมูก แก้ไข้ แก้ฝีภายนอกและฝีภายในรากแก้ไข้ แก้โลหิตตีขึ้น ในเวียตนามใช้เถา รักษาอาการปวดไขข้อและเส้นเอ็น
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้เลื้อยได้ เป็นไม้ป่าหายากที่มีความสวยงาม
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/
ขยายพันธุ์---เมล็ด

กาคาบแก้ว/Dalechampia bidentata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Dalechampia bidentata Blume.(1826)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-55888
---Croton acerrimus Reinw. ex Blume.(1823.) [Invalid]
---Dalechampia bidentata var. yunnanensis Pax & K.Hoffm.(1919)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กาคาบแก้ว (ทั่วไป) ;[CHINESE: Huang rong hua.];[THAI: Ka khap kaew.];[VIETNAM: Đề nguyên hai răng.].
EPPO Code---DAESS (Preferred name: Dalechampia sp.)
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ พม่า ไทย อินโดนีเซีย
Dalechampia bidentata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะไฟ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2369


ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (ยูนนาน), ลาว, พม่า, ไทย, อินโดนีเซีย (ชวา, สุมาตรา) เติบโตในป่าหินปูนหรือในหุบเขา ที่ระดับความสูง 400-1,500 เมตร ในประเทศไทย พบตามที่โล่งในป่าเปิด ในภาคกลางและภาคตะวันออก
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนเลื้อยได้ไกลถึง 10 เมตร ลำต้นมีขน หูใบรูปเคียว ใบจักลึกเป็น3แฉก หรือไม่มีแฉก ยาว4-18ซม.โคนใบรูปหัวใจ มีรยางค์รูปสามเหลี่มแคบ 1คู่ มีต่อมที่โคนใบ 2-3 อัน ขอบใบจักตื้น ก้านช่อดอกยาว 4-11 ซม.ช่อดอกออกเดี่ยว ๆ มีใบประดับ 1 คู่ ยาว  4-5  ซม.ปกคลุมดอกย่อย ผลแคปซูลทรงกลมแป้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.4 ซม.ผิวเรียบ กลีบเลี้ยงติดผลยาว 18-25 มม.เมล็ดกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 มม.มีจุดสีขาวและสีน้ำตาลแดง
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

สกุล Erycibe เป็นสกุลของพืชในวงศ์ Convolvulaceae มีประมาณ 75 ชนิด ส่วนมากพบในเอเชียเขตร้อน พบในหมู่เกาะอันดามัน ศรีลังกา อินเดีย รวมทั้งอัสสัม บังคลาเทศ เมียนมาร์ หิมาลัยตะวันออก จีนตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไหหลำและไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย ปาปัวเซีย ออสเตรเลีย และ ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งหมู่เกาะริวกิว  ในประเทศไทยมีประมาณ 10 ชนิด

กาติด/Erycibe cochinchinensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Erycibe cochinchinensis Gagnep.(1915)
---This name is unresolved.According to The Plant List. Erycibe cochinchinensis Gagnep. is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ifn-61957
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กาติด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), เถาสีผึ้ง (สระแก้ว); [THAI: Ka tit (Northeastern); Thao si phueng (Sa Kaeo).];[VIETNAM: Chân bìm nam bộ.].
EPPO Code---EYBSS (Preferred name: Erycibe sp.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Erycibe มาจากภาษากรีก “erusibe”= เชื้อราเป็นวง อ้างอิงถึงเป็นวงขาวตามลักษณะดอกหรือสิ่งปกคลุมเป็นวง ๆ
Erycibe cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2458

 

ที่อยู่อาศัย พบใน พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
ลักษณะ เป็นไม้เถามีเนื้อไม้ ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปใบหอก กว้าง 3-4.5 ซม.ยาว 9-13 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบมน  แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอกออกแบบช่อกระจุก ออกตามต้น ยาว 2 ซม.กลีบเลี้ยง 5 กลีบสีเขียว มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกมี 5 กลีบสีขาวนวลแกมเหลืองอ่อน ผลสดรูปรี ยาวได้ถึง 2 ซม.สีส้มแกมเหลือง
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธุ์-มีนาคม/เมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด  


กำปองน้อย/Clematis subumbellata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Clematis subumbellata Kurz.(1870)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms
---Basionym: Clematis floribunda Kurz.(1867)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2726778
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กำปองน้อย, คำปองน้อย, เครือจางน้อย, เครือฟานไห้, พริกสั้นก้าง (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Xi mu tong.];[THAI: Kam pong noi, Kham pong noi, Khruea chang noi, Khruea fan hai, Phrik san kang (Chiang Mai).].
EPPO Code---CLVSS (Preferred name: Clematis sp.)
ชื่อวงศ์---RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินโดจีน
Clematis subumbellata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2413
ที่อยู่อาศัย พบในจีน (ยูนนาน) ตอนเหนือของ พม่า ไทย ลาว เวียตนาม ตามขอบป่าลาดชัน ที่ระดับความสูง 400-1900 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาคของประเทศ พบในป่าผลัดใบ ป่าดิบใกล้ลำห้วย ที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นเป็นร่องตื้น ๆ กิ่งก้านมีขนปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) ปลายใบคี่ (Imparipinnate) ใบย่อยรูปหอก กว้าง 2-3.8 ซม.ยาว 3-8.5 ซม. ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ปลายใบแหลมโคนใบกลมมน ขอบใบเรียบ มีหูเป็นแผ่นใบทรงกลมขนาด 1 ซม.ก้านใบยาว 2--6.5 ซม ดอกสีขาวนวลหรือแกมเขียวอ่อน ออกเป็นช่อ จากซอกใบถึงปลายกิ่งยาวได้ถึง 15 ซม.ดอกย่อยขนาด 1.2-1.6 ซม.เมื่อบาน กลีบรองดอก 4 กลีบรูปหอกกลับ มีขนละเอียด กลีบดอกลดรูป เกสรผู้จำนวนมากผิวเกลี้ยง ผลเป็นผลกลุ่มรูปแบน 4--4.5 × 1--1.2 มม.ส่วนปลายมีขนเป็นพู่ยาวเรียว ยาวประมาณ 2.5--4 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงแต่ไม่ควรเป็นตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดเกินไป เติบโตได้ดีในดินร่วน ที่ระบายน้ำได้ดี ดินชื้นสม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับ
ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มกราคม/กุมภาพันธ์-เมษายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ

กำปองหลวง/Clematis buchananiana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Clematis buchananiana DC.(1817)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Clematis bucamara Buch.-Ham. ex DC.(1817)
---Clematis buchananii D.Don.(1825)
---Clematis loasifolia D.Don.(1825)
---Clematis wattii Drumm. & Craib.(1915)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2725732
ชื่อสามัญ---White climber
ชื่ออื่น---กำปองหลวง, คำปองหลวง (เชียงใหม่); เครือบูชา (ภาคเหนือ); [CHINESE: Máo mù tōng.];[KANNADA: Mei-bytengdoh.];[NEPALI: Penasy-lahara.];[THAI: Kam pong luang, Kham pong luang (Chiang Mai); Khruea bu cha (Northern).];
EPPO Code---CLVBU (Preferred name: Clematis buchananiana.)
ชื่อวงศ์--- RANUNCULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Clematis buchananiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พวงแก้วกุดั่น (Ranunculaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2360
ที่อยู่อาศัย พบในเทือกเขาหิมาลัยจากแคชเมียร์ถึงทิเบต พม่า ไทย และจีนตะวันตก เจริญเติบโตโดยทั่วไปบนต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ บางครั้งบนหินตามแนวด้านข้างของลำธารที่ระดับความสูง 460 - 3,650 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ตามชายป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 1,500-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยได้ไกลถึง 6 เมคร ลำต้นเป็นร่องตื้นๆกิ่ง ก้านใบ และช่อดอกมีขนสั้นหนานุ่ม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ใบย่อยเรียงตรงข้ามรูปไข่ กว้าง 4-7 ซม.ยาว 6-10 ซม.แผ่นใบหยักเป็น3แฉก ปลายเรียวแหลม โคนใบมน  ผิวใบทั้งสองด้านมีขนหนานุ่มดอก สีขาวนวล ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ยาว 10-25 ซม.ดอกย่อยบานเต็มที่กว้าง 1-2 ซม.ไม่มีกลีบดอกแต่กลีบรองดอกมี 4 กลีบ ด้านนอกมีขนหนานุ่มเมื่อบานปลายใบจะม้วนออก มีเกสรผู้และเกสรเมียจำนวนมาก ผล ค่อนข้างแบน ขนาดเล็กประมาณ 4 มม. ส่วนปลายมีหางยาว 3-4 ซม. ซึ่งเกิดจากก้านเกสรเมีย
ใช้ประโยชน์---มีการเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยา
-ใช้กิน ใช้ในเนปาลเพื่อทำมาร์ชาซึ่งเป็นเค้กหมักที่กลั่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-ใช้เป็นยา รากใช้เป็นยาพอกเพื่อรักษาอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบ น้ำคั้นจากรากใช้ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ใช้ก้านหรือเปลือกรากกดกับฟันเป็นเวลาประมาณ 15 นาทีเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน น้ำผลไม้ของพืชถูกนำไปใช้ภายนอกเพื่อลดและบาดแผล ใช้ภายในในการรักษาอาหารไม่ย่อย น้ำคั้นจากใบอุ่นหยอดจมูกรักษาไซนัสอักเสบ
ระยะออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ

กาฝากตีนปู/Viscum articulatum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Viscum articulatum Burm.f.(1768)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50192498
---Viscum articulatum var. dichotomum Kurz
---Viscum nepalense Spreng.(1827)
ชื่อสามัญ---Leafless Mistletoe, Jointed Mistletoe
ชื่ออื่น---กาฝากตีนปู (ปัตตานี), กาฝากต้นเปา (เชียงหม่), กาฝากเถาหาผัวชก (จำปูน), หางสิงห์ (ตราด), นางหัก (สุราษฎร์ธานี) ;[BENGALI: Mandala.];[CAMBODIA: Banhnhea kaek (Central Khmer).];[CHINESE: Bian zhi hu ji sheng, Páng xiè jiǎo]; [HINDI: Budu, Pudu, Hurchu.];[KANNADA: Badanike.];[MARATHI: Banda.];[ORIYA: Madanga.];[SANSKRIT: Kamini.];[THAI: Kafak tin pu (Pattani); Kafak ton pao (Chiang Mai); Kafak thao ha phua chok (Chumphon); Hang sing (Trat); Nang hak (Surat Thani).];[VIETNAM: Tầm gửi càng cua, Tầm gửi dẹt, Mạy phác tít (Tày), Ghi.].
EPPO Code--- VISAR (Preferred name: Viscum articulatum.)
ชื่อวงศ์---SANTALACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย
Viscum articulatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ย่านตีเมีย (Santalaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.ในปี พ.ศ.2311
ที่อยู่อาศัย กระจายพันธุ์ทั่วไปในจีน ( กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, เสฉวนและยูนนานมากที่สุด) นอกจากนี้ยังพบกระจายตัวอยู่แถบเอเชียเช่นอินเดีย ศรีลังกา พม่า เวียดนาม ไทย ลาว ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย (ตะวันตก เหนือ ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์) เติบโตขึ้นบนเทือกเขา ป่าดิบเขา ป่าที่ราบเนินเขา ที่ระดับความสูง 100-1,200 (-1,700) เมตร
ลักษณะ เป็นพืชที่มักเกาะหาอาหารจากพืชอื่นเรียกว่าเป็นพวกพืชเบียน ลำต้นแบนห้อยยาวได้ถึง 0.20- 0.40 เมตร. มีร่อง 3-4 ร่อง ข้อปล้องชัดเจนระยะห่างระหว่างข้อ 3-7 ซม.ใบลดรูปมองเห็นไม่ชัด ดอกช่อแบบช่อกระจุกออกที่ซอกใบ 1-3 ดอก ดอกเล็กมากกลีบรวม 4 กลีบสีเขียวอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1 มม.ผลสดสีขาวหรือเหลืองอ่อนไม่มีก้านผลผิวเรียบขนาด 3-4 มม.มีเมล็ด1เมล็ดสีเขียว แบนขนาด 2.5-4 x 2.5-3 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในจีนนิยมนำมาต้มดื่มแทนน้ำ หรือเข้ากับตัวยาอื่น ๆ เช่นเข้ากับชาผู่เอ๋อร์ หรือเอาไปประกอบอาหารเช่นต้มกับไก่ทำเป็นซุป
-ใช้เป็นยา ทุกส่วนนำมาทำยาทั้งสิ้น อิสานใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื่มแก้เหน็บชา ;-ในเวียตนามใช้ ทั้งต้นรักษาโรคไขข้อ, ห้ามเลือด, โรคบิด, มัดกระดูก นอกจากนี้ยังใช้ในการปรุงน้ำดื่มเพื่อรักษาโรคหลอดลมอักเสบ ;-ในจีนทั้งต้นของกาฝากขาปูนี้ถือเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ขับร้อน บำรุงหัวใจและระบบย่อยอาหาร มีบันทึกเอาไว้ว่าตั้งแต่โบราณ ชาวหยุนหนานใช้ต้นไม้นี้มาชงดื่มเพื่อแก้อาหารเป็นแผลในกระเพาะ อาหารเป็นแผลในลำไส้ ลำไส้อักเสบ-กาฝากตีนปู มีหลายสายพันธุ์ ที่แตกต่างกันเด่นชัดแบ่งออกเป็นสองชนิดคือแบบปล้องสั้นและปล้องยาว ซึ่งมีสรรพคุณที่เหมือนกัน รสขมก่อนแล้วค่อยหวาน กาฝากชนิดนี้มักพบบนต้นชาอายุมากกว่าร้อยปีขึ้นไปในเขตหยุนหนาน เนื่องจากเป็นพืชกาฝากจึงต้องไปเกิดบนต้นไม้ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง ซึ่งต้นไม้ที่รองรับกาฝากแบบนี้ได้ก็คงจะต้องเป็นไม้ใหญ่และมีอายุยาวนาน ต้นชาก็เป็นหนึ่งในนั้น การที่กาฝากเกิดขึ้นบนต้นชานี้เองมีการดูดเอาน้ำเลี้ยงจากต้นชาไปหล่อเลี้ยงต้นของตัวเอง ชาวบ้านในเขตเมืองผู่เอ่อร์จึงเชื่อกันว่ากาฝากชนิดนี้ดึงดูดเอาพลังรักษาโรคจากต้นชาผู่เอ่อร์ไปด้วย จึงได้มีประสิทธิภาพทางยา แนวคิดนี้สืบต่อกันมาจากโบราณจนถึงปัจจุบัน กาฝากชนิดนี้ปัจจุบันถูกนำมาค้นคว้าทางเภสัชศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้ผลดังที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรเช่นกัน (บางส่วนจาก https://steventearoom.blogspot.com/2013/09/5_8.html)
ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์ - เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

กาฝากมหาปราบ/Helixanthera parasitica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Helixanthera parasitica Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2844658
---Helicia parasitica (Lour.) Pers.(1805)    
---Leucobotrys adpressa Tiegh.(1894)    
---Loranthus adpressus (Tiegh.) Lecomte.(1914)     
---Loranthus pentapetalus Roxb.(1824)
ชื่อสามัญ---Mistletoe
ชื่ออื่น---กาฝากมหาปราบ, กาฝากพญามหาปราบ (ทั่วไป), กาฝากก่อ (ภาคเหนือ), กาฝากไม้มังตาน (ชุมพร), เตอสี่น่ะเดอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ;[CHINESE: Lí bàn jì shēng.];[THAI: Kafak mahaprap, Kafak phaya mahaprap (general); Kafak ko (Northern); Kafak mai mang tan (Chumphon); Toe-si-na-doe (Karen-Mae Hong Son).];[VIETNAM: Tầm gửi năm cánh, Chùm gởi ký sinh, Cây cui].
EPPO Code---HLXSS (Preferred name: Helixanthera sp.)
ชื่อวงศ์---LORANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Helixanthera มาจากภาษากรีก2 คำ  “helix” = บิดเวียน และ “anthera” =อับเรณู อ้างอิงตามลักษณะของอับเรณูรูปแถบ เมื่อแห้งแล้วคล้ายบิดเวียน
สกุล Helixanthera Lour.มีประมาณ 35 ชนิด พบในแอฟริกาและเอเชีย ในไทยมี 8 ชนิด
Helixanthera parasitica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์กาฝาก (Loranthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายในเอเซียเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน จากเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย, สิกขิม, เนปาล บังคลาเทศ ไปยังตอนใต้ของจีน(ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ยูนนาน) ทิเบต ไทยและเวียดนาม ถึง Malesia (สุมาตรา, คาบสมุทรมาเลเซีย, บอร์เนียว, ชวา, ฟิลิปปินส์) พบบริเวณป่าชื้น ป่าโปร่ง ป่าดิบ ที่ระดับความสูง 1,800 (2,000) เมตร
ลักษณะ เป็นพืชเบียนเกาะอาศัยแย่งอาหารจากต้นไม้อื่น พบขึ้นตามกิ่งและลำต้นของต้นไม้ใหญ่ กิ่งย้อยและห้อยยาว1.5 เมตร ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่แกมรูปหอก กว้าง1.8-8 ซม.ยาว 5-18 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบกลมมน ขอบเรียบ เส้นกลางใบและเส้นใบเห็นชัดทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 5-20 มม.แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ผิวใบเป็นมันวาวหรือหม่นทั้งสองด้าน ดอกสีแดงคล้ำออกเป็นช่อตามง่ามใบ ยาว10-30 ซม.ดอกย่อยจำนวนมาก40-60 ดอกออกรอบก้านช่อ กลีบดอกรูปขอบขนานแคบๆ 5 กลีบยาว 4-9มม.โค้งกลับโคนกลีบเชื่อมกัน รูปกระบอง ปลายมน สีแดง ผิวด้านนอกและผิวด้านในมีขนกำมะหยี่ ก้านช่อดอกมีขนสั้น หรือเป็นขุยสีน้ำตาล ใบประดับรูปไข่หรือรูปสามเหลี่ยม ยาว 0.7-1.5 มม.ปลายแหลมหรือมน กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายตัด ยาว 0.3-0.7 มม.ขอบเรียบกางออก เกสรเพศผู้มี 4 อัน ติดกับกลีบแบบตรงข้ามกลีบ อับเรณูยาว 1-2.5มม.ปลายมน เกสรเพศเมีย มีรังไข่เกลี้ยงอยู่ใต้วงกลีบ ก้านเกสรเพศเมียยาว 3-5 มม. โคนเป็นเหลี่ยม ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่มกลม ผลกลมรีขนาด 6x4 มม.สีเหลืองเมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีดำ รีมีเมล็ด1เมล็ด เมล็ดมี ยางเหนียวหุ้ม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ทั้งต้น ผสมกาฝากชนิดอื่นๆ รวม 32 ชนิด ต้มน้ำดื่มแก้โรคตับโต;-ตำรายาไทย ใบนำมาต้มน้ำกินแก้ปวดกระเพาะอาหาร;-ในเวียตนามใช้บรรเทาอาการไอ อาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กรกฎาคม/พฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ก๋าย/Artabotrys suaveolens


ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys suaveolens (Blume) Blume.(1830)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Basionym: Unona suaveolens Blume.(1825)
---Artabotrys corniculatus Merr.(1918)
---Artabotrys rolfei S.Vidal.(1886)
---Unona corniculata Blanco.(1837)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2653370
ชื่อสามัญ---Fragrant tailgrape.
ชื่ออื่น---ก๋าย (นราธิวาส), อากาไก้ (มาเลย์-ปัตตานี) ;[CHINESE: Xiang ying zhao.];[INDIA: Manaranchitan (Tamil).];[MALAYALAM: Koluvaravalli.];[MALAYSIA: Akar Cenana, Akakai, Akar chenana, Akar larak.];[MYANMAR: Nga pye yin.];[PHILIPPINES: Susong Kalabau, Susong-damulag (Tag.), Bahai balangan (C. Bis.).];[THAI: Kai (Narathiwat); A-ka-kai (Malay-Pattani).].
EPPO Code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์   
Artabotrys suaveolens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปีพ.ศ.2373                                                            


ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ในไทยพบทางภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้ ขึ้นตามป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล 5-10 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอมดำ เรียบมีร่องตื้นๆ มีช่องอากาศเป็นจุดสีขาว บิดเวียน ตามลำต้นและกิ่งมีตะขอ เนื้อไม้เหนียวมาก ชอบขึ้นในที่ชุ่มชื้น เป็นไม้สกุลเดียวกับการเวก ตามต้นไม่มีหนาม ใบรูปรีถึงรูปขอบขนาน กว้าง2.2-5 ซม. ยาว5-14ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบแหลม ค่อนข้างหนาและเหนียว ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อ ช่อละ5-10 ดอก ก้านช่อโค้งเป็นตะขอ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานสีขาวนวลหรือแกมม่วง กลีบดอก 6 กลีบสีขาวเรียวกลม มีกลิ่นหอม ดอก บาน2วันแล้วโรยกลิ่นหอมอ่อนๆช่วงกลางวันและหอมแรงช่วงพลบค่ำ ก้านผลยาว 5-8 มม. ส่วนมากมี 1-3 ผลย่อย รูปรี ยาว 1-1.5 ซม.ไม่มีก้าน เมล็ดรูปรี ยาวประมาณ 1 ซม.มีร่องตามยาว                         
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นแหล่งยาและเส้นใยท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นรั้วบ้าน
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือก ต้น ราก ใบ ยาต้มจากเปลือกและรากใช้เป็น emmenagogue(สารที่ช่วยกระตุ้นหรือเพิ่มการไหลของประจำเดือน) และสำหรับผู้หญิงหลังคลอด ใบมีกลิ่นหอม ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค
-ใช้ปลูกประดับเป็นไม้เลื้อยขึ้นซุ้มให้ร่มเงาดี
-อื่น ๆ เปลือกของลำต้นและรากประกอบด้วย อัลคาลอยด์ suaveoline และ artabotrine
ระยะดอกออก---เดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

การเวกกระ/ Artabotrys aeneus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys aereus Ast.(1940)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2653242
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---การเวกกระ (ภาคเหนือ-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[THAI: Karawek kra (Northeastern, Northern).];[VIETNAM: Hoa móng rồng.].
EPPO Code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Artabotrys aereus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Suzanne Jovet-Ast (born 1914) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2483
ที่อยู่อาศัยมึถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบบนยอดเขาสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเถาเลื้อยได้ไกล 5-20 เมตร เถาเล็กแกร่งและมีหนามแข็งเป็นช่วงๆ เปลือกต้นเรียบสีดำใบรูปรีขนาดกว้าง 3-4.5 ซม.ยาว 8-14 ซม.ใบหนาแข็ง เรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ออกดอกเป็นช่อกระจุก ต่อจากตะขอ มีดอกย่อย 20-40 ดอก ขนาด1-1.5 ซม.ปลายกลีบดอกงองุ้มเมื่อบานสีน้ำตาลส่งกลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำ ผลกลุ่มมีผลย่อย 3-8 ผลเมื่อแก่สีเขียวอมเหลือง
ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

การเวกช่อ/Artabotrys multiflorus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys multiflorus C.E.C.Fischer.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2653324
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---การเวกช่อ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Duo hua ying zhua hua.];[THAI: Karawek cho (General).].
EPPO Code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย
Artabotrys multiflorus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Cecil Ernest Claude Fischer (1874–1950) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัยพบในจีน กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ยูนนาน [พม่า,ไทย] ในพุ่มไม้บนหินปูน ที่ระดับความสูง 800-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร เนื้อไม้เหนียวมาก เปลือกลำต้นสีดำ ตามลำต้นและกิ่งไม่มีหนาม ใบรูปรี ขนาด10-16.5 × 4-6.5 ซม.ใบหนาแข็งเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน  ก้านใบยาว 5-8 มม.ดอกออกเป็นกระจุก กระจุกละ1-6ดอก กลีบดอกสีเหลือง เมื่อบานมีขนาด 1.5-2 ซม.ผลกลุ่มมีผลย่อย 3-6 ผล เมื่อแก่มีสีเขียวอมเหลือง ดอกทยอยบาน อยู่ได้ 2 วันกลีบดอกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มแล้วร่วงส่งกลิ่นหอมอ่อนในช่วงกลางวันและหอมแรงในช่วงพลบค่ำ ผลไม่ปรากฎ ให้เห็น
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-สิงหาคม/กรกฎาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง 

การเวกน้ำ/Artabotrys oblanceolatus


ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys oblanceolatus Craib.(1925)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2653328
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---การเวกน้ำ (ทั่วไป), กระดังงาเขา (ภาคตะวันออก), หัวสุ่ม (อุบลราชธานี) ;[THAI: Karawek nam (general); Kradang nga khao (Eastern); Hua sum (Ubon Ratchathani).].
EPPO code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Artabotrys oblanceolatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2468
ที่อยู่อาศัยในประเทศไทย พบตามธรรมชาติริมหนองน้ำตามป่าละเมาะทางภาคตะวันออก ที่ระดับความสูง 200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยเนื้อแข็ง เลื้อยพาดพันไม้อื่นได้ไกล 4-8 เมตร  กิ่งอ่อนมีขนกิ่งแก่เรียบสีน้ำตาลอมดำ แตกกิ่งเล็กจำนวนมาก กิ่งอ่อนยืดยาวได้รวดเร็วมาก ตามลำต้นมีหนามแหลมสีดำแข็งยาว1ซม อยู่ห่างๆกัน เนื้อไม้เหนียว ใบรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2.5-4ซม.ยาว10-15 ซม.ใบบางเนื้อใบเหนียว เรียบเป็นมันทั้งสองด้าน เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบด้านบนเป็นร่อง ดอกเดี่ยว ออกตรงข้ามต่อจากตะขอ ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะช่วงพลบค่ำ ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 4-6 ผลย่อยมีก้านผลสั้นมาก รูปกลมทรงกระบอก กว้าง1ซม.ยาว2-3ซม.เปลือกผลมีลายสีเขียวสลับขาว มี 2 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกหอม ปลูกให้เลื้อยไต่ซุ้มได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม/ผลแก่หลังดอกบาน 5 เดือน
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง

การเวกใบใหญ่/Artabotrys  grandifolius


ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys grandifolius King.(1892)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2653280
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---การเวกใบใหญ่ (ทั่วไป) ;[THAI: Karawek bai yai (General).]
EPPO Code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย คาบสมุทรมาลายู สุมาตรา
Artabotrys grandifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียในปี พ.ศ.2435
ที่อยู่อาศัย พบในไทย คาบสมุทรมาลายู สุมาตรา
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล10-20เมตร กิ่งอ่อนเรียบสีน้ำตาลมีช่องอากาศเป็นจุดๆ เถามีความเหนียวมาก ใบ มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน รูปรีแกมขอบขนานกว้าง 8-11 ซม.ยาว 20-25 ซม.ใบหนาด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีอ่อนกว่า โคนใบรูปลิ่มปลายใบเรียวแหลม ดอก เดี่ยวออกที่ปลายตะขอตรงข้ามใบ ดอกสีเขียวมีใบประดับเล็กๆที่โคนก้านดอก ผลเป็นผลกลุ่ม ก้านช่อใหญ่ แข็ง มี 15-25 ผล ก้านผลย่อยสั้นมาก รูปไข่กลับขนาดกว้าง 2.5 ซม.ยาว 3.7 ซม.ปลายผลเป็นตุ่มแหลม
ระยะออกดอก---เดือนมีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด

แก้วงามขำ/Hoya meliflua


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hoya meliflua (Blanco) Merr.(1918)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/7311894
---Basionym: Stapelia meliflua Blanco.(1837)
ชื่อสามัญ---Hoya, Wax Plant, Porcelain Flower, Little fraterna, Waxplant, Waxvine, Waxflower.
ชื่ออื่น---แก้วงามขำ (ทั่วไป) ;[THAI: Kaew ngam kham (general).].
EPPO Code---HOYSS (Preferred name: Hoya sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'meliflua'มาจากคำภาษาละติน "mellis"= น้ำหวานและ "fluo"=ไหลโดยอ้างอิงถึงน้ำหวานที่อุดมสมบูรณ์ที่เปื้อนดอกไม้
Hoya meliflua เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francisco Manuel Blanco (1778–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปีพ.ศ.2461
มีสายพันธุ์ย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ 4 สายพันธุ์คือ:
-Hoya meliflua subsp. breviora Kloppenb.(2018)
-Hoya meliflua subsp. escobinae Kloppenb., Conda, Buot & Pitargue.(2016)
-Hoya meliflua subsp. meliflua.(1918)
-Hoya meliflua subsp. taytayensis Kloppenb.(2018)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์เป็นสายพันธุ์ของเถาวัลย์ Hoya เฉพาะถิ่นของฟิลิปปินส์ พบตามป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,000-1,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล มันถูกอธิบายครั้งแรกในปี 1837 โดย Francisco Manuel Blanco บนเกาะลูซอน
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็กเลื้อยได้ไกลถึง 4 เมตร เถามีเนื้อเล็กน้อยเรียบเกลี้ยง ใบรูปไข่อวบน้ำสีเขียวเข้มเป็นมันดูสะอาดตา ขนาดใบ ยาว 9-13 ซม.กว้าง 5-6 ซม ก้านใบยาว 15-20 มม.ช่อดอกumbel แต่ละอันมี 10-20 ดอก สีชมพูถึงสีส้มแดง แต่บางครั้งก็เกือบจะเป็นสีขาว ดอกไม้มีน้ำหวาน 5 แห่งใกล้กับฐานของเสากลางซึ่งผลิตน้ำหวานสีเข้ม ซึ่งสร้างคราบสีเกาลัดในกลีบที่มีขนดก ตอนแรกดอกไม้มีกลิ่นแปลกๆ คล้ายกับกาวแต่ไม่แรงมาก แต่เมื่อดอกโตเต็มที่ กลิ่นจะเปลี่ยนหวานขึ้น กลิ่นจะเหมือนช็อกโกแลต ดอกบานขนาด1.5-2ซม.ปลายกลีบดอกลู่ไปข้างหลังและมีขนปกคลุม ดอกบานทนอยู่ได้นาน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงจ้าแต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง ปลูกภายนอกต้องกรองแสงแดดหรือมีร่มเงายามบ่าย ภายในจะต้องมีห้องที่สว่างพอสมควร วัสดุปลูกที่โปร่งเก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 แต่ไม่ต่ำกว่า 10ºC
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กหรือปลูกเป็นไม้กระถางแขวน
รู้จักอันตราย---เนื่องจากH.meliflua เป็นของครอบครัวAsclepiadaceaeจึงมีน้ำนมสีขาวขุ่นซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง
ระยะออกดอก---เดือนกรกฏาคม-เดือนตุลาคม
ขยายพันธุ์--- ปักชำ

แก้วมือไว/Pterolobium integrum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pterolobium integrum Craib.(1927)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-45924
---Pterolobium micranthum sensu auct.Misapplied
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---แก้วมือไว, แก้วตาไว (ภาคกลาง), กะแทว, กะแท้วแดง (เลย), ขี้แร๊ก (ราชบุรี) ,เขนแทว, ทับเพียว (นครราชสีมา), หนามเล็บแมว, หนามเหียง (ตาก); [THAI: Kaeo mue wai (Central); Kaeo ta wai (Central); Ka thaeo (Loei); Ka thaeo daeng (Loei); Khi raek, Khi raet (Ratchaburi); Khen thaeo, Khen thaeo (Eastern); Thap phiao (Nakhon Ratchasima); Nam lep maeo (Tak); Nam hiang (Tak).]
EPPO Code---PQBSS (Preferred name: Pterolobium sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAECALPINOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ภูมิภาคอินโดจีน
Pterolobium integrum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2470
ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบในภาคกลางและภาคอีสาน พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ป่าผลัดใบ ที่ความสูงใกล้ระดับน้ำทะเล ถึง 500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เลื้อยพาดพันไม้ใหญ่อายุหลายปี สูง 60-100 ซม.ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.7-1 ซม. ลำต้นเหนียว สีเขียวอมน้ำตาล มีขนสีขาวยาวประมาณ 1 มม.ปกคลุมหนาแน่น ลำต้นและกิ่งมีหนามงองุ้ม ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ (imparipinnate)ใบย่อยรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนโคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบ หูใบ (stipule) แบบรูปเข็มแหลมสีม่วงอมแดง ยาวประมาณ 1-2 มม.ก้านใบรวมยาว 4-5 ซม.ก้านใบย่อยยาว 1-2 มม.และมีขนคลุม ดอกแบบช่อกระจะ ตามปลายยอดสีขาวอมชมพู ช่อดอกยาว 1.14-1.8 ซม.ช่อดอกย่อยยาว 0.4-0.6 ซม. มี 8-26 ดอกต่อช่อ ก้านช่อดอกสั้นมาก ยาว 0.05-0.2 ซม.ดอกรูปดอกถั่วขนาดเล็กมี5กลีบ กลีบกลางสีเขียวอมแดง กลีบคู่ข้างสีชมพูอมส้ม กลีบคู่ล่างสีเขียว ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกกลม มี 10-21 ฝักต่อช่อ ฝักยาว 2.36-2.8ซม. กว้าง 0.18-0.26 ซม.*ที่เห็นในรูปเป็นผลหรือฝัก สีแดงอมชมพูมีปีกบิดเป็นคลื่น
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ในดินทั่วไป น้ำปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ราก แก่น รักษาริดสีดวงทวาร ปวดทวารหนัก ถ่ายยากและมีเลือด
-อื่น ๆยอดอ่อนและใบเป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน/กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
ที่คล้ายกัน---แก้วตาไว/Pterolobium macropterum Kurz -ลักษณะคล้ายกันกับแก้วมือไว (ไม่มีรูปภาพ) ;หนามงาย/Pterolobium micranthum Gagnep.(ไม่มีรูปภาพ)

ไก่ฟ้ายักษ์/Aristolochia grandiflora

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Aristolochia grandiflora Sw.(1788).
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Aristolochia gigas Lindl.(1842)
---Aristolochia gigas var. sturtevantii S.Watson.(1891)
---Aristolochia pichinchensis Pfeifer.(1977)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2651456
ชื่อสามัญ---Duckflower, Dutchman's Flower, Pelican- Flower, Poisonous hogweed, Swan flower, Dutchman's pipe, Hediondilla.
ชื่ออื่น---ไก่ฟ้ายักษ์, ไก่ฟ้าพญาลอ, ไก่ฟ้าใหญ่, นกกระทุง ;[BELIZ: Flor de pato (ดอกเป็ด).];[COLOMBIA: Chompipe, Guaco, Gueguecho.];[FRENCH: Aristoloche à grandes fleurs, Tue-cochon.];[GERMAN: Großblütige Pfeifenwinde.];[MEXICO: Moco de gueguecho.];[SPANISH: Aristoloquia, Alcatraz, Bonete de diablo, Bonete de fraile, Chompipona, Flor de pato, Gueguecho, Gueguecho de zope.];[SWEDISH: Pelikanpipranka.];[THAI: Kai fa yak, Kai fa phaya lqr, Kai fa yai, Nok ka thung.].
EPPO Code---ARPGR (Preferred name: Aristolochia grandiflora.)
ชื่อวงศ์---ARISTTOLOCHIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---ปานามา, คอสตาริก้า, นิคารากัว, เอลซัลวาดอร์, ฮอนดูรัส, เบลิซ, กัวเตมาลา, เม็กซิโก, แคริเบียน, เวสต์อินดีส
Aristolochia grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไก่ฟ้า (Aristolochiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Olof Peter Swartz (1760–1818) นักพฤกษศาสตร์, นักชีววิทยาและนักอนุกรมวิธานชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2331

 

ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ใน ปานามา คอสตาริก้า นิคารากัว เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส เบลิซ กัวเตมาลา เม็กซิโก แคริเบียน เวสต์อินดีส เติบโตในป่าใกล้ลำธารและลำห้วยที่ระดับความสูงถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกล 2-4 เมตร ลำต้นเกลี้ยง ใบรูปหัวใจแกมรูปขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง6-10ซม.ยาว 9-15 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบเว้าตื้นแผ่นใบสีเขียวเข้ม เส้นใบหลักสีเขียวอ่อน ดอก เดี่ยวออกตามซอกใบ ดอกตูมรูปร่างคล้ายนกขนาดใหญ่ กลีบรวมเชื่อมติดกัน โคนกลีบสีเขียวอมเหลืองอ่อน เชื่อมติดกันเป็นกระเปาะคล้ายลำตัวนก เมื่อดอกบานปลายกลีบสีม่วงแผ่บานออก ดอกสีเหลืองครีมมีลายตาข่ายสีม่วงแดง ขนาดดอกยาว 18-30 ซม.และมีหางที่มีความยาวสูงสุด 60 ซม.ดอกมีกลิ่นเหม็น ผลรูปทรงกระบอกเมื่อแก่แตกออก เมล็ดรูปสามเหลี่ยมแบน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่แสงแดดจัดหรือในที่ร่ม ชอบดินร่วนปนดินร่วนซุย ระบายน้ำดี ;-ดอกไม้หลายชนิดในสกุลนี้เป็นกับดักที่ซับซ้อนสำหรับแมลงผสมเกสร แมลงถูกล่อลวงไปยังบริเวณของดอกไม้ที่ไม่สามารถจับได้และเลื่อนลงมาที่ท่อไต - ขนที่ชี้ลงจะป้องกันไม่ให้มันปีนออกมา เมื่อออกดอกแล้วต้นจะยุบตัวประมาณ ๒ เดือน เพราะใช้พลังงานและอาหารสะสมไปเกือบหมด แล้วจึงค่อยฟื้นคืนเป็นปกติ
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าและใช้ในการแพทย์แผนโบราณ
-ใช้เป็นยา ในโคลัมเบียใช้เพื่อรักษางูกัด และยังใช้เป็นยาปฏิชีวนะ
-ใช้ปลูกประดับได้รับการปลูกเป็นไม้ประดับ
-อื่น ๆสายพันธุ์นี้และสายพันธุ์อื่นของ Aristolochia ยังปลูกเป็นพืชอาหารสำหรับผีเสื้อหางแฉกเขตร้อน (Battus chalceusและParides erithalion.)
รู้จักอันตราย---มีรายงานว่ารากเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด
ระยะออกดอก---เดือนธันวาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง

ไกรกรัน/Jasminum annamense  subsp annamense

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jasminum annamense Wernham subsp annamense
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77170807-1
---Jasminum plumosum Kerr.(1938)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ไกรกรัน ;[THAI: Krai-kran.].
EPPO Code---IASSS (Preferred name: Jasminum sp.)
ชื่อวงศ์---OLEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ลาว ไทย เวียตนาม เป็นมะลิพื้นเมืองของไทย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Jasminum annamense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Martin Josef Welwitsch (1806–1872) นักสำรวจและนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียในปี พ.ศ.2454
มี3สายพันธุ์ย่อย (Subspecies)ได้แก่ ;-
-Jasminum annamense subsp. annamense
-Jasminum annamense subsp. glabrescens P.S.Green
-Jasminum annamense subsp. kerrii (G.S.Bhatn.) P.S.Green
(แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
ที่อยู่อาศัยพบใน ลาว ไทย เวียตนาม เป็นมะลิพื้นเมืองของไทย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี เลื้อยได้ไกล 3-6 เมตร ตามกิ่งก้านมีขนปกคลุมหนาแน่น ใบรูปไข่ยาว 8-12 ซม. ช่อดอกออกที่ปลายยอด ขนาด 5-8 ซม.สีขาวมีดอกย่อยจำนวนมากลักษณะเด่นคือมีกลีบเลี้ยงเรียวแหลมและยาว มาก ก้านช่อดอกยาวและมีขนปกคลุมหนาแน่นแต่ละต้นออกดอกในเวลาใกล้เคียงกัน ทยอยบานเพียงวันเดียวแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆโชยไปไกลตลอดวัน และแรงขึ้นในช่วงพลบค่ำ ผลรูปไข่ ผิวผลเรียบเกลี้ยงสีเขียว เมื่อสุกจะกลายเป็นสีดำ และมีเมล็ดอยู่ภายใน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เป็นพรรณไม้ที่ให้ดอกดกและทนแล้ง สามารถปลูกได้คามพื้นราบทั่วไป เติบโตได้ดีในดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ ชอบแสงแดดแบบครึ่งวัน ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ทำซุ้มให้เลื้อยขึ้นได้ แต่ต้องมีการตัดแต่งอยู่เสมอเนื่องจากมียอดเลื้อยยาวได้เร็ว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ โดยให้ทอดเลื้อยไปตามแนวรั้วหรือบริเวณซุ้มประตู
ระยะออกดอก---เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง


ขางครั่ง/Dunbaria bella

ชื่อวิทยาศาสตร์---Dunbaria bella Prain.(1897)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:493523-1
---Dunbaria longeracemosa Craib.(1910)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ขางครั่ง (ลำพูน), ดอกครั่ง (เชียงใหม่), เถาครั่ง (เลย). ; [THai: Khaang khrang (Lamphun)., Dok khrang (Chiang Mai).; Taow khrang (Loei).]
EPPO Code---DNBSS (Preferred name: Dunbaria sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม
Dunbaria bella เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2440

 

ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมือง พบใน พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม
ลักษณะ เป็นไม้เถาล้มลุกเลื้อยพันต้นไม้อื่น ลำต้นกลม เถาอ่อนสีเขียว เถาแก่สีเขียวอมน้ำตาลเข้มยาวประมาณ 3-5 เมตร ลำต้นมีขนละเอีนดยาวประมาณ 1 มม.ใบประกอบขนนกแบบใบย่อย3ใบ ใบย่อยรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 1.5-5 ซม.ยาว 4-12 ซม.ปลายและโคนใบมน ก้านใบรวมยาว 1-2.9 ซม.แผ่นใบหนาเหนียวคล้ายแผ่นหนังนุ่ม หน้าใบและหลังใบมีขนละเอียดสั้น ๆ ปกคลุมหนาแน่น ขอบใบมีรอยหยักแบบขนครุย ดอก สีม่วงดำแกมเหลือง ดอกออกที่ตาข้างช่อดอกแบบช่อกระจะ ยาว 6 -14 ซม.ดอกย่อยรูปดอกถั่วขนาด 1-1.5 ซม.จำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมกัน ปลายกลีบแยก 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ กลีบบนสีม่วงดำคลุมกลีบอื่น กลีบข้าง2กลีบสีเหลืองรูปไข่กลับ กลีบคู่ล่างเชื่อมกันสีเหลือง ส่วนปลายเรียวและบิดโค้งขึ้นเป็นงวง ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนานกว้าง 0.8-1 ซม.ยาว 5-8 ซม.มีขนคลุม และปลายเรียวแหลม เมล็ดกลมขนาดเล็ก
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าใช้เป็นอาหารและยา
-ใช้กิน ช่อดอก ใบอ่อนกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านล้านนาใช้ใบหรือรากผสมใบโผงเผง บดเป็นผงละเอียดปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้ไข้
-อื่น ๆ เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับแทะเล็มของโค-กระบือ
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม –กรกฎาคม/กรกฎาคม – สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

ข้าวสารค่าง/Cardiopteris quinqueloba


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cardiopteris quinqueloba (Hassk.) Hassk.(1855)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.
---Basionym: Peripterygium quinquelobum Hassk.(1843)
---Cardiopteris lobata Wall. ex Benn. & R.Br.(1852)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-34104
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ข้าวสารค่าง, ขะล๊านข่าง (ชุมพร); ตุ๊กตู่ (ชลบุรี); ผักแต๋นแต้ (ลพบุรี); หวี่หวี่; อีหวี่ (ปราจีนบุรี) ; [CHINESE: Xīn yì guǒ.];[THAI: Kha lan khang, Khao san khang (Chumphon); Tuktu (Chon Buri); Phak taen tae (Lop Buri); Wiwi, I wi (Prachin Buri).]
EPPO Code---KDPLO (Preferred name: Cardiopteris quinqueloba.)
ชื่อวงศ์---CARDIOPTERIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้ถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Cardiopteris quinqueloba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ Cardiopteridaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Justus Carl Hasskarl (1811-1894)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Justus Carl Hasskarl (1811-1894)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2398
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกระจายไปยังประเทศจีน (ยูนนาน, กวางสี) และ Malesia พบบริเวณป่าผลัดใบ ป่าไผ่ ตามที่รกร้างที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล ถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพัน ลักษณะทุกส่วนมียางสีขาว ลำต้นค่อนข้างแบน ยาว 2-5 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงวน รูปไข่กว้างเป็นส่วนใหญ่ แผ่นใบเรียบ โคนใบเว้ารูปหัวใจ ปลายใบแหลมหรือมน ขนาดกว้าง 4-7 ซม.ยาว 6-12 ซม.ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช่อขนาดยาว 3-8 ซม.ดอกย่อยเรียงออกด้านเดียว ซึ่งทำให้ช่อดอกโน้มไปด้านหนึ่งและมักจะม้วนงอ ผลสีเขียวรูปไข่กลับแกมรีลักษณะแบนมีปีก2ปีกมีเส้นแขนงละเอียดเรียงขนานกัน กว้าง 1-2 ซม.ยาว 1.5-3 ซม.ที่ส่วนปลายสุดของบยอดเกสรเมียที่คงความเขียวอยู่ได้ นานเห็นชัด มีเมล็ด1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านล้านนา ใช้ใบข้าวสารค่าง ตำผสมกับเหง้าไพลและมันหมูห่อใบตอง หมกไฟ ใช้ประคบรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-กันยายน/พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เขี้ยวกระจง/Fagerlindia sinensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Benkara sinensis (Lour.) Ridsdale.(2008)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Basionym: Oxyceros sinensis Lour.(1790)
---Fagerlindia sinensis (Lour.) Tirveng.(1983.)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-375158
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เขี้ยวกระจง, คัดเค้าเล็ก (ขอนแก่น), เขี้ยวจง (นครศรีธรรมราช), คัดเค้าหนู (ระยอง),โยทะกา (ประจวบคีรีขันธ์), ลิเทียน (ยะลา) ;[CHINESE: Le qian.];[THAI: Khiao kra chong, Khat khao lek (Khon Kaen); Khiao chong (Nakhon Si Thammarat); Khat khao nu (Rayong); Yo tha ka (Prachuap Khiri Khan); Li thuean (Yala);
EPPO Code---BKRSS (Preferred name: Benkara sp.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, ไต้หวัน, ไทย, เวียดนาม,ญี่ปุ่น
Benkara sinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Colin Ernest Ridsdale (1944-2017) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2551
ที่อยู่อาศัย  พบใน จีน( ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ไต้หวัน, ยูนนาน) ญี่ปุ่น [Nansei-shoto (หมู่เกาะริวกิว)], ไทย, เวียดนาม ขึ้นตาม ป่า ขอบป่า บนเนินเขา บนภูเขาหรือในทุ่งนา ใกล้ระดับน้ำทะเลถึง 1200 เมตร ในประเทศไทย พบในป่าดิบแล้ง,ป่าเบญจพรรณ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดเล็กเลื้อยไต่ได้เล็กน้อยไปไม่ไกลพุ่มสูง1.5 เมตรแตกกิ่งต่ำบริเวณพื้นดินมีหลายลำต้น มีหนามแหลมแข็งตามลำต้นและกิ่ง ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปไข่หรือรูปรี ยาว 6-10 ซม.ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวมี 2-4 ดอกออกที่ปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด กลีบดอกบางสีขาวมี5กลีบ เมื่อบานเต็มที่ขนาด2.5-3 ซม.มีกลิ่นหอม ผลกลมขนาด 8-12 มม.เมื่อสุกสีดำมีเมล็ดขนาด 5 มม.1เมล็ด
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

เขี้ยวงู/Jasminum decussatum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jasminum decussatum Wall. ex G.Don.(1837)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-352089
---Jasminum puberulum Ridl.(1920) [Illegitimate]
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- มะลิหลวง, เขี้ยวงู, มะลิเขี้ยวงู (ภาคใต้), มะลิป่า (นครราชสีมา), กรงจัน (เหนือ) ;[THAI: Mali louang, Khiao ngu, Mali khiao ngu (Peninsular); Mali pa (Nakhon Ratchasima); Krong chan (Northern).].
EPPO Code---IASSS (Preferred name: Jasminum sp.)
ชื่อวงศ์---OLEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาลายา สุมาตรา
Jasminum decussatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก.จากอดีต George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2380
ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ในไทยพบทางภาคเหนือที่แม่ฮ่องสอน ภาคกลางที่สระบุรี และกระจายทั่วไปทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามชายป่าหรือป่าโปร่ง ความสูงถึงประมาณ 700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เลื้อยไกล 3-7 เมตร แตกกิ่งน้อย เลื้อยยืดยาว ปลายกิ่งมีขนอ่อนนุ่มปกคลุม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3-5 ยาว 6-9 ซม.ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนรูปลิ่มกว้างหรือกลม ก้านใบยาว 0.6-1.6 ซม.แผ่นใบบางและเหนียว ด้านล่างใบมีขนปกคลุมหนาแน่น ช่อดอกออกแน่นและใหญ่ ออกที่ปลายกิ่ง สีขาวหม่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางช่อ 5-10 ซม.มีใบประดับรูปแถบ ยาวได้ถึง 1 ซม.ดอกย่อยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม.มีกลีบดอก 7-8 กลีบ รูปใบหอก มีดอกจำนวนมาก บานพร้อมกัน ดอกบานวันเดียวและร่วง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตลอดวัน และหอมแรงช่วงพลบค่ำถึงกลางคืน ผลรูปรีกว้าง ยาวประมาณ 1 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ ดินชื้นสม่ำเสมอ ระบายน้ำได้ดี
ระยะออกดอก---ธันวาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง


เขี้ยวงูเล็ก/ Jasminum nervosum

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jasminum nervosum Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms
---Jasminum finlaysonianum Wall. & G.Don.(1837)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-351453
ชื่อสามัญ---Wild kunda
ชื่ออื่น---เขี้ยวงูเล็ก (ชุมพร), มะลิไส้ไก่ (ภาคเหนือ), แส้วดง (ลำปาง), เขี้ยวงู, มะลิย่าน, ลิย่าน (สุราษฎร์ธานี), มะลิดิน (ทั่วไป) ;[CHINESE: Shān sù yīng, Qīng téng zǐ.];[HINDI: Kunda.];[MANIPURI: Warakki Kundo.];[TELUGU: Kundamu malle.];[THAI: Khiao ngu lek (Chumphon); Mali sai kai (Northern); Saeo dong (Lampang); Khiao ngu, Mali yan, Li yan (Surat Thani); Mali din (General).];[VIETNAM: Nhài gân, Dây vằng, Nhài mạng.].
EPPO Code---IASSS (Preferred name: Jasminum sp.)
ชื่อวงศ์---OLEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เนปาล บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Jasminumจากภาษาอาหรับคลาสสิก 'yāsamīn'และจากPahlavíเป็น 'Yasaman' = "ของขวัญของพระเจ้า" ;ชื่อระบุสายพันธุ์จากภาษาละติน 'nervosum' = "มีเส้นเลือด"
Jasminum nervosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย (อินเดีย เนปาล บังคลาเทศ)ไปยัง จีน(กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, ไต้หวัน, ทิเบต, ยูนนาน) ผ่าน พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม ถึงคาบสมุทรมาเลเซีย (เคดาห์) ขึ้นตามพื้นที่ป่าค่อนข้างชื้น ตามที่ลาดชัน ป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงถึง 2,000 เมตร ในประเทศไทยพบตาม ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณที่ความสูง 300-800 เมตรแต่ที่พบในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน พบที่ระดับความสูง 1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาขนาดเล็กเลื้อยได้ไกล 1-5 เมตร กิ่งยอดขนาดเล็กมีขนสีเขียวนุ่มปกคลุม กิ่งแก่เรียบสีน้ำตาลปนเทา ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่ 2.5-13 × 0.7-6 ซม เนื้อใบบางและเหนียว ขอบใบเรียบ เส้นกลางใบ 3-5 เส้นออกจากโคนใบ เส้นแขนงใบคู่แรกเป็นร่องเห็นเด่นชัดที่ด้านบนใบ ก้านใบยาว 2-10 มม ช่อดอกออกปลายกิ่งสีขาวช่อละ 3-5 ดอก เมื่อบานขนาด 3 ซม.มีกลีบเลี้ยงเป็นซี่แหลมยาว โคนดอกเป็นหลอด ปลายกลีบบานออก 8-10 กลีบ ผลเดี่ยวหรืออยู่ติดกันเป็นคู่รูปกลมรียาว 10-18 มม.ผลสดสีแดง เมื่อแก่เป็นสีดำ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆทั้งวันและหอมแรงขึ้นช่วงพลบค่ำถึงกลางคืน บานพร้อมกัน วันเดียวร่วง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มที่หรือในที่ร่มบางส่วน ชอบดินที่อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ ชุ่มชื้นการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของวัสดุ
-ใช้เป็นยา กิ่งอ่อนและใบมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ ยาต้มใช้รักษาอาการต่างๆ มากมาย เช่น การติดเชื้อหลังคลอดบุตร, ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ, ตกขาว, โรคไขข้อ, โรคกระดูกพรุน;- ยาต้มจากใบสดใช้ล้างแผลและป้องกันปัญหาผิว เช่น พุพอง, ใบที่บดใชัพอกเพื่อรักษาแผลและเต้านมอักเสบ, รากแก้ไข้ ;-ในกัมพูชาใช้ทั้งต้นตำพอกแก้งูกัด
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับซุ้ม มีกลิ่นหอม
-อื่น ๆ เถาใช้สำหรับเครื่องจักสาน ใช้ทำเชือก
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กรกฎาคม/เมษายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

เขืองแดง/Smilax siamensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Smilax perfoliata Lour.(1790)
ชื่อพ้อง--- Has 5 Synonyms
---Smilax annamensis Rendle.(1921)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-288994    
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กำลังควายถึก (นครศรีธรรมราช, ยะลา), เขืองปล้องสั้น (นครราชสีมา); เครือเดา, เดาน้ำ, สะเดา(เชียงใหม่); ก้ามกุ้ง (อุตรดิตถ์), เขืองสยาม, เชืองแดง (กลาง); [ASSAMESE: Bagh-achora-lata.];[CHINESE: Chuān qiào bá qiā.];[MALAYALAM: Paichooral.];[SINHALA: Maha kabarasa.];[THAI: Kamlang khwai thuek (Nakhon Si Thammarat, Yala); Khueang plong san (Nakhon Ratchasima); Khruea dao, Dao nam, Sadao  (Northern); Kam kung (Loei, Uttaradit); Khueang sayam, Khueang daeng (Central).];[VIETNAM: Côm lang, Dây chông chông.].
EPPO Code---SMIPE (Preferred name: Smilax perfoliata.)
ชื่อวงศ์---SMILACACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อนุทวีปอินเดีย จีน อินโดจีน  
Smilax perfoliata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ข้าวเย็นเหนือ (Smilacaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย พบในเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ  เนปาล ศรีลังกา จีน(ไหหลำ) ไต้หวัน พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม พบตามป่าดิบ บนพื้นที่จากระดับน้ำทะเลจนถึงสูงประมาณ 1,500 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค
*ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพันขนาดใหญ่  เถากลม หรือเป็นเหลี่ยมมนเกลี้ยง หรือมีหนามโค้งประปราย หนา 0.3-1.2 ซม. ช่วงระหว่างข้อยาว 8-25 ซม.ยาวได้ถึง 2-8 เมตร ลำต้นสีเขียวอ่อน ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปวงรีหรือวงรีแคบ กว้าง 3-12 ซม.ยาว 6-20 ซม.ปลายแหลม โคนมน หรือค่อนข้างแหลม แผ่นใบหนา มีนวลเล็กน้อย ก้านใบรูปสามเหลี่ยม ยาว 1.5-6 ซม. หูใบรูปไข่กว้าง มีมือเกาะยาว7-20ซม. หูใบกว้าง ดอกช่อออกที่ก้าน แยกเพศอยู่ต่างต้น  ออกตามโคนหรือตอนกลางกิ่ง เป็นช่อกระจะรวมที่มีช่อย่อยๆ แบบช่อซี่ร่ม ช่อยาว 1-3 ซม. ส่วนมากมีช่อซี่ร่ม 1-3 ช่อ แต่ในช่อดอกเพศผู้อาจยาวได้ถึง 15 ซม. และมีช่อซี่ร่มได้ถึง 15 ช่อ ที่โคนของแกนช่อดอกมีใบประดับย่อย รูปไข่ปลายแหลม ยาว 0.8-1 ซม. ก้านช่อดอกแข็ง ยาว 2-5 ซม. ช่อซี่ร่มเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม.มีดอกย่อย 20-70 ดอก ก้านช่อยาว 0.7-1.5 ซม. วงกลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกัน เรียงเป็น 2 วง ดอกเพศผู้กลีบรวมยาวประมาณ 6 มม.เมื่อดอกบานกลีบโค้งลง กลีบรวมวงนอกรูปขอบขนาน ปลายมน กว้างประมาณ 1 มม. กลีบรวมวงในแคบกว่าเกสเพศผู้ 6 อัน ดอกเพศเมียกลีบรวมรูปไข่แกมรูปใบหอก ยาว 4-5 มม. เมื่อดอกบานกลีบกางตรง กลีบรวมวงนอกกว้างประมาณ 1 มม. กลีบรวมวงในแคบกว่า รังไข่รูปรี อยู่เหนือวงกลีบ มี 3 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียมี 3 แฉก มีเกสรเพศผู้ไม่สมบูรณ์รูปคล้ายเข็ม 3 อัน ยาว 1-2 มม.ผลเนื้อนุ่มรูปกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.2 ซม.เมื่อสุกสีแดง มี 1-2 เมล็ด เมล็ดสีแดงเข้มรูปไข่กลับเกือบกลม กว้างยาวประมาณ 5 มม. *http://www.rspg.or.th/plants_data/plantdat/smilacac/sperfo_2.htm
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยา
-ใช้กิน ผลสุกกินได้ ช่อดอกใช้ลวกกินเป็นผัก ยอดอ่อน,ใบอ่อนกินสดเป็นผัก ผลอ่อนใส่แกงส้ม
-ใช้เป็นยา เถา หัว เปลือก ใช้บำรุงร่างกาย -เถาและหัว ใช้เป็นยาบำรุงกำหนัด-เปลือกใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ใช้เป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย -รากเหง้าใช้ปรุงเป็นยาแก้ต่อมน้ำเหลืองภายใน ขับต่อมน้ำในร่างกาย
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฏาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

คดสัง/Combretum trifoliatum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum trifoliatum Vent.(1808)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Cacoucia lucida (Blume) Hassk.(1844)
---Cacoucia trifoliata (Vent.) DC.(1828)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2733099
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---คดสัง, ย่านตุด (สุราษฎร์ธานี), จุด (ภาคใต้), เบน (ขอนแก่น), เปื่อย (นตรพนม), หญ้ายอดดำ (ภาคเหนือ); [CAMBODIA: Volli trasa (Central Khmer); (voër) trâhs', trâs (Khmer).];[LAOS: Ben nám.];[THAI: Khot sang, Yan tut (Surat Thani); Chut (Peninsular); Ben (Khon Kaen); Pueai (Nakhon Phanom); Ya yot dam (Northern).];[VIETNAM: Chưng bầu ba lá, Trâm Bầu Ba Lá.].
EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Combretum trifoliatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Etienne Pierre Ventenat (1757–1808) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2351
ที่อยู่อาศัย พบใน พม่าไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซียอินโดนีเซียไปยังออสเตรเลีย ขึ้นในที่ชุ่มชื้นตามสองฝั่งแม่น้ำหรือที่ราบน้ำท่วมถึง ในประเทศไทยพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทางภาคใต้
ลักษณะ เป็นไม้เถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อย (ไม่ค่อยเป็นไม้พุ่ม) สูง 3-5 เมตร ตามกิ่งอ่อนมีขนนุ่มสีน้ำตาลแกมเหลืองขึ้นปกคลุม เมื่อแก่ขนจะหลุดร่วงไป ใบเดี่ยวออกที่ข้อเดียวกัน ใบรูปรีหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมมีติ่งสั้น โคนใบมนหรือค่อนข้างกลมเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้าง 3-5.5 ซม.ยาว 8-16 ซม.หนามัน หรือค่อนข้างหนามัน ด้านบนค่อนข้างเกลี้ยง ส่วนด้านล่างมีตุ่มหูด หรือมีแถบของขนนุ่มสีน้ำตาลแกมเหลืองพาดขนานตามความยาวของเส้นกลางใบ เส้นใบมีประมาณ 6-8 คู่ ก้านใบยาวประมาณ 4-7มม.มีสีน้ำตาลแดงหรือสีสนิมเหล็กและมีขนนุ่ม เมื่อแก่ผิวจะเกลี้ยงและเปลี่ยนเป็นสีดำ.ดอกออกเป็นช่อกระจายตรงปลายยอดหรือตามง่ามใบ ช่อดอกยาวประมาณ 8-20 ซม. ดอกสีขาวแกมเหลือง กลิ่นหอม ผลแห้งแข็งไม่มีก้านมีสัน 5 สันขนาด กว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 3-3.5 ซม.ผิวเกลี้ยงผลแก่สีน้ำตาลดำและเป็นมัน มีครีบปีกแข็ง 5 ปีก หรืออาจพบแบบ 4 หรือ 6 ปีกได้บ้าง โดยปีกจะมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตเป็น "extreme rheophyte" ( " ไรโอไฟต์ที่รุนแรง" = พืชน้ำที่อาศัยอยู่ในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกระแสน้ำซึ่่งมีไม่กี่ชีวิตที่สามารถอยู่รอดได้) C. trifoliatum สามารถรอดชีวิตจากการจมอยู่ใต้น้ำได้นานถึง 4 เดือนในน้ำท่วม
ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในยาแผนโบราณและเป็นอาหาร
-ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อน กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ผลนำมาผสมกับเมล็ดข้าวโพดทำให้สุก ปั้นเป็นลูกกลอน ใช้เคี้ยวเป็นยาบำรุงและรักษาเหงือก ;-รากใช้ฝนทาแก้ฝีหนอง ใช้ปรุงเป็นยาชง รักษาอาการตกขาว และยังใช้ชำระล้างอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ;-ทั้งต้นใช้เป็นยารักษาโรคบิดและเป็นยาขับพยาธิ ;- ผลใช้เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน ;-น้ำผลไม้ใช้รักษาโรคบิด ;-ในเวียตนาม นำผลไม้มาโขลก ผสมกับแป้งข้าวโพดและน้ำตาลโตนด นำมาทำเป็นแท่งเล็กๆ ใช้เคี้ยวเพื่อช่วยรักษาเหงือกและฟัน และรักษาอาการเจ็บคอ นำเรซินที่สกัดจากก้านมารักษาโรคบิด
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด (อยู่ได้หลายปีโดยไม่เสื่อมสภาพในการงอก)  

                
คันธุลี/Tyrophora indica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Tylophora indica (Burm. f.) Merr.(1921)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-2600131
---Cynanchum indicum Burm.f.(1768)
ชื่อสามัญ---Indian Sarsaparilla, Panacea Twiner, Indian ipecac, Snake Gourd, Indian Ipecacuahna, Emetic swallowwort.
ชื่ออื่น---คันธุลี, เถาหนัง (สุราษฎร์ธานี), ขุนพูม (นครพนม), ท้าวพันราก, หน่วยไส้เดือน (ชุมพร), เลอตู (นราธิวาส) ;[ASSAMESE: Antamul, Anantamul.];[BENGALI: Antomula.];[CHINESE: Yìn dù wá' ér téng.];[HINDI: Antamul, Jangli Pikvam.];[KANNADA: Aadumuttada Gida, Antamula, Nipaladaberu.];[MALAYALAM: Vallipaala, Vallippala, Nansjera-patsja.];[MARATHI: Pitthakaadi, Khadari, Pitvel.];[ORIYA: Mendi, Mulini.];[SANSKRIT: Shwasaghni, Lataksiri, Arkaparni.];[TAMIL: Naippalai, Nancaruppan, Kalutai-p-palai, Paalai Keerai.];[TELUGU: Kakapala, Tellayadala, Verripala.];[THAI: Khan thu li, Thao nang  (Surat Thani); Khun phun (Nakhon Phanom); Thao phan rak, Nuai sai duean (Chumphon); Loe tu (Narathiwat).].  
EPPO Code---TYLIN (Preferred name: Tylophora indica.)
ชื่อวงศ์---ASCLEPIADACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Tylophora indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพบในอินเดีย ศรีลังกา ไทย มาเลเซีย เวียดนาม พบได้ทั่วไปในที่ราบป่าไม้เนินเขา ตามแนวชายฝั่งบนดินทรายโดยเฉพาะบนเนินทรายที่มีความเสถียรและในสวนมะพร้าว ที่ระดับความสูง 900 -1,260 เมตร  
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยพันต้นไม้อื่น ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว เลื้อยได้ไกล 1.5 เมตรใบเดี่ยวรูปหอกแกมขอบขนาน ออกเรียงสลับกันปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียว ขนาดใบกว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 8-13 ซม.ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกย่อยขนาดประมาณ 1.5 ซม.กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นถ้วยสีครีมมีลายสีม่วงผลเป็นฝักคู่ภายในเมล็ดรูปไข่แบน มีขนยาวสีขาวจำนวนมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นแหล่งของเส้นใยและยารักษาโรค
-ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาพื้นบ้านในบางภูมิภาคของอินเดียสำหรับการรักษาโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ, ภูมิแพ้, โรคไขข้อ โรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน -ใบและรากใช้ขับเสมหะ รักษาโรคภูมิแพ้,  โรคบิด, ไข้ละอองฟางและโรคข้ออักเสบ -ใบแห้งเป็นยาขับปัสสาวะ
-อื่น ๆ เส้นใยได้จากเถา- รากใช้เป็นสารกันบูดตามธรรมชาติของอาหาร
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน และ กรกฎาคม-ตุลาคม/ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด 

คำผีแปง/Caesalpinia minax


ชื่อวิทยาศาสตร์---Guilandina minax (Hance) G.P.Lewis.(2020)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77204843-1
---Basionym: Caesalpinia minax Hance.(1884)
---Caesalpinia morsei Dunn.(1903)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---คำผีแปง (เชียงใหม่), เถาขี้แฮด (เชียงใหม่-แพร่), มะดำ (ภาคเหนือ);[CHINESE: Kǔ shí lián, Hui jia yun shi, Huì jiá yún shí zhǒng rén, Nán shé lēi.];[THAI: Kham phi paeng (Chiang Mai); Khi haet (Chiang Mai, Phrae); Ma dam (Northern).].  
EPPO Code--- GWISS (Preferred name: Guilandina sp.)  
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีนตอนใต้ พม่า อินโดจีน ไต้หวัน
Guilandina minax เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Fletcher Hance (1827–1886)เป็นนักการทูตชาวอังกฤษที่อุทิศเวลาว่างให้กับการศึกษาพืชจีนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Gwilym Peter Lewis (born 1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2563

    

ที่อยู่อาศัย พบในจีน [ฝูเจี้ยน (เพาะปลูก), กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, เสฉวน, ไต้หวัน, ยูนนาน] อินเดีย, ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม ขึ้นตามหุบเขาริมลำธารที่ระดับต่ำกว่า 100-1,500 เมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะป่าดิบทางภาคเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้เถาลำต้นกิ่งก้านมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) ออกตรงข้ามยาว 45 ซม.5-8 คู่ ใบย่อย 6-12 คู่ รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 1-1.8 ซม.ยาว 2.5-4 ซม.โคนใบเบี้ยว หูใบรูปขอบขนานยาว 0.8 ซม.ดอกสีขาวอมเหลืองจางๆ ออกเป็นช่อเดี่ยวหรือแตกแขนงที่ปลายยอด ดอกย่อยมีจำนวนมาก ขนาด 1-2 ซม.กลีบรองดอก 5 กลีบขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอก 5 กลีบขนาดไม่เท่ากัน รูปค่อนข้างกลม กลีบบนสีออกแดงมีขนาดเล็ก ผลเป็นฝัก รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 4-4.5 ซม.ยาว 10-15 ซม.ฝักอ่อนสีเขียวมีขนปกคลุมหนาแน่น เมื่อแก่ขนจะแข็งเป็นหนาม สีน้ำตาลดำ แตกตามรอยตะเข็บข้าง เมล็ด 4-8 เมล็ด รูปไข่เว้าเล็กน้อยด้านหนึ่ง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เมล็ดของ Caesalpinia minax ที่เรียกว่า 'Ku-Shi-Lian' (KSL) ในประเทศจีนถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้าน สำหรับการรักษาโรคไข้หวัด ไข้รูมาตอยด์และโรคบิดมานานหลายร้อยปี
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี   
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด                                                                                                              

คุย/Willughbeia edulis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Willughbeia edulis Roxb.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Ancylocladus cochinchinensis Pierre.(1898)
---Willughbeia cochinchinensis    (Pierre) K.Schumann.(1900)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-214738
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---คุย, กะตังกะติ้ว (ภาคกลาง); คุยช้าง, คุยกาย (ปราจีนบุรี); คุยหนัง (ระยอง); หมากยาง (ศรีสะเกษ); ตั่งตู้เครือ (ลำปาง); โพล้พอ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี).]; [ASSAMESE: Bel-lata, Bel tota, Gedhaphul, Gedra phol, Laleng tenga, Laleng-tenga.];[CAMBODIA: Kuy, Kouy (Central Khmer).];[INDIA: Leng-tenga, Lalong, Pabhoi Tenga (Other).];[INDONESIA: Kubal Madu.];[MALAYSIA: Akar Jitan (Malay).];[MYANMAR: Talaing-no.];[THAI: Katang ka tio (Central); Khui chang, Khui kai (Prachin Buri); Khui nang (Rayong); Mak yang (Si Sa Ket).];[VIETNAM: Guồi.].
EPPO Code---WILED (Preferred name: Willughbeia edulis.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์
Willughbeia edulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363
ที่อยู่อาศัย พืชเขตร้อนชื้นที่ลุ่มมีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในบังคลาเทศ อัสสัม พม่า ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ในประเทศไทย พบตามป่าดิบแล้ง ชายป่าดิบชื้น ทั่วทุกภาคที่ระดับความสูง 50-400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งรอเลื้อยขนาดใหญ่เลื้อยได้ไกล 10-15 (-30) เมตร แตกกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก  มีมือเกาะ เปลือกเถาเรียบสีดำหรือ น้ำตาลเข้ม ทุกส่วนของลำต้นมียางสีขาวข้นหรือเหลืองอ่อน ใบเดี่ยวออกตรงข้ามสลับตั้งฉากเป็นคุ่ไปตามข้อต้น ใบรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง12 ซม.ยาว 3.7-14 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่มถึงมน แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 1-2 ซม.ช่อดอกออกที่ซอกใบและปลายยอด เป็นช่อสั้นๆสีขาวหรือเหลือง มีดอกย่อย 5-6 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ บานบิดเวียนสีเหลือง ขนาดดอกบาน 2.2.5 ซม.มีกลิ่นหอม ผลเป็นผลสด ทรงกลมหรือรูปไข่ ขนาด 6-7 ซม.สีเหลืองถึงส้ม เนื้อผลลื่นติดกับเมล็ด เปลือกหุ้มผลมีน้ำยางมาก ลักษณะเหนียวสีขาว มีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด เมล็ดรูปไข่ผิวเกลี้ยง ขนาด 1.2-1.6x1.9-2.8 ซม.  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวัน ดินร่วนซุยที่มีอินทรีย์วัตถุอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลดิบ-สุก ผลดิบมีรสเปรี้ยวฝาด ผลสุกมีเนื้อในรสหวานกินได้
-ใช้ปลูกประดับ เป็นพรรณไม้ดอกไม้ประดับกลางแจ้งที่เหมาะกับการปลูกเป็นซุ้มหรือแนวรั้ว
-ใช้เป็นยา ตำรายาไทย: ผลแห้งย่างไฟ บดทาแผล;- เถาและรากมีรสฝาด แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้บิด แก้โรคตับ แก้โรคคุดทะราด แก้เจ็บคอ;- เปลือกต้นมีรสฝาด ต้มดื่มแก้ปวดศีรษะ;- ยางมีรสฝาดร้อน ทาแผล แก้คุดทะราด;- รากใช้ภายในเพื่อรักษาโรคดีซ่านและท้องร่วง
-อื่น ๆ รากสามารถใช้เป็นสีย้อมสีแดง -คนพื้นเมืองใช้ยางดักนก โดยเอายางนี้ไปทาไว้ตามแหล่งที่นกจะมาเกาะหรือทาไม้แล้วนำไปปักไว้ เมื่อนกมาเกาะหรือผ่านขนจะติดจนดิ้นไม่หลุด
ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์-มีนาคม/กรกฎาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

เครือข้าวมวก/Alyxia siamensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Alyxia siamensis Craib.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-7441
ชื่อสามัญ---Long-cyme Alyxia.
ชื่ออื่น---เครือข้าวมวก (เชียงใหม่); [CHINESE: Chang xu lian zhu teng.];[THAI: Khruea khaw muak.];[VIETNAM: Ngôn lá tù.];
EPPO Code---AYXSS (Preferred name: Alyxia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย เวียตนาม
Alyxia siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2454
ที่อยู่อาศัยพบในจีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ยูนนาน) ไทย เวียตนาม ในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 250-1,500 เมตร ในประเทศไทย พบที่จังหวัด เชียงใหม่ ตาก หนองคาย ชัยภูมิและตราด อยู่ในป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาที่ระดับควมสูง 800-1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถามึเนื้อไม้เลื้อยได้ไกล 3-8 เมตร เปลือกสีเทาหม่น กิ่งอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย กิ่งแก่เรียบ ใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามหรือออกเป็นกระจุกตามกิ่ง 3 ใบ เนื้อใบหนารูปรีกว้าง 1.7-5.7 ซม.ยาว 5.2-18.5 ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบเรียวแหลม ด้านบนและด้านล่างของแผ่นใบมีขนปกคลุม ช่อดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบและปลายยอด มีดอกย่อยจำนวนมากสีขาว ปลายกลีบเรียงวน เมื่อบานมีกลิ่นหอมอ่อน ผลทรงรี 3-4.5 X 1.2-1.5 ซม.เมล็ดขนาด กว้าง 8 มม.ยาว 15 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ราก ลำต้น ใช้เป็นยาล้างพิษ ใช้รักษาโรคมาลาเรีย
สถานภาพ---พืชเฉพาะถิ่นของประเทศไทยหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/มิถุนายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เครือเขาแกบ/Bauhnia curtisii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lasiobema curtisii (Prain) de Wit.(1897)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-45988
---Bauhinia calcicola Craib.(1927)
---Bauhinia curtisii Prain.(1897)
---Phanera curtisii (Prain) Bandyop. & Ghoshal.(2015)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือเขาแกบ(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[THAI: Khruea khao kaep (Northeastern).];[VIETNAM: (dây) Móng bò curtis; Dây mấu; Móng bò hoa xanh.].
EPPO Code---1CAES (Preferred name: Caesalpinioideae.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---กัมพูชา ลาว มลายู ไทย เวียดนาม
Lasiobema curtisii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hendrik (Henk) Cornelis Dirk de Wit (1909 –1999) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปีพ.ศ.2440

 

ที่อยู่อาศัยพบในภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู ประเทศไทยพบทุกภาคตามชายป่าดงดิบ ที่ชื้นแฉะหรือบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูง 500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งมีเนื้อไม้ กิ่งอ่อนมีขนสั้น ใบเดี่ยวรูปไข่กว้างถึงแกมขอบขนาน ยาว 5-7 ซม.ปลายใบเว้าตื้นโคนใบมนถึงแกมรูปหัวใจ ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน มีมือเกาะเป็นเส้นโค้งงอ ก้านใบยาว 1-3.5 ซม.ดอกสีเขียวอมเหลืองออกเป็นช่อกระจะตั้งขึ้น ยาวถึง 20 ซม.ดอกย่อยขนาดเล็กประมาณ 0.8 -1 ซม.กลีบรองดอกปลายแยก 2-3 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน 2กลีบล่างรูปคล้ายช้อน 3กลีบบนมีลักษณะแคบ โคนกลีบเรียวเล็ก เกสรผู้3อันมี2อันเป็นหมัน มีขนาดเล็ก รังไข่เกลี้ยงไม่มีขน ผลเป็นฝัก กว้าง 1.5 ซม.ยาว 5-6 ซม.ปลายเป็นจงอยโค้งแก่แล้วแตกมีเมล็ดแบน 5-6 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม.
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เครือเขาปู้/ Pueraria candollei var. candollei

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pueraria candollei Graham ex Benth. var. candollei
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Pueraria candollei Benth.(1867)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-40423
ชื่อสามัญ---Kwao khruea, Burmese kudzu.
ชื่ออื่น---เครือเขาปู้, ตาลานเครือ (ลำปาง) ;[THAI: Khruea khao pu, Talan khruea (Lampang).];[FRENCH: Kudzu de Birmanie.]
EPPO Code---PUESS (Preferred name: Pueraria sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย พม่า ไทย
Pueraria candollei var. candollei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Graham Dugald Duncan (born 1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้ จากอดีตGeorge Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2410
มี2ชนิดถูกใช้เป็นแหล่งของ Kwao khruea (กวาวเครือ) ได้แก่
-Pueraria candollei Graham ex Benth. var. candollei พบมากในจังหวัดกาญจนบุรีและลำปาง
-Pueraria candollei Graham ex Benth. var. mirifica (Airy Shew Savat.) Niyomdham.-White Kwao khruea (กวาวเครือขาว) พบมากในจังหวัดสระบุรี โดยฝักจะมีขนยาวกว่า
(แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
ที่อยู่อาศัยพบตามป่าละเมาะ ป่าผลัดใบ บนโขดหิน หินปูน ริมลำธารหรือริมน้ำ ที่ระดับความสูง สูงสุด 1,300 เมตร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์โดยทั่วไปคล้ายคลึงกันคือเป็น ไม้เถาเนื้อแข็งอายุหลายปี มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวแบบมีใบย่อย3ใบ (trifoliolate) เรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่กว้าง 10-20 ซม. ยาว 15-25 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบรูปลิ่มถึงตัด มีหูใบรูปโล่ ดอกช่อแบบช่อกระจะ แยกแขนง โปร่ง ดอกย่อยรูปดอกถั่ว สีม่วง ฝักเป็นรูปขอบขนานแบนกว้างประมาณ 1 ซม. ยาวได้ถึง 8 ซม. เมล็ด 8 - 10 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา หัวใต้ดินคล้ายมันแกวขนาดใหญ่ เนื้อในสีขาว ใช้เป็นตัวยาหนึ่งในตำรับยาบำรุงร่างกาย บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์และมดลูก -ยาพื้นบ้านอิสานใช้หัวต้มน้ำดี่มบำรุงกำลัง
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เครือเขาหนัง/Phanera bassacensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia bassacensis Pierre ex Gagnep.(1912)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Phanera bassacensis (Pierre ex Gagnep.) de Wit.(1956)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-45953
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือเขาหนัง (ลำปาง); ชงโค (ภาคใต้); เถากระไดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); โยธิกา (ภาคใต้) ;[CAMBODIA: Khleng pn angkonh sa (Central Khmer).];[THAI: Khruea khao nang (Lampang); Cchongkho, Yo thi ka (Peninsular); Thao kradai ling (Southeastern).];[VIETNAM: Móng bò hậu giang.].
EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Bauhinia bassacensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(FabaceaeหรือLeguminosae) วงศ์ย่อย ราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2455
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา ลาว มาเลเซีย คาบสมุทรมาเลเซีย ประเทศไทยและเวียดนาม)  เติบโตในป่าดิบชื้นหรือป่ากึ่งผลัดใบโดยเฉพาะตามชายฝั่งและฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูง 900 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามชายป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นเถาไม้เลื้อยขนาดใหญ่เนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกล 8-10 เมตร หูใบเป็นติ่งคล้ายหู ยาวประมาณ 6 มม.ใบเดี่ยวรูปไข่ ยาวได้ถึง 20 ซม.ออกสลับ ปลายใบและโคนใบเว้าลึก ออกเป็นใบคู่เหมือนใบแฝด ก้านใบยาว 2-7 ซม. ช่อดอกแยกแขนงยาว 7-13 ซม. และกว้าง 6-15 ซม.  ใบประดับรูปใบหอก ยาวประมาณ 8 มม. ก้านดอกยาวได้ถึง 7 ซม. ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีเขียวอ่อนอมเหลือง กลีบดอก5กลีบ กลีบรูปสามเหลี่ยมปลายมน ยาวประมาณ 1 ซม. ก้านกลีบยาว 1-2.5 ซม. เกสรเพศผู้ 2 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้ลดรูป 7 อัน ยาว 3-9 มม. มีที่เป็นหมันขนาดเล็ก 1 อัน ติดระหว่างเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ รังไข่มีขนยาว ก้านเกสรเพศเมียยาว 0.7-1 ซม. ฝักรูปใบหอก ยาวได้ถึง 9 ซม. มี 3-5 เมล็ด
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน- ธันวาคม   
ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ   

เครือเขาหลวง/Argyreia splendens

ชื่อวิทยาศาสตร์---Argyreia splendens (Hornem.) Sweet.(1826)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8502983
---Basionym: Convolvulus splendens Hornem.(1819)
---Ipomoea splendens (Roxb.) Sims.(1826)
---Lettsomia splendens Roxb.(1832)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มันฤาษี (ลำปาง); เครือเขาหลวง, เครือเขาหลง, เครือหมาหลง, บ่าน้ำป่า, สีจ้อ (เชียงใหม่); เครือตาปลา (ศรีสะเกษ); ฮ้านผีป้าย (จันทบุรี);[CHINESE: Liang ye yin bai teng.];[THAI: Man rue si, Thao wan long, Thao wan hloueng, Khruea khao hlong, Khruea khao luang, Khruea ta pla, Han phi pai.].
EPPO Code--- AGJSL (Preferred name: Argyreia splendens.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULCEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Argyreia splendens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jens Wilken Hornemann (1770 – 1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Sweet (1783–1835) นักพฤกษศาสตร์และนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัยพบในจีน(ยูนนาน)ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียพม่าในไทยพบในป่าดิบทึบที่ระดับความสูง1,000-4,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยพันต้นไม้อื่น อายุหลายปี ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปใบหอกขนาด 12-27 X 5-15 ซม.มีขนสีเงินหนาแน่น ก้านใบยาว 5-15 ซม ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ดอกออกที่ปลายเถาเป็นช่อ มี 4-6 ดอก ดอกย่อยขนาดใหญ่คล้ายดอกผักบุ้ง แต่ละดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย สีขาวและสีม่วง มีรอยพับเป็นรูปดาว5แฉก ภายในสีม่วงสด ปลายกลีบสีม่วงอ่อน ผล รูปค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 1 ซม.ผลอ่อนสีแดงเข้ม แก่เป็นสีดำ มีเมล็ดสีน้ำตาล 4 เมล็ด รูปไข่ ขนาด 4-5 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีสรรพคุณเป็นสมุนไพรช่วยรักษาแผลโดยนำต้นมาตำให้ละเอียด ใช้พอกแผล ทำให้แผลหายเร็ว
พิธีกรรม/ความเชื่อ---ชื่อว่าเป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี คนโบราณเกือบทุกภาคนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน หากนำเถาแห้งพกติดตัว จะเป็นนะจังงังและนะเมตตาอีกด้วย เถาวัลย์หลงนี้ โบราณว่าไว้ หากเดินป่าแล้วข้ามเถาต้นเถาวัลย์หลง จะทำให้หลงป่า ต้องใช้คาถาเบิกไพรถึงจะกลับออกมาได้
ระยะออกดอก/ติดผล--- สิงหาคม-พฤศจิกายน/กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

เครืองูเห่า/Toddalia asiatica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Toddalia asiatica (L.) Lam.(1797)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms.
---Aralia labordei H.Lév.(1914)
---More.See all The Plant List See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2514778
ชื่อสามัญ---Forest pepper, Forest-Pepper, Wild orange tree, Lopez tree
ชื่ออื่น---เครืองูเห่า (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ผักแปมป่า (ภาคเหนือ), เล็บรอก (ประจวบคีรีขันธ์), สะบ่าสะเระ (กระเหรี่ยง กาญจนบุรี) ;[AFRIKAANS: Ranklemoentjie.];[BENGALI: Janglee marich, Kanta todalli.];[CHINESE: Fēilóng zhǎng xuè, XIiao jin teng, You po le, Hua mei tiao.];[HINDI: Kanj, Jangli mirch.];[INDONESIA: Reuy beleketebek (Sundanese); Duri kengkeng (Javanese).];[KANNADA: Kaadumenasu, Inasingi.];[LAOS: Haux.];[MALAYALAM: Kakkattutali.];[MALAYSIA: Akar kucing.];[NEPALI: Main kanra.];[PHILIPPINES: Dawag (Tag).];[SANSKRIT: Sauvarnitvak];[TAMIL: Kattu-milaku.];[TELUGU: Mirapa-kandra.];[THAI: Khruea ngu hao (Northeastern); Phak paem pa (Northern); Lep rok (Prachuap Khiri Khan); Sa-ba-sa-re (Karen-Kanchanaburi).];[VIETNAM: Cam núi.].
EPPO Code---TDDSS (Preferred name: Toddalia sp.)
ชื่อวงศ์--- RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันออก มาดากัสการ์ อนุทวีปอินเดีย จีน อินโดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
Toddalia asiatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2440


ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนชื้นไปจนถึงเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดใน แอฟริกาตะวันออก - เอธิโอเปีย สู่ แอฟริกาใต้ รวมถึงมาดากัสการ์ เรอูนียง; E. เอเชีย - อนุทวีปอินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น ผ่าน ไทยลาว กัมพูชา เวียตนามไปยังอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ พบตามป่าใกล้แม่น้ำหรือลำธาร ป่าทึบและป่าไม้ใกล้ชายฝั่ง ป่าชื้น จากระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยพาดพันไม้อื่น ยาว 2-20 เมตร เถาอ่อนมีหนามแหลมคม เมื่อเถาแก่ก็ทิ้งร่องรอยเขี้ยวเล็บไว้เป็นปุ่มปมแข็ง ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อยสามใบ รูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง1-2.5 ซม.ยาว 3-8 ซม.ผิวใบมีจุดต่อมน้ำมันกระจายอยู่ทั่วไป ดอกออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่งสีเหลืองแกมเขียว ผลกลมสีเขียวเมื่อสุกสีส้ม
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งของสีย้อมและน้ำมันหอมระเหย บางครั้งได้รับการปลูกเลี้ยงสำหรับใช้เป็นยาและปลูกเป็นรั้ว
-ใช้กิน  ใบและยอดอ่อนนำมากินเป็นผักสด ผลดิบ-ผลถึงจะเล็กแต่ก็มีรสชาดเหมือนส้มผสมมะนาวกินได้ ทุกส่วนของพืชใช้สำหรับปรุงแต่งอาหาร
-ใช้เป็นยา พืชทั้งหมดมีกลิ่นหอม ร้อนและฉุน ใช้เป็นยาชูกำลังที่มีรสขมและมีกลิ่นหอม ใช้เพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นการย่อยอาหารและรักษาไข้ ผลไม้ใช้เป็นยาแก้ไอ รากใช้ในการรักษาอาการอาหารไม่ย่อยและไข้หวัดใหญ่ -ใบใช้ในการรักษาโรคปอดและโรคไขข้อ การแช่จะใช้เป็นการรักษาโรคหอบหืด -ในมาดากัสการ์รากและเปลือก ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย อหิวาตกโรค ท้องเสียและโรคไขข้อ -ในฟิลิปปินส์มีการใช้รากยาต้มต้านอาการท้องร่วงและบำรุงกำลังในช่วงพักฟื้นจากไข้
-อื่น ๆ ในอินเดียใช้สีย้อมสีเหลืองที่สกัดจากราก ที่เรียกว่าโลเปซรูท (Lopez Root) ;-ใบประกอบด้วย 0.08% ของน้ำมันหอมระเหยที่มีค่า ที่ใช้ในน้ำหอมคุณภาพต่ำ น้ำมันส่วนใหญ่ประกอบด้วย linalool และ citronellal มีกลิ่นบ่งบอกถึงส่วนผสมของการบูรและตะไคร้
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

เครือโงบ/Uncaria homomalla


ชื่อวิทยาศาสตร์---Uncaria homomalla Miq.(1857)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Uncaria tonkinensis Havil.(1897)
---Uncaria parviflora (Ridley) Ridley.(1918)
---Uncaria quadrangularis Geddes.(1928)
---Uruparia homomalla (Miq.) Kuntze.(1891)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-209807
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือโงบ (ทั่วไป), เขาควายแม่ว้อง, เขาควายแม่หลูบ (ลำปาง), เกียวโซ่ (ปัตตานี), โงบ, อีโงบ (ประจวบคีรีขันธ์); [CHINESE: Bei yue gou teng, Hookoe of North Vietnam.];[THAI: Kiao so (Pattani); Khao khwai mae wong, Khao khwai mae lup (Lampang); Ngop, I ngop (Prachuap Khiri Khan).]; [VIETNAM: Câu đằng, Dây móc ó, Dây dang quéo.].
EPPO Code---UNCSS (Preferred name: Uncaria sp.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Uncaria homomalla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2400
ที่อยู่อาศัยพบในอินเดีย จีนตอนใต้ ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาลายา สุมาตรา ที่ระดับความสูงประมาณ 50-1,200 เมตร ในประเทศไทยมักพบขึ้นตามป่าชื้น
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลาง กิ่งก้านสีเขียวส่วนปลายมักเป็นสี่เหลี่ยม มีรูระบายอากาศตามกิ่งใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่สลับ หลังใบสีเข้มเหลือบมัน ท้องใบจางกว่ามีขนนุ่มแน่น ขนาดกว้าง 7-9 ซม.ยาว10-14 ซม.มีหูใบลักษณะแผ่มน มักพบระยางค์มีลักษณะคล้ายของอ ออกเป็นคู่ตามข้อ ดอกสีขาวครีมมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อกลมแน่น ขนาดดอก 3-5 ซม.ก้านดอกยาว 2-3 ซม.ออกตามซอกใบ ผลออกเป็นกระจุกแน่นรูปทรงกลมเปลือกแข็ง ขนาด 3-4 ซม.ดอกจะบานพร้อมกันทั้งช่อ และส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปได้ไกลตลอดทั้งวัน ส่วนปลายยอดเมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมเย็น
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการพื้นที่โล่งแจ้งแสงแดดแบบเต็มวัน ดินร่วนซุยความชื้นสม่ำเสมอ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้รากเหง้าหัว เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่วในไต แก้ปวดหลัง ปวดเอว ;-ตำรายาพื้นบ้านล้านนาใช้ต้นต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย ;-ในเวียตนาม ใช้ รักษาไข้ ปวดหัว ชัก หูอื้อ ความดันโลหิตสูง ใช้กับเด็กที่เป็นไข้หัด
-ใช้ปลูกประดับ นำมาขึ้นซุ้มไม้เลื้อย เป็นไม้ป่าของไทยที่มีดอกดูแปลกสวยงาม เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ต่างๆ ที่มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้างพอสมควร
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มกราคม/
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ

เครือจักกระทงแดง/Thunbergia hossei


ชื่อวิทยาศาสตร์---Thunbergia hossei C.B. Clarke.(1907)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Thunbergia hossei C.B. Clarke is an unresolved name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2436047
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือจักรกระทงแดง, เครือจักร กระทงแดง, จิงจ้อน้อย (นครราชสีมา), นมแน่ดง, น้ำแน่ดง, น้ำแย้, น้อยน้ำแยน้อย, หนามแน่, น้ำแน (เชียงใหม่) ;[THAI: Khruea chak kra thong daeng (Nakhon Ratchasima); Chingcho noi (Nakhon Ratchasima); Nom nae dong, Nam nae dong, Nam yae noi, Nam nae (Chiang Mai).].
EPPO Code--- THNSS (Preferred name: Thunbergia sp.)
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ลาว เมียนมาร์ ไทย
Thunbergia hossei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยCharles Baron Clarke(1832-1906)เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2450
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ ไทย
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาด เลื้อยได้ไกล4-6เมตร ใบเดี่ยวรูปรีแคบ ขอบจักฟันเลื่อยห่างๆ  โคนใบเว้า ปลายแหลม แผ่นใบสีเขียว ขนาดใบกว้าง3-4ซม.ยาว5-8ซม.ซม.เส้นใบหลัก3เส้นออกจากโคนใบเห็นเด่นชัด ดอก ออกเป็นช่อกระจะ ห้อยลง ช่อดอกสั้นและดอกมีจำนวนน้อย กลีบดอกสีเหลืองสด ปลายกลีบมีสีแดงเรื่อ โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น5กลีบ ขอบกลีบโค้งไปด้านหลัง เส้นผ่านศูนย์กลางดอก3-3.5ซม. ไม่ติดผล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดปานกลางถึงแดดจัด อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง  
ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกประดับซุ้มขนาดใหญ่และมักปลูกได้ดีทางภาคเหนือ
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดหรือปักชำ

สกุล Thepparatia เป็นสกุลใหม่จากประเทศไทยมีชนิดเดียว (Monotypic genus) คือThepparatia thailandica ชื่อสกุลตั้งเพื่อเทิดพระเกียรติตาม พระนามสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เครือเทพรัตน์/Thepparatia thailandica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Thepparatia thailandica Phuph.(2006)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List.Thepparatia thailandica Phuph. is an unresolved name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2605706
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือเทพรัตน์ (ทั่วไป) ;[THAI: Khruea theppharat (General).]
EPPO code---1MAVF (Preferred name: Malvaceae.)
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Thepparatia "ตั้งเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ; ชื่อระบุชนิดพันธุ์ “thailandica” ตั้งตามชื่อประเทศไทย
Thepparatia thailandica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย นางลีน่า ผู้พัฒนพงษ์ (Leena Phuphathanaphong)ผู้เชี่ยวชาญพืชวงศ์ชบาของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2549
ที่อยู่อาศัยเป็นพืชถิ่นเดียวของไทย พบที่ จ.ตากใกล้ชายแดนพม่า เก็บตัวอย่างเป็นครั้งแรกโดย โดย ดร.ราชันย์ ภู่มา นักพฤกษศาสตร์หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในปี พ.ศ.2548 พบขึ้นตามหุบเขาที่ลาดชันใกล้ลำธารในป่าดิบแล้ง ความสูง 300-700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาขนาดใหญ่เลื้อยได้ไกลถึง 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.มีขนรูปดาวทุกส่วนของลำต้น ใบเดี่ยวรูปฝ่ามือ มีแฉกตื้น 3-5 แฉก ขอบใบหยักฟันเลื่อยห่างๆด้านบนของแผ่นใบมีต่อมทั่วไป ขนาดของใบกว้าง 7-12 ซม.ยาว 6-12 ซม.ช่อดอกยาว 20 ซม.ออกเป็นช่อกระจะห้อยลง ดอกย่อยจำนวนมาก รูประฆัง ริ้วประดับ 5-7 กลีบติดทน กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือสีครีมมีแถบสีแดงรูปไข่กลับ ปลายกลีบม้วนออก ผลแห้งแล้วแตกตามแนวยาวด้านหลัง
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียวของประเทศไทยหายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในถิ่นกำเนิด
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนมีนาคม-เมษายน/
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำในกะบะพ่นหมอกกลางแจ้ง และเสียบยอดโดยการใช้พู่ระหงเป็นต้นตอ

เครือพูเงิน/Argyreia mollis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Argyreia mollis (Burm.f.) Choisy.(1833)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms  
---Basionym: Convolvulus mollis Burm.f.(1768)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8503008
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือพูเงิน (ปราจีนบุรี); ย่านตาน (สงขลา), ชะพะโดนาเด (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), เครือเขาหลง, ฮ้ามฝีป้ายหลวง, บ่าน้ำป่า (เชียงใหม่);[CHINESE: Yin bei teng.];[THAI: Khruea poo ngeon, Yan tan, Khruea khao long, Ham phi pai luang, Ba nam pa (Chiang Mai); Cha-pha-do-na-de (Karen-Chiang Mai).];[VIETNAM: Thảo bạc che.].
EPPO Code---AGJSS (Preferred name: Argyreia sp.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน และคาบสมุทรมลายู
Argyreia mollis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burmanและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jacques Denys (Denis) Choisy (1799–1859) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปีพ.ศ.2376
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน จีน, อินเดีย (หมู่เกาะอันดามัน), อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม ถึงเกาะไหหลำและเกาะ Lesser Sunda (บาหลี) พบตามป่าเบญจพรรณ ริมทาง ริมลำธาร ที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งไม่มีมือเกาะเลื้อยได้ไกลถึง 10 เมตรกิ่งอ่อนมีขนสีขาวน้ำเงินปนน้ำตาลอ่อน เส้นยาวราบหนาแน่น ใบเดี่ยวรูปรีแกมขอบขนานแคบ ๆ รูปหัวใจ หรือบางครั้งมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปหอก ปลายใบแหลมหรือมนและติ่งเล็กแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-7 ซม.ยาวประมาณ 4-15 ซม.ด้านบนผิวใบมีขนประปรายใต้ใบมีขนสีขาวเงินนุ่มคล้ายเส้นไหมหนาแน่น ก้านใบกลม ยาวประมาณ 1-6 ซม.และมีขนยาวราบ ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ 1-5 ดอก ดอกรูปกรวยปลายแผ่ติดกันด้านนอกของโคนดอกมีขนเป็นแฉก สีม่วงอ่อนหรือชมพู โคนกลีบสีขาวขนาดดอก 3.5-4 ซม.ผลเป็นแบบแคปซูลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8-1 ซม.สีส้มอมแดง มีเมล็ดสีดำ 4 เมล็ดยาวประมาณ 5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ในดินทั่วไปดินชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ทั้งต้นนำมาคั้นใช้น้ำคั้นจากต้นหยอดตา แก้ตาอักเสบ ใบใช้ตำพอกฝี รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ แก้หอบ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงน้ำนมของสตรี;-ในเวียตนามใช้แก้ตาเจ็บ
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

เครือมวกไทย/Alyxia thailandica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Alyxia thailandica D.J. Middleton.(1995)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all https://www.gbif.org/species/3621050
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือมวกไทย, นูดเครือ (ภาคกลาง); [Thai: Khruea muak thai, Nut khruea (Central).].
EPPO Code---AYXSS (Preferred name: Alyxia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อระบุชนิดพันธุ์ “thailandica” ตั้งตามชื่อประเทศไทย
Alyxia thailandica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David John Middleton (1963-) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2538
ที่อยู่อาศัย พรรณไม้ถิ่นเดียวที่สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย โดย J.F.Maxwell ชาวอเมริกัน ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่อยู่ในประเทศไทย จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เขตจังหวัดนครนายก ที่ระดับความสูง 1,400 เมตร เมื่อปีพ.ศ.2517 มีรายงานการตั้งชื่อ เมื่อปี พ.ศ.2538 ขึ้นอยู่ในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง1,000-1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้ออ่อนขนาดเล็ก เลื้อยได้ไกล3-6เมตร กิ่งอ่อนมีขนปกคลุมหนาแน่น กิ่งแก่เรียบ ใบออกเป็นกระจุกตามกิ่ง3-4ใบ เนื้อใบหนารูปรี กว้าง1.2-2.6ซม.ยาว3-7ซม. โคนใบรูปลิ่มปลายใบมน มีขนอ่อนที่เส้นกลางใบ ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ ช่อดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบมีดอกย่อยจำนวนมากสีขาวปลายกลีบเรียงเวียน เมื่อบานมีกลิ่นหอมอ่อน ผลมีขนาด 5มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เครือมวกไทยเจริญเติบโตอยู่ในพื้นที่ระดับสูง อากาศหนาวเย็น ต้องการแดดจัดและความชื้นสูง
สถานภาพ---พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนกันยายน-พฤศจิกายน/
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เครือมุย/Ceropegia sootepensis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ceropegia sootepensis Craib.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2713141
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือมุย, มะมุุยดอย, มะเขือแจ้ดิน (เชียงใหม่), ว่านสามพี่น้อง (นครราชสีมา) ;[CHINESE: Hé bà diào dēng huā; Qián jiāng dòu (sìchuān).];[THAI: Khreau mui, Ma mui doi (Chiang Mai); Ma khuea chae din (Chiang Mai); Wan sam phi nong (Nakhon Ratchasima).]
EPPO Code---CGJSS (Preferred name: Ceropegia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Ceropegia" มาจากคำสองคำ keros = "wax" และpege= "fountain" อ้าวอิงถึง ดอกไม้ดูเหมือนน้ำพุของขี้ผึ้ง ; ชื่อระบุชนิดพันธุ์  'sootepensis' ตั้งชื่อตามดอยสุเทพ
Ceropegia sootepensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2454
สปีชี่ส์นี้ถูกอธิบายในปี 1911 และตั้งชื่อตามประเภทของ ป่าเปิดและป่าผลัดใบ
ที่อยู่อาศัย กระจายอยู่ในประเทศไทยและจีนแผ่นดินใหญ่ของมณฑลเสฉวนและสถานที่อื่น ๆเติบโตในป่าดิบแล้งที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูงถึง 2,400 เมตร ในประเทศไทยพบที่ดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ภาคเหนือของประเทศไทย พบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ความสูงจากระดับน้ำทะเล 300-400 เมตร มึรายงานว่ายังพบได้ในพม่าและลาว แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยล้มลุกมีหัวใต้ดิน ลำต้นทรงกระบอกเรียวยาว สูง 30-60 ซม.มีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวรูปแถบออกตรงข้ามเป็นคู่ยาว 5-18 ซม. กว้าง 0.3-1 ซม.ไม่มีขน ปลายเรียวแหลม ฐานมน ขอบเรียบ ผิวใบด้านบนมีขนเล็กน้อย ก้านใบสั้นมาก ดอกออกเป็นช่อสั้นแบบช่อกระจุก ออกที่ปลายยอดและซอกใบ 3-5 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ แยกกัน รูปแถบ กลีบดอก 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายกลีบดอกแยก 5 แฉกคล้ายกระเช้า โคนบวมสูงและปลายหลอดดอกสีน้ำตาลแกมม่วง คอหลอดกลีบดอกสีเหลืองแกมเขียว
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เครือเหนียว/Friesodielsia affinis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Friesodielsia affinis (Hook.f. & Thomson) D.Das.(1963)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2814658
---Basionym: Oxymitra affinis Hook.f. & Thomson.(1872)
---Fissistigma magnisepala Irawan.(2005)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เครือเหนียว (สุราษฎร์ธานี) ;[THAI: Khruea niao (Surat Thani).].
EPPO Code---FRDSS (Preferred name: Friesodielsia sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาลายา บอร์เนียว
Friesodielsia affinis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์, นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และ Thomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Atulananda Das (1879–1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดีย ในปีพ.ศ.2506
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในไทย มาลายา บอร์เนียว ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายตามชายป่าดิบชื้นทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 100-400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพาดพันไม้อื่นได้ไกล 5-10 เมตร เปลือกต้นสีดำ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ใบรูปขอบขนานแกมใบหอกกลับ กว้าง  4-5.5 ซม.ยาว 13-15 ซม.โคนใบมนหยักเว้า ปลายใบแหลมด้านบนเรียบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ใบด้านล่างเคลือบขาว  ผิวใบและเส้นกลางใบมีขนนุ่ม ดอกเดี่ยว ออกจากซอกใบ กลีบดอกเรียงกัน 2 ชั้น สีเหลืองอมเขียว ผลกลุ่มมี 7-15 ผล รูปกลมรี ยาว1-1.2 ซม.มีขนสีน้ำตาล ปลายผลมีติ่งแหลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดง มีเมล็ด 1 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---เถามีความเหนียวใช้แทนเชือกได้
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมิถุนายน/
ขยายพันธุ์---เมล็ด


งวงชุ่ม/Combretum pilosum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum pilosum Roxb. ex G. Don.(1827)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2732920
---Combretum insigne Van Heurck & Müll.Arg.(1871)
---Combretum laetum Wall.(1831) [Invalid]
---Combretum spinescens Wall.(1831) [Invalid]
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- เครือเขามวก (หนองคาย); งวงชุ่ม (นครพนม); ตีนตั่งตัวแม่ (ลำปาง); [THAI: Khruea khao muak (Nong Khai); Nguang chum (Nakhon Phanom); Tin tang tua mae (Lampang).];[CHINESE: Cháng máo fēng chēzi.]; [VIETNAM: Chưng bầu lông.].
EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, จีน, อินโดจีน
Combretum pilosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2370
ที่อยู่อาศัยพบใน จีน(ไหหลำ ยูนนาน) บังคลาเทศ (อัสสัม), อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม พบขึ้นทั่วไปตามที่ชื้น ตามป่าเบญจพรรณและชายป่าดิบเขา หุบเขา ตามริมน้ำที่ระดับความสูง 100-800 เมตร ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้เถาลำต้นสีน้ำตาลเทาแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆต้นมีขนหรือขนต่อมสีน้ำตาลแดงปกคลุมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปไข่หรือรูปรี ขนาดใบกว้าง 3-5 ซม.ยาว 8-12 ซม.ใบมีขน แผ่นใบสีเขียวโคนใบมนหรือเบี้ยว ปลายใบแหลม  ก้านใบยาว 2-5 มม. ดอกออกแบบช่อแยกแขนง ช่อย่อยเป็นช่อกระจุก ยาว 5-20 ซม.ใบประดับเป็นรูปไข่ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบสีชมพูอ่อนถึงม่วง ผลแห้งรูปทรงกลมรีหรือไข่กลับ มี 5 ปีก  2.5–3.5 × 2–2.5 ซม.สีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดรูปรี ยาว1-1.2 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ราก ใช้ต้มแก้ไข้บิด
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง

เงาะพวงผลกลม/Uvaria fauveliana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria fauveliana (Finet & Gagnep.) Pierre ex Ast.(1938)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.According to The Plant List. Uvaria fauveliana Pierre ex Ast is an unresolved name. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2448225
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เงาะพวงผลกลม (ภาคตะวันออก-ภาคตะวันออกเฉียงใต้), คายค่าว (อุบลราชธานี) ;[THAI: Ngo phuang phon klom (Eastern, Southeastern) ; Khai khao (Ubon Ratchathani).]; [VIETNAM: Cây nhờn, Bù dẻ râu, Bồ quả ast, Cây nọc rắn An điền.].
EPPO Code---UVASS (Preferred name: Uvaria sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Uvaria fauveliana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและ Francois Gagnepain (1866-1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Suzanne Jovet-Ast (1914–2006) นักพฤกษศาสตร์ขาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2481
ที่อยู่อาศัย ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 200-350 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกล 10-20 เมตรพาดพันไม้อื่น เปลือกต้นสีดำแตกเป็นร่อง กิ่งอ่อนมีขนรูปดาวสีน้ำตาลหนาแน่น ใบรูปขอบขนาน กว้าง 4-7 ซม.ยาว 12-18 ซม.โคนใบกลมหยักเว้าและเบี้ยวเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลม ใบอ่อนมีขนหยาบและแข็งสีน้ำตาลแดงหนาแน่น โดยเฉพาะที่ขอบใบและเส้นกลางใบ  ดอกออกดอกเดี่ยว หรือเป็นกระจุก 2 ดอกออกตรงข้ามใบสีชมพูอมแดง ดอกบานมีขนาด 2-2.5 ซม.ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 10-30 ผล ก้านผลยาว 2-3 ซม. ผลกลมขนาด 2.5 ซม.ผิวผลมีขนยาว 0.5-1 ซม.แข็งคล้ายเงาะ ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลืองส้ม แต่ละผลมีเมล็ดสีน้ำตาลแดง 4-8 เมล็ด  
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลกินได้รสเปรี้ยวอมหวาน
-ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านใช้เปลือกต้น แก้กระษัยเส้น แก้ปวดเมื่อย แก่นหรือเปลือกต้นแช่น้ำดื่ม บำรุงโลหิต;-ในเวียตนามใช้เป็นยาที่ใช้สำหรับสตรีหลังคลอด
-อื่นๆ เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-มิถุนายน/ตุลาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

วงศ์นมตำเลีย หรือ (en:Asclepiadaceae) เป็นวงศ์เก่าในระบบ APG II ซึ่งต่อมาได้ลดระดับเป็นวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae) ในวงศ์ Apocynaceae
สกุล Oxystelma R. Br. อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Asclepiadoideae มี 2 ชนิด พบในแอฟริกาและเอเชีย แยกเป็น Oxystelma esculentum var. alpini N. E. Br. พบในอียิปต์

จมูกปลาหลด/Oxystelma esculentum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Oxystelma esculentum (L. f.) Sm.(1813)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-2610806
---Basionym: Periploca esculenta L. f.(1781)
---Oxystelma wallichii Wight.(1834)
---Sarcostemma esculentum (L. f.) R.W. Holm.(1950)
ชื่อสามัญ---Jaldudhi, Needle-leaved, Swallow-wort, rosy milkweed, Rosy milkweed vine.
ชื่ออื่น---จมูกปลาหลด (ภาคกลาง); จมูกปลาไหลดง (เพชรบูรณ์); ตะมูกปลาไหล (นครราชสีมา); ผักไหม (เชียงใหม่); สะอึก, กระพังโหม (ภาคกลาง) ;[ASSAMESE: Bengena bulia lota, Gongamala.];[BENGALI: Dudhi, Dudhiyalata, Kshirai.];[CHINESE: Cuī nǎi téng, Gāo guān téng, Jiān huái téng shǔ, Xiǎo shuāng fēi húdié.];[HINDI: Jaldudhi, Dudhi-ki-bel, Dugdhika, Dudhiyalata.];[KANNADA: Dugdhika, Maeke kombu balli.];[MALAYALAM: Kinikinippala.];[MARATHI: Dudhani.];[NEPALI: Anarsinge laharo.];[SANSKRIT: Dugdhika, Kshirini, Uttama, Uttamaphalini.];[TAMIL: Uci-p-palai, Uttamai.];[TELUGU: Dudhi pala.];[THAI: Chamuk pla lot (Central); Chamuk pla lai dong (Phetchabun); Tamuk pla lai (Nakhon Ratchasima); Phak mai (Chiang Mai); Sa uek (Central).];[VIETNAM: Cây Cù Mai.].
EPPO Code---OYSES (Preferred name: Oxystelma esculentum.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
วงศ์ย่อย---Asclepiadoideae
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--แอฟริกาตอนเหนือ เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียตะวันตก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล"Oxystelma" มาจากภาษากรีก “oxys”= แหลม และ “stelmatos”= เชื่อมติดกัน ตามลักษณะของกะบัง
Oxystelma esculentum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarl Linnaeusและ Sara Elisabeth Moraea ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Edward Smith (1759-1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2356

 

ที่อยู่อาศัยมีการกระจายกว้างจากแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือไปยังเอเชียตะวันตกเฉียงใต้จากอียิปต์ทางตะวันออกผ่าน แทนซาเนีย เยเมน ซินาย อิรัก ปากีสถาน ศรีลังกา อินเดีย บังคลาเทศ พม่าและเนปาล ทางตอนใต้ของจีน ( กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน) ผ่านอินโดจีนและคาบสมุทรมลายูไปยังอินโดนีเซีย ถึงออสเตรเลียตะวันตก เติบโตตามธรรมชาติ ในพื้นที่แอ่งน้ำ ริมน้ำเปิด ในหนองน้ำ บึงและทะเลสาบที่ระดับความสูงถึง750 เมตรในประเทศไทยพบอยู่ทั่วไปทางภาคตะวันออกและภาคกลางของประเทศไทย โดยมักขึ้นบริเวณน้ำตื้นริมบึงทั่วไป
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพันยาว1-2 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปใบหอกแกมรูปดาบ ขนาดของใบกว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 8-13 ซม.ก้านใบยาว 1-1.5 ซม.ช่อดอกคล้ายช่อกระจะหรือซี่ร่ม ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาวได้ถึง 20 ซม.มี 2-6 ดอกในแต่ละช่อ ดอกย่อยบานขนาดประมาณ 1.5 ซม.รูปถ้วยกว้าง มี 5 กลีบ กลีบดอกด้านในสีชมพูเข้มสีมีลายเส้นสีม่วง และจุดประสีน้ำตาล กลีบดอกด้านนอกสีขาว เกสรเพศผู้ 5 อัน เชื่อมติดกันเป็นเส้าเกสรสั้น ๆ มี 2 คาร์เพล แยกกัน ส่วนมากเจริญเพียงผลเดียว ผลเป็นฝักปลายฝักแหลมโค้งเรียว โคนฝักกว้าง เปลือกนิ่ม ภายในพองลม กว้างประมาณ 1 ซม.ยาวประมาณ 5 ซม.เมื่อแก่จะแตกออกข้างเดียว ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดสีน้ำตาลรูปไข่ยาวประมาณ 2 มม.ปลายเมล็ดจะมีขนสีขาวติดอยู่เป็นกระจุก กระจุกขนยาว 1.5-2 ซม.ทำให้สามารถลอยไปตามลมเพื่อกระจายพันธุ์ไปได้ไกล
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอก ใช้กินเป็นผักสด ผลก็ใช้กินได้เช่นกัน น้ำคั้นจากเถาและใบใช้ผสมในขนมขี้หนู ทำให้ขนมขี้หนูมีสีเขียว
-ใช้เป็นยา ทั้งต้น ใช้รักษาโรคมะเร็ง ใช้เป็นยารักษาอาการอักเสบบริเวณปากและคอ ใช้ปรุงเป็นยาขับน้ำนม ใช้เป็นยาแก้ไข้รากสาด  แก้บิด ใช้แก้ประจำเดือนผิดปกติ ;-ตำรายาพื้นบ้านใช้ ราก แก้ดีซ่าน ทั้งต้น ต้มน้ำกลั้วคอ แก้เจ็บคอ ;-ในเวียตนามใช้รักษาโรคตับอักเสบดีซ่าน ราก รักษาแผลในปากเปื่อย รักษาฝีแผล ;-ในอินเดีย จีน และอินโดนีเซียใช้ดอก ใบ และผล ต้มเอาน้ำกลั้วคอ ชะล้างแผลเพื่อฆ่าเชื้อ
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับเป็นไม้กระถางที่มีโครงเลื้อยพัน
ระยะออกดอก/ติดผล--- กันยายน - เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

 จมูกปลาหลด/Tyrophora flexuosa


ชื่อวิทยาศาสตร์---Tyrophora flexuosa R.Br.(1810)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Hoya flexuosa (R. Br.) Spreng.(1825)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-2602703
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---จมูกปลาหลด (นราธิวาส), ผักลิ้นห่าน (นครศรีธรรมราช) ;[CHINESE: Wa er teng shu, Xiao ye wa er teng.];[THAI: Cha muk pla lot (Narathiwat); Phak lin han (Nakhon Si Thammarat).];[VIETNAM: Oa nhi đằng lá nhỏ, Đầu đài mảng.].
EPPO Code---TYLSS (Preferred name: Tylophora sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, เวียดนาม หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตองก้า ซามัว
Tyrophora flexuosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Brown (1773–1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อตในปีพ.ศ.  
ที่อยู่อาศัยพบในอินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, เวียดนาม หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตองก้า ซามัว พบทั่วไปตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลองที่น้ำทะเลท่วมถึงและชายป่าพรุ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 150 เมตร เติบโตในป่าไม้และพุ่มไม้เปิดที่ระดับความสูง 100-1,000 เมตรในภาคใต้ของจีน และที่พบมากที่สุดบนที่ราบลุ่มฝั่งของแม่น้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ที่ระดับความสูงถึง 2,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเรียบเกลี้ยง แตกแขนงจำนวนมาก เลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่น บางครั้งเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกลถึง 2.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 ซม.ส่วนต่างๆของเถามีน้ำยางใส ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามแผ่นใบรูปทรงไม่แน่นอน มักเป็นรูปไข่ถึงรูปใบหอก ขนาดของใบกว้างประมาณ1-3.5 ซม.บาว 2.5-8 ซม.โคนใบกลมถึงเว้ารูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ปลายใบเนียวแหลม ผิวใบเกลี้ยงถึงเกือบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีซีดกว่า ดอก เป็นช่อกระจุกโปร่ง คล้ายช่อซี่ร่มหรือช่อเชิงลดแยกแขนง ออกตามง่ามใบ ดอกย่อยขนาดเล็กรูปกงล้อสีแดงแกมม่วง ดอกบานขนาด 0.4-0.6 ซม.ผลแบบแตกแนวเดียวรูปทรงใบหอก ปลายฝักเรียวแหลมขนาดกว้าง 0.4-0.6 ซม.ยาว 5-7 ซม.เมล็ดขนาดเล็กแบนรูปไข่ ขนาด 8 x 2.5-3 มม.มีขนเป็นพู่ที่ปลายยาว 1.5-2.5 ซม.
ใช้ประโยชน์---พืชมีการเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ใบถูกบดและนำไปใช้รักษาโรคหิด ลำต้นใช้ในการรักษาลมพิษและไข้ทรพิษ ยาต้มรากนำมาเป็นยาแก้พิษสารหนู
ระยะออกดอก/ติดผล--- มิถุนายน-สิงหาคม/
ขยายพันธุ์---เมล็ด


จั่นดิน/ Asparagus acerosus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Asparagus acerosus Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Asparagus racemosus Willd. (1799)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-274912
ชื่อสามัญ---Asparagus fern, Wild asparagus, Indian Asparagus, Spiny Asparagus, Asparagus roots, Hundred Roots
ชื่ออื่น---จั่นดิน (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Satmul, Shatmul/ Satamuli, Satomul.];[BENGALI: Satamuli, Satamul.];[HINDI: Bojhidan, Satavar, Shatavir, Satawari.];[KANNADA: Aheruballi, Ashadhi, Halarru-makkal.];[MALAYALAM: Chathavalli, Sathavali, Sathavari, Thalicheria, Thaliperiya, Thannivayan-kizhangu, Chatavali, Satavali.];[MANIPURI: Nunggarei.];[MARATHI: Asvel, Satavari-mul.];[SANSKRIT: Abhiru, Shatavari, Hiranyasringi.];[TAMIL: Ammaikodi, Kadamoolam, Nili Chedi.];[TELUGU: Challagadda, Challa-gaddalu, Ettavaludutige.];[THAI: Chan din (general).].[URDU: Satawar, Shaqaqul Misri.].
EPPO Code---ASPSS (Preferred name: Asparagus sp.)
ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน พม่า ไทย
Asparagus acerosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัยพบใน อินเดีย จีน พม่า ไทย พบตามพื้นที่โล่งชายป่า
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม มีเหง้าและรากใต้ดินคล้ายกระชาย ลำต้นบนดินเลื้อยพันลำต้นแข็งและเหนียว มีหนามแหลมคล้ายตะขอ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปแถบแคบ คล้ายเข็มไม่มีก้านใบ กว้าง 1.2-5 มม.ยาว 5-8 ซม.ดอกสีขาวออกเป็นช่อกระจะตามซอกใบหรือตามกิ่ง แขนงกลีบดอก 6 กลีบรูปไข่แกมขอบขนานขนาดเล็ก เกสรเพศผู้ 6 อัน อับเรณูสีเหลือง รังไข่สีขาว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ราก ซึ่งมีรสเย็น หวานชุ่มบำรุงเด็กในครรภ์ บำรุงตับปอด บำรุงกำลัง นำมาแช่อิ่มเป็นขนมได้ ทั้งต้นหรือราก ต้มน้ำดื่ม แก้ตกเลือด และโรคคอพอก
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/สิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

จิงจ้อเขา, จิงจ้อผี/Jacquemontia paniculata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jacquemontia paniculata (Burm. f.) Hallier f.(1893)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8502427
---Basionym: Ipomoea paniculata Burm.fil.(1768)
---Jacquemontia paniculata var. paniculata.(1894)
---Jacquemontia violacea (Vahl) Choisy.(1838)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---จิงจ้อเขา, จิงจ้อผี (ทั่วไป) ;[THAI: Ching chor khao, Ching chor phi.];[CHINESE: Xiǎo qiān niú.];[VIETNAM: Bìm trắng.].
EPPO Code---IAQPA (Preferred name: Jacquemontia paniculata.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันออก มาดากัสการ์ จีน อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
Jacquemontia paniculata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes (Hans) Gottfried Hallier (1868–1932) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2436
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาตะวันออก-เคนยาถึงโมซัมบิก มาดากัสการ์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซียและหมู่เกาะแปซิฟิก-นิวแคลิโดเนีย พบในในป่าเปิด บนขอบของป่ามรสุมหรือป่าฝน ในประเทศไทย พบได้ทั่วไปเป็นวัชพืขตามริมทุ่งนา ริมถนน จากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อน เถากลมกิ่งอ่อนมีขนสีขาว ทอดเลื้อยตามผิวดินหรือพันไม้ระดับต่ำ ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 ซม.ใบรูปหัวใจ ยาว 4.5 (–8) ซม. กว้าง 3.5 (–5) ซม.ด้านบนใบและด้านล่างมีขนบางเบาตามเส้นใบ ก้านใบยาว 2.5 (–6) ซม.มีขนยาว ดอก ออกเป็นช่อแบบซี่ร่มขนาดเล็ก ดอกสีฟ้าอมม่วงอ่อนถึงสีขาวรูปกรวยตื้นปลายแผ่ติดกัน ขอบหยัก 5 แฉก ขนาดดอก 2 ซม.ผลแคปซูลกลมเกลี้ยงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มม.เมล็ดยาว 2.5 มม.มีปีกสั้นๆที่ขอบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดตลอดวัน ขึ้นได้ดีในดินทั่วไปความชื้นสม่ำเสมอ การเจริญเติบโตปานกลาง
ระยะออกดอก/ติดผล--- ตุลาคม- มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

ชงโคดำ/Bauhinia pottsii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia pottsii G.Don.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:481589-1
---Perlebia pottsii (G.Don) A.Schmitz.(1973)
ชื่อสามัญ---Orchid Tree
ชื่ออื่น---ชงโคดำ (ตรัง), ชงโคไฟ (ระนอง, สูราษฎร์ธานี) ;[CAMBODIA: Choeung kôô (Koh Kong).];[INDONESIA: Sebari (Javanese).];[JAPANESE: Chonkō damu.]; [VIETNAM: Móng bò lửa.];[THAI: Chongkho dam (Trang); Chingkho (Ranong, Surat Thani).].  
EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย กัมพูชา มาเลเซีย  สุมาตรา ชวา อินโดนีเวีย
Bauhinia pottsii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Don ((1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.
Includes 5 Accepted Infraspecifics
-Bauhinia pottsii var. decipiens (Craib) K.Larsen & S.S.Larsen.(1973)
-Bauhinia pottsii var. mollissima (Wall. ex Prain) K.Larsen & S.S.Larsen.(1979)
-Bauhinia pottsii var. pottsii.
-Bauhinia pottsii var. subsessilis (Craib) de Wit.(1956)
-Bauhinia pottsii var. velutina (Benth.) K.Larsen & S.S.Larsen.(1979)


ที่อยู่อาศัยพบที่พม่า กัมพูชาตอนใต้, คาบสมุทรมาเลเซีย, สุมาตรา, ชวา บอร์เนียว ในประเทศไทยพบในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สตูล และนราธิวาส ขึ้นตามชายป่าดิบชื้นระดับต่ำ ๆ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย มีเถาเลื้อยขนาดใหญ่ไม่มีมือเกาะ  มีขนสีน้ำตาลแดงตามกิ่ง แผ่นใบด้านล่าง ก้านใบ ตาดอก และฝัก ใบเดี่ยวรูปไข่เกือบกลม กว้าง 9-14 ซม.ยาว 10-15 ซม แฉกลึกถึงประมาณกึ่งหนึ่ง ปลายแฉกกลม เส้นโคนใบข้างละ 5-7 เส้น.หูใบขนาดเล็กหลุดง่าย ก้านใบยาว 3-4 ซม.ดอกสีแดงเข้มตรงกลางเป็นแถบสีเหลือง ออกเป็นช่อยาวประมาณ 10 ซม.ก้านดอกยาว 1-1.5 ซม. ดอกย่อยบานเต็มที่กว้าง 8-10 ซม.กลีบรองดอกแยก เป็น 2-5 แฉกปลายกลีบโค้งกลับมีกลีบดอก5กลีบ เกสรผู้3อันยาว3-4.5 ซม.เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันมี 2 อัน รังไข่และก้านเกสรเพศเมียยาว 2-3 ซม.มีขนยาวสีน้ำตาลแดง ผลเป็นฝักเมื่อแก่แล้วแตก ปลายฝักเป็นจงอย เมล็ดรูปกลมแบนขนาด 1-1.5 ซม.มี 4-6 เมล็ด
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ช้างสารซับมัน/Erycibe elliptilimba


ชื่อวิทยาศาสตร์---Erycibe elliptilimba Merr. & Chun.(1934)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8502762
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ช้างสารซับมัน (นครศรีธรรมราช), ดังอีทก (นครราชสีมา), หนาวเดือนห้า (หนองคาย),โหรา (ปัตตานี) :[CHINESE: Jiǔ lái lóng.];[THAI: Chang san sap man (Nakhon Si Thammarat); Dang i thok (Nakhon Ratchasima); Nao duean ha (Nong Khai); Hora (Pattani).].   
EPPO Code: ---EYBSS (Preferred name: Erycibe sp.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินโดจีน
Erycibe elliptilimba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และ Woon-Young Chun (1890-1971) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนในปี พ.ศ.2478
ที่อยู่อาศัย พบในจีนแผ่นดินใหญ่ (กวางตุ้ง ไหหลำ) ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ขึ้นตามเนินเขา, ทางลาดแห้ง, ป่าไม้, ชายฝั่งทะเลที่ระดับความสูงถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถารอเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่เลื้อยได้ไกล 5-15 (20) เมตร ไม่ผลัดใบลำต้นเรียบสีน้ำตาลอ่อนปนเทา กิ่งอ่อนเรียบสีเขียว ใบเดี่ยวรูปรีกว้าง 4-6 ซม.ยาว12-18ซม. โคนใบรูปลิ่มปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้านก้านใบสีส้มยาว1.3 ซม.ดอกออกเป็นช่อกระจุกออกเหนือรอยแผลตามกิ่งกระจุกละ 20-40 ดอก ดอกตูมสีม่วงอมดำ ดอกย่อยทยอยบาน ขนาด1-1.3ซม.สีเหลืองเข้มมี 5 กลีบปลายกลีบหยักเว้าเป็น 2 แฉก ส่งกลิ่นหอมแรงมาก
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา การแพทย์ดั้งเดิมของจีนใช้ส่วนของลำต้นและรากเป็นยากระจายลมและลดการเจ็บปวด ;-หมอพื้นบ้านอีสานใช้เป็นยาแก้ไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุ
-อื่นๆ จากงานวิจัยของโรงพยาบาลศิริราชพบว่า สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำมาใช้รักษาการติดเชื้อและมะเร็งมาเป็นเวลานาน  จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสารสกัดน่าจะมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งเต้านมและทำให้เกิดการหยุดวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาในเรื่องกลไกการต้านมะเร็งต่อไป ;- สำหรับงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากหนาวเดือนห้าชนิดนี้สามารถต้านแบคทีเรียได้หลายชนิด
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ชิงช้าสะแกราช/Tinospora siamensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Tinospora siamensis Forman.(1988)
ชื่อพ้อง----This name is unresolved.According to The Plant List.Tinospora siamensis Forman is an unresolved name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2516872
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ชิงช้าสะแกราช (ทั่วไป) ;[THAI: Chingcha sa-kae-rat (General).].
EPPO Code---TSRSS (Preferred name: Tinospora sp.)
ชื่อวงศ์---MENISPERMACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ 'siamensis'ตั้งตามประเทศไทย
Tinospora siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอระเพ็ด (Minispermaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lewis Leonard Forman (1929 –1998) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2531
ที่อยู่อาศัย ชิงช้าสะแกราชเป็นพืชถิ่นเดียวของไทยที่ขึ้นอยู่ได้ทั้งในป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง พบครั้งแรกโดย H. Benziger ชาวเยอรมันที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนเลื้อยได้ไกล 5-15 เมตร เถาเรียบมีรูอากาศอยู่ตลอดเถา ทุกส่วนมีรสขม มี รากอากาศแตกออกมาและห้อยลงถึงพื้นดิน เมื่อหยั่งถึงพื้นจะทำหน้าที่ดูดน้ำและอาหารไปเลี้ยงลำต้น แตกกิ่งและใบตรงยอดในส่วนที่มีแดดส่องถึง ใบเดี่ยวรูปหัวใจ กว้างและยาว 8-10 ซม.โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ดอกสีเหลืองเป็นช่อเล็กๆ ออกตามซอกเถาและซอกใบ ช่อดอกมีจำนวน 1-3 ช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็กมาก ไม่มีกลีบดอก ทยอยบานตั้งแต่โคนไปหาปลายช่อผลสดค่อนข้างกลมขนาด 0.7-1 ซม.อยู่รวมกันเป็นช่อแน่น สุกสีเหลือง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา  เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของอีสานตอนล่างคุณสมบัติคล้ายคลึงกับบอระเพ็ด
สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-พฤศจิกายน/
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ซังแกเถา/Combretum sundaicum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum sundaicum Miq.(1861)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2733060
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ซังแกเถา (ภาคใต้), อะกาแกมเบอร์ (มาเลย์) ;[CHINESE: Lan xing feng che zi.];[MALAYSIA: A-ka-kam-boe (Malay).];[THAI: Sang kae thao (Peninsular);[VIETNAM: Sơn đa.].
EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- จีน ไทย เวียตนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
Combretum sundaicum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2404
ที่อยู่อาศัยในจีน (กวางสี ไหหลำ ยูนนาน) พบตามป่าทึบ ป่าเปิดที่ระดับความสูงถึง 300-600 เมตรในสถานที่อื่น ๆ ในไทย เวียตนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย พบตามป่าผลัดใบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 250 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 2.5 เมตรใบรูปรีกว้าง ยาว 7-13 ซม.หลังใบมีเกล็ดขนาดเล็กสีขาว ท้องใบมีเกล็ดขนาดเล็กหนาแน่นสีเหลืองหรือน้ำตาล โคนใบมน ปลายใบมนหรือแหลม ก้านใบ 10-17 มม ช่อดอกเกิดที่ยอดและตามซอกใบ แกนช่อ 5-13 ซม.มีขน กลีบเลี้ยงรูปกรวยแคบ ผิวด้านนอกมีเกล็ดสีเหลือง ผิวด้านในมีขนหยาบเรียงเป็นวง แฉกกลีบรูปสามเหลี่ยม พับกลับด้านหลัง กลีบดอกรุปรีหรือไข่กลับสีขาว ปลายกลีบกลมหรือเว้าตื้น ผลเกือบกลมมี4ปีก สีเหลืองหรืออมแดง 2-3.5 × 2-2.5 ซม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบถูกนำไปใช้เป็นยาพอกเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว ใบและรากใช้สำหรับทำยาพอกแผลและฝี ใบชงเป็นชาใช้รักษาอาการติดฝิ่น
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


ดอกน้ำตาล/Fissistigma minuticalyx

ชื่อวิทยาศาสตร์---Fissistigma minuticalyx (McGregor & W.W.Sm.) Chatterjee.(1948)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2813124
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ดอกน้ำตาล, เถาสำรอก ;[CHINESE: xiǎo è guā fù mù, Huǒshéng shù.];[THAI:Thao sam rok, Thao nam tan.].
EPPO Code---FSGSS (Preferred name: Fissistigma sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย พม่า เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ถึงอินโดนีเซีย
Fissistigma minuticalyx เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Ronald Leighton McGregor (1919-2012) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และ Sir William Wright Smith (1875–1956)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต)ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Debabarta Chatterjee (born 1911) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดีย ในปีพ.ศ.2491


ที่อยู่อาศัย เป็นพืชเฉพาะถิ่นของจีน กระจายอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ (มณฑลยูนนาน, กุ้ยโจว) สถานที่อื่น อินเดีย พม่า เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ถึงอินโดนีเซียขึ้นในป่าภูเขา ที่ระดับความสูง 800-1,600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งรอเลื้อยขนาดกลางอายุหลายปี เลื้อยได้ไกล 4-10 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 3.5-4.5 ซม.ยาว 11-15 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ หลังใบมีเส้นใบเด่นชัดและมีขนสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น ออกดอกเดี่ยวสีเหลืองเป็นกระจุก 2-5 ดอก ตามกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงสีเขียว 3 กลีบ มีขนาดเล็ก กลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ชั้นนอกรูปไข่แกมรูปหอก ชั้นในรูปสามเหลี่ยม ขนาดเล็กกว่าชั้นนอก โคนกลีบสีแดง เกสรเพศผู้สีแดงจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อยได้ถึง12 ผล ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม.สีน้ำตาลเปลือกหนามีขนอ่อนนุ่ม ดอก บานทนอยู่ได้ 2 วันหอมอ่อนๆตลอดวันและหอมแรงขึ้นเมื่อใกล้พลบค่ำ
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง


ติ่งตั่ง/Getonia floribunda


ชื่อวิทยาศาสตร์---Getonia floribunda (Roxb).(1795)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.
---Calycopteris floribunda (Roxb.) Lam. ex Poir.(1811)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2825138
ชื่อสามัญ---Paper Flower Climber
ชื่ออื่น--- กรูด (สุราษฎร์ธานี); ข้าวตอกแตก (ภาคกลาง); งวงชุม (ขอนแก่น); งวงสุ่ม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); งวงสุ่มขาว (พิษณุโลก, สุโขทัย); ดวงสุ่ม (อุบลราชธานี); ดอกโรค (เลย); ตะกรุด (นครศรีธรรมราช); ตาโน้ะ (มาเลย์-ยะลา); ติ่งตั่ง, ติ่งตั่งตัวผู้ (ภาคเหนือ); เถาวัลย์นวล (ราชบุรี); ประโยด (ตราด); มันเครือ (นครราชสีมา); มันแดง (กระบี่); เมี่ยงชะนวนไฟ, สังขยาขาว (พิษณุโลก, สุโขทัย); หน่วยสุด (ภาคใต้) ;[BENGALI: Gecho lata.];[CAMBODIA: Ksouohs, Ta suos, Qgnu.];[CHINESE: E chi teng.];[HINDI: Kokoray.];[KANNADA: Enjarigekubsa, Marasadaboli.];[LAOS: Dok ka deng, Nguang 'soum.];[MALAYALAM: Pullanji, Pullanni, Varavalli, Pullani.];[MALAYSIA: Pelawas (peninsular).];[MARATHI: Ukshi.];[SANSKRIT: Shvetadhataki, Susavi.];[TAMIL: Pullanji Valli.];[TELUGU: Murugudutige.];[THAI: Krut (Surat Thani); Khao tok taek (Central); Nguang chum (Khon Kaen); Nguang sum (Northeastern); Nguang sum khao (Phitsanulok, Sukhothai); Duang sum (Ubon Ratchathani); Dok rok (Loei); Ta krut (Nakhon Si Thammarat); Ta-no (Malay-Yala); Ting tang (Northern); Ting tang tua phu (Northern); Thao wan nuan (Ratchaburi); Prayot (Trat); Man khruea (Nakhon Ratchasima); Man daeng (Krabi); Miang chanuan fai (Phitsanulok, Sukhothai); Sang khaya khao (Phitsanulok, Sukhothai); Nuai sut (Peninsular).];[VIETNAM: Cam Dang Hoang, Dia radio, Duc radio.].
EPPO Code---1CMBF (Preferred name: Combretaceae.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาลายู
สกุล Getonia เป็น monotypic genus มีเพียง1สายพันธุ์เฉพาะสายพันธุ์นี้เท่านั้น
Getonia floribunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2338


ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย, บังกลาเทศ, จีนตอนใต้(ยูนนาน) พม่า ลาว, กัมพูชา, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 300-600 เมตร ในประเทศไทยไทยพบทุกภาค กระจายห่าง ๆ ตามที่โล่ง และชายป่า
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล 3-6 เมตร เปลือกสีเทาปนน้ำตาล แตกเป็นร่องตื้นๆ กิ่งอ่อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีขนปกคลุมหนาแน่น ใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามรูปใบหอก กว้าง 4-6 ซม.ยาว 12-20 ซม.โคนใบมนปลายใบแหลม ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอกช่อออกที่ปลายยอดยาว 20-40 ซม.มีดอกย่อยจำนวนมากโคนกลีบเชื่อมกันปลายแยก เป็น 5 กลีบ เมื่อบานมีขนาด 2 ซม.มีผลรูปรีมี 5 สัน รูปไข่ ยาว 1.8-2.3 ซม.แข็งและไม่แตกเมื่อแก่จัดผลและกลีบเลี้ยงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด  ดินร่วนระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา พบการประยุกต์ใช้ในยาแผนโบราณของเอเชีย ส่วนที่ใช้-ลำต้น ใบและราก  ;-ใบใช้รักษาไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ช่วยทำให้เจริญอาหาร เป็นยาแก้อาการจุกเสียดแน่น เป็นยาระบายท้อง แก้ปวดท้อง แก้บิด ใช้ขับพยาธิ รากใช้เป็นยาแก้พิษไข้เด็ก เนื้อไม้เป็นยาแก้เบื่อเมา แก้พิษสุราเรื้อรัง แก้ปัสสาวะดำหรือปัสสาวะเป็นเลือด เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจใช้เป็นยา ;- ตำรายาพื้นบ้านอีสานจะใช้รากติ่งตั่งนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กามโรค ;-ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ลำต้นและรากติ่งตั่ง ผสมกับลำต้นเปล้าลมต้น ลำต้นเปล้าลมเครือ ลำต้นบอระเพ็ด ลำต้นรางแดง ลำต้นแหนเครือ และลำต้นหนาด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยขนาดใหญ่
-อื่น ๆ เถาเหนียวใช้ทำขอบกระบวยวิดน้ำสำหรับตักน้ำรดน้ำผักหรือขอบเครื่องจักสาน ทำด้ามมีด เครื่องใช้สอย ดอกแห้งนำมาจัดทำเป็นช่อดอกไม้แห้ง
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มีนาคม/-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

เตยเลื้อย/Freycinetia multiflora


ชื่อวิทยาศาสตร์---Freycinetia multiflora Merr.(1907)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-306342
ชื่อสามัญ---Climbing Pandanus, Flowering Pandanus, Freycinetia.
ชื่ออื่น---เตยเลื้อย (ทั่วไป) ;[CHINESE: Duō huā téng lù dōu.];[JAPANESE: Tsurutakonoki.];[THAI: Toei leuay (general).].
EPPO Code---FYCSS (Preferred name: Freycinetia sp.)
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย-
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---สกุลนี้ถูกตั้งชื่อโดย Charles Gaudichaud Beaupre (1789-1854) นักพฤกษศาสตร์ผู้รวบรวมและบรรยาย ชื่อสกุล " Freycinetia " ตั้งเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นเกียรติแก่พลเรือเอก Louis Claude de Saulses de Freycinet (1779-1842) เจ้าหน้าที่ทหารเรือชาวฝรั่งเศสผู้วางแผนและนักเดินเรือที่สำรวจออสเตรเลียและเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
Freycinetia multiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เตยทะเล หรือ Pandanaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2450
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์ สุลาเวสี และกระจายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย กิ่งก้านทอดเลื้อยได้ไกล 2-4 เมตร ใบออกสลับรูปใบหอก ขนาด 3-5x10-20 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบหยักซี่ฟัน บิดเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางสีเขียว ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด มีใบประดับรองรับ ช่อดอกสีส้ม ดอกแยกเพศ มักไม่ค่อยออกดอกให้เห็น ผลมีเนื้อขนาดเล็กเพียง 5 มม. แต่มักไม่ติดผล
ใช้ประโยชน์--ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
ระยะออกดอก----มกราคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง

ต้างไม้ฟันงู/ Hoya multiflora

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hoya multiflora Blume.(1823)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
--- Centrostemma multiflorum (Blume) Decne.(1838)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2854323
ชื่อสามัญ---Shooting Star Hoya, Many flowered Hoya, Wax Plant, Porcelain Flower
ชื่ออื่น---ต้าง, ต้างไม้ฟันงู (ทั่วไป), กล้วยไม้ฟันงู (ภาคกลาง), ฉมวกปลาวาฬ, โฮย่าหัวลูกศร (ทั่วไป) ;[CHINESE: Fēng chū cháo, Feng chu chao, Liú xīng qiú lán.];[MALAY: Sakuraran.];[PORTUGUESE: Flor-de-cera.];[THAI: Tang mai phan ngu (General); Kluai mai fan ngu (Central); Cha muak pla wan; Hoya hua lukson (General).].
EPPO Code---HOYMU (Preferred name: Hoya multiflora.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย อินโดจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
Hoya multiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพบในจีนตอนใต้ (กวางสี, ยูนนาน), พม่า, ลาว, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ เติบโตขึ้นเป็น epiphytes บนต้นไม้ในที่ลุ่มและป่าเต็งรังผสมป่าชายเลน ป่าโกงกางและป่าหินปูน พบที่ระดับความสูง 500-1200 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้น ตามคาคบไม้ หรือซอกหิน ใกล้ริมลำธาร
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มสูงได้ถึง 2.5 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางขาว ลำต้นสีเทาอ่อน มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบเก่าหลุดร่วงสีเหลือง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้าม รูปยาวแคบแกมขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ขนาดกว้าง 2.5-6.5 ซม.ยาว 7.5-20 ซม. ก้านใบยาว 0.8-1.2 ซม.ดอกสีขาวครีมหรือเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกเป็นช่อซี่ร่มตามง่ามใบและปลายยอด มีดอกจำนวนมาก 20-50 ดอกต่อช่อ ก้านช่อยาว 2.5-3 ซม.ก้านดอกเรียวเล็กยาว 5-6 ซม. ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ คล้ายขี้ผึ้ง โคนเชื่อมติดกันปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก สีเหลือง เมื่อบานกลีบดอกจะกลับลงล่าง ที่โคนดอกมีเส้าเกสรเชื่อมติดกันเป็นรูปทรงสูง มีรยางค์ปลายแหลมงอน 5 อัน ผิวมันเงา ผลเป็นฝักคู่ ขนาดกว้าง 6-8 มม.ยาว 18-20 ซม.เปลือกบางเรียบ เมล็ดรูปขอบขนานขนาด 4 × 2 มม.มีขนเป็นมันเหมือนไหมติดเป็นกระจุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดส่องถึง รำไรหรือร่มเงาบางส่วน วัสดุปลูกที่โปร่งเก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบบดละเอียด ใช้พอกตามข้อแก้ปวด ช้ำ บวม ส่วนน้ำยางช่วยขับปัสสาวะ
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับ ในตะกร้าแขวน, ตกแต่งภายใน
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


เถากระดึงช้าง/ Argyreia lanceolata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Argyreia lanceolata Choisy.(1834)
---This name is unresolved.According to The Plant List.Argyreia lanceolata Choisy is an unresolved name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ifn-59265
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เถากระดึงช้าง (นครราชสีมา) ;[CHINESE: Yin bei teng shu.];[THAI: Thao kradueng chang (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: Bạc thau lá hẹp; Thảo bạc thon.].
EPPO Code---AGJSS (Preferred name: Argyreia sp.)
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า อินโดจีน
Argyreia lanceolata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jacques Denys (Denis) Choisy (1799–1859) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2377
ที่อยู่อาศัยพบที่อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ในไทยพบกระจายห่าง ๆ แทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเต็งรังผสมสนเขา ความสูง 100-800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพันต้นไม้อื่น ลำต้นมีขนสั้นนุ่มสีเงินปกคลุม ใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดใบกว้าง 6-12 ซม.ยาว 8-15 ซม.โคนใบเว้ารูปหัวใจ ปลายใบมีติ่งแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านล่างมีขนกระจาย ก้านใบยาว 0.5-2 ซม.ดอกสีขาวมีแต้มสีม่วงหรือชมพูอมม่วงบริเวณใจกลางดอก ออกเป็นช่อสั้นบริเวณซอกใบ ส่วนมากมี 1-3 ดอก ก้านดอกยาว 0.6-1 ซม.ใบประดับรูปใบหอก ยาวได้ถึง 1.2 ซม. ร่วงเร็ว มีขนหนาแน่น กลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปแตร สีม่วงอมแดง ยาว 5-6.3 ซม.กว้าง 3-5 ซม.ปลายแยกออกเป็น5แฉกตื้นสีขาว เกสรเพศผู้สีขาวติดอยู่ภายในหลอดกลีบยาวไม่เท่ากัน ยาว 2.6-3.4 ซม. จานฐานดอกจัก 5 พู ตื้น ๆ รังไข่เกลี้ยงมี 2 ช่อง เกสรเพศเมียยาว 3.6-4 ซม.ผลกลมเกลี้ยงเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-8 มม.เมล็ดยาว 3-4.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี รากหนา ทนไฟและความแห้งแล้ง
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เถานางรอง/ Epipremnum giganteum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Epipremnum giganteum (Roxb.) Schott.(1857)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-70488
---Basionym: Pothos giganteus Roxb.(1820)
---Monstera gigantea (Roxb.) Schott.(1830)    
---Rhaphidophora gigantea (Roxb.) Ridl.(1907)
---Scindapsus giganteus (Roxb.) Schott.(1832)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---งด (สุราษฎร์ธานี), เถานางรอง (ตราด), ระงดกล้วย (ปัตตานี), รีงุอะการ์ (มลายู, นราธิวาส) ;[CHINESE: Jù līn shù téng.];[MALAYSIA: Akar Resdung (Malay).];[THAI: Ngot (Surat Thani); Thao nang rong (Trat); Ra ngot kluai (Pattani); Ri-ngu-a-ka (Malay-Narathiwat).];[VIETNAM: Thượng cán to.].
EPPO Code---EPJGI (Preferred name: Epipremnum giganteum.)
ชื่อวงศ์---ARACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Epipremnum giganteum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกที่เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในครอบครัววงศ์บอน หรือ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียในปีพ.ศ. 2400
ที่อยู่อาศัยพบใน พม่า คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ไทย เวียตนาม ขึ้นตามสันเขาหินปูน หน้าผา ในสวนปาล์มน้ำมัน บนที่ลุ่มที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก ป่าฝนเขตร้อนชื้น ป่าพรุที่ระดับความสูง 90--170 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ มักขึ้นเป็นกลุ่มคลุมผิวดิน แล้วเลื้อยพันต้นไม้อื่นเมื่ออายุมากขึ้นยาวได้ถึง 60 เมตร โดยอาศัยรากยึดเกาะ มีรากอากาศเรียวยาว ลำต้นอวบหนาเกลี้ยง สีเขียวเข้มเป็นมันแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ลำต้นที่แก่จัดเป็นข้อปล้องชัดแข็งคล้ายมีเนื้อไม้ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปรี ขนาด 10-30x30-60 ซม.โคนใบกลมไม่สมมาตร ขอบใบเรียบใสและเป็นคลื่น ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เนื้อใบแข็งกระด้างคล้ายแผ่นหนัง ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ก้านใบเป็นแผ่นกาบเรียบมีครีบแคบสีเขียวคล้ำ ยาว 20-60 ซม.โคนก้านแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ส่วนปลายเป็นข้อหักงอขึ้น ดอกแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกตามง่ามใบ ช่อดอกรูปทรงกระบอกขนาด 1.5-4.5 x 15-28 ซม.ดอกสมบูรณ์เพศอยู่บนแกนช่อเดียวกัน ดอกขนาดเล็กสีเหลืองขนาด 0.25-0.4 ซม.ผลแบบมีเนื้อนุ่มภายในมีเมล็ดเดียวแข็ง ผลอ่อนสีเขียวสด ผลแก่สีส้มหม่น เมล็ดโค้งงอเล็กน้อย 5 x 2 มม.สีน้ำตาลอ่อนเป็นมัน
ใช้ประโยชน์---None recorded.(ไม่มีบันทึก)
รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชมีพิษ ส่วนใหญ่เกิดจากไตรโคสเคลอริดส์ (Trichosclereid) และราไฟด์ (Raphides เป็นผลึกรูปเข็มของแคลเซียม ออกซาเลตโมโนไฮเดรต) โดยทั่วไป การกินพืชที่มี raphides เข้าไป เช่นเดียวกับพืชในร่มบางชนิด อาจทำให้มึนงงทันที ตามด้วยอาการบวมน้ำที่เจ็บปวดการก่อตัวของถุงน้ำ และอาการกลืนลำบากตามมาด้วยอาการเจ็บแสบและแสบร้อนที่ปากและลำคอ โดยมีอาการเกิดขึ้นนานถึงสองสัปดาห์
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

เถาประสงค์/Streptocaulon juventas

ชื่อวิทยาศาสตร์---Streptocaulon juventas (Lour.) Merr.(1935).
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-2608842
---Basionym: Apocynum juventas Lour.(1790).
---Streptocaulon griffithii Hook.f.(1883)
---Streptocaulon tomentosum Wight.(1834)
---Tylophora juventas (Lour.) Woodson.(1930)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---จุกโรหินี (ชุมพร), เถาประสงค์ (ปราจีนบุรี), เครือไธสง ฉลูกัน (ทั่วไป), ตำยานฮากหอม (นครสวรรค์), หยั่งสมุทรน้อย (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Ma lian an.];[JAPANESE: Kura shō fuji.];[KHMER: V lli chouy, chouch sa,];[THAI: Chuk rohini (Chumphon); Tam yan hak hom (Nakhon Sawan); Thao prasong (Prachin Buri); Nuai nang (Chumphon); Noi nang (Chumphon); Yang samut noi (Chiang Mai).];[VIETNAM:  Hà thủ ô trắng, Dây sữa bò, Củ vú bò, Mã liên an, Khâu nước, Dây mốc, Cây sừng bò, Khău cần cà (Tày), Chừa ma sình (Thái), Sân rạ, xờ rạ (Kho), Pất (kdong), Xạ ú pẹ (Dao).].
EPPO Code---1ASCS (Preferred name: Asclepiadoideae)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
วงศ์ย่อย---Asclepiadoideae
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย
Streptocaulon juventas เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปีพ.ศ.2478
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (กวางสี, กุ้ยโจว, ยูนนาน)  อินเดีย, พม่า, ลาว, กัมพูชา, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย พบในป่า Montane ไม้พุ่มมักจะเกาะอยู่กับต้นไม้ ที่ระดับความสูง 300-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาขนาดเล็กชอบขึ้นเลื้อยพันต้นไม้อื่นเลื้อยได้ไกลถึง 8 เมตร ทุกส่วนของเถามีขนนุ่มและมีน้ำยางสีขาวข้น ใบรูปไข่หรือรูปวงรี ขนาด 7-15 × 3-9.5 ซม. ช่อดอก 4-20 ซม. เส้นใบมี 14-25 คู่ ก้านใบยาวประมาณ 0.7-1.2 ซม.มีขนค่อนข้างสากยาวและหนาแน่น ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่งช่อดอกยาวประมาณ 2-4 ซม.ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.6-7 ซม.ดอกย่อยมีจำนวนมากประมาณ 18-55 ดอก ดอกมีขนาดเล็กดอกตูมสีเหลืองอ่อนดอกบานสีม่วง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 1.5 มม.ผลออกเป็นฝักคู่รูปทรงกระบอกมีขนนุ่มปกคลุม 3-3.5 ซม ผลอ่อนสีเขียวผลแก่สีน้ำตาล เมื่อแห้งจะแตกออกตามรอยประสาน แต่ละฝักจะมีเมล็ดจำนวนมากประมาณ 30-90 เมล็ด เมล็ดรูปรียาว 6-9 × 2-3 มม.โคนมน หรือโคนเบี้ยว ส่วนปลายตัด มีขนปุยละเอียดยาวแบบเส้นไหมสีขาว ยาวประมาณ 2.5-5.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดและขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลอ่อนกินเป็นผักจิ้มน้ำพริกรสชาดมัน ฝาดเล็กน้อย
-ใช้แป็นยา รากใช้เป็นยารักษาโรคบิดและปวดท้อง ใบใช้ภายนอกเพื่อรักษาพิษงูและฝี ยางรักษาแผลมุมปาก หรือโรคปากนกกระจอก
-อื่นๆ เถาสดใช้มัดสิ่งของได้
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-เดือนตุลาคม/พฤศจิกายน-มิถุนายน
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด

เถาไฟ/Bauhinia integrifolia

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Phanera integrifolia (Roxb.) Benth.(1852)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Basionym: Bauhinia integrifolia Roxb.(1832)    
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46014  
ชื่อสามัญ--- Flame vine bauhinia.
ชื่ออื่น---ชงโคย่าน (ตรัง); ชิงโคย่าน (ภาคใต้); ดาโอะ (นราธิวาส); เถาไฟ (กรุงเทพฯ); ปอลิง (สุราษฎร์ธานี); ย่านชงโค (ตรัง); โยทะกา (กรุงเทพฯ); เล็บควายใหญ่ (ยะลา, ปัตตานี); กุกูกูด้อ, กุกูกูบา (มาเลย์-ปัตตานี);[MALAYSIA: Kumpaya, Daup daup (Api), Dedaok (Pahang); Katop katop, Akar tapak kuda (Meroh), Sarau, Kempaga, Mali mali, Mesatoh (Malaya); Andor si bola (Sumatra).];[THAI: Chongkho yan (Trang); Chingkho yan (Peninsular); Da o (Narathiwat); Thao fai (Bangkok); Po ling (Surat Thani); Yan chongkho (Trang); Yo tha ka (Bangkok); Lep khwai yai (Pattani, Yala); Ku-ku-ku-do, Ku-ku-ku-ba (Malay-Pattani).]    
EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน พม่า ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสายพันธุ์ "integrifolia" คือการรวมกันของคำภาษาละติน 'integer' = ทั้งหมดและ 'folium' = ใบไม้
Phanera integrifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปีพ.ศ.2375.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2395
มีสายพันธุ์ย่อย (Subspecies)
-Phanera integrifolia subsp. cumingiana (Benth.) de Wit.(1956)
-Phanera integrifolia subsp. integrifolia
ความหลากหลาย (Variety)
-Phanera integrifolia var. integrifolia
-Phanera integrifolia var. nymphaeifolia (G.Perkins) Mackinder & R.Clark.(2014)
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย จีน พม่า ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ที่ระดับความสูงถึง1200 เมตรและพบมากมายในป่าภาคใต้ของประเทศไทย ขึ้นกระจายตั้งแต่จังหวัดระนองตั้งแต่คอคอดกระลงไปตามชายป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 900 เมตร
ลักษณะ เถาไฟเป็นไม้เลื้อยมีเถาใหญ่เนื้อเหนียวค่อนข้างแข็ง สามารถเลื้อยพันเกาะต้นไม้อื่น หรือเลื้อยพาดพิงไปตามหน้าผาสูงได้ถึง 40 เมตรหรือกว่านั้นและมีมือเกาะตามกิ่งอ่อนและขนสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่ค่อนข้างเว้าหรือกลม ขนาดกว้างยาวเกือบเท่ากันประมาณ 10 ซม.โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจปลายใบเว้าลึกบ้างตื้นบ้าง ปลายแฉกแหลมหรือกลม ก้านใบยาว 1-5 ซม.ดอกสีส้มแดงขนาดเล็กออกเป็นช่อ มีขน ลักษณะชะลูดเพรียวดูบอบบาง ขนาดช่อยาวประมาณ 15-20 ซม.ดอกตูมกลมปลายแหลม ขนาดดอกบาน 2 ซม.กลีบดอก 5 กลีบรูปไข่กลับ แต่ละกลีบมีรอยยับย่น เมื่อแรกบานดอกเป็นสีส้มและจะเปลี่ยนเป็นสีแสดภายหลัง ฝักรูปแถบ ยาว 15-20 ซม.เกลี้ยงแก่แล้วแตกออก มีเมล็ดแบนกลม 5-8 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบกลางแจ้งแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในสภาพดินเกือบทุกชนิด (ยกเว้นในที่ที่น้ำท่วมถึงราก)
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในมาเลเซียใช้น้ำที่คั้นจากใบรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ;-ในฟิลิปปินส์ใช้ราหต้มน้ำดื่มหลังคลอดบุตรและใช้เป็นยาแก้ไอ;-ในอินเดียนำเปลือกมาใช้ล้างมือ3-4วันเพื่อรักษาโรคดีซ่าน
-ใช้ปลูกประดับ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีดอกดกออกดอกตลอดปี ดอกมักบานพร้อมๆกัน ใช้ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับขึ้นซุ้ม Pergola หรือปลูกเป็นไม้ประดับเป็นไม้เลื้อยริมรั้ว
-อื่น ๆเปลือกลำต้นมีความเหนียวและแข็งอรงมากนำมาใช้ทำสายธนู
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

เถามวกขาว/Urceola minutiflora

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Urceola minutiflora (Pierre) Mabb.(1994)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-126911
---Basionym: Xylinabaria minutiflora Pierre.(1898)
---Micrechites minutiflorus (Pierre) P.T.Li.(1994)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เถามวกขาว, เครือช้างน้ำ, ตังกะติ้ว, เถามวกเขา, มวกแดง; [THAI: Thao muak khao (Nakhon Ratchasima); Muak daeng (Central); Tang ka tio, Khruea chang nam.];[VIETNAM: Mộc tỉnh, Dây bói cá.].
EPPO Code---URKSS (Preferred name: Urceola sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน-กัมพูชา ลาว ไทย เวียดนาม
Urceola minutiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2537
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน พบใน กัมพูชา ลาว ไทยและเวียดนาม
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อย กิ่งมีขนนุ่มปกคลุม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีดอกออกที่ซอกใบแบบช่อแยกแขนง มีดอกย่อยขนาดเล็กกลีบเลี้ยง 5 กลีบสีเหลืองเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น5แฉก ผลเป็นฝักคู่ ผลย่อยแตกแนวเดียวปลายข้างหนึ่งมีขน
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้รักษาโรคบิด
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด

เถายั้งดง/Smilax lanceifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Smilax lanceifolia Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Smilax laevis Wall. ex A.DC.(1878)
---Smilax micropoda A.DC.(1878)
---Smilax opaca (A.DC.) J.B.Norton.(1916)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-289207
ชื่อสามัญ---Green bier, Jackson briar, Tawar Root Tree.
ชื่ออื่น---เถายั้งดง (ตะวันออกเฉียงใต้), เดา, หนามเดา (เชียงใหม่) ;[AYURVEDIC: Hindi Chobachini.];[CHINESE: Mǎ jiǎ bá qiā.];[GERMAN: Florida-Stechwinde.];[INDONESIA: Pokok Akar Tawar.];
[TAIWAN: Tǔ fú líng, Táiwān bá qiā, Mǎjiǎ bá qiā).]; [VIETNAM: Kim cang lá mác.];[THAI: thao yang dong (Southeastern); dao, nam dao (Chiang Mai).];[USA: Jackson briar.].
EPPO Code---SMILC (Preferred name: Smilax lanceolata.)
ชื่อวงศ์---SIMILACACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์
Smilax lanceifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ข้าวเย็นเหนือ (Smilacaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2375
Immediate children: ความหลากหลาย (Variety)
-Smilax lanceifolia var. elongata (Warb.) F.T.Wang & Tang.(1978)
-Smilax lanceifolia var. impressinervia (F.T.Wang & Tang) T.Koyama.(1975)
-Smilax lanceifolia var. lanceifolia
-Smilax lanceifolia var. lanceolata (J.B.Norton) T.Koyama.(1960)
ที่อยู่อาศัยพบได้ในเขตอบอุ่นทางตอนกลางของประเทศจีนจนถึงเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาล ผ่าน จีน พม่า ไทย ถึงไต้หวัน และW.Malesia ขึ้นตามที่ชื้น ชายป่าพุ่มไม้ บนเนินเขาที่ระดับความสูง 100 - 2,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพันไม้อื่นหรือเลื้อยตามพื้นเลื้อยได้ไกลถึง 1-2 เมตร เถาสีเขียวอมม่วงตามเถามักมีหนามแหลม ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่ใบ 6-17 × 2-8 ซม.เนื้อใบหนาผิวเกลี้ยงสีเขียวเข้มก้านใบ 1-2.5 ซม.ดอกออกเป็นช่อกระจะ ช่อดอกย่อยแบบซี่ร่มสีเหลืองอ่อน ก้านช่อดอก 1-3-1.5 ซม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ทั้งสองเพศมีดอกหนาแน่นหนาแน่น 20--30 ดอก ผลเมีเนื้อ สีเหลืองแดงถึงดำผลกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-7 มม.
ใช้ประโยชน์---พืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยา
-ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อน นำไปทำให้สุกกินเป็นผักรสขมอมหวาน หัวใต้ดินรสหวานจืด
-ใช้เป็นยา น้ำจากรากสดถูกนำมาใช้ภายในในการรักษาโรคไขข้อ ในขณะที่ส่วนที่เหลือของรากจะถูกนำไปใช้ภายนอกกับบริเวณส่วนที่ได้รับผลกระทบ ยาต้มของรากใช้รักษาโรคซิฟิลิสและโรคไขข้อ ใบและผลไม้ใช้ในยาแผนโบราณในเวียดนาม ใช้รากบรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ต้านการอักเสบ ใช้รักษาเบาหวาน
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-มีนาคม/ตุลาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์--- เมล็ดและแยกหน่อ

เถาวัลย์กรด/Combretum tetralophum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum tetralophum C.B.Clarke.(1878)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2733082
---Combretum tetragonocarpum var. tetralophum (C.B.Clarke) M.G.Gangop. & Chakrab.(1993)
---Combretum wrayi King.(1897)
ชื่อสามัญ---Ochaol
ชื่ออื่น---กรด,เถาวัลย์กรด (ภาคกลาง), พุ่มกด (พิษณุโลก), สะไก้น้ำ, อีลากุ (นราธิวาส) ;[MALAYSIA: Akar sengkikip.];[THAI: Krot, Thao wan krot (Central); Phum krot (Phitsanulok); Sakai nam (Narathiwat); I-la-ku (Malay-Narathiwat).];[VIETNAM: Chưng bầu bốn cánh.].
EPPO Code---COGTE (Preferred name: Combretum tetralophum.)
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย อินโดจีน Malesiaไปจนถึง อินโดนีเซีย นิวกินี
Combretum tetralophum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Charles Baron Clarke (1832-1906) เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์กัลกัตตาระหว่างปี 1869-1871.ในปีพ.ศ.2421
ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย อินโดจีน Malesiaไปจนถึง อินโดนีเซีย นิวกินี ต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติตามริมฝั่งน้ำ ป่าพรุ ป่าบึงน้ำจืด หรือหลังป่าชายเลน ที่ระดับต่ำกว่า 100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้รอเลื้อย ยอดอ่อนและช่อดอกมีเกล็ดสีน้ำตาลปกคลุม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 3.5-4.2 ซม.ยาว 6.5-8.5 ซม.โคนใบสอบ ปลายใบแหลม มีเกล็ดละเอียดสีน้ำตาลแดงประปรายทั้งสองด้าน ใบอ่อนสีม่วงดํา เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเขียว ดอกสีครีมแกมเขียว ออกเป็นช่อแกนยาว 3-7 ซม. ดอกย่อยขนาด 3-5 มม.กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยปากกว้าง ปลายแยกเป็น 4 กลีบ มีขนนุ่มด้านใน กลีบดอก 4 กลีบ รูปหอกกลับ เกสรผู้ 10 อันยาว 4-5 มม. ผลรูปไข่หรือรูปรีมีสันแข็ง 4 สัน ยาว 2-2.5 ซม.ไม่มีก้านผล ผิวเกลี้ยงมีเกล็ดคลุมแน่นเมื่อแห้งสีน้ำตาลเหลือบดำ
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวีบตนามใช้รักษาโรคท้องรวง
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เถาวัลย์ดำ/Marsdenia glabra


ชื่อวิทยาศาสตร์---Marsdenia glabra Costantin.(1912)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-2607357
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เถาวัลย์ดำ, ผักแซ่ว (เหนือ) ผักแส้ว (สระบุรี); ส้มลมขาว (อุบลราชธานี); [CHINESE: Guāng niúnǎi cài, Guāng yè lán yè téng.];[THAI: Thao wan dam, Phak saeo (Saraburi); Som lom khao (Ubon ratchathani).].
EPPO Code---MSDSS (Preferred name: Marsdenia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย ลาว เวียตนาม
Marsdenia glabra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Julien Noel Costantin (1857-1936) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน ไห่หนาน),ไทย, ลาว, เวียตนาม บนป่าเขาหินปูนที่ระดับความสูงถึง600เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพัน เถามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.01-0.15 ซม.มียางขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามกัน รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 2-4 ซม.ยาว 5-10 ซม. ก้านใบสั้น 0.05-2 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลมถึงมน ดอก ช่อแบบซี่ร่มออกที่ซอกใบ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโทสีขาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีเหลือง มีมงกุฏอยู่ด้านใน ผลเป็นฝักคู่ผลย่อยแตกแนวเดียวรูปทรงกระบอกแกมกระสวยกว้าง 6 มม. ยาว 5 ซม.เมล็ดมีขนาดเล็กมีพู่ขนที่ปลายด้านหนึ่ง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบกลางแจ้งแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในสภาพดินเกือบทุกชนิด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนและใบอ่อนสด มีรสขมอมหวานกินเป็นผักจิ้มหรือนำมาแกงแคร่วมกับผักชนิดต่าง ๆ
-ใช้เป็นยา ใบ ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้กระหายน้ำ บำรุงร่างกาย ;-ดอก บำรุงหัวใจ ตับ ไต บำรุงครรภ์รักษาแก้ไข้ตัวร้อน ;-ราก ถอนพิษยาเบื่อเมา ถอนพิษไข้ถอนพิษอักเสบต่างๆ ;-ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เหง้า เพาะเมล็ด

เถาวัลย์ปูน/Cissus rependa

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cissus repanda (Wight & Arn.) Vahl.(1794)
ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms
---Basionym: Vitis repanda (Vahl) Wight & Arn.(1834)
---Rinxostylis repanda (Vahl) Raf.(1838)
---Vitis vitiginea var. repanda (Vahl) Kuntze.(1891)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2722846
ชื่อสามัญ--- Wavy-leaved cissus
ชื่ออื่น---เถาวัลย์ปูน (กรุงเทพฯ); เครือเขาคันขาว, น้ำเครือเขา (เหนือ); เครือจุ่มเจ้า (เชียงราย); เถาพันซ้าย (อุตรดิตถ์) ;[ASSAMESE: Medmedia-lata.];[CHINESE: Da ye bai fen teng.];[HINDI: Pani bel.];[KANNADA: Elekombu balli, Mudi balli, Yelaekambulla balli.];[MANIPURI: Kongngouyen.];[MARATHI: Gendal.];[NEPALI: Jhuletee.];[ORIYA: Takwall, Tekual, Pan-bel.];[THAI: Thao wan pun (Bangkok); Khruea khao khan khao, Nam khruea khao (Northern); Khruea chum chao (Chiang Rai); Thao phan sai (Uttaradit).].
EPPO Code---CIBRE (Preferred name: Cissus repanda.)
ชื่อวงศ์---VITACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย พม่า อินโดจีน
Cissus repanda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์องุ่น (Vitaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Wight (1796–1872) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และ George Arnott Walker Arnott (1799–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Martin Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ในปี พ.ศ.2337
ที่อยู่อาศัยพบใน จีน (ไหหลำ, เสฉวน, ยูนนาน), ภูฏาน, อินเดีย, ศรีลังกา, ไทย ขึ้นตามป่ากึ่งผลัดใบ พุ่มไม้ ทุ่งหญ้า ที่รกร้างทั่วไป พบที่ระดับความสูง 500-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ลุ้มลุกเลื้อยพัน ทอดนอนหรือเกาะเลื้อย มีมือจับ ลำต้นและใบมีขนสีขาวนวลละเอียดปกคลุมหนาแน่น ใบเดี่ยวขนาด 10-20 x 7-15 ซม.เรียงสลับรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักมนแบบซี่ฟัน ก้านใบยาว 3-7 ซม.ใบอ่อนมีขนสีสนิม ดอกช่อแบบช่อซี่ร่มยาว 5-11 ซม.ออกที่ซอกใบ ใบประดับและใบประดับย่อยมีขนปกคลุม กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบสีแดงคล้ำ ผลทรงไข่กลับ 5-7 มม เมล็ดรูปแพร์ผิวเรียบ1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนกินได้ใส่ในแกงส้มมีรสเปรี้ยวใช้แทนมะนาว
-ใช้เป็นยา ใช้ใบขยี้กับปูนรักษาแผลสด เถาปรุงเป็นยากินรักษาโรคกษัย น้ำมูกพิการ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ปวดเมื่อย
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เถาวัลย์ยั้ง/Smilax ovalifolia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Smilax ovalifolia Roxb. ex D. Don.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Smilax columnifera Buch.-Ham. ex D.Don.(1825) [Invalid]    
---Smilax grandifolia Voigt.(1845) [Illegitimate]    
---Smilax grandis Wall. ex Voigt.(1845)   
---Smilax roxburghii Kunth.(1850)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-288956
ชื่อสามัญ---Sarsaparilla, Hill lotus, Oval-leaved China root, Rough bindweed, Square-branched sarsaparilla, Wild sarsaparilla.
ชื่ออื่น---เถาวัลย์ยั้ง (ภาคกลาง), กังกะว๊ะ, ฮ่อกะอ๊ะ (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน), เครือเดา, เดาหลวง (ภาคเหนือ), หนามเปา (เงี้ยว ภาคเหนือ);[ASSAMESE: Kumarika, Kumbhi, Bagh Achura lota.];[BENGALI: Kumarika.];[CHINESE: Luǎn yè bá qiā.];[HINDI: Kumarika, Jangli Aushbah, Bhitura.];[KANNADA: Kaadu Hambu, Kaadu Hambu Thaavare.];[MALAYALAM: Kaltamara, Karivilanti.];[MARATHI: Ghotvel.];[SANSKRIT: Vanamadhusnahi.];[TAMIL: Malaittamarai.];[TELUGU: Konda tamara.];[THAI: Thao wan yang (Central); Kang-ka-wa, Ho-ka-a (Karen-Mae Hong Son); Khruea dao, Dao luang (Northern); Nam-pao (Shan-Northern).];[VIETNAM: Kim cang lá xoan.].
EPPO Code---SMIOV (Preferred name: Smilax ovalifolia.)
ชื่อวงศ์---SMILACACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ศรีลังกา, จีน, พม่า, เนปาล, ไทย, เวียดนาม
Smilax ovalifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ข้าวเย็นเหนือ (Smilacaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2368


ที่อยู่อาศัย พบใน อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ศรีลังกา, จีน, พม่า, เนปาล, ไทย, เวียดนาม
ลักษณะ เป็นไม้เถาขนาดเล็ก เถากลม มีมือเกาะพันต้นไม้อื่นได้ไกล3-4เมตร มักมีหนามตามเถา ใบเดี่ยวรูปใบหอก 6 - 12 × 13-25 ซม.ปลายใบมน โคนใบตัดโค้งมน ก้านใบยาว 1 - 1.5 ซม. แผ่นใบหนา ผิวใบเกลี้ยง ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงออกจากโคนใบยาวจรดปลายใบ ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ตามซอกใบมีดอกย่อยจำนวนมากสีเหลืองอ่อน ผลรูปไข่สีเขียวมี1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อนปรุงสุก กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา รากใช้ขับปัสสาวะ ใช้เป็นยาชูกำลัง
ระยะออกดอก/ติดผล--- พฤษภาคม-กรกฏาคม/สิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เถาอีแปะ/ Dischidia hirsuta


ชื่อวิทยาศาสตร์---Dischidia hirsuta (Blume) Decne.(1844)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Leptostemma hirsutum Blume.(1826)
---Dischidia brunoniana Griff.(1854)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772520
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เถาอีแปะ (ระยอง); อีแปะสะ สร้อยใบโพธิ์ เกล็ดนาคราช; [THAI: Thao i pae (Rayong); Soi bi pho; I pae sa; Klet nak kha rat.]; [VIETNAM: Song ly lông; Mộc tiền lông, Móng quạ.].
EPPO Code---DIJHI (Preferred name: Dischidia hirsuta.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
วงศ์ย่อย---Asclepiadoideae
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Dischidia hirsuta  เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Decaisne (1807–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2387
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้มากในผืนป่าที่มีความชื้นสูงและอากาศเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะบนภูเขาที่ระดับความสูง ตั้งแต่ 1,000 เมตร ขึ้นไป แต่บางชนิด (ปริมาณน้อย) พบในป่าผลัดใบริมน้ำ
ลักษณะ เป็นไม้เลื้อย ทอดคลานไปตามพื้นดิน หิน หรือเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้อื่น เถากลมสีเขียวทุกส่วนมีขนสากปกคลุม มียางสีขาว ใบเดี่ยวขนาดประมาณ 1.5 ซม.ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปโล่หรือกระทะคว่ำ แผ่นใบอวบหนาคล้ายแผ่นหนังฐานใบกลม ปลายใบแหลม ดอกออกเป็นแบบช่อกระจะ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กกลีบดอกอวบหนานิ่ม ออกเป็นช่อสั้นๆ 3-5 ดอก ขนาด 0.5 ซม.บริเวณฐานดอกกลมป่องคล้ายคนโท มีตั้งแต่ สีแดงไปจนถึงขาวแกมเหลือง และสีขาว ปลายมีรยางค์รูปมงกุฎ 5 แฉกเรียว ผลเป็นฝักรูปดาบแกมขอบขนาน เมล็ดมีจำนวนมาก และมีกระจุกขนสีขาวคล้ายเส้นไหมบางๆ กระจายไปตามลมได้ไกล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดครึ่งวัน วัสดุปลูกโปร่ง ระบายน้ำดี เก็บความชื้นได้ดี น้ำปานกลาง อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
สถานภาพ--- เป็นพืชหายาก
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :

---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 .                                                                          ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี                                                                 
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ                      ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย  เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary
---EPPO code---รหัสEPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
Check for more information on the species:

Plants Database  ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/Global                                                                                                                                          Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ -กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
GBIF    ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data  https://www.gbif.org/
IPNI ---International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
PROTA ---Uses    The Plant Resources of Tropical Africa    https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040
Prelude  ---Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google Images    ---Images                    

รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com

Updatre 28/11/2019, 11/1/2022

24/6/2022

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view