เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
02/10/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
46,197,104 |
Page Views |
52,975,264 |
|
«
| October 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | | |
|
|
17/12/2022
View: 606,334
นานาพรรณไม้เลื้อย 1
For information only-the plant is not for sale.
เปรียบเทียบกันไปว่าผู้หญิงเปรียบเหมือนพันธุ์ไม้เลื้อย ใกล้ไหนเกาะนั่น เปรียบเอาไว้ได้เจ็บจริง ทีนี้เรามาลองดูซิว่าที่เปรียบไว้ไม่เสมอไปนะ พรรณไม้เลื้อยบางชนิดพันธุ์ ก็ไม่ได้ใกล้ไหนเกาะนั่น บางทีทำซุ้มรอให้เลื้อยถ้าไม่จับไม่ยึดก็ไม่ได้ซุ้มอย่างใจหรอก ทีนี้ในหน้านี้ขอนำเสนอไม้เลื้อยชนิดต่างๆ สวยทั้งนั้น เริ่มต้นได้แก่พรรณไม้ในสกุล'' เสาวรส '' ซึ่งถ้าตัดสะระเอกับสะระอาออกไปจะได้ชื่อ เว็บไซต์ "สวนสวรส" และไม่ได้แปลว่า สวนกระทกรก คนละความหมาย
|
1 |
เสาวรส/Passiflora laurifolia |
21 |
สายหยุด/Desmos chinensis. |
2 |
สร้อยฟ้าฮาวาย/Passiflora 'Blue-eyed Susan' |
22 |
รสสุคนธ์/Tetracera loureiri |
3 |
เลดี้มาร์กาเร็ต/Passiflora 'Lady Margaret' |
23 |
อรคนธ์/Tetracera indica |
4 |
เสาวรสสยาม/Passiflora siamica |
24 |
โมกเครือ/Aganosma marginata |
5 |
สายน้ำผึ้ง/Lonicera Japonica |
25 |
ไก่ฟ้าพญาลอ/Aristolochia grandiflora |
6 |
สายน้ำผึ้งจีน/Lonicera japonica |
26 |
โนรา/Hiptage benghalensis |
7 |
เล็บมือนาง/Combretum indicum |
27 |
หิรัญญิการ์/Beaumonontia grandiflora |
8 |
เล็บมือนางดอกลา/Combretum indicum |
28 |
กระเทียมเถา/Pachyptera hymenaea |
9 |
ชำมะนาด/Vallaris glabra |
29 |
อัญชัน/Clitoria ternatea |
10 |
พวงคราม/Petrea volubilis |
30 |
ใบระบาด/Argyreia nervosa |
11 |
พวงแส/Jacquemontia pentantha |
31 |
ใบไม้สีทอง/Bauhinia aureifolia |
12 |
พวงชมพู/Antigonon leptopus |
32 |
อมรเบิกฟ้า/Mandevilla Cv 'Alice Du Pont ' |
13 |
พวงประดิษฐ์/Congea tomentosa |
33 |
จันทร์กระจ่างฟ้า/Pentalinon luteum |
14 |
พวงโกเมน/Mucuna bennetti, 14.1 พวงหยก
|
34 |
แพนโดเรีย/Pandorea jasminoides |
15 |
พวงเงิน/Clerodendrum thomsoniae |
35 |
ถ้วยทอง/Solandra grandiflora |
16 |
พวงนาก/Clerodendrum x speciosum |
36 |
เหลืองชัชวาลย์/Dolichandra unguis-cati |
17 |
พวงแสด/Pyrostergia venusta |
37 |
มอร์นิ่งกลอรี่/Ipomoea purpurea |
18 |
มธุรดา/Campsis grandiflora |
38 |
ลดาวัลย์/Porana volubilis |
19 |
ชะลูดช้าง/Stephanotis floribunda |
39 |
ม่านบาหลี/Cissus nodosa |
20 |
ตีนตุ๊กแก/Ficus pumila |
40 |
มาลัยนงนุช/Petraeovitex bambusetorum |
1 เสาวรส/Passiflora laurifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Passiflora laurifolia L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2560534 ---Granadilla laurifolia (L.) Medik.(1787) ---Passiflora laurifolia var. tinifolia (Juss.) Bois.(1928) ---Passiflora oblongifolia Pulle.(1906) ---Passiflora tinifolia Juss.(1805) ชื่อสามัญ---Bell apple, Passion Flower, Passion Fruit, Jamaica Honeysuckle, Sweetcup, Yellow Granadilla, Water- Lemon, Vinegar pear, Wild passion flower ชื่ออื่น---สวรส, สุคนธรส ;[BRAZIL: Maracujá-lauranha.];[CHINESE: Zhang ye xi fan lian.];[CUBA: Granadilla de China.];[FRENCH: Grenadille jaune, Mari tanbou, Pomme de liane, Pomme d'or.];[GERMAN: Gelbe Grenadille, Wasserlimone.];[PORTUGUESE: Maracuja-lauranha.];[SAMOA: Pāsio, Pāsio ‘ai mata, Pāsio esi.];[SPANISH: Parcha de culebra, Granadilla de China.];[SWEDISH: Guldgrenadill.];[THAI: Sao wa rot, Sukhon-tharot.];[TONGA: Vaine ‘ae kumā, Vaine ‘ae kuma, Vaine tinetina.]. ชื่อวงศ์---PASSIFLORACEAE EPPO Code---PAQLA (Preferred name: Passiflora laurifolia.) ถิ่นกำเนิด---อเมริกาใต้ เขตกระจายพันธุ์---แคริบเบียน: บาร์เบโดส, คิวบา, โดมินิกา, เกรเนดา, กวาเดอลูป, มาร์ตินีก, มอนต์เซอร์รัต, เซนต์ลูเซีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์: สหรัฐอเมริกา [เปอร์โตริโก] -อเมริกาเหนือตอนใต้: เฟรนช์เกียนา, กายอานา, ซูรินาเม, เวเนซุเอลา อเมริกาตะวันตกเฉียงใต้: เปรู นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Passiflora' มาจากคำในภาษาลาตินว่า 'passio'แปลว่าความหลงใหล และ 'flos'แปลว่าดอกไม้ ซึ่งอ้างอิงถึงการเป็นสัญลักษณ์ของการตรึงกางเขนของพระคริสต์ Passiflora laurifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
สุนทรภู่ จากนิราศพระประธม พระโทณ ถึงสวนหลวงหลวงห้ามเหมือนความรัก เหลือจักหักจับต้องเป็นของหลวง แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง จะรื่นร่วงเรณูฟูขจร โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าเสาวรส ยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย...
*(ส่วนตัว) เจออะไรก็จะเก็บๆมาถือว่าเล่าสู่กันฟัง เพราะพริ้งเหลือจะประมาณ ยกมาให้อ่านกัน ต้นเสาวรสนี้สมัยก่อนเจ้าของคงหวงน่าดู มีคนเฝ้าด้วย พวกพ้องเผ่าพันธุ์ของเสาวรสมีอยู่ด้วยกันประมาณ400 ชนิดเป็นไม้เลื้อยทั้งสิ้น ต้นนี้เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยยืนต้น ไม่ใช่พืชล้มลุก ดอกมีกลิ่นหอมรัญจวนใจ (แปลเอาจากคำว่า Passion ) ผลของเสาวรสมีรสหวานหอมอมเปรี้ยวมักใช้เป็นเชื้อปนในน้ำหวาน พืชตระกูลเสาวรสที่คนไทยรู้จักดีอีกต้นคือ “สุคนธรส “หรือ Passiflora quadrangularis มีดอกซ้อนสองชั้นและมีเกสรตัวผู้สีม่วงแดงมากกว่า และใบจะมีเพียงสี่ แฉก
ที่อยู่อาศัย เสาวรสมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนพื้นที่สูงในทวีปอเมริกา; อเมริกาใต้ (เหนือ) ปลูกกันอย่างแพร่หลายในอินโดจีน มาเลเซีย แคริบเบียน ที่ระดับความสูง 0-280 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งยืนต้น เลื้อยได้ไกลประมาณ 10 เมตร มีขนอ่อนปกคลุมทั่วต้น ใบออกเรียงสลับ ฐานใบโค้งรูปหัวใจ ปลายใบแหลมแยกเป็น3แฉก ขอบใบหยักเป็นคลื่นเล็กน้อยและมีขนสั้นๆขนาดของใบยาวประมาณ 5-1 3ซม.กว้าง 4-12 ซม. ดอกเป็นดอกเดี่ยว สมบูรณ์เพศเกิดที่ข้อบริเวณโคนก้านใบของเถาใหม่พร้อมกับการเจริญของเถา ดอกเป็นสีขาวส่วน ตรงกลางของดอกจะมีส่วนยื่นสังเกตุเห็นได้ชัด กลีบดอกที่อยู่ใต้กลีบเลี้ยงจะเป็นฝอยสีเขียวส่วนนี้จะอยู่นานจนกระทั่งเป็น ผล เกสรเพศผู้มีอยู่ 5 อันส่วนยอดเกสรเพศเมียจะแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงปลายตุ้ม ผลรูปทรงรี ยาวประมาณ 5.1 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง7.6 ซม.มีผิวสีเขียว ผลแก่สีเหลืองหรือสีส้มเข้ม เนื้อฉ่ำมากสีขาวเหลืองมีเนื้อหุ้มเมล็ดจะลื่นและรสหวาน โดยต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะออกดอกติดผลเมื่ออายุประมาณ4-5เดือน แต่ถ้าเป็นต้นเสียบยอดหรือต้นที่ปักชำจะสามารถออกดอกติดผลได้เร็วขึ้น ผลเสาวรสสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 50-70 วันหลังติดผล เปลือกผลและเนื้อส่วนนอกแข็งรับประทานไม่ได้ ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลหรือดำจำนวนมาก แต่ละเมล็ดจะถูกหุ้มด้วยรกซึ่งบรรจุน้ำสีเหลืองมีลักษณะเหนียวข้นอยู่ภายใน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวมีความเป็นกรดสูงและส่วนที่นำไปบริโภคก็คือส่วนที่เป็นน้ำสีเหลืองนี่เอง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม ---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงเต็มต่อวัน ต้องใช้ดินที่อุดมด้วยฮิวมัสชื้นมีการระบายน้ำดี ชอบดินที่มีความเป็นกลางถึงเป็นกรด ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 5 - 7.5 การรดน้ำ---รดน้ำ 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง ใช้น้ำที่เป็นด่างต่ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาขนาดของเถาและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ กำจัดไม้ที่ตายแล้ว กระตุ้นให้เติบโตเต็มที่จะออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งทำได้ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ที่สมดุล (สูตรเสมอ เช่น 16-16-16) ทุกๆ 14 วัน หรือใช้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าทุกๆ 2 เดือน ในต้นฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช--- ตะกรันไรเดอร์และแมลงหวี่ขาว ควบคุมการแพร่ระบาดด้วยยาฆ่าแมลง/ ใบจุดเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และมักเกิดจากโรคเชื้อรา ในการกำจัดพืช ให้นำใบที่ได้รับผลกระทบออกเพื่อชะลอการแพร่กระจายและรักษาพืชด้วยยาฆ่าเชื้อรา ; รากเน่ายังพบได้ทั่วไปในดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี ทนทานต่อไส้เดือนฝอย พืชในสกุลนี้มีความทนทานต่อเชื้อราน้ำผึ้งอย่างมากใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อผลนำไปทำขนมได้หลายชนิด เช่น เค้ก แยม เยลลี ไอศกรีม ใช้แต่งกลิ่นหรือรสชาติในโยเกิร์ต น้ำอัดลม ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น ผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยในการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ช่วยในการบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอรวมอยู่ด้วย มีแคลเซียมซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกหัก มีฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง --ใช้เป็นยา ใบที่เป็นผงนั้นมีรสขมและถือว่าเป็นยาแก้พยาธิ --ใช้ปลูกประดับ ปลูกบนโครงตาข่าย รั้ว หรือโครงสร้างแนวตั้งอื่นๆ ในที่ที่มีความทนทาน อาจได้รับความเสียหายจากลมแรง แนะนำให้ใช้สถาน ที่กำบังเช่น ริมกำแพงสวน รู้จักอ้นตราย---ความเป็นพิษ แตกต่างกันไปตามชนิด ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าคุณกำลังปลูกพันธุ์ไหน ชนิดนี้กล่าวกันว่าเป็นพิษ เปลือก ใบ เมล็ด มีสารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ เมล็ดมีผลกดประสาทในระบบประสาทและหัวใจ แต่ก็สามารถมีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน ภัยคุกคาม---อนุกรมวิธานนี้ยังไม่ได้รับการประเมิน จัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท"ไม่ได้รับการประเมิน" สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated- IUCN Red List of Threatened Species.1998 ระยะออกดอก/ติดผล---ช่วงฤดูร้อน/ปลายฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง (เมล็ดงอกใน 1-2 สัปดาห์)
|
2 สร้อยฟ้าฮาวาย/Passiflora 'Blue-eyed Susan'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Passiflora ‘Blue Eyed Susan’ ชื่อพ้อง---Passion Flower ‘Blue Eyed Susan’ (Passiflora hybrid) ---Passiflora x ‘Blue Eyed Susan’ ชื่อสามัญ---Blue Eyed Susan Passion Flower, Passion Vine Blue Eyed Susan, Blue Eyed Susan Passion Flower Vine ชื่ออื่น---สร้อยฟ้าฮาวาย Cultivar---Blue Eyed Susan Hybrid parentage---(P.incarnata x P. edulis) x (P. incarnata x P. cincinnata) Hybridizer---ผลงานร่วมกันระหว่าง Roland Fischer และ Carolee Anita Boyles Patent Information---Unknown ชื่อวงศ์---PASSIFLORACEAEE EPPO Code---1PAQG (Preferred name: Passiflora) ถิ่นกำเนิด---อเมริกาใต้ เขตกระจายพันธุ์---บราซิล เปรู เวเนซูเอล่า กีอานา แคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Passiflora' มาจากคำในภาษาลาตินว่า 'passio'แปลว่าความหลงใหล และ 'flos'แปลว่าดอกไม้ ซึ่งอ้างอิงถึงการเป็นสัญลักษณ์ของการตรึงกางเขนของพระคริสต์ Passion Flower 'Blue Eyed Susan' (ลูกผสม Passiflora) ลูกผสมระหว่าง P. edulis, P. incarnarta และ P. cincinnata เป็น.เป็นพันธุ์ลูกผสมของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข๊งยืนต้น เลื้อยได้ไกลประมาณ 10 เมตร ดอกเป็นดอก เดี่ยว ขนาด10 ซม.กลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบลู่ไปข้างหลัง กลีบดอกสีครีม ปลายกลีบสีขาว รูปขอบขนาน มีรยางค์เป็นเส้นสีม่วง โคนสีม่วงเข้มและปลายหยักสีขาวเรียงเป็นวงในสุด ดอกมีกลิ่นหอม ผลไม้และเมล็ดที่กินได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม ---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงเต็มต่อวัน ต้องใช้ดินที่อุดมด้วยฮิวมัสชื้นมีการระบายน้ำดี ชอบดินที่เป็นกลาง ค่า pH 5.0-6.0 การรดน้ำ---รดน้ำ 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง ใช้น้ำที่เป็นด่างต่ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพื่อเติบโต แต่จะส่งผลให้ต้นสมบูรณ์ขึ้น การตัดแต่งกิ่งทำได้ดีที่สุดในปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้เก่าไม่จำเป็นต้องเด็ดหัวออก แค่เอาส่วนของพืชที่ตายออก และเล็มเพื่อให้รูปร่างดีขึ้น การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ที่สมดุล (สูตรเสมอ เช่น 16-16-16) ทุกๆ 5 สัปดาห์จนถึงฤดูใบไม้ร่วง หรือใช้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าทุกๆ 2 เดือน ในต้นฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว แมลงเกล็ด/ นอกจากนี้ยังสามารถได้รับผลกระทบจากโรคใบจุด ไวรัส และการขาดธาตุเหล็ก ; รากเน่ายังพบได้ทั่วไปในดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี พืชในสกุลนี้มีความทนทานต่อเชื้อราน้ำผึ้งอย่างมาก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกบนโครงตาข่าย รั้ว หรือโครงสร้างแนวตั้งอื่นๆ ในที่ที่มีความทนทาน อาจได้รับความเสียหายจากลมแรง แนะนำให้ใช้สถาน ที่กำบังเช่น ริมกำแพงสวน รู้จักอ้นตราย---ความเป็นพิษ แตกต่างกันไปตามชนิด ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าคุณกำลังปลูกพันธุ์ไหน ชนิดนี้กล่าวกันว่าเป็นพิษหากกินเข้าไป เปลือก ใบ เมล็ด มีสารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ เมล็ดมีผลกดประสาทในระบบประสาทและหัวใจ แต่ก็สามารถมีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน ระยะออกดอก/ติดผล---ช่วงฤดูร้อน/ปลายฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง (เมล็ดงอกใน 1-2 สัปดาห์ เมล็ดพันธุ์จากพันธุ์ลูกผสม โปรดจำไว้ว่าพวกมันจะไม่เติบโต เหมือน เมล็ดแต่จะกลับไปเป็นลักษณะของสายพันธุ์พ่อแม่)
|
3 เลดี้มาร์กาเร็ต/Passiflora 'Lady Margaret'
ชื่อวิทยาศาสตร์---'Passiflora x 'Lady Margaret' ชื่อพ้อง---Passion Flower 'Lady Margaret' (Passiflora hybrid) ชื่อสามัญ--- Lady Margaret Passion Flower, Passion Vine Lady Magaret, Lady Margaret Passion Flower Vine ชื่ออื่น---เลดี้มาร์กาเร็ต Cultivar---Lady Margaret Hybrid parentage---Passiflora incarnata x Passiflora coccinea Hybridizer---Unknown Patent Information---Unknown ชื่อวงศ์---PASSIFLORACEAE EPPO Code---1PAQG (Preferred name: Passiflora) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---สหรัฐอเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Passiflora' มาจากคำในภาษาลาตินว่า 'passio'แปลว่าความหลงใหล และ 'flos'แปลว่าดอกไม้ ซึ่งอ้างอิงถึงการเป็นสัญลักษณ์ของการตรึงกางเขนของพระคริสต์ Passiflora 'Lady Margaret' เป็นลูกผสมข้ามระหว่าง P. coccinea และ P. incarnata.เป็นพันธุ์ลูกผสมของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) ที่อยู่อาศัย ต้นกำเนิดทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นอ่อนสีเขียว เมื่อลำต้นแก่เปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง ใช้มือพันเลื้อยได้ไกลถึง 0.6-4.6 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กว้างเกือบกลม ปลายแหลมติ่ง โคนเว้า ขอบหยักลึกเกือบถึงเส้นใบ 1 หยักใกล้โคนใบ มีขนปกคลุม สีเขียมเข้ม ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ กลีบดอกสีแดงเข้ม โคนและปลายกลีบสีขาว รยางค์ชั้นในเป็นเส้นสีขาวเรียงเป็นวงในสุด เกสรเพศผู้ 5 เกสร เกสรเพศเมีย 3 เกสร ยอดเกสรเพศเมียรูปไต ดอกขนาด7-10 ซม. ออกผลเป็นบางครั้ง แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่พัฒนาหรือสุกเต็มที่ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นลูกผสมที่เป็นหมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม ---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6-8 ชั่วโมง/วัน) ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องดิน แต่ต้องการความชื้นคงที่และการระบายน้ำที่ดี ชอบดินที่เป็นกรดเล็กน้อย ค่า pH 6.1 ถึง 6.5 การรดน้ำ---รดน้ำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง ใช้น้ำที่เป็นด่างต่ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งให้เติบโต แต่จะส่งผลให้ต้นสมบูรณ์ขึ้น การตัดแต่งกิ่งทำได้ดีที่สุดในปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ไม่จำเป็นต้องเด็ดหัวออก แค่เอา ส่วน ของพืชที่ ตายออก และเล็มเพื่อให้รูปร่างดีขึ้น การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ที่สมดุล (สูตรเสมอ เช่น 16-16-16) ทุกๆ 5สัปดาห์/ครั้ง หรือใช้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าทุกๆ 3-4 เดือน ในต้นฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช--- ตะกรันไรเดอร์และแมลงหวี่ขาว เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไส้เดือนฝอยรากปม ควบคุมการแพร่ระบาดด้วยยาฆ่าแมลง/ ใบจุดเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และมักเกิดจากโรคเชื้อรา ในการกำจัดพืช ให้นำใบที่ได้รับผลกระทบออกเพื่อชะลอการแพร่กระจายและรักษาพืชด้วยยาฆ่าเชื้อรา ; ไวรัสโมเสกแพร่กระจายโดยเพลี้ยอ่อนและเพลี้ยไฟ โดยไวรัสโมเสกที่พบบ่อยที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อดอก อาการแสดงเป็นลวดลายโมเสกสีเขียวเข้มและอ่อนปรากฏบนใบ การติดเชื้อไวรัส นี้ไม่สามารถรักษาได้ ; รากเน่ายังพบได้ทั่วไปในดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี พืชในสกุลนี้มีความทนทานต่อเชื้อราน้ำผึ้งอย่างมาก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกบนโครงตาข่าย รั้ว หรือโครงสร้างแนวตั้งอื่นๆ ในที่ที่มีความทนทาน อาจได้รับความเสียหายจากลมแรง แนะนำให้ใช้สถานที่เช่น ริมกำแพงสวน ระแนงบังตา กำแพงรั้วหรือซุ้มประตู ที่มีที่กำบังลม รู้จักอ้นตราย---ความเป็นพิษ แตกต่างกันไปตามชนิด ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าคุณกำลังปลูกพันธุ์ไหน ชนิดนี้กล่าวกันว่าเป็นพิษ เปลือก ใบ เมล็ด มีสารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ เมล็ดมีผลกดประสาทในระบบประสาทและหัวใจ แต่ก็สามารถมีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---ปักชำ ตอนกิ่ง
|
4 เสาวรสสยาม/Passiflora siamica
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Passiflora siamica Craib.(1911) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. ---Passiflora octandra Gagnep.(1919) ---Passiflora octandra var. attopensis Gagnep.(1919) ---Passiflora octandra var. cochinchinensis Gagnep.(1919) ---See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:675464-1#synonyms ชื่อสามัญ---Siam Passion Flower ชื่ออื่น---สวรสสยาม, กระทกรกสยาม ; [THAI: Sawarot siam, Kra-thok-rok siam.]; [CHINESE: Chang ye xi fan lian.]. ชื่อวงศ์---PASSIFLORACEAE EPPO Code---PAQSS (Preferred name: Passiflora sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย (อัสสัม) พม่า ไทย จีน (ยูนนาน) ลาวและเวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Passiflora' มาจากคำในภาษาลาตินว่า 'passio'แปลว่าความหลงใหล และ 'flos'แปลว่าดอกไม้ ซึ่งอ้างอิงถึงการเป็นสัญลักษณ์ของการตรึงกางเขนของพระคริสต์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'siamica' = อ้างอิงสถานที่พบครั้งแรกในประเทศไทย Passiflora siamica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2454 ที่อยู่อาศัย พบในจีน (กวางสี ยูนนาน) อินเดีย (อัสสัม), ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม ขึ้นบนที่โล่งในป่าทุ่งหรือป่าละเมาะ บนภูเขา ที่ระดับความสูง 500-1600 เมตร เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย บนดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ที่ระดับความสูง 660 เมตร โดยหมอคาร์นายแพทย์ชาวไอริช มีรายงานการตั้งชื่อในปีพ.ศ.2554 มีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้ออ่อนยืนต้นขนาดกลางยาว 6-8 เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนนุ่มประปราย ตามซอกใบมีมือเกาะยาวปลายขดเป็นเกลียว ใบเดี่ยวเรียงเวียนรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 3-6 ซม.ยาว 5-20 ซม.ดอกออกเป็นช่อสั้นตามซอกใบ 2-10 ดอก กลีบดอกสีขาว มีเส้นผ่านศูนย์กลางของดอก 2.5-3 ซม.มีรยางค์เป็นเส้นฝอยหงิกงอสีเหลืองจำนวนมาก ผลสดทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม.เมื่อสุกสีเหลืองส้ม มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีเมือกแข็งหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด (อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินที่อุดมด้วยฮิวมัสชื้น แต่มีการระบายน้ำดี ชอบดินที่มีความเป็นกลาง pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 5 - 7 การรดน้ำ---รดน้ำน้ำเพียงพอโดยทำให้ดินชุ่มชื้น รดน้ำทันทีเมื่อดินแห้งเพราะทนแล้งได้ไม่ดี สามารถให้น้ำสัปดาห์ละครั้งถึงสองครั้งในฤดูปลูกตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาขนาดของเถาและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ กำจัดไม้ที่ตายแล้ว กระตุ้นให้เติบโตเต็มที่จะออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งทำได้ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ที่สมดุล (สูตรเสมอ เช่น 16-16-16) ทุกๆ 4-6 สัแดาห์ หรือใช้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าทุกๆ 2 เดือน ในต้นฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช--- ตะกรันไรเดอร์และแมลงหวี่ขาว ควบคุมการแพร่ระบาดด้วยยาฆ่าแมลง/ ใบจุดเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และมักเกิดจากโรคเชื้อรา ในการกำจัดพืช ให้นำใบที่ได้รับผลกระทบออกเพื่อชะลอการแพร่กระจายและรักษาพืชด้วยยาฆ่าเชื้อรา ; รากเน่ายังพบได้ทั่วไปในดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี พืชในสกุลนี้มีความทนทานต่อเชื้อราน้ำผึ้งอย่างมาก ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ลักษณะดอกที่แตกต่างจากชนิดอื่นอย่างชัดเจนในขณะที่วงการไม้ประดับของโลกมีความนิยมปลูกพืชพันธุ์เสาวรสเป็นไม้ประดับ เนื่องจากดอกมีรูปร่างสีสันสวยงาม จึงมีความต้องการเสาวรสสยามไปผสมพันธุ์ เพื่อที่ให้ได้ลูกผสมที่แตกต่างออกไป สำหรับป้อนตลาดที่กำลังได้รับความนิยมสูงอยู่ในขณะนี้ในขณะเดียวกันก็จำเป็น ต้องปลูกเสาวรสต้นแม่พันธุ์ เพื่อรักษาพันธุกรรมให้คงที่ สำหรับใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ในอนาคต ระยะเวลาออกดอก/ผลแก่---เมษายน-พฤษภาคม/ มิถุนายน--กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
รูปภาพจาก : หนังสือ เทคโนโลยีการอนุรักษ์พรรณไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น
|
5 สายน้ำผึ้ง/Lonicera Japonica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lonicera Japonica Thunb.(1784) ชื่อพ้อง ---Has 11 Synonyms ---Caprifolium chinense S.Watson ex Loudon.(1830) ---Caprifolium japonicum (Thunb.) Dum.Cours.(1814) ---Caprifolium roseum Lam.(1779) ---Lonicera brachypoda Siebold.(1830) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2339716 ชื่อสามัญ ---Honeysuckle, Japanese Honey suckle, Chinese honeysuckle, Gold -and -silver Flower ชื่ออื่น---สายน้ำผึ้ง ;[ALBANIA: Dorëzonjë, Lavardhë.];[ARGENTINA: Madre-selva.];[AUSTRALIA: Woodbine.];[CHINESE: Ren dong, Chin yin hua, Chin yin t'eng, Jen tung, Jen tung chiu, Jen tung kao, Sui-kazura; Yin hua.];[DUTCH: Japanse kamperfoelie.];[FRENCH: Chèvrefeuille asiatique, Clématite du Japon, Chèvrefeuille du Japon.];[GERMAN: Japanische Heckenkirsche, Geissblatt, Heckenkirsche, Japanische.];[JAPANESE: Sui-kazura.];[KOREA: In dong, In dong deong gul.];[PORTUGUESE: Madressilva, Madressilva-da-china, Madressilva-do-japão, Madressilva-dos-jardins.];[RUSSIA: Zhimolostʹ yaponskaya.];[SPANISH: Madreselva.];[THAI: Sai nam phueng.];[TIBET: Phan nag.];[USA: Chinese honeysuckle, Hall's honeysuckle, Loja.];[VIETNAM: Kim ngam, Day nhan dong.]. ชื่อวงศ์---CAPRIFOLIACEAE EPPO Code---LONJA (Preferred name: Lonicera Japonica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออก; จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี; อเมริกาเหนือ, แคนาดา; อเมริกากลาง; บางส่วนของอเมริกาใต้; ยุโรปและออสตราเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อพืชสกุล 'Lonicera' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Adam Lonitzer (1528 –1586) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ; ชื่อสายพันธุ์ 'japonica' อ้างอิงถึงส่วนหนึ่งของถิ่นกำเนิด ประเทศญี่ปุ่น Lonicera Japonica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สายน้ำผึ้ง (Caprifoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2327
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนญี่ปุ่นและเกาหลี กลายเป็นสัญชาติในอาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, เม็กซิโก, นิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่รวมถึงฮาวาย หมู่เกาะแปซิฟิกและหมู่เกาะแคริบเบียน มันจัดว่าเป็นพิษวัชพืชในเท็กซัส อิลลินอยส์และเวอร์จิเนียและถูกห้ามในอินเดียนา และมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ มีชื่ออยู่ในAccord Plant Pest แห่งชาตินิวซีแลนด์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ ลักษณะ สายน้ำผึ้งเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งอายุหลายปียาวประมาณ 7-10 เมตร เถามีลักษณะกลมเป็นสีน้ำตาล ส่วนเนื้อในเถากลวง แตกกิ่งก้านสาขาออกมากมายเป็นทรงพุ่ม ตามกิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กว้าง 1-4ซม.ยาว 3-8.5 ซม.ปลายใบแหลมมีหางสั้น โคนใบมน หรือตัด หรือเว้าเข้าหากันคล้ายรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบ หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเป็นสีเทาอมเขียว เนื้อใบอ่อนนุ่มมีขนขึ้นปกคุลมเล็กน้อย ดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อละ 2 ดอก ก้านใบชูช่อสั้นมีขนนุ่ม ดอกเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาวประมาณ 3-5 ซม. ส่วนปลายแยกเป็นรูปปาก กลีบดอกเป็นสีครีม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวยแหลมยาว ปลายแยกเป็นปาก 2 ปาก ล่างและบน ปากล่างมี 1 กลีบ ส่วนปากบน 4 กลีบ ดอกมีใบประดับคล้ายใบ 1 คู่ ส่วนนอกกลีบจะมีขนปกคลุมอยู่ กลีบรองดอกติดกัน ปลายแยกเป็นรูปสามเหลี่ยม ใจกลางดอกมีเกสรอยู่ 5 อันยื่นออกมาดอกสายน้ำผึ้งเมื่อ ดอกออกใหม่จะเป็นสีขาวนวลเมื่อดอกแก่จะค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเหลืองแก่เมื่อใกล้โรย ผลเป็นผลสดรูปทรงกลม มีขนาด 6-7 มม. ผิวผลเกลี้ยง เรียบเป็นมันเงา ผลเมื่อสุกจะเป็นสีดำ เมล็ดไข่รูปสีน้ำตาลถึงดำขนาด 2-3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สายน้ำผึ้งเป็นไม้เลื้อยที่เลี้ยงง่าย ต้องการการดูแลเอาใจใส่เพียงเล็กน้อย เป็นไม้ป่าที่เติบโตได้ดีในแสงแดดจัดหรือในที่ร่มรำไร แต่จะทำได้ดีที่สุดเมื่อรากอยู่ในที่ร่มและใบในแสงแดด อุณหภูมิ 10 - 30 ℃ เมื่ออุณหภูมิใกล้ถึง 10 ℃ ใบไม้บางส่วนจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 5 ℃ ใบไม้เกือบทั้งหมดจะเหี่ยวเฉาและร่วงหล่น เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 35 ℃ ความเร็วการเจริญเติบโตของ พืชจะช้าลง มีความสามารถ ในการปรับตัวได้ดีและไม่ต้องการดินพิเศษ สามารถปลูกได้ในดินเหนียวหรือดินทราย ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้น ระบายน้ำดี และปรับตัวเข้ากับดินที่มีค่า pH 6-8 ซึ่งมีความเป็นกรดเล็กน้อย ด่างเล็กน้อย หรือแม้แต่ดินเค็ม อัตราการเจริญเติบโต เร็ว 3-4 เมตรต่อปี การรดน้ำ---ตรวจสอบความชื้นของดินเป็นประจำเพื่อดูว่าพืชต้องการการรดน้ำหรือไม่ หากดินค่อนข้างแห้ง ให้รดน้ำเพื่อรักษาสภาพดินให้ชุ่มชื้นเล็กน้อย ในสวนที่มีฝนตกชุกไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำไม่สะสมในดิน การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้หลายครั้งตลอดทั้งปี เพื่อรักษาขนาดของเถาและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ กำจัดส่วนที่ตายหรือกำลังจะตายของพืชออก ลดขนาดทีละหลายๆ นิ้วเพื่อควบคุมการแพร่กระจาย ทุกสองสามสัปดาห์ระหว่างเมษายน-พฤษภาคม หลีกเลี่ยงการตัดลำต้นที่กำลังมีดอกบาน การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอเนกประสงค์สูตรสมดุล เดือนละ 1 ครั้ง (ทุก ๆ 30 วัน) ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงหรือโรคร้ายแรง มีบางอย่างที่ต้องระวังเพลี้ยอ่อน เพลี้ยจำนวนเล็กน้อยสามารถเช็ดออกได้โดยใช้ผ้าหรือล้างออกด้วยน้ำ การระบาดรุนแรงอาจทำให้ใบบิดเบี้ยวและราเขม่าดำ ให้ใช้ยาฆ่าแมลง/โรคราแป้ง สามารถรักษาได้ด้วยส่วนผสมของโพแทสเซียมไบคาร์บอเนตหนึ่งช้อนโต๊ะกับสบู่คาสตีลหนึ่งช้อนโต๊ะในน้ำหนึ่งแกลลอน ฉีดพ่นส่วนผสมบนพื้นผิวพืชทั้งหมด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกสดหรือดอกแห้ง นำมาชงดื่มแทนชา มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้กระปรี้กระเปร่าและอายุยืน ดอกใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มและขนมหวานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ น้ำเชื่อม ไอศกรีม แยม หรือเยลลี่ ส่วนช่อดอกสดจะนำมาใช้แต่งหน้าขนมเค้กหรือขนมหวานเพื่อเพิ่มความสวยงาม -ใช้เป็นยา ดอกมีสรรพคุณเป็นยารักษาแผลในปาก ใช้เป็นยารักษาระบบทางเดินหายใจติดเชื้อ แก้เต้านมอักเสบ ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคลำไส้ เถาสดนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ท้องเสีย (บิดไม่มีตัว) ท้องร่วง แก้บิด ถ่ายเป็นเลือด และลำไส้อักเสบ-จากการศึกษาวิจัยในประเทศจีนยังพบด้วยว่าสายน้ําผึ้งอาจมีสรรพคุณเป็นยารักษามะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งทรวงอก อีกทั้งยังมีการนำไปทดลองใช้เพื่อรักษาเอดส์ด้วยเช่นกัน -ใช้ปลูกประดับใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป หรือปลูกให้ขึ้นพันกับต้นไม้หรือรั้วบ้าน ดอกมีกลิ่นหอมทั้งกลางวันกลางคืน แต่จะกระจายกลิ่นหอมจัดในเวลากลางคืน แต่ในเวลากลางวัน เข้าไปใกล้ ๆถึงจะได้กลิ่น -วนเกษตร มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาในฐานะที่เป็นไม้ประดับเพื่อควบคุมการกัดเซาะและสำหรับที่พักพิงสัตว์ป่าเช่นกวาง พุ่มที่หนาทึบให้พื้นที่กำบังและทำรังสำหรับนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก -อื่น ๆ ชาวตะวันตกถือว่าสายน้ำผึ้งเป็นสัญลักษณ์ของความรักความผูกพัน ความสวยงาม และความอ่อนหวานไร้เดียงสา เชื่อว่ากลิ่นของสายน้ำผึ้งสามารถทำให้จิตใจร่าเริงเบิกบาน ขับไล่ความโศกเศร้าและความกลัวได้ ทำให้รู้สึกเป็นสุข อบอุ่น และปลอดภัยและด้วยรูปลักษณ์ของดอกที่ดูบอบบางน่าเอ็นดูและยังมีกลิ่นหอมหวานอันสดใส จึงทำให้ดอกน้ำผึ้งเป็นแรงบันดาลใจของกวีและศิลปินจำนวนมาก รู้จักอ้นตราย---ต้นและผลสด หากรับประทานจำนวนมากทำให้อาเจียน ท้องเสีย ม่านตาขยาย เหงื่อออก ตัวเย็นชืด หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจล้มเหลว ชักและหมดสติ ระยะออกดอก---ตลอดปี ออกมาก มิถุนายน-กันยายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ด้วยการตอน และตัดกิ่งปักชำ เวลาปักชำ เลือกกิ่งที่แก่จัดจริงๆ ตัดให้ยาว 6 นิ้วขึ้นไป เวลาปักชำจำเป็นต้องให้ข้อจมอยู่ในดิน หนึ่งข้อไม่งั้นไม่ออกราก
|
6 สายน้ำผึ้งจีน/Lonicera japonica
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lonicera japonica var. chinensis (P. Watson) Baker.(1871.) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/ ---Basionym: Lonicera chinensis P. Watson,(1825) ---Lonicera japonica f. chinensis (P. Watson) H. Hara.(1952) ชื่อสามัญ---Japanese honeysuckle, Lonicera japonica 'Chinensis' ชื่ออื่น---สายน้ำผึ้งจีน ; [THAI: Sai nam phueng cheen.]; [CHINESE: Hong bai ren dong.];[FRENCH: Chèvrefeuille du Japon.]; ชื่อวงศ์---CAPRIFOLIACEAE EPPO Code---LONSS (Preferred name: Lonicera sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออก : จีน เกาหลี ญี่ปุ่น นิรุกติศาสตร์---ชื่อพืชสกุล 'Lonicera' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Adam Lonitzer (1528 –1586) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ; ชื่อสายพันธุ์ 'japonica' หมายถึงส่วนหนึ่งของถิ่นกำเนิดของมัน-ญี่ปุ่น Lonicera japonica var. chinensis ชื่อนี้เป็นชื่อที่ยอมรับได้ของอนุกรมวิธาน infraspecific * ของสายพันธุ์ Lonicera japonica Thunb ในสกุล Lonicera (วงศ์ Caprifoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter William Watson (1761–1830) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Gilbert Baker(1834–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปีพ.ศ.2414 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน (มณฑลอานฮุย กุ้ยโจว เจ้อเจียง) ญี่ปุ่น เกาหลี เกิดขึ้นในป่าที่ถูกรบกวน ในป่าพรุ และป่าในเขตเมือง ที่ระดับความสูง 800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก เลื้อยได้ไกล 2-3 เมตร ใบมีขนปกคลุมหนาแน่น ช่อดอกยาว มีดอกย่อย 10-20 ดอก ปลายกลีบดอก แยกเป็น 5 กลีบคล้ายสายน้ำผึ้ง แตกต่างกันที่ผิวนอกของกลีบดอก มีขนปกคลุมสีแดง ด้านในของกลีบมีสีขาว ดอกมีกลิ่นหอม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในแสงแดดจัดหรือในที่ร่มรำไร แต่จะทำได้ดีที่สุดเมื่อรากอยู่ในที่ร่มและใบในแสงแดด อุณหภูมิ 10 - 30 ℃ เมื่ออุณหภูมิใกล้ถึง 10 ℃ ใบไม้บางส่วนจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 5 ℃ ใบไม้เกือบทั้งหมดจะเหี่ยวเฉาและร่วงหล่น เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 35 ℃ ความเร็วการเจริญเติบโตของ พืชจะช้าลง มีความสามารถ ในการปรับตัวได้ดีและไม่ต้องการดินพิเศษ สามารถปลูกได้ในดินเหนียวหรือดินทราย ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้น ระบายน้ำดี และปรับตัวเข้ากับดินที่มีค่า pH 6-8 ซึ่งมีความเป็นกรดเล็กน้อย ด่างเล็กน้อย หรือแม้แต่ดินเค็ม อัตราการเจริญเติบโต เร็ว 3-4 เมตรต่อปี การรดน้ำ---ตรวจสอบความชื้นของดินเป็นประจำเพื่อดูว่าพืชต้องการการรดน้ำหรือไม่ หากดินค่อนข้างแห้ง ให้รดน้ำเพื่อรักษาสภาพดินให้ชุ่มชื้นเล็กน้อย ในสวนที่มีฝนตกชุกไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำไม่สะสมในดิน การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้หลายครั้งตลอดทั้งปี เพื่อรักษาขนาดของเถาและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ กำจัดส่วนที่ตายหรือกำลังจะตายของพืชออก ลดขนาดทีละหลายๆ นิ้วเพื่อควบคุมการแพร่กระจาย ทุกสองสามสัปดาห์ระหว่างเมษายน-พฤษภาคม หลีกเลี่ยงการตัดลำต้นที่กำลังมีดอกบาน การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอเนกประสงค์สูตรสมดุล เดือนละ 1 ครั้ง (ทุก ๆ 30 วัน) ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงหรือโรคร้ายแรง มีบางอย่างที่ต้องระวังเพลี้ยอ่อน เพลี้ยจำนวนเล็กน้อยสามารถเช็ดออกได้โดยใช้ผ้าหรือล้างออกด้วยน้ำ การระบาดรุนแรงอาจทำให้ใบบิดเบี้ยวและราเขม่าดำ ให้ใช้ยาฆ่าแมลง/โรคราแป้ง สามารถรักษาได้ด้วยส่วนผสมของโพแทสเซียมไบคาร์บอเนตหนึ่งช้อนโต๊ะกับสบู่คาสตีลหนึ่งช้อนโต๊ะในน้ำหนึ่งแกลลอน ฉีดพ่นส่วนผสมบนพื้นผิวพืชทั้งหมด รู้จักอ้นตราย---ต้นและผลสดเป็นพิษ ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับและใช้ประโยชน์เหมือนสายน้ำผึ้งญี่ปุ่น ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ด้วยการตอน และตัดกิ่งปักชำ
|
7 เล็บมือนาง/Combretum indicum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Combretum indicum (L.) DeFilipps.(1998) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms ---Quisqualis indica L.(1762) ---Kleinia quadricolor Crantz.(1766) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2732680 ชื่อสามัญ---Rangoon Creeper, Burma Creeper, Chinese honeysuckle, Drunken Sailor, Red Jasmine ชื่ออื่น---อ้อยช้าง (อุตรดิตถ์), แสมแดง (ชุมพร), เล็บนาว (สตูล), มะจีมั่ง จ๊ามัง จะมั่ง (ภาคเหนือ), นิ้วมือพระนารายณ์ (ใต้), ไท้หม่อง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เล็บมือนาง (ทั่วไป) ;[BANGLADESH: Basantilata, Begunlata, Modhumalati, Ranganbel.];[BENGALI: Madhumanjari.];[BURMESE: HtaL Wey-mheing.];[CAMBODIA: Dong preah phnom, Vor romiet nhi, Khua hung.];[CHINESE: She jin zi, Shih chun tzu, Shi jun zi.];[CZECH: Hranoplod indicky.];[GERMAN: Indische fadenrohre.];[HINDI: Madhu, Malati.];[INDIA: Madhabilata, Rangoon-ki-bel, Rangun, Rangunumalli.];[INDONESIA: Wudani, kuikalis, akar dani, ceguk, Bidani, cekluk, udani.];[JAPANESE: Indo-shikunshi.];[KOREAN: Saguncha.];[LAOS: Dok ung, Khena hung, Sa mang.];[MALAYSIA: Melati Belanda, Selimpas, Setanduk, Akar Dani (Malay); Bidani, Wedani (Bahasa Indonesia); Wudani, kuikalis, Akar dani, Akar pontianak, Akar suloh, Ordanie, Selimpas.];[MARATHI: Vilayati chambeli.]; [NICARAGUA: Santa Cecilia.];[NIGERIAN: Ogan funfun, Ogan igbo.];[PANAMA: Karate del humano.];[PHILIPPINES: Niog-niogan, Tagarau, Tagulo, Tangolan, Tontoraok (Tag); Balitadham, Pinion (Bis.).];[PORTUGUESE: Arbusto-Milagroso.];[SPANISH: Quiscual.];[TAMIL: Irangun mali.];[THAI: Lep mue nang , A-doning,Cha mang, Macheemang, Tha mang, Thii-mong];[VIETNAM: Cay sau rieng, Day giun, Lang an, Qua nac.]. ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา อนุทวีปอินเดีย เอเซียใต้-เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Combretum indicum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Anthony DeFilipps (1939–2004) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียและอาจเป็นแอฟริกาเขตร้อน แต่สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางใน Neotropicsมันคือ “rampant grower” ( Brown and Knox, 2013 ) และอยู่ใน Global Compendium of Weeds ว่าเป็น “agricultural weed, cultivation escape, environmental weed, garden thug, naturalised, sleeper weed, weed” ( Randall, 2012 ) มีรายงานว่ามีการรุกรานในคิวบา เช่นเดียวกับในเซเชลส์ ออสเตรเลีย และนิวแคลิโดเนีย ( PIER, 2015 ) รวมอยู่ในฐานข้อมูล Taiwan Invasive Species Database (2015)และเป็นวัชพืชถาวรในเปอร์โตริโก ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางเพื่อใช้เป็นไม้ประดับสำหรับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ใช้เป็นไม้พุ่ม และสำหรับใช้ในยาแผนโบราณ ส่งผลให้มีการแพร่กระจายของสายพันธุ์ไปยังพื้นที่เขตร้อนทั้งหมดของโลก พบได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยหลากหลายตั้งแต่ภูเขาไปจนถึงป่าฝนและที่รกร้างว่างเปล่า ที่ใดก็ได้ระหว่างระดับความสูง 0-1500 เมตร ลักษณะ เล็บมือนางเป็นไม้เลื้อยเถาใหญ่แข็งแรง สามารถเลื้อยพันได้ถึง 8-10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาทึบ เถาอ่อนเป็นสีเขียว ตามลำต้นและเถาอ่อนมีขนสีเหลือหรือสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมอยู่ แต่ต้นแก่ผิวจะเกลี้ยง โดยเถาแก่เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนแดง เปลือกค่อนข้างเรียบ หรือมีหนามเล็กน้อย ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ขนาดใบกว้าง 10-12 ซม.ยาว14-18 ซม.ใบเป็นรูปมนแกมขอบขนานหรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือมนและมีติ่งแหลม โคนใบจักเว้าเข้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบแผ่นใบเป็นสีเขียว เนื้อบาง ท้องใบมีขนปกคลุมเป็นจำนวนมาก ใบอ่อนเป็นสีเขียวอมแดง เนื้อใบบางค่อนข้างเหนียว ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. ดอกเล็บมือนางมีกลิ่นหอมมากในเวลากลางคืน ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและที่ปลายกิ่งหรือตามปลายยอด ในช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 10-20 ดอก กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาวสีเขียว ดอกมีลักษณะคล้ายพวกดอกเข็มคือมีก้านดอกยาว แต่ของดอกเข็มเป็นกรวยดอกไม่ใช่ก้านดอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ปลายแหลม มี 5 กลีบ โคนกลีบ ดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปหลอดรูปทรงกระบอกยาว ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 ซม. มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน ดอกเมื่อแรกบานเป็นสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นชมพูอ่อน เมื่อดอกแก่จัดจะกลายเป็นสีชมพูเข้มและสีแดง ในช่อหนึ่งจะเห็นมีสีขาว ชมพู แดง สอดสลับกันไป ผลเป็นผลแห้งและแข็งรูปกระสวย มีสัน 5 สันตามยาว ผลมีขนาด1.2- 3 ซม.ผลสุกเป็นสีน้ำตาลอมสีดำ มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ทั้งในที่มีแสงแดดจัดและในที่ร่มบางส่วน เจริญได้ดีในดินร่วนปนทราย ดินที่มีการระบายน้ำดี สามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ค่า pH ของดินต้องอยู่ในช่วงตั้งแต่เป็นกรดไปจนถึงเป็นกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง ต้องการน้ำสม่ำเสมอ ให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำอีกครั้ง ความถี่ของการรดน้ำจะเปลี่ยนไปเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น แนะนำให้รดน้ำบ่อยขึ้นในช่วงวันในฤดูร้อน ในทางกลับกัน ควรรดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาว อย่ารดน้ำมากเกินไปหรือทำให้ดินเปียกเกินไปเนื่องจากสภาวะเหล่านี้อาจทำให้รากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งกิ่งเมื่อจำเป็น การกำจัดส่วนของพืชที่ตายแล้วและการตัดแต่งกิ่งเพื่อการฟื้นฟูช่วยยืดอายุของพืช การตัดต้นไม้กลับเป็นรูปทรงพุ่มในต้นฤดูใบไม้ผลิก่อนออกดอก ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน การใส่ปุ๋ย---ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเม็ดสูตร 12-24-12 เร่งการแตกใบ เพิ่มการติดดอก ให้ปุ๋ยปีละสองครั้ง หนึ่งครั้งในฤดูใบไม้ร่วงและอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเนื่องจากจะกระตุ้นให้ใบดกมากกว่าการออกดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง ระวังหนอนผีเสื้อ/โรครากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ถ้าน้ำมากเกินไปหรือดินระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ป็นไม้ประดับรั้ว ขึ้นซุ้มดอกดกสีสันสวยงามมีกลิ่นหอม -ใช้เป็นยา สรรพคุณทางเป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันมานานคือ รากต้มน้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิ ใช้ใบตำเป็นยาทาแผล รักษาบาดแผล และฝีได้เป็นอย่างดี สายพันธุ์นี้ใช้เป็นชาสำหรับโรคต่างๆ ในปานามา ( Panama Checklist, 2015 ) และผลไม้แห้ง "shijunzi" มีชื่ออยู่ในตำรับยาจีนอย่างเป็นทางการ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของยา รวมถึงการหยุดอาการท้องร่วง การรักษาโรคติดเชื้อปรสิตที่ผิวหนัง การใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด และการรักษาโรคไขข้อ รู้จักอันตราย---แม้ว่าC. indicumมีการขายในเชิงพาณิชย์เพื่อใช้ในการแพทย์แผนโบราณ (ผลไม้มักจะขายในร้านขายยาขนาดเล็กและร้านขายยาจีนทั่วมาเลเซีย) ไม่ปรากฏว่าสายพันธุ์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาสำหรับการผลิตขนาดใหญ่เนื่องจากผลข้างเคียงที่เป็นพิษของกรด quisqualic ซึ่งรวมถึงอาเจียน คลื่นไส้ สะอึก และอาจถึงขั้นหมดสติ ( Aguilar, 1999 ) ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---โดยวิธีการเพาะเมล็ด ทาบกิ่งและปักชำ ขึ้นง่ายทุกวิธี
|
8 เล็บมือนางดอกลา/Combretum indicum
เล็บมือนางดอกลา หมายถึงเล็บมือนางที่มีกลีบดอกชั้นเดียว เป็นไม้พื้นเมืองของไทยสายพันธุ์เดียวกับเล็บมือนางป่า ดอกออกเป็นช่อใหญ่ใกล้ปลายยอด มีดอก ย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเป็นหลอดยาว เมื่อดอกตูมจะค่อนข้างชี้งอนขึ้น แต่เมื่อดอกเริ่มบานก็จะห้อยลงมาเป็นพวง ดอกเริ่มบานใหม่ๆจะเป็นสีขาวแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มขึ้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ทั้งในที่มีแสงแดดจัดและในที่ร่มบางส่วน เจริญได้ดีในดินร่วนปนทราย ดินที่มีการระบายน้ำดี สามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ค่า pH ของดินต้องอยู่ในช่วงตั้งแต่เป็นกรดไปจนถึงเป็นกลาง การรดน้ำ---ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง ต้องการน้ำสม่ำเสมอ ให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำอีกครั้ง ความถี่ของการรดน้ำจะเปลี่ยนไปเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น แนะนำให้รดน้ำบ่อยขึ้นในช่วงวันในฤดูร้อน ในทางกลับกัน ควรรดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาว อย่ารดน้ำมากเกินไปหรือทำให้ดินเปียกเกินไปเนื่องจากสภาวะเหล่านี้อาจทำให้รากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งกิ่งเมื่อจำเป็น การกำจัดส่วนของพืชที่ตายแล้วและการตัดแต่งกิ่งเพื่อการฟื้นฟูช่วยยืดอายุของพืช การตัดต้นไม้กลับเป็นรูปทรงพุ่มในต้นฤดูใบไม้ผลิก่อนออกดอก ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน การใส่ปุ๋ย---ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเม็ดสูตร 12-24-12 เร่งการแตกใบ เพิ่มการติดดอก ให้ปุ๋ยปีละสองครั้ง หนึ่งครั้งในฤดูใบไม้ร่วงและอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเนื่องจากจะกระตุ้นให้ใบดกมากกว่าการออกดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง ระวังหนอนผีเสื้อ/โรครากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ถ้าน้ำมากเกินไปหรือดินระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ป็นไม้ประดับรั้ว ขึ้นซุ้มดอกดกสีสันสวยงามมีกลิ่นหอม -ใช้เป็นยา สรรพคุณทางเป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันมานานคือ รากต้มน้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิ ใช้ใบตำเป็นยาทาแผล รักษาบาดแผล และฝีได้เป็นอย่างดี สายพันธุ์นี้ใช้เป็นชาสำหรับโรคต่างๆ ในปานามา ( Panama Checklist, 2015 ) และผลไม้แห้ง "shijunzi" มีชื่ออยู่ในตำรับยาจีนอย่างเป็นทางการ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของยา รวมถึงการหยุดอาการท้องร่วง การรักษาโรคติดเชื้อปรสิตที่ผิวหนัง การใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด และการรักษาโรคไขข้อ รู้จักอันตราย---แม้ว่าC. indicumมีการขายในเชิงพาณิชย์เพื่อใช้ในการแพทย์แผนโบราณ (ผลไม้มักจะขายในร้านขายยาขนาดเล็กและร้านขายยาจีนทั่วมาเลเซีย) ไม่ปรากฏว่าสายพันธุ์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาสำหรับการผลิตขนาดใหญ่เนื่องจากผลข้างเคียงที่เป็นพิษของกรด quisqualic ซึ่งรวมถึงอาเจียน คลื่นไส้ สะอึก และอาจถึงขั้นหมดสติ ( Aguilar, 1999 ) ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---โดยวิธีการเพาะเมล็ด ทาบกิ่งและปักชำ ขึ้นง่ายทุกวิธี
|
9 ชำมะนาด/Vallaris glabra
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Vallaris glabra (L.) Kuntze.(1891) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Basionym: Pergularia glabra L.(1767) ---Echites hircosus Roxb.(1832) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-211387 ชื่อสามัญ---Bread Flower, Kesidang ชื่ออื่น---ดอกข้าวใหม่ ชำมะนาดกลาง ชำมะนาดฝรั่ง อ้มส้าย (ภาคเหนือ) (ภาคกลาง);[INDONESIA: Kerak Nasi (Java).];[MALAYSIA: Kesidang, Kesedengan, Siku Dengan, Bunga Tongkan, Bunga Kesidang,];[PAKISTAN: Soniya.];[THAI: Dok khao mai, Cham ma nad, Om saai.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---VLRGL (Preferred name: Vallaris glabra.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จากพม่าถึงอินโดนีเซีย (สุมาตรา, ชวา, หมู่เกาะซุนดา) นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Vallaris" เป็นภาษาละติน = สำหรับพวงมาลัยที่มอบให้กับทหารคนแรกที่ปีนข้ามกำแพงของศัตรู ; ชื่อฉายาชนิด "glabra" หมายถึงไม่มีขน อ้างอิงถึงพื้นผิวด้านบนของใบซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีขน Vallaris glabra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2434 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเกาะชวาและเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย พบจากพม่าถึงอินโดนีเซีย (สุมาตรา, ชวา, หมู่เกาะซุนดา) พบที่ที่ระดับความสูง 700 ถึง 3,000 เมตร มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในที่อื่นๆ ทั่วโลก ลักษณะชมนาด เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยขนาดย่อม ลำต้นหรือเถาค่อนข้างเหนียว สูงได้ถึง 2-3 เมตร เถาแก่มีเนื้อไม้ เปลือกบางเรียบ สีเทาอ่อนทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ปกติต้องอาศัยต้นไม้อื่นขึ้นทอดพาดพัน อาจเลื้อยได้ไกลถึง 6-8 เมตร แต่ถ้าปลูกนานๆอาจแผ่เป็นพุ่มกว้างใหญ่ได้เหมือนกัน ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่แกมรูปรี ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ช่อดอกแบบช่อกระจุก ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อละ 15-30 ดอก ดอกสีขาว กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมแคบ กลีบดอกเชื่อมกัน เป็นรูปถ้วยตื้นสีขาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก ปลายแหลมม้วนงอเข้าเล็กน้อย เกสรเพศผู้ 5 เกสร เกสรเพศเมียอยู่ภายในเหนือฐานรองดอก ผล เมื่อแก่แห้งแตกตามรอยตะเข็บเพียงด้านเดียว ดอกชมนาดมีกลิ่นหอมรัญจวนใจ กลิ่นคล้ายข้าวใหม่ผสมใบเตย หอมมากๆ ออกดอกปีละครั้งเดียว ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน จะมีดอกมากเป็นพิเศษช่วงเดือน เมษายน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน แต่ทนต่อร่มเงาบางส่วน ดินที่อุดมด้วยฮิวมัสและมีการระบายน้ำดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง คลุมดินด้วยปุ๋ยหมักเพื่อป้องกันไม่ให้ดินแห้งหรือรากร้อนเกินไป รดน้ำเมื่อดินแห้งเพื่อรักษาความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้น้ำขังแฉะ เมื่อใบเปลี่ยนเป็นสีซีดแสดงว่าต้องการน้ำ การตัดแต่งกิ่ง--- เมื่อดอกหมดรีบจัดคัดแต่งกิ่ง เพื่อให้ออกกิ่งใหม่มากๆ เพื่อปีต่อไปจะได้ออกดอกได้มากขึ้น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสสูง (12-24-12) เพื่อส่งเสริมการออกดอก หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพราะจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบมากกว่าดอก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ทุกๆ 2 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกมีกลิ่นหอมใช้ปรุงแต่งอาหารเช่นข้าวแช่ -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ดอกหอมปลูกขึ้นซุ้มหรือข้างรั้ว เป็นที่นิยมสำหรับการจัดสวนในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -ใช้เป็นยา ยางชำมะนาด รสร้อนเมา ใส่แผลสด ช่วยสมานแผลและห้ามเลือด ดอกชำมะนาด รสเมาเบื่อร้อน ช่วยถ่ายน้ำเหลือง ทำให้อาเจียน มีฤทธิ์ถ่ายแรงมาก เป็นยาอันตราย -อื่น ๆ ดอกไม้ใช้ทำน้ำอบ น้ำปรุง ระยะออกดอก---มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ปักชำ (การปักชำจะออกรากค่อนข้างยาก)
|
10 พวงคราม/Petrea volubilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Petrea volubilis L.(1753) ชื่อพ้อง ---Has 37 Synonyms. ---Petrea amazonica Moldenke.(1938) ---Petrea arborea Kunth.(1818) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-150919 ชื่อสามัญ---Queen's Wreath, Sandpaper vine, Purple Wreath, ชื่ออื่น---พวงคราม, ช่อม่วงพวงคราม ;[BENGALI: Nilmanilata.];[BRAZIL: Flor de Sâo Miguel, Jasmin roxo.];[COSTA RICA: Choreque.];[CUBA: Vella elvira.];[DUTCH: Purperkrans.];[EL SALVADOR: Adolfina, Flor de Jesus, Manto de Jesus.];[FRENCH: Fleur de la fête de dieu, Lliane à cercle, Liane pente-cote, Liane rude, Liane saint-jean, Liane violette.];[GERMAN: Purpurkranz.];[HAITI: Liane st. jean.];[HINDI: Nilmani Lata.];[INDIA: Kudirai valuppu, Nilmani lata, Nilmanilata.];[MEXICO: Aax, Adelfa, Bejuco de lija, Bejuco de soltero, Yoch opp tzi min.];[NICARAGUA: Machigua.];[PANAMA: Bejuco de ajo, Buirá, Flor de la cruz, Flor de niño, Viuda.];[PORTUGUESE: Estrela-azul, Flor-de-jesus, Flor-de-santa-maria, Viuvinha.];[SPANISH: Adolfina choreque, Estrella azul flor de Jesús, Flor de mayo, Flor de papel, Flor de Santa María hoja chigile, Lengua de vaca raspasombrero, Petrea, Soltero totopostillo.];[SWEDISH: Propellerbuske.];[TAMIL: Kudirai Valuppu.];[THAI: Chor moung, Phuang khram.];[VENEZUELA: Bejuco de mayo, Bejuco de palo, Flor de viuda, Moradito, Nazareno.]. ชื่อวงศ์---VERBENACEAE EPPO Code---PWTVO (Preferred name: Petrea volubilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---- ปารากวัย, บราซิล, โบลิเวีย, เปรู, เอกวาดอร์, โคลัมเบีย, เวเนซุเอลา, Guyanas; C. America - ปานามาไปยังเม็กซิโก; แคริบเบียน - ตรินิแดดไปฟลอริดา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล ' Petrea ' เป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมชาวอังกฤษ Robert James Petre (1713-1742) ; ชื่อสายพันธุ์ '' volubilis '' จากภาษาละติน หมายถึง 'twining' อ้างอิงสำหรับการปีนป่าย ตามธรรมชาติของกิ่งไม้ Petrea volubilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน : หมู่เกาะเวสต์อินดีส ประเทศบราซิล เติบโตในป่าดิบแล้งตามฤดูกาล ลำธาร ริมถนน กำแพง หินปูนที่สูงชันในป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้า จากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 1900 เมตร ลักษณะ พวงครามเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เป็นเถาขนาดใหญ่ อายุหลายปี กิ่งก้านเล็ก ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้างเหนียว สามารถเลื้อยไปได้ไกลกว่า 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นที่โคนถึง 10 ซม.ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตามข้อต้น รูปมนรีปลายแหลม ขนาดของใบกว้าง 5-7 ซม.ยาว 8-11 ซม.ใบสากคายมือ แผ่นใบค่อนข้างหนาและแข็ง ใบมีเส้นกลางใบสีเขียวอ่อน และเส้นใบย่อยแตกออกสลับข้างจากเส้นกลางใบ ดอก ออกเป็นช่อกระจะยาวตามซอกใบและปลายกิ่งช่อยาวประมาณ 20-25 ซม.แต่ละช่อมีดอก 10-50 ดอก ก้านดอกสั้นประมาณ 3-5 ซม.แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบรองดอก 5 กลีบ เรียงเป็นวงกลม กลีบรองดอกมีรูปรียาวคล้ายดาบ กว้างประมาณ 0.3-0.5 ซม. ยาวประมาณ 1.2-1.5ซม. ดอกสีม่วงหรือม่วงคราม มีดอกเล็กๆอยู่ตรงกลาง สีม่วงสว่างสดใสมากมักจะบานพร้อมกันหมดทั้งช่อ ขนาดดอกรวมกลีบประดับ 2-3 ซม กลีบดอกจะเริ่มบานออกเมื่อกลีบรองดอกมีสีขาว โดยกลีบดอกจะมี 5 กลีบ เรียงกันเป็นวง แต่ละกลีบมีลักษณะปลายกลีบมนเป็นครึ่งวงกลม มีโคนกลีบดอกสอบแหลมเข้า และเชื่อมติดกับกลีบดอกอันอื่น ซึ่ง กลีบดอกที่บานครั้งแรกจะมีสีม่วงอ่อน หลังจากนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม พร้อมๆกับกลีบรองดอก และก้านช่อดอกก็จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มด้วยเช่นกัน เมื่อดอกแก่เต็มที่ กลีบดอกจะร่วงหมด เหลือเพียงกลีบรองดอกที่ติดกับฐานดอกหุ้มเมล็ด ผล และเมล็ดเจริญที่ฐานดอกที่เจริญมาจากรังไข่ ซึ่งจะถูกห่อหุ้มไว้บริเวณฐานดอก เมล็ดมีลักษณะเกือบกลม และค่อนข้างแบนเล็กน้อย แต่เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์จะมีลักษณะทรงกระบอก ไม่อวบออกด้านข้าง เปลือกเมล็ดมีสีน้ำตาล เมื่อแช่น้ำจะกลายเป็นสีดำ *ไม่พบผลไม้ในการเพาะปลูก อ้างอิงจาก S Rueda (1994) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดโดยตรงตั้งแต่ 5-6 ชั่วโมง และในที่ร่มเงาบางส่วน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้น มีการระบายน้ำดี pH 5.6 -7.5 อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การรดน้ำ---สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ ควรรดน้ำวันละครั้งเป็นประจำและสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูหนาวลดการให้น้ำลง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง นอกจากกำจัดกิ่งที่เสียหายหรือตายออก หรือตัดแต่งเพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เป็นหนึ่งในอาหารโปรดของพืชชนิดนี้ เดือนละครั้ง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อแมลงศัตรูพืชและโรคพืชสูง ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น มักจะปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อน -ใช้กินได้ ดอกนำมาคั้นสกัดเอาน้ำสำหรับเป็นสีทำขนม หรือที่เรียกว่า ขนมช่อม่วง -ใช้เป็นยา ลำต้น และกิ่ง นำมาต้มน้ำดื่มแก้ปัสสาวะเล็ด น้ำต้มแก้อาการท้องร่วง หรือโรคบิด แก้ริดสีดวงทวาร-ดอก ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันโรคหลอดเลือดในสมอง ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่าย -ใช้ปลูกประดับ **การพูดคุยส่วนตัว สำหรับคนชอบดอกไม้สีม่วงนะต้นนี้เลย ดอกจะออกดอกมากในช่วงหนาวจัดและแล้งจัด จะทิ้งใบหมด ต้นนี้ถ้าปลูกลงกระถางแล้ว ออกดอกในกระถางได้แต่จะไม่อลังการ ถ้าปลูกลงดินขึ้นซุ้มเวลาออกดอกจะแสดงศักยภาพเต็มที่ ช่อดอกจะยาวระย้าสวยมาก การปลูกขึ้นซุ้ม ซุ้มต้องแข็งแรงพอรับน้ำหนักและเถาขนาดใหญ่ได้ดี ** -อื่น ๆ ดอกนำมาต้มย้อมผ้า ให้ผ้าสีครามหรือสีม่วง-ไม้ไม่มีคุณค่าทางการค้า ใช้ในท้องถิ่นเพื่อทำของเล่น-ไม้เนื้อแข็ง เผาไหม้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีควันมาก ทำให้เป็นเชื้อเพลิงที่ดี-ใบไม้ถูกใช้ในเม็กซิโกเพื่อเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์์---ด้วยการตอนกิ่งและปักชำ เมล็ดไม่งอกง่าย แช่ในน้ำ 1-2 วันระหว่าง 24-28°C โดยมีระยะเวลางอกประมาณ 1-2 เดือน ( Monaco Nature Encyclopedia, 2019 )
|
11 พวงแส/Jacquemontia pentantha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Jacquemontia pentanthos (Jacq.) G. Don.(1838) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms. ---Convolvulus azureus Rich.(1792) ---Ipomoea canescens (Kunth) G. Don.(1838) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8500066 ชื่อสามัญ---Little Blue Hat, Skyblue Cluster vine, Jacquemontia, Pentantha. ชื่ออื่น ---พวงแส, แส, แสเถา ;[BOLIVIA: Aguinaldo azul.];[GUATEMALA: Akilxiu, Yaxhal, Sacmiz.];[MEXICO: Yaax-hebil, Sacmiz.];[THAI: Phuang sae, Sae, Sae thao.]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---IAQPE (Preferred name: Jacquemontia pentanthos.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ; เม็กซิโก อาฟริกา แคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล ' Jacquemontia ' เป็นเกียรติแก่ Victor Jaquemont นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและนักสำรวจ ; ชื่อสายพันธุ์ '' pentanthos '' อ้างถึงกลุ่มดอกไม้ (panicles) Jacquemontia pentantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2381 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตั้งแต่ฟลอริดาถึงแคริบเบียนเม็กซิโกไปจนถึงอเมริกาใต้ ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นหรือเถามีลักษณะคล้ายเถาวัลย์เล็กๆเป็นสีน้ำตาลเข้มมีเนื้อไม้ อาจเลื้อยได้ไกลตั้งแต่3-5เมตร ใบเล็กแผ่นใบบางรูปคล้ายใบโพธิ์ ขนาดของใบยาวประมาณ5ซม.ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ3-5ดอกขนาดดอกกว้างประมาณ 5ซม. ดอกคล้ายปากแตรบานสีน้ำเงินอมม่วง ผลแคปซูลกลม สีน้ำตาล เมล็ดสีน้ำตาลยาว 2.5 มม.ผลแก่แห้งแล้วแตก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดเต็มวันหรือในร่มเงาบางส่วน ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี สามารถทนต่อลมทะเลและละอองเกลือจำนวนมากและต่อเนื่องได้ การเจริญเติบโตเร็ว การรดน้ำ---ไม่ชอบดินที่เปียกชื้น ทนแล้งได้ดี ควรรดน้ำ 2 วันครั้งเป็นประจำและสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูหนาวลดการให้น้ำสง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดยอดแห้งออกอย่างละเอียดหลังจากดอกบานหมด การตัดแต่งกิ่งในระดับปานกลางเป็นครั้งคราวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้อยู่ในขอบเขต อย่าตัดแต่งกิ่งมากไปในช่วงปลายฤดูร้อน เพราะอาจส่งผลเสียต่อการออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยทุกเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ปราศจากศัตรูพืชและโรค ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ดอกไม้ ที่มีสีน้ำเงิน มีอยู่ในโลกไม่มากชนิดนัก จึงมักเป็นดอกไม้ที่หายากและมักมีผู้นิยมปลูกมากกว่าดอกไม้สีอื่นๆ ใช้ปลูกประดับตามรั้วโปร่งหรือปลูกเป็นแผงกั้นบังตา ระยะออกดอก/ติดผล--- กันยายน - พฤษภาคม ขยายพันธุ์---การตอนกิ่ง ทับกิ่ง **การพูดคุยส่วนตัว จำได้ว่าเมื่อประมาณปี 2541มีลูกค้าท่านหนึ่งเกษียณอายุแล้วเป็นสตรี ท่านต้องการต้นแสมาเป็นไม้เลื้อยหลังคาซุ้ม เล่นเอาเหงื่อตกหาแทบพลิกตลาดต้นไม้ไม่เจอเลยซักต้น แม่ค้าไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ตนเองรึก็ไม่เคยเห็นต้นจริงซักที เผอิญมีคุณป้าที่ขายต้นไม้คนหนึ่งบอกว่าที่บ้านปลูกไว้จะตอนมาให้อีกเดือนครึ่งค่อยมา ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อยๆเห็น แสเป็นไม้ที่มีขายในตลาดต้นไม้ทั่วไปเพราะขายดี ด้วยว่า แส ขยายพันธุ์ง่าย ดอกดกพรั่งพรูตลอดปี ชอบแดดจัด น้ำจัด เติบโตได้ดีในดินทุกชนิดและสวยมากจริง
|
12 พวงชมพู/Antigonon leptopus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Antigonon leptopus Hook. & Arn.(1840) ชื่อพ้อง--- Has 6 Synonyms. ---Antigonon amabie K.Koch.(1871) ---Antigonon cinerascens M.Martens & Galeotti.(1843) ---Antigonon platypus Hook. & Arn.(1838) ---Corculum leptopus Stuntz.(1913) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2642295 ชื่อสามัญ ---Bride's tears, Chain- of- love, Confederate-vine, Hearts on a Chain, Rosa de Montana, Mountain-rose Coralvine, Sandwich Island Creeper, Icecream Flowers, Mexican Creeper, Honolulu Creeper, Queen's jewels, Queen's wreath. ชื่ออื่น --- ชมพูพวง (กรุงเทพฯ), หงอนนาก (ปัตตานี), พวงนาก (ภาคกลาง) ;[AUSTRALIA: Coral creeper.];[BENGALI: Anantalata.];[BRAZIL: Amor agarradinho.];[CHINESE: Shānhú téng, Zhāorì téng.];[FIJI: Corallita.];[FRENCH: Antigone, Antigone à pied grêle, Belle mexicaine, Liane antigone, Liane corail.];[GERMAN: Mexikanischer Knöterich, Mexikanischer Rosenknöterich.];[HAITI: Belle mexicaine, Pois-et-riz.];[PALAU: Dilngau.];[PHILIPPINES: Cadena-de-amor (Span., Tag.).];[PORTUGUESE: Amor-agarradinho, Antígono, Corriola-de-nossa-senhora-de-fátima, Rosa-da-montanha.];[SPANISH: Bellísima, Cadena de amor, Coral, Coralilla, Coralillo, Coralillo rosado, Coralita, Pensamiento, Flor de San Miguel, Rosa de montaña.];[SWEDISH: Rosensky.];[TAMIL: Kodi Rose.];[THAI: Phuang chom phoo.];[TONGA: Ufi.];[UNITED STATES VIRGIN ISLANDS: Love chain.]. ชื่อวงศ์---POLYGONACEAE EPPO Code---AIGLE (Preferred name: Antigonon leptopus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อน,กึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Antigonon' มาจากคำภาษากรีกที่ มีความหมาย ต่อต้านแทนที่ และรูปหลายเหลี่ยม Antigonon leptopus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักไผ่ (Polygonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ George Arnott Walker -Arnott (1799–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2383
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก นอกเหนือจากถิ่นกำเนิดสายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกฝังในสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นทั่วโลกรวมถึงแอฟริกา, อินเดีย, ออสเตรเลีย, อเมริกาเหนือ, อเมริกากลางและอเมริกาใต้, หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พบที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตรในกัวเตมาลา พันธุ์ไม้นี้เป็นพันธุ์ไม้พื้นบ้านของเม็กซิโก ซึ่งชาวพื้นเมืองของเขาเรียกพวงชมพูว่า Chain of Love คนอังกฤษหรืออเมริกันจะเรียกว่าCoral vine หรือ Mexican Creeper ส่วน fiji จะเรียกว่า Corallita ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกลำต้นหรือเถาเป็นสีน้ำตาลเข้มมีขนาดค่อนข้างเล็ก มีมือจับ สามารถเลื้อยพาดพันสิ่งเกาะยึดได้ไกล6-12เมตร ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับทิศทางกันไปตามข้อต้น ใบสากสีเขียว รูปหัวใจ หรือรูปสามเหลี่ยมปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเข้าหากันจนชิด ขอบใบเรียบเกลี้ยงแลเห็นเส้นแขนงใบชัดเจน ขนาดใบยาว5-7ซม.ดอก ออกเป็นช่อรวมกันเป็นกลุ่ม ตามง่ามกิ่งส่วนยอด มีทั้งสีชมพูและสีขาวแต่ส่วนใหญ่จะพบแต่สีชมพูมากกว่า ดอกขนาดเล็กประมาณ1ซม.ช่ออาจชูตั้งขึ้นหรือห้อยเป็นพวงระย้าลง ช่อดอกยาวตั้งแต่9-15ซม.ติดดอกช่อละประมาณ 25-55 ดอก ผลเป็นผลแห้งเมล็ดล่อน รูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 0.6-1 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด เจริญเติบโตในสภาพดินเกือบทุกๆรูปแบบ ค่า pH ของดิน 6.1-7.8 ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1° ถึง 4° C) การรดน้ำ---สัปดาห์ละครั้งถึงสองครั้ง พืชชนิดนี้ให้น้ำให้ปุ๋ยเป็นประจำสม่ำเสมอ จะออกดอกได้ทั้งปี แต่จะดกมากในเดือนฤดูร้อนคือระหว่าง เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ถ้าขาดน้ำจะแห้งตาย แต่จะมีหัวพักฟื้นอยู่ใต้ดิน ซึ่งจะงอกเป็นพวงชมพูต้นใหม่ได้ในฤดูฝนหน้า การตัดแต่งกิ่ง---เพื่อรักษาขนาดที่จัดการได้ ตัดแต่งตามต้องการได้ตลอดทั้งปี ตัวเลือกที่ง่ายกว่าคือการตัดต้นไม้ลงกับพื้นในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ ใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัว การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยเอนกประสงค์ 1-2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงปลายฤดูปลูก ศัตรูพืช/โรคพืช--- ไม่มีศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญที่ส่งผลกระทบ หนอนผีเสื้ออาจทำให้พืชเสียหายได้โดยการกัดกินใบไม้ รู้จักอันตราย---พืชไม่เป็นที่รู้จักว่าเป็นอันตรายหรือเป็นพิษเลย ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนและช่อดอกตูม ลวกสุก กินเป็นผัก รากหัวใต้ดินสามารถปรุงสุกและกินได้มีรสชาติเหมือนถั่ว -ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้จัดสวนแนวตั้ง พื้นที่ผนังที่ต้องการสีเขียว ขี้นซุ้มระแนง ซุ้มทางเดิน หรือจะปลูกใส่ภาชนะสำหรับปลูก ให้ห้อยลงมาก็ได้ -ใช้เป็นยา รากและเถาใช้เป็นยากล่อมประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง
|
13 พวงประดิษฐ์/Congea tomentosa
KON-jee-a-toh-men-TOH-suh
ชื่อวิทยาศาสตร์---Congea tomentosa Roxb.(1820) ชื่อพ้อง--- Has 9 Synonyms. ---Calochlamys capitata C.Presl.(1845) ---Congea oblonga Pierre ex Dop.(1915) ---Congea petelotii Moldenke.(1951) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-46556 ชื่อสามัญ---Shower Orchid, Lavender Wreath, Wooly Congea, Shower of Orchids ชื่ออื่น--- ออนแดง (เชียงใหม่), ค้างเบี้ย เบี้ย (นครพนม), พลูหีบ ล้วงสุ่มขาว ล้วงสุ่มตัวผู้ (นครราชสีมา), สะแกบ (อุดรธานี), งวงชุม (เลย), จั่งบั่ง ท้องปลิง (จันทบุรี), สังขยา (พิษณุโลก, สงขลา), พญาโจร, พวงประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ), กาไบ้ดง ;[BENGALI: Kangi.];[CHINESE: Rong bao teng, Rong bao teng shu.];[FRENCH: Pluie d'orchidees,];[PORTUGUESE: Congeia, Côngea.];[SPANISH: Lluvia de orquideas, Terciopelo.];[THAI: Khruae on, Phuang pradit.[;[VIETNAM: Lam nhung long.]. ชื่อวงศ์---SYMPHOREMATACEAE EPPO Code---KGATO (Preferred name: Congea tomentosa.) ถิ่นกำเนิด---ไทย พม่า มาเลเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้ ; เอเซียคะวันออกเฉียงใต้ รวม ลาว เวียตนาม มาเลเซีย จีน (ยูนนาน) บังคลาเทศ อินเดีย นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุล 'Congea' มาจากท้องถิ่น '' kangi '' ใช้ในเบงกอลสำหรับสายพันธุ์นี้ ; ชื่อเฉพาะ 'tomentosa' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' tomentosus, a , um '' = fuzzy อ้างอิงถึงด้านล่างซึ่งครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของพืชไว้ Congea tomentosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Symphoremataceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2363
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพืชพื้นเมืองพม่าและประเทศไทย สามารถพบได้ที่อื่น ๆ ในภาคใต้ของเอเชียรวมทั้งลาว ,เวียดนาม, มาเลเซีย (รัฐเกดะห์), จีน (ยูนนาน), บังคลาเทศและอินเดีย (อัสสัม, มณีปุระ, รัฐทมิฬนาฑูและรัฐเบงกอลตะวันตก) พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังป่าผสม ที่ระดับความสูง 600-1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกลถึง 10-15 เมตร สามารถแตกกิ่งก้านทอดยอดแผ่คลุมต้นไม้ใหญ่ มีอายุยืนหลายปี ผลัดใบ ตามกิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนนุ่ม กิ่งอ่อนเป็นรูปสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ แต่ละคู่สลับทิศทางกันขนาดของใบยาว 8-13 ซม.รูปไข่ โคนใบมน ปลายใบแหลมและมีติ่งยาว ดอก ช่อแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อยาว 30-50 ซม. ดอกย่อยออกเป็นกระจุกตรงข้ามกันกระจุกละ5ดอก มีกลีบประดับสีชมพูอมม่วงหรือสีเงิน มีขนนุ่มปกคลุม มี3กลีบ เมื่อบานมีขนาด 2-2.5 ซม. ผลแคปซูลแห้งรูปไข่กลับมี 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ทนร่มเงาเล็กน้อย ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน หากมีการระบายน้ำดี ชอบดินที่อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ pH 5.6-7.5 การรดน้ำ---สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอรักษาความชื้นเกือบตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นไม้พุ่มได้ การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้หลายครั้งตลอดทั้งปี เพื่อรักษาขนาดของเถาและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ กำจัดส่วนที่ตายหรือกำลังจะตายของพืชออก การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเอนกประสงค์ 1-2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง ระวังหนอนผีเสื้อ รู้จักอ้นตราย---(1) ไม่มีหลักฐานความเป็นพิษใน PubMed (2) ไม่มีหลักฐานความเป็นพิษใน ToxNet ใช้ประโยชน์--- ปลูกเป็นไม้ประดับ เลื้อยไต่ซุ้มให้ร่มเงา -ใช้เป็นยา ใบหรือทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต ใช้ตำคั้นเอาน้ำทาเป็นยาบรรเทาอาการอักเสบจากตะขาบ แมงป่อง และแมลงมีพิษกัดต่อย ใบหรือทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---การตอนกิ่งและปักชำราก **การพูดคุยส่วนตัว ช่วงธันวาคม-เมษายน จะเป็นช่วงออกดอกถ้าขับรถขึ้นเหนือตอนนั้น อย่าลืมมองสองข้างทางช่วง เถิน ลำปาง จะมองเห็น ดอกยิบๆสีชมพูอมม่วงหรือเงิน ตามยอดต้นไม้ใหญ่ สวย....สวย ดอกดกมาก รูปนี้ถ่ายไว้ จากบ้านเพื่อนบ้าน ตอนนี้ท่านตัดทิ้งไปแล้ว เสียดาย ท่านว่า... รก...จบเลย** (2008)
|
14 พวงโกเมน/Mucuna bennetti
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Mucuna warburgii K.Schum & Lauterb.(1900) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-40050 ---Mucuna bennettii sensu Polunin. ---Mucuna miniata Merr. ---Mucuna peekelii Harms.(1920) ชื่อสามัญ---New Guinea Creeper, Red Jade Vine, Devil's Claw, Red Jade Liana, Vinelet Jade Scarlet. ชื่ออื่น---พวงโกเมน ;[FRENCH: Griffes du diable, Liane de Jade rouge.];[THAI: Phuang komen.]; ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) EPPO Code---MUCSS (Preferred name: Mucuna sp.) ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกีนี, หมู่เกาะบิสมาร์ก ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'warburgii' เป็นเกียรติแก่ นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Otto Warburg (1859–1938) Mucuna warburgii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย และ Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2443
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในปาปัวนิวกินีถึงหมู่เกาะบิสมาร์ก(Bismarck Archipelago) และปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเขตร้อน ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งเมื่อแก่มีเนื้อไม้ขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกลถึง 20-30 เมตร ลำต้นรูปทรงกระบอก มีขนสีน้ำตาล ทอดเลื้อยหรือเลื้อยพันต้นไม้ชนิดอื่น ใบประกอบแบบมีใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) รูปไข่ปลายใบแหลมโคนใบมน ขนาดใบกว้าง 5-7.5 ซม.ยาว 11-13 ซม.ขอบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อกระจะขนาดใหญ่ห้อยลงตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อยาว 15-25 ซม.ทยอยบานจากโคนไปปลายช่อ ดอกรูปถั่ว กลีบดอกสีส้มอมแดง มี 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายโค้งเรียวคล้ายดอกแค ผลเป็นฝักยาว10-15 ซม.เมื่อแก่แตกออกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดกลม 12 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน รากอยู่ในร่มเงาเต็มที่ทำได้โดยการคลุมด้วยหญ้ารอบๆโคนต้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและใบไม้ร่วงหากอุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 13℃ ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ ชื้นสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต เร็วและอายุยืน. การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแห้งแตก การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเล็กน้อยหลังจากดอกบาน ระวังการตัดแต่งกิ่งอย่างหนักซึ่งอาจทำให้การออกดอกล่าช้า เนื่องจากพืชจะผลิดอกออกผลทั้งเก่าและใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย 12-24-12 เดือนละสองครั้ง หรือใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป ศัตรูพืช/โรคพืช---มีแนวโน้มที่จะรากเน่าในดินที่ชื้นแฉะ ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยออกดอกสวยงาม เลื้อยขึ้นร้าน หรือเลื้อยขึ้นตามต้นไม้ หรือซุ้มประตู ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์ - เมษายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
พวงหยก/Strongylodon macrobotrys
Picture : https://www.picturethisai.com/fr/wiki/Strongylodon_macrobotrys.html ชื่อวิทยาศาสตร์--- Strongylodon macrobotrys A.Gray.(1854) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. ---Strongylodon megaphyllus Merr.(1915) ---Strongylodon warburgii Perkins.(1851) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-30839 ชื่อสามัญ--- Jade vine, Emerald vine, Emerald creeper, Turquoise jade vine ชื่ออื่น---พวงหยก ; [CHINESE: Fěicuì gé, Lǜ yù téng.];[FRENCH: Liane de jade.];[GERMAN: Jade-Wein.];[JAPANESE: Hisuikazura.];[MALAYALAM: sṭrēāṅgilēāḍēāṇ mākrēābēāṭris.];[PHILIPPINES: Tayabak (Local).];[PORTUGUESE: Jade-azul, Trepadeira-filipina, Trepadeira-jade.];[SPANISH: Cascada de jade.];[SWEDISH: Jadevin.];[THAI: Phouang yok.];[VIETNAM: Móng cọp xanh.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) EPPO Code--- SGOMA (Preferred name: Strongylodon macrobotrys.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- ฟิลิปปินส์ อินเดีย นิวกินี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Strongylodon' คำภาษากรีก 'Strongylos'= กลมและมีกลิ่น และ 'odontos'= "ฟัน" โดยอ้างอิงถึงถึงฟันที่กลมของกลีบเลี้ยง ; ชื่อสปีชีส์ 'macrobotrys' มาจาก 'makros' = "ขนาดใหญ่" และ 'botrys' = "พวงขององุ่น" อ้างอิงจากรูปร่างของช่อดอกที่ห้อยลงมา Strongylodon macrobotrys เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Asa Grey (ค.ศ. 1810–1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปีพ.ศ.2397
Picture : https://www.researchgate.net/figure/Strongylodon-macrobotrys_fig1_341672736 ที่อยู่อาศัย ไม้ถิ่นเดียวในป่าเขตร้อนของประเทศฟิลิปปินส์ เปิดตัวในอินเดีย นิวกินี ที่ระดับความสูง 1200 - 1500 เมตร ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2384 บนเนินเขา Makiling บนเกาะลูซอนของฟิลิปปินส์โดยสมาชิกของUnited States Exploring Expeditionนำโดยร.ท. Charles Wilkes กองทัพเรือสหรัฐฯ ปัจจุบันมันใกล้จะสูญพันธุ์ในป่าส่วนใหญ่เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งทำลายที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของมันไปมาก แต่พืชอยู่รอดได้ในการเพาะปลูกในฟิลิปปินส์และในเรือนเพาะชำ/สวนอื่นๆ หลายแห่งในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก . ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยยืนต้น เถาใหญ่เนื้อแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก สามารถเลื้อยได้ไกล 3–6 (18) เมตร ลำต้นหนา เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 ซม.ใบประกอบ แบบมีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยปลายสุดรูปรี ส่วนใบย่อยด้านข้างรูปไข่ กว้าง 3-4 ซม. ยาวประมาณ 10 ซม. ปลายใบและโคนใบทู่ ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน แผ่นใบเหนียวหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอกมีสีเขียวลักษณะคล้ายดอกแคออกเป็นพวง ห้อยระย้าเบียดกันแน่น ห้อยลงจากซอกใบใกล้ปลายกิ่งยาวประมาณ 0.70-0.90 เมตร ดอกย่อยรูปดอกถั่ว ยาวประมาณ 5.5 ซม. ดอกจะเปลี่ยนสีเมื่อแห้งจากสีเขียวมิ้นต์เป็นสีเขียวอมฟ้าไปจนถึงสีม่วง ดอกไม้แต่ละดอกจะอยู่ได้เพียงสองสามวันเท่านั้น ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน ยาวได้ถึง 10-15 ซม.เมื่อแก่ แตกเป็น 2 ซีก และมีเมล็ดมากถึง 12 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน รากอยู่ในร่มเงาเต็มที่ทำได้โดยการคลุมด้วยหญ้ารอบๆโคนต้น ทนอุณหภูมิต่ำสุด 15 °C ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ ชื้นสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี pH 5.6 อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแห้งแตก การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเล็กน้อยหลังจากดอกบาน ระวังการตัดแต่งกิ่งอย่างหนักซึ่งอาจทำให้การออกดอกล่าช้า เนื่องจากพืชจะผลิดอกทั้งเก่าและใหม่จะผลิตดอกออกมาอย่างมากมายเมื่อเถาแก่เต็มที่ (หลังจาก2 ปีขึ้นไปขึ้นอยู่กับวิธีการตัดแต่งกิ่ง ) การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำเจือจางสูครสมดุลเดือนละสองครั้ง หรือใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป ลดปริมาณไนโตรเจนลงเมื่อพืชเข้าสู่ช่วงออกดอก ในฤดูหนาวไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง แต่สามารถได้รับผลกระทบจากเพลี้ยแป้งเพลี้ยอ่อนและไร /โดยทั่วไปปราศจากโรค อาจเกิด ไวรัส Soybean Mosaic ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในฟิลิปปินส์ กินดอกไม้และกินเป็นผักในลักษณะเดียวกับโสน -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยออกดอกสวยงาม เลื้อยขึ้นร้าน ศาลาริมน้ำ รั้วบ้านทางเข้าประตู ระยะออกดอก---กันยายน-เมษายน ขยายพันธุ์---ปักชำ หรือตอนกิ่ง หรือเพาะเมล็ด (ฝักเมล็ดไม่ได้เกิดขึ้นจากการเพาะปลูก แต่โดยการเลียนแบบการกระทำของแมลงผสมเกสรตามธรรมชาติ Kew Gardens ประสบความสำเร็จในการผสมเกสรดอกไม้และผลิตเมล็ด)
|
15 พวงเงิน/Clerodendrum thomsoniae
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Clerodendrum thomsoniae Balf.f.(1862) ชื่อพ้อง--- Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-43106 ---Clerodendrum balfourii (B.D.Jacks. ex Dombrain) Dombrain.(1869) ---Clerodendrum thomsoniae var. balfourii B.D.Jacks. ex Dombrain.(1865) ชื่อสามัญ---White Bleeding Heart, Bleeding glory-bower, Bag-flower, Bleeding-heart vine, Glory tree, Tropical bleeding heart. ชื่ออื่น---พวงแก้ว, มังกรคาบแก้ว, หัวใจแตก ;[CUBA: Clara lisa, Claralisa, Clemátida, Clerodendron, Crendolento, Crendolinda, Jamaiquina, Querendona.];[DOMINICAN: Bandera holandesa, Coquisa.];[DUTCH: Gebroken hartjes.];[FRENCH: Clérodendron de Madame Thomson, Gloire des charmilles.];[GERMAN: Blutendes Herz, Kletterlosbaum, Kletternder Losstrauch.];[JAPANESE: Genpei-kazura, Genpei-kusagi.];[MYANMAR: Bleeding heart, Tike-pan,Taik-pan-gyi.];[PORTUGUESE: Clerodendro-roxo, Clerodendro-trepador, Lágrima-de-cristo.];[PUERTO RICO: Bandera danesa.];[RUSSIA: Klerodendron gospozhi Tomson.];[SWEDISH: Brokklerodendrum.];[THAI: Phuang kaew, Mung kon kap kaew.]. ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE) EPPO Code---CLZTH (Preferred name: Clerodendrum thomsoniae.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันตก อินเดียถึงจีนตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Clerodendrum' มาจากภาษากรีก 'kleros', ความหมาย 'โอกาส' ‘lot’, หรือ ‘fate’ แปลว่า 'ต้นไม้แห่งโอกาส' อ้างอิงถึงตำนานพื้นเมืองว่าพืชมีสรรพคุณทางยา ซึ่งเป็นวิธีรักษาโรคได้; ชื่อสายพันธุ์ 'thomsoniae' ได้รับการตั้งชื่อตามคำร้องขอของนายวิลเลียมคูเปอร์ทอมสัน (1829-1878)ผู้สอนศาสนาและแพทย์ในไนจีเรียเพื่อเป็นเกียรติแก่ภรรยาคนแรกของเขา Clerodendrum thomsoniae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Isaac Bayley Balfour (1853–1922) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2405 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของแอฟริกาตะวันตกจากประเทศแคเมอรูนตะวันตกไปเซเนกัล (แคเมอรูน, แกมเบีย, กานา, อ่าวกีนี, เซียร์ราลีโอน, ซาเอเร, เซเนกัล, ไนจีเรียและสาธารณรัฐคองโก) ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลกและเป็นที่รู้จักกันว่าได้รับการแปลงสัญชาติในสถานที่แนะนำหลายแห่งรวมถึง Guiana Shield, Belize, United States, หมู่เกาะกาลาปากอส และออสเตรเลีย ถูกใช้เป็นไม้ประดับรวมถึงโคลัมเบีย, เปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จิน พม่า อินเดียและ French Polynesia ( Wagner et al., 2014 ) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้เถา ในถิ่นกำเนิดมันสามารถเติบโต และเลื้อยได้ไกล 3-7 เมตร แต่พืชในภาชนะจะยังคงมีขนาดเล็กกว่ามาก ใบเดี่ยวออกตรงข้าม ชนาด 5.2-14 × 2.7-7 ซม. รูปไข่หรือรูปใบหอก ก้านใบยาว 1-2.8 ซม. ดอกของพวงเงินจะบานอยู่ราว2วัน จึงจะหลุดจากใบประดับที่มีสีขาวสะอาดตา ผลปกคลุมด้วยกลีบเลี้ยงกว้าง 2.3 ซม.ยาว 10-14 มม. เมล็ดรูปขอบขนานสีดำมันวาว เป็นไม้ดอกดกมีดอกตลอดปี เมื่อดอกโรยรีบตัดกิ่งทิ้งจะแตกกิ่งออกดอกใหม่ได้เร็วขึ้นพวงเงินเรียกอีก อย่างว่ามังกรคาบแก้ว เพราะดอกที่โผล่พ้นจากใบประดับจะเป็นสีแดงจัดคล้ายดอกเข็มและมีเกสรสีขาว มองเหมือนเส้นด้ายยาวยื่นออกมาจากตาดอก ผลไม้สีเขียว สุกเป็นสีแดงถึงดำ แก่แล้วแตกออกเห็นเมล็ดสีดำ 4 เมล็ดอยู่ในเนื้อสีส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม้ชนิดนี้อยู่ได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ต้องการแสงแดดโดยตรงเพื่อที่จะออกดอกได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด 7° C ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี ค่า pH ตั้งแต่กรดเป็นกลางและด่าง การปลูก---หากปลูกกลางแจ้งควรมีซุ้มให้เลื้อย จะสวยงามกว่าไม่มีที่ให้เกาะจับ และควรปลูกไว้หลุมละ 2-3 ต้นจะได้ร่มไม้ใบบังเป็นอย่างดี การรดน้ำ---รดน้ำต้นไม้บ่อยๆ ในช่วงที่อากาศแห้ง พืชต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ในฤดูหนาว ให้งดน้ำไว้จนกว่าการเจริญเติบโตใหม่จะเริ่มขึ้น (ให้น้ำเพียงพอเพื่อไม่ให้ดินแห้งและไม่ต้องใส่ปุ๋ย) การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเป็นไม้พุ่มได้ ออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ จึงควรตัดต้นทิ้งหลังจากดอกบานแล้ว เล็มยอดเก่าที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำละลายน้ำเจือจางทุก 2 สัปดาห์ หรือใส่ปุ๋ยละลายช้าทุก 2 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ถูกรบกวนน้อย แต่บางครั้งเพลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ โดยทั่วไปแล้วสเปรย์สบู่ฆ่าแมลงก็เพียงพอที่จะควบคุมศัตรูพืชได้ ฉีดพ่นซ้ำทุกๆ 7-10 วัน หรือจนกว่าแมลงจะหมดไป ใช้ประโยชน์---พืชมีการเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น และปลูกกันอย่างแพร่หลาย เป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ใบและดอกถูกทุบ นำไปใช้กับรอยฟกช้ำบาดแผลผื่นผิวหนังและแผล -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยออกดอกสวยงาม เลื้อยขึ้นร้าน ศาลาริมน้ำ รั้วบ้านทางเข้าประตูสามารถปลูกเป็นไม้กระถาง -อื่น ๆ ใบที่ถูกทำให้สุกจะถูกใช้เป็นแชมพูเพื่อป้องกันการขูดขีดของหนังศีรษะและเพื่อขจัดรังแค ระยะออกดอก---ตลอดปี การขยายพันธุ์--- พวงเงินเป็นไม้ติดเมล็ดยากฉนั้นจึงนิยมใช้การขยายพันธุ์ด้วยการตอนและตัดกิ่งปักชำมากกว่าการเพาะเมล็ด
|
16 พวงนาก/Clerodendrum x speciosum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Clerodendrum x speciosum Dombrain.(1869) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/ ชื่อสามัญ---Java Glory Vine, Java glory-bean, Red Bleeding- Heart, Clerodendrum Vine, Pagoda Flower, Californian Incense-cedar, Glorybower. ชื่ออื่น---พวงแก้วแดง, พวงนาก ;[CHINESE: Hónghuā lóng tǔ zhū, Hóng è lóng tǔ zhū, Hóng è zhēn zhūbǎo lián];[JAPANESE: Benibenkeikazura, Keiji Beni.];[SWEDISH: Praktklerodendrum.];[THAI: Phuang kaew daeng, Phuang nak.]. ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE) EPPO Code---CLZSS (Preferred name: Clerodendrum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนทั่วไป นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Clerodendrum' มาจากภาษากรีก 'kleros', ความหมาย 'โอกาส' ‘lot’, หรือ ‘fate’ แปลว่า 'ต้นไม้แห่งโอกาส' อ้างอิงถึงตำนานพื้นเมืองว่าพืชมีสรรพคุณทางยา ซึ่งเป็นวิธีรักษาโรคได้ Clerodendrum x speciosum ลูกผสมระหว่าง Clerodendrum splendens และ Clerodendrum thomsoniae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Honywood Dombrain (1818–1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2412
ที่อยู่อาศัย พบได้ทั่วไปในประเทศในเขตร้อน ลักษณะ พวงนากเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้เถาเล็กรอเลื้อย มีอายุอยู่ได้หลายปี เลื้อยได้ไกลประมาณ 2-4 เมตร ลำต้นเกลี้ยงสีม่วงแดง ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปไข่ ขนาด กว้าง 6-8 ซม. ยาว 10-14 ซม. ปลายใบแหลมโคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 2-2.5 ซม.แผ่นใบสีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีแดงเรื่อ รูปหัวใจกลับ 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก ไม่สมมาตร กลีบดอกสีแดงเข้ม โคนกลีบเชื่อมเป็นหลอด ยาว 2 ซม.ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เกสรเพศผู้สีชมพูเป็นเส้นยาวยื่นออกมาพ้นดอก ขนาดดอก 1 ซม.ไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม้ชนิดนี้อยู่ได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ต้องการแสงแดดโดยตรงเพื่อที่จะออกดอกได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด 7° C ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี ค่า pH ตั้งแต่กรดเป็นกลางและด่าง การปลูก---หากปลูกกลางแจ้งควรมีซุ้มให้เลื้อย จะสวยงามกว่าไม่มีที่ให้เกาะจับ และควรปลูกไว้หลุมละ 2-3 ต้นจะได้ร่มไม้ใบบังเป็นอย่างดี การรดน้ำ---รดน้ำต้นไม้บ่อยๆ ในช่วงที่อากาศแห้ง พืชต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ในฤดูหนาว ให้งดน้ำไว้จนกว่าการเจริญเติบโตใหม่จะเริ่มขึ้น (ให้น้ำเพียงพอเพื่อไม่ให้ดินแห้งและไม่ต้องใส่ปุ๋ย) การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเป็นไม้พุ่มได้ ออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ จึงควรตัดต้นทิ้งหลังจากดอกบานแล้ว เล็มยอดเก่าที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำละลายน้ำเจือจางทุก 2 สัปดาห์ หรือใส่ปุ๋ยละลายช้าทุก 2 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ถูกรบกวนน้อย แต่บางครั้งเพลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ โดยทั่วไปแล้วสเปรย์สบู่ฆ่าแมลงก็เพียงพอที่จะควบคุมศัตรูพืชได้ ฉีดพ่นซ้ำทุกๆ 7-10 วัน หรือจนกว่าแมลงจะหมดไป ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยออกดอกสวยงาม เลื้อยขึ้นร้าน ศาลาริมน้ำ รั้วบ้านทางเข้าประตู สามารถปลูกได้ดีเป็นไม้กระถาง ระยะออกดอก---ตลอดปี ดอกดกช่วง มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ปักชำ ตอนกิ่ง
|
17 พวงแสด/Pyrostergia venusta
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pyrostergia venusta (Ker-Gawl) Miers.(1863) ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms ---Basionym: Bignonia venusta Ker Gawl.(1801) ---Bignonia ignea Vell.(1829) ---Jacaranda echinata Spreng.(1825) ---Pyrostegia ignea (Vell.) C.Presl.(1844) ---Tecoma venusta (Ker Gawl.) Lem.(1843) ---Tynanthus igneus (Vell.) Barb.Rodr.(1891) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-317830 ชื่อสามัญ---Flame Vine, Flame Flower, Fire Cracker Vine, Orange Trumpet, Flaming Trumpet, Chinese cracker flower ชื่ออื่น ---พวงแสด, พวงแสดเครือ, พวงแสดเถา ;[BRAZIL: Cipo-de-sao-joao, Belas, Flor-de-São-João.];[CHINESE: Pao zhang hua.];[DUTCH: Oranje stephanoot.];[FRENCH: Bignone du Brésil, Liane aurore, Liane-de-feu.];[GERMAN: Feuer auf dem Dach, Feuerranke.];[HAWAII: Pahu-pahu.];[PORTUGUESE: Cipó-de-SãoJoão, Flor-de-fogo, Gaitas, Gaitinhas.];[RUSSIA: Pirostegiya ognennaya, Pirostegiya prekrasnaya.];[SPANISH: Chiltote, Chorro de oro, San Carlos, Triquitraque.];[SWEDISH: Flamranka.];[THAI: Phuang saet thao, Phuang saet khrue.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---PYRVE (Preferred name: Pyrostergia venusta.) ถิ่นกำเนิด--ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์----อเมริกาใต้ ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Pyrostegia" จากการรวมกันของคำกรีก 'pyros' แปลว่า 'ไฟ' ซึ่งเกี่ยวข้องกับสีของดอกไม้และรูปร่างของริมฝีปากบนและ 'stegia' หมายถึง 'ครอบคลุม' เมื่อดอกไม้ปกคลุมหลังคาดูเหมือนไฟ ; ชื่อสายพันธุ์ 'Venusta' หมายถึง 'สวยงาม', 'เสน่ห์' หรือ 'สง่างาม' Pyrostergia venusta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Bellenden Ker Gawler (1764–1842) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Miers (1789 –1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2406
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน อเมริกาใต้ กระจายในประเทศในเขตร้อน ที่ระดับความสูง 100-1,900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยมีเนื้อไม้ ขนาดใหญ่ มีใบที่กลายเป็นมือพันยึดเกาะ สามารถเลื้อยได้ไกลถึง10-12เมตรใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสั้นเกือบชิดใบประกอบ 3 ใบย่อยออกสลับทิศทางกันขนาดใบรูปไข่ กว้าง 2 – 3 ซม. ยาว 4 – 5ซม. ดอกสีแดงแสด ออกเป็นช่อแน่นปลายกิ่งส่วนยอดดอกดกมาก ดอกย่อย 10 – 30 ดอก ก้านส่งดอกค่อนข้างยาว กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยหรือกระดิ่งหงาย รูปดอกเป็นทรงกรวยเรียวยาว ปลายดอกบานออกเป็น4กลีบดอกมีขนาดยาว6-8ซม.ฝักรูปขอบขนาน สีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งแสงแดดจัดแรงกล้า หรือในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง หรือร่มเงาบางส่วนซึ่งก็อยู่ได้เหมือนกันแต่จะออกดอกน้อย ชอบอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสม 15-26°C อุณหภูมิต่ำสุด 10°C แม้ว่าพืชจะสามารถทนต่ออิทธิพลของอุณหภูมิที่ติดลบได้ ดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี และเป็นกรดเล็กน้อย อดทนต่อความแห้งแล้งได้ดีพอควร เติบโตได้อย่างรวดเร็วและปกคลุมบ้านทั้งหลังภายในเวลาหนึ่งปี ในประเทศไทย ปลูกในภาคกลางดอกจะไม่ดกเท่ากับปลูกทางภาคเหนือ การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละครั้ง หรือรอจนกว่าชั้นพื้นผิวดินจะแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---ต้องการการตัดแต่งกิ่งเป็นประจำซึ่งช่วยกระตุ้นการแตกแขนงและการออกดอกมากมาย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเอนกประสงค์ ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อ ศัตรูพืชและโรคทั่วไป อาจได้รับผลกระทบจากแมลงเกล็ด เพลี้ย แมลงหวี่ขาว ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้เลื้อย ต้นที่โตเต็มที่ควรค้ำด้วยลวดหรือระแนงบังตาที่แข็งแรง ใช้ปลูกเลื้อยขึ้นร้าน ศาลาริมน้ำ รั้วบ้านทางเข้าประตู -ใช้เป็นยา มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในยาแผนโบราณของบราซิล ในฐานะยาชูกำลังทั่วไป รักษาโรคผิวหนัง (leukoderma)ใช้สำหรับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจท้องเสีย vitiligo ดีซ่าน ลดการอาเจียน การติดเชื้อ เช่น หลอดลมอักเสบ ไข้หวัด -อื่น ๆ ดอกไม้ให้สีย้อมสีส้ม รู้จักอันตราย---ไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับความเป็นพิษของ pirostegii สำหรับมนุษย์และสัตว์ ระยะออกดอก---พฤศจิกายน- มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
18 มธุรดา/Campsis grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Campsis grandiflora (Thunb.) K. Schum.(1894) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Bignonia chinensis Lam.(1785) ---Bignonia grandiflora Thunb.(1783) ---Tecoma grandiflora (Thunb.) Loisel.(1821) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-320344 ชื่อสามัญ---Chinese Trumpet Vine, Chinese Trumpet Creeper. ชื่ออื่น---มธุรดา, รุ่งอรุณ ;[CHINESE: Ling xiao.];[FRENCH: Bignone a grandes fleurs, Bignon de chine.];[GERMAN: Chinesische Klettertrompete, Trompetenblume, Klettertrompeten, Rote trompeten.];[ITALIAN: Campsis a fiori grandi.];[JAPANESE: Nôzenkazura.];[PORTUGUESE: Trombeta- chinesa.];[SPANISH: Trompeta china.];[THAI: Mathurada, Rung-Aa-run.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---CMIGR (Preferred name: Campsis grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเหนือ (ตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา) ; เอเซียตะวันออก-ญี่ปุ่น จีน ; เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศในเขตร้อน,กึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Campsis" มาจากภาษากรีก "Kampe"หมายถึง โค้งงอ อ้างอิงถึงพืชที่ลักษณะเป็นหลอดยาวและโค้ง ; ชื่อชนิด "Grandiflora" คือการรวมคำมาจากภาษาละติน '' grandis '' = หมายถึง ขนาดใหญ่และ " floreo " = ที่จะเบ่งบาน Campsis grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2437
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ (ตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา) แต่ได้แปลงสัญชาติในภูมิภาคอื่น ๆ เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยพื้นเมืองของจีนตอนใต้ (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, เหอเป่ย, ชานตง, ชานซี) ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, อินเดีย, ปากีสถาน, ประเทศไทย, พม่า (ย่างกุ้ง), เนปาล, เวียดนาม, เกาหลี , โบลิเวีย พบได้ตามป่าดงดิบ พุ่มไม้ ทุ่งนา ลำธาร และคูน้ำข้างถนน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยผลัดใบขนาดกลาง ลำต้นแก่มีเนื้อไม้ เลื้อยได้ไกลถึง 6-10 เมตร เลื้อยพันโดยอาศัยรากอากาศที่ออกเป็นกระจุกรอบข้อ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (Imparipinnate) มีใบย่อยประมาณ 7-11 ใบ ออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเป็นหยักแบบฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 ซม.ยาว 4-7 ซม.ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงสั้น โดยจะออกตามซอกใบและที่ปลายยอด ดอกเป็นสีส้มอมสีแดง แต่ละช่อมีดอกย่อยประมาณ 4-10 ดอก แต่ละดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง มีความยาวประมาณ 3.2-3.5 ซม.ส่วนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแผ่ออกเป็นกลีบ 5 กลีบ ขอบกลีบดอกหยักเล็กน้อย แต่ละดอกมีเกสรตัวผู้ 4 อัน ส่วนรังไข่จะอยู่เหนือวงกลีบ ผลมีลักษณะเป็นฝักยาว ฝักอ่อนสีเขียว ภายในผลมีเมล็ดลักษณะแบนและมีปีก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อยหกชั่วโมง) เติบโตได้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงในที่ร่มบางส่วน สามารถทนต่อดินได้หลากหลายประเภท รวมถึงดินทราย ดินร่วนและดินเหนียว ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ปานกลาง ชื้น แต่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ของดิน เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย (6.0–8.0) รากควรอยู่ในที่ร่มโดยให้พืชหลักได้รับแสงแดด อัตราการเจริญเติบโตเร็ว และสามารถอยู่ได้นานหลายสิบปีหากได้รับตำแหน่งสวนที่ดี การปลูก---เว้นระยะห่างระหว่างต้นไม้กับฐานรองรับ (โดยทั่วไปคือ 25-50 ซม.) การรดน้ำ---พืชทนแล้งได้ดี รดน้ำเมื่อต้นไม้เหี่ยวเฉาอย่างเห็นได้ชัด มักจะจำเป็นในช่วงฤดูแล้งเท่านั้น การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจาย ดอกจะออกบนลำต้นใหม่ ดังนั้นควรตัดในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ก่อนที่จะเริ่มเติบโต ตัดต้นไม้กลับไปเกือบถึงระดับพื้นดิน เหลือเพียงไม่กี่ตา นอกจากนี้ยังสามารถตัดกลับในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงหลังจากที่ใบไม้แห้งและร่วงหล่น สามารถตัดแต่งได้ตลอดฤดูกาล แต่หากตัดแต่งกิ่งช้าเกินไปในฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นการขจัดการเจริญเติบโตใหม่ซึ่งดอกตูมจะก่อตัวขึ้น การใส่ปุ๋ย---เนื่องจากพืชเถาวัลย์เป็นตัวแพร่กระจายที่ก้าวร้าว จึงไม่แนะนำให้ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม เว้นแต่ว่าดินจะมีสารอาหารต่ำเป็นพิเศษให้ใส่ปุ๋ยปีละครั้งในฤดูใบไม้ผลิเพื่อให้พืชติบโตอย่างแข็งแรง ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชส่วนใหญ่ ระวังเพลี้ยที่เป็นศัตรูพืชเฉพาะ เพลี้ยจำนวนเล็กน้อยสามารถเช็ดออกได้โดยใช้ผ้าหรือล้างออกด้วยน้ำ การระบาดรุนแรงอาจทำให้ใบบิดเบี้ยวและราเขม่าดำ ให้ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในประเทศจีนมีการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรสำหรับขับเสมหะ -ใช้ปลูกประดับ พืชมีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมในการสร้างรากอากาศ ดังนั้นพวกมันจึงเกาะติดกับผนังได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการค้ำยันใดๆ พวกเขาจะเติบโตได้ดีพอ ๆ กันบนต้นไม้ที่โตเต็มที่หรือตายแล้วซึ่งมีแสงเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะเติบโตเต็มที่และออกดอก ในทำนองเดียวกันพวกเขาสามารถเลื้อยไต่ขึ้นโครงสร้างบังตาที่เป็นช่องหรือเสาหรือบนโครงโลหะ ใช้ปลูกขึ้นซุ้มไม้เลื้อยให้ร่มเงา รู้จักอันตราย---หากกินใบจะมีพิษปานกลางต่อคนและสัตว์ ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน ระยะออกดอก---กรกฎาคม--กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ (ตัดข้อที่มีรากอากาศติด2-3ข้อ) **การพูดคุยส่วนตัว จากรูปบนสุด ขึ้นซุ้มได้ขนาดนี้ใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน ปลูกจากต้นในกระถาง12" **
|
19 ชะลูดช้าง/Stephanotis floribunda
ชื่อวิทยาศาสตร์---Marsdenia floribunda (Brongn.) Schltr.(1899) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Basionym: Stephanotis floribunda Brongn.(1837) ---Ceropegia stephanotis Poir. ex Decne.(1844) ---Isaura alliacea Steud.(1841) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2363635 ชื่อสามัญ---Creeping Tuberose, Madagascar Jasmine, Bridal Wreath, Chaplet Flower, Waxflower, Floradora. ชื่ออื่น---ชะลูดช้าง, ซ่อนกลิ่นเถา ;[FRENCH: Jasmin de Madagascar.];[GERMAN: Madagaskar-Kranzschlinge.];[JAPANESE: Madagasukaru-jâsumin.];[PORTUGUESE: Flor-de-noiva, Jasminheiro-de-Madagascar, Jasminheiro-do-Cabo.];[SPANISH: Estefanote, Flor de novia, Floradora.];[SWEDISH: Doftranka.];[THAI: Cha-lood chang, Son klin thao.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---MSDSS (Preferred name: Marsdenia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนในเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Marsdenia' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักสะสมพืชและเลขาธิการกองทัพเรือ William Marsden (1754-1836) ; ชื่อสายพันธุ์ 'floribunda' หมายถึงการผลิตดอกไม้มากมาย Marsdenia floribunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adolphe Theodore Brongniart (1801 - 1876) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Friedrich Richard Rudolf Schlechter (1872-1925) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2442 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมาดากัสการ์ แนะนำ (เพาะปลูก) ในเขตร้อนของเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก เลื้อยได้ไกล 2- 4 เมตร มีน้ำยางสีขาวอยู่ในทุกส่วนของลำต้น ใบเดี่ยว ใบออกเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อของลำต้นหรือเถาใบเป็นรูปรี หรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบกว้างและหนาเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรีบยกขึ้นทางด้านบนทำให้ใบมีลักษณะเป็นราง ใบกว้างประมาณ 3 ซม.ยาว10 ซม. ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกจะมีลักษณะกลีบดอกแข็งหนาสีขาวคล้ายขี้ผึ้ง มีดอกดกช่วงฤดู แล้ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆในตอนกลางวันและหอมแรงในเวลากลางคืน ผลรูปไข่หรือลูกแพร์ มีความยาวได้ถึง 10 ซม.ผลไม้ที่กินไม่ได้นี้ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะสุกงอม และจะแตกออก มีเมล็ดแบนมีขนปุยสีขาวติดอยู่ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดครึ่งวันเช้าแต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง หรือแสงแดดรำไร ต้องการแสงปานกลางถึงสว่าง อุณหภูมิ 13°C-22°C ทนอุณหภูมิต่ำสุด 10°C ดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---สัปดาห์ละครั้ง หรืออาจเป็นทุกๆ 10 หรือ 14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาวะ เช่น แสง อุณหภูมิ และความชื้น ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าให้แฉะเกินไป ลดการให้น้ำให้น้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---พืชจะเลื้อยได้ไกลและออกดอกได้มากขึ้นหากหมั่นตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง ได้แสงแดดเต็มที่จะช่วยให้ออกดอกดกได้ทั่วทั้งซุ้ม การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยเอนกประสงค์สูตรเสมอ เช่น 12-12-12 ปีละครั้งหรือสองครั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน รดน้ำต้นไม้ทันทีหลังจากใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรงน้อย อ่อนแอต่อ เพลี้ยแป้งและตะกรันบนต้นไม้ในร่ม อาจเป็นโรคจุดด่างขาวที่เกิดจากเชื้อไวรัสโรคเหี่ยว จุดด่างในมะเขือเทศ (TSWV) ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้เลื้อยขึ้นซุ้มโค้งหลังคาทางเดิน สามารถนำมาปลูกเป็นไม้กระถางได้โดยทำซุ้มไม้ไผ่เล็กๆ คอยจับให้เลื้อยไต่เป็นระเบียบสวยงาม -อื่น ๆดอกไม้หอมมีประวัติการใช้ในช่อดอกไม้เจ้าสาว ระยะออกดอก---ตลอดปี ให้ดอกดกมากช่วง เดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ปักชำ กิ่ง โน้มกิ่งปลูก **(การพูดคุยส่วนตัว) ต้นที่ถ่ายมาทั้งหมดนี้เป็นพันธุ์ใบด่าง มีขอบใบเป็นสีขาว บ้างก็ทั่วขอบใบ บ้างก็ไม่ทั่วขอบใบ สีใบจะออกเขียวซีดกว่าต้นเดิม**
|
20 ตีนตุ๊กแก/Ficus pumila
[FY-kus] [POO-mil-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ficus pumila L.(1753) ชื่อพ้อง ---Has 15 Synonyms ---Ficus hanceana Maxim.(1881) ---Ficus scandens Lam.(1788) ---Ficus stipulata Thunb.(1786) ---Urostigma scandens Liebm.(1851) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/ ชื่อสามัญ ---Climbing Fig, Creeping Fig, Creeping Rubber Fig, Figvine. ชื่ออื่น---ตีนตุ๊กแก, มะเดื่อเถา ;[ASSAMESE: Lata-dimaru.];[BANGLADESH: Anoya wanch.];[BRAZIL: Hera de China, Mama de pared.];[CHINESE: Bi li, Man tu luo.];[FRENCH: Figuier rampant, Petit lierre.];[GERMAN: Feigenbaum, Kletterfeigenbaum.];[INDIA: Khram-barat, Bongpur doukha.];[INDONESIA: Karet rambat.];[ITALIAN: Fico rampicante.];[JAPANESE: Fikasu-pumira, O-itabi, O-itabi-kazura.];[MYANMAR: Kyauk-kat-nyaung-nwe.];[PORTUGUESE: Figueira-trepadeira, Mama-de-parede.];[SPANISH: Ficus de China, Ficus enano, Ficus rastrero, Ficus tapizante, Ficus trepador, Hiedra, Paz y justicia, Higuera trepadora.];[SWEDISH: Klätterfikus.];[THAI: Lin suea, Madueo thao.];[VIETNAM: Mac pup, Trau cp, Vay oc.]. ชื่อวงศ์---MORACEAE EPPO Code---FIUPU (Preferred name: Ficus pumila.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ตอนใต้ของจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน,ตอนเหนือของเวียตนาม, ทั่วไปในประเทศเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ ''pumila'' มาจากภาษาละติน 'pumilus' หมายถึง แคระ อ้างอิงถึงใบที่มีขนาดเล็กมากของพืช Ficus pumila เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและแถบเอเชีย มันเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันทั่วไปทั่วเปอร์โตริโกนอกจากนี้ยังได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางในฟิลิปปินส์และเมลานีเซีย รวมถึงในเนปาลและอินโดจีน ในสหรัฐอเมริกาสามารถเพาะพันธุ์ได้ในบางส่วนของชายฝั่งทางใต้และตะวันตก พบที่ระดับความสูง 0-2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง กิ่งก้านเล็ก สีน้ำตาลเข้ม มีรากออกตามข้อใบเพื่อใช้เลื้อยเกาะ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีถึงรูปไข่ ปลายแหลมถึงมน ใบอ่อนมีสีน้ำตาลแดง ใบแก่สีเขียวเข้ม ผิวหยาบและสากมือ ผล สีเขียวรูปร่างคล้ายระฆังมีติ่งที่ก้นผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งได้รับแสงทางอ้อม 6-8 ชั่วโมงในแต่ละวัน สามารถอยู่รอดได้ใน สภาพ แสงน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง แต่จะเติบโตช้ากว่าและอาจทำให้ใบร่วงได้ เป็นสายพันธุ์ที่ปีนป่ายหนาแน่นและเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยรากที่อันตรายและความอดทนสูงต่อความแห้งแล้ง ร่มเงา และดินที่ขาดธาตุอาหาร สามารถเจริญเติบโตได้ในดินหลากหลายประเภทที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ของดินให้อยู่ระหว่างเป็นกลางและเป็นกรดเล็กน้อย pH 6.1 ถึง 7.0 จะดีที่สุด อุณหภูมิระหว่าง 13°C-30°C อัตราการเจริญเติบโต 30 ซม./ปี การรดน้ำ---ต้องการดินชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ควรปล่อยให้ดินแห้งก่อนรดน้ำอีกครั้ง (ประมาณสัปดาห์ละครั้ง) ลดจังหวะการรดน้ำลงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว หากใบพืชมีสีน้ำตาลหรือร่วงหล่นจากต้น แสดง ว่าอาจได้รับน้ำมากเกินไป ใบมีสีเหลืองม้วน มักเกิดจากการขาดความชื้นในดิน การตัดแต่งกิ่ง---เพื่อให้การเจริญเติบโตของพืชอยู่ภายใต้การควบคุม ให้ตัดต้นเถาเดือนละครั้ง ระมัดระวังในการตัดแต่งกิ่ง อย่าเล็มออก 1 ใน 3 ของทั้งต้นในคราวเดียว เพราะจะทำให้ต้นเสียหายได้ การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย หากเลือกที่จะให้อาหารพืช ให้เลือกปุ๋ยน้ำเจือจาง เดือนละครั้งตลอดฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยลดลงเหลือเดือนเว้นเดือนในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความเสี่ยงต่อศัตรูพืชหลายชนิดที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ เพลี้ย เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ดและแมลงหวี่ขาว รักษาพืชทันทีด้วยน้ำมันพืช เช่น น้ำมันสะเดา/ไม่มีโรคที่สำคัญ ไม่มีปัญหาโรคร้ายแรง รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อทั้งคนและสัตว์เลี้ยงเมื่อกลืนกินเข้าไป การสัมผัสกับน้ำยางที่ผลิตโดยลำต้นของพืช สารนี้อาจทำให้ผิวหนังอักเสบซึ่งอาจรุนแรงสำหรับบางคน ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นและกินผลไม้ มันได้รับการปลูกฝังในสวนผลไม้และสวนของอินเดียศรีลังกาและญี่ปุ่นสำหรับผลไม้ที่กินได้ ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนมันเป็นที่รู้จักกันในนามไม้ประดับและใช้กันอย่างแพร่หลายในการปิดบังกำแพงการยับยั้งกราฟฟิตีมีประสิทธิภาพมาก มีตัวเลือกหลากหลายให้ปลูกในเชิงพาณิชย์เป็นพืชกระถางในเขตอบอุ่น -ใช้กิน ผลไม้ - ใช้สำหรับการผลิตแยมและเยลลี่ -ใช้เป็นยา ผลไม้และใบไม้ถือเป็นกาแลคตากาและยาชูกำลัง ใช้ในกรณีของความอ่อนแอ, โรคปวดเอว, โรคไขข้อ, โรคโลหิตจาง, haematuria, โรคบิดเรื้อรังและริดสีดวงทวาร -วนเกษตร พืชมีการปลูกแบบดั้งเดิมในรั้วมีชีวิตอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งจะช่วยในการป้องกันปศุสัตว์และสัตว์อื่น ๆ ; ทำเครื่องหมายขอบเขตที่ดิน ในขณะที่ยังให้ยาและการใช้งานอื่น ๆ -ใช้ปลูกประดับ **การพูดคุยส่วนตัว ถ้าต้องการต้นไม้โตเร็วที่ใช้คลุมพื้นที่กว้าง เช่นผนัง หรือรั้วที่ไม่น่าดู ให้ปลูกไม้เลื้อยชนิดเดียวกัน 2-3ต้น ห่างกัน 0. 60-1 เมตร แล้วค่อยจัดแต่งกิ่งก้านที่ทอด ออกให้คลุมพื้นผิวบริเวณนั้น หากใครต้องการผนังสีเขียว ธรรมชาติ ก็ปลูกต้นตีนตุ๊กแก แล้วตัดแต่งก้านใบให้อยู่ระนาบเดียวกัน เหมือนงานตัวอย่าง ที่ FIX รูปหล่องานลอยตัวติดกับกำแพง เป็นตัวเสริมประกอบงานที่ให้ความรู้สึกเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องทาสี แล้วก็ ไม่ต้องคิดรื้อทิ้งภายหลัง บอกเลย ว่ายาก ให้ทำใจว่า ไม่มีอะไรดีหมดหรือเลวหมด ชอบ ก็ทำเลย แค่นั้น ข้อควรระวังก็คือ ต้นไม้ข้างเคียงหากคุณไม่ควบคุมให้ดีปล่อยให้เจ้าตีนตุ๊กแกเข้ายึดครองไม้เจ้าบ้าน มันอาจเลื้อยรัดจนใบหมดต้น ต้องคอยตัดยอดตีนตุ๊กแกอย่าให้มีโอกาสทำอย่างนี้ได้**(2008) ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
21 สายหยุด/Desmos chinensis.
[DES-mos][chi-NEN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Desmos chinensis Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 32 Synonyms. ---Desmos chinensis var. brevifolius (Teijsm. & Binn. ex Boerl.) Bân.(1974) ---Desmos chinensis var. lawii (Hook.f. & Thomson) Bân.(1974) ---Desmos chinensis var. macropetalus (Teijsm. & Binn. ex Boerl.) Bân.(1974) ---Unona chinensis (Lour.) DC.(1818) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2763012 ชื่อสามัญ ---Desmos, Chinese Desmos ชื่ออื่น ---เครือเขาแกลบ (เลย), กล้วยเครือ (สระบุรี), เสลาเพชร (สุราษฎร์ธานี), สาวหยุด (ภาคกลาง, ภาคใต้) ;[CHINESE: Chia ying chao, Jiǎ yīng Zhǎo];[MALAYSIA: Akar pisang-pisang, Kenanga hutan, Akar darah (Malay).];[PHILIPPINES: Ilang-ilang gubat, Ylang-Ylang gubat (Tagalog).];[Tamil: Mano ranjitam.];[THAI: Saaiyut (Central, Peninsular), Kluai khruea (Saraburi), Khruea khao klaep (Loei).];[VIETNAM: Hoa giẻ thơm, Hoa dẻ thơm, Giổi tanh, Nối côi.]. ชื่อวงศ์ ---ANNONACEAE EPPO Code--- DZSCH (Preferred name: Desmos chinensis.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดียถึงจีนตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลจากภาษากรีก, desmos = กลุ่ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'chinensis' จากภาษาละติน = จากประเทศจีน Desmos chinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ ตลอดจนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงแหลงมลายู ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายอยู่ทั่วประเทศกและเป็นแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของต้นสายหยุดด้วย มักขึ้นตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และตามป่าเบญจพรรณตั้งแต่ความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 600 เมตร ลักษณะ สายหยุดเป็นไม้เลื้อยกึ่งไม้ยืนต้น มีเถาหรือต้นใหญ่แข็งแรงสามารถเลื้อยพันหรือเกาะสิ่งอื่นไปได้ไกล 5-8 เมตร เปลือกเถาเรียบเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุมอยู่หนาแน่น มีรูระบายอากาศ มักแตกกิ่งก้านสาขามากบริเวณยอด และแผ่สาขาออกไปเป็นบริเวณกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปขอบขนานกว้างประมาณ 3-7 ซม.ยาวประมาณ 6-15 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ส่วนท้องใบเรียบเป็นสีเขียวนวล เนื้อใบบางและเหนียว มีขนกระจายอยู่ทั้งสองด้าน ก้านใบยาว5มม.โคนก้านใบและตามตาติดกับกิ่งและลำต้น ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามข้อต้นเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 5-8 ซม. กลีบดอกมี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ดอกมีลักษณะคล้ายดอกกระดังงาไทย เมื่ออ่อนดอกเป็นสีเขียว เมื่อบานเต็มที่ดอกจะเป็นสีเหลือง ดอกไม้ดอกนี้จะส่งกลิ่นหอมจัดในตอนเช้าตรู่ พอสายดอกจะลดกลิ่นหอมลงและหมดกลิ่นเมื่อใกล้เที่ยง ผลเป็นกลุ่ม มีประมาณ 5-35 ผลย่อย คอดเป็นข้อ ๆ ระหว่างช่วงเมล็ด ได้ถึง 7 ข้อ แต่ละผลจะมีขนาดกว้างประมาณ 5ซม.ยาว 2-4 ซม. เมล็ดกลมหรือรูปรีสีน้ำตาล มีขนาดกว้าง 0.4-0.5ซม.ยาว 0.6-0.8 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน ควรปลูกในที่น้ำท่วมไม่ถึง ดินที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้น แต่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ในช่วง 5 - 6.5 ทนได้ 4.5 - 8 การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ดินแห้ง ให้ตรวจดูว่าชั้นดินด้านบนสูง 2 นิ้วแห้งหรือไม่ ถ้าชื้นให้หลีกเลี่ยงการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อรักษารูปทรง การใส่ปุ๋ย---ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 อย่างน้อยเดือนละครั้ง ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ (ตุลาคม-มกราคม) ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษต่อคนและสัตว์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะแก่การนำมาปลูกไว้ในสวนทั่วไป ปลูกริมทางเดิน ปลูกเดี่ยวแล้วแต่งทรงพุ่ม ปลูกขึ้นซุ้ม ต้นไม้ชนิดนี้มักถูกใช้ในภูมิทัศน์เมืองของกรุงเทพฯ ใช้เพื่อสร้างร่มเงาตามทางเท้าและป้ายรถประจำทางต่างๆ มีการใช้อย่างแพร่หลายในเขตเมือง เนื่องจากมีใบที่ขึ้นหนาแน่นซึ่งให้ร่มเงาที่เย็น ลำต้นค่อนข้างบาง และระบบรากที่ไม่ทำลายทางเท้า ยังมีสายหยุดแดงอีกต้นที่มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกันคือ Desmos chinensis Lour.กลิ่นหอมมากเหมือนกัน กลีบดอกจะออกสีแดงอมส้ม ต่างไปจากสายหยุดต้นเดิม อย่างอื่นก็เหมือนๆกัน -ใช้เป็นยา ดอกสดใช้เข้ายาหอม บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน รากและดอกมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ตำรายาไทยใช้รากเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ท้องเดิน แก้บิด ตำรายาพื้นบ้านทางภาคอีสานจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย ต้นและรากใช้เข้ายาหอม หรือเข้ายาอาบอบ รักษาอาการติดยาเสพติด-ในการแพทย์พื้นบ้านของจีนใช้สำหรับโรคมาลาเรีย-ในเวียดนามใช้เป็นยาต้านมาลาเรีย ยาฆ่าแมลงยาและยาแก้ปวด -อื่น ๆ ใช้ดอกสดนำมากลั่นเอาน้ำมันหอมระเหย ใช้ในทางสุคนธบำบัด (Aromatherapy) หรือใช้ทำเป็นน้ำหอมสำหรับเครื่องสำอางต่าง ๆ -เป็นต้นไม้ในวรรณคดี สายหยุด หยุด กลิ่นฟุ้ง ยามสาย สายบ่ หยุดเสน่หาย ห่างเศร้า กี่คืนกี่วันวาย วางเทวศ ฤาแม่ ถวิลทุกขวบค่ำเช้า หยุดได้ ฉันใด จากพระนิพนธ์ใน ลิลิตตะเลงพ่าย ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีเพาะเมล็ดหรือตอน แต่ก็เป็นต้นไม้ที่ตอนแล้วออกรากยาก และตายง่ายมากกว่าต้นที่ปลูกจากเมล็ด ปลูกด้วยการเพาะเมล็ดบำรุงต็มที่ 3 -4 ปี จะได้เห็นดอก ต้นยิ่งอายุมากดอกจะใหญ่และออกดอกดกมากขึ้นไปอีก
|
22 รสสุคนธ์/Tetracera loureiri
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Tetracera loureiri (Finet & Gagnep.) Pierre ex WG Craib.(1922) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50225569 ---Tetracera sarmentosa var. loureiri Finet & Gagnep. ชื่อสามัญ---Tetracera, Tetracera loureiri, Dillenia, Mempelas, Bee Flower ชื่ออื่น---รสสุคนธ์ขาว เสาวคนธ์ เสาวรส มะตาดเครือ (กรุงเทพมหานคร), ลิ้นแรด (อุบลราชธานี), ลิ้นแฮด (ยโสธร), รสสุคนธ์ (สุรินทร์), เถากะปดใบเลื่อม (ประจวบคีรีขันธ์); ปดน้ำมัน (ปัตตานี); บอระคน เถาอรคน อรคน (ตรัง); สุคนธรส, มะตาดเครือ, ย่านปด, อรคนธ์, ปดขน (นครศรีธรรมราช); ปดคาย, ปดเลื่อม (สุราษฎร์ธานี); สับปละ (นราธิวาส); ปะหล่ะลือแล็ง (ปัตตานี); กะปด กะป๊ด, ป๊ด, ย่านป๊อด (ภาคใต้);[THAI: Rot-su-khon khao, Su-khon-tha- rot.];[VIETNAM: Dây Chiều, Dây chiều không lông, dây chiều Loueiro, tứ giác Loureiro.]. ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE EPPO Code---TETSS (Preferred name: Tetracera sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tetracera loureiri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และ Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต William Grant Craib FLS FRSE (1882 – 1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2465
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยพบขึ้นได้ทั่วไปตามป่าธรรมชาติ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าละเมาะ ป่าชื้นทางภาคใต้ หรือป่าเบญจพรรณและป่าชายหาดหรือชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกล 5-8 เมตร กิ่งอ่อนมีขนขุยสีน้ำตาลแก่ปกคลุม ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนาน ใบกว้า 3-5 ซม.ยาว 6-10 ซม. โคนใบและปลายใบมนถึงแหลม ขอบใบเป็นจักห่าง ๆ เนื้อใบค่อนข้างหนาสีเขียวเข้ม เส้นใบชัด ผิวใบด้านบนเห็นเส้นแขนงใบเป็นร่อง ใต้ท้องใบสากคาย ก้านใบยาว 0.6-1 ซม.ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงตามปลายกิ่งหรือตามโคนก้านใบ ช่อดอกยาว10-15ซม. ดอกสีขาวขนาดเล็กทรงกลม มีเกสรตัวผู้เป็นพู่ฝอยละเอียดรอบดอก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1ซม.มีกลิ่นหอมแรงมากในเวลากลางคืน และหอมอ่อนๆในเวลากลางวัน ผลรูปไข่เบี้ยวสีเขียว ขนาดประมาณ 0.7ซม.มีจะงอยที่ส่วนปลาย ผลแก่แตกออกเป็นแนวเดียว มีเมล็ดสีดำ 1-2 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ร่ม มีแสงรำไร และที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด ทนความแห้งแล้งได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละครั้ง หรือรอจนกว่าชั้นพื้นผิวดินจะแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---ต้องการการตัดแต่งกิ่งเป็นประจำซึ่งช่วยกระตุ้นการแตกแขนงและการออกดอกมากมาย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเอนกประสงค์ ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ดอกประดับที่สวยงามและกลิ่นหอม นิยมปลูกไว้เป็นไม้เลื้อยคลุมซุ้มเป็นร่มเงาหรือพันรั้ว -ใช้เป็นยา ดอกของรสสุคนธ์ยังเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนผสมในยาหอมแก้ลมบำรุง หัวใจ มักใช้คู่กับเถาอรคนธ์ ตำรับยาพื้นบ้านทางภาคใต้ ใช้ใบรสสุคนธ์นำมาต้มกับน้ำดื่มแก้อาการสะอึก ใบรักษาโรคหิด-ใบหรือรากนำมาตำใช้พอกเป็นยาแก้ผดผื่นคัน ต้มน้ำดื่มใช้เป็นยาแก้อาการตกเลือดภายในปอด -อื่น ๆ ไม้จากต้นหรือเถาใช้ทำเครื่องจักสานและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ -เป็นต้นไม้ในวรรณคดี รสสุคนธ์ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง เงาะป่า พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด เหมือนผ้าลาดขาวละออหนอน้องเอ๋ย รสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย กำลังเผยกลีบเกสรสลอนชู ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกตามบ้านเรือน โดยมีความเชื่อว่า ผู้ปลูกจะเป็นผู้ดีมีความงามบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ มีชื่อเสียงดีเหมือนดังเถารสสุคนธ์ที่เลื้อยไปได้ไกล ระยะออกดอก---ตลอดปี แต่ออกมากช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ตอน หรือสกัดรากไปปลูก
|
23 อรคนธ์/Tetracera indica
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Tetracera indica (Christm. & Panz.) Merr.(1917) ชือพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50225611 ชื่อสามัญ---Fireweed, Tetracera, Hedge Row Tetracera, Sandpiper vine. ชื่ออื่น---อรคนธ์ (กรุงเทพฯ), เครือปด (ชุมพร), ย่านเปล้า (ตรัง), ปดลื่น (ยะลา, ปัตตานี), เถาอรคนธ์ (ภาคกลาง), ย่านปด (ภาคใต้) ;[ASSAMESE: Ou-lata.];[THAI: Rot-su-khon-Daeng, Or-ra khon, Khruea pot.];[VIETNAM: Chặc chìu Ấn, Dây chiều Ấn Độ.]. ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE EPPO Code---TETIN (Preferred name: Tetracera indica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tetracera indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Gottlieb Friedrich Christmann (1752–1836) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และ Georg Wolfgang Franz Panzer (1755–1829) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน)ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2460 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย) ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าละเมาะทางภาคใต้ ที่ระดับน้ำทะเลจนถึง 600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง สามารถเลื้อยได้ไกลถึง8เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีแกมขอบขนาน แผ่นใบสีเขียว โคนใบมนปลายใบแหลม ขนาดใบกว้าง3-5ซม.ยาว7-12ซม.ดอก เป็นช่อ แบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอด ดอกย่อยโคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายบานออก5กลีบแต่กลีบเลี้ยงจะมีสีแดง กลีบดอกจะเป็นสีขาว หลุดร่วงง่าย ตรงกลางดอกมีเกสรผู้เป็นเส้นจำนวนมาก ผลกลมภายในมีเมล็ดสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ร่ม มีแสงรำไร และที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด ทนความแห้งแล้งได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละครั้ง หรือรอจนกว่าชั้นพื้นผิวดินจะแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---ต้องการการตัดแต่งกิ่งเป็นประจำซึ่งช่วยกระตุ้นการแตกแขนงและการออกดอกมากมาย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเอนกประสงค์ ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้เลื้อยที่ดอกไม่หอมแต่ทรงพุ่มสวยสมัยก่อนตอนคนเริ่มนิยมสะสมไม้ไทยจำได้ว่า รสสุคนธ์แดงแพงมากๆ เดี๋ยวนี้หาง่ายไม่ค่อยแพงแล้ว (2008) -ใช้เป็นยา ตำรายาไทยจะใช้ดอกรสสุคนธ์แดงเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ แก้ลม โดยมักใช้คู่กับรสสุคนธ์ขาว ตำรายาพื้นบ้านภาคใต้จะใช้รากรสสุคนธ์แดงนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ-ยาพื้นบ้านมาเลเซียใช้ใบในการรักษาโรคเบาหวาน -อื่น ๆ ในอินเดียใช้พืชชนิดนี้เบื่อปลา-ใบหยาบใช้เป็นกระดาษทรายสำหรับขัดไม้ให้เรียบและสำหรับขัดโลหะ-เถาใช้แทนเชือก ระยะออกดอก--ตลอดปี ดอกดกช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
24 โมกเครือ/Amphineurion marginatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Amphineurion marginatum (Roxb.) D.J.Middleton.(2006) ชื่อพ้อง ---Has 19 Synonyms. ---Basionym: Echites marginatus Roxb.(1832) ---Aganosma marginata (Roxb.) G.Don.(1837) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-343529 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เครือไส้ตัน (หนองคาย); โมกเครือ, เดื่อเครือ, เดื่อดิน, เดื่อเถา, เดื่อไม้ (ภาคเหนือ); เดือยดิน (ประจวบคีรีขันธ์); เดือยดิบ (กระบี่); ตะซือบลาโก๊ะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน); พิษ (ภาคกลาง); มะเดื่อดิน (ทั่วไป); มะเดื่อเถา (ภาคเหนือ ราชบุรี); ย่านเดือยบิด (สุราษฎร์ธานี); ไส้ตัน (นครราชสีมา).];[CAMBODIA: Krâllam' paè, trâllam' paè (Khmer); Kr lam pe (Central Khmer).];[CHINESE: Xiāng huā téng.];[INDONESIA: Salat Lima, Sekati Lima.];[MALAYSIA: Ara Tanah (Malay).];[THAI: Mok khruea, Duea khruea, Duea thao, Duea din, Duea mai (Northern); Ta-sue-bla-ko (Karen-Mae Hong Son); Khruea sai tan (Nong Khai); Sai tan (Nakhon Ratchasima); Dueai din (Prachuap Khiri Khan); Dueai dip (Krabi); Phit (Central); Ma duea din (General); Ma duea thao (Northern, Ratchaburi); Yan dueai bit (Surat Thani).]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---AXHMA (Preferred name: Amphineurion marginatum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ใน Malesia: สุมาตรา, คาบสมุทรมาเลเซีย, บอร์เนียว, ชวา, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, ซุนดาน้อย, โมลุกกะ Amphineurion marginatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) เป็นสายพันธุ์เดียวในสกุล Amphineurionได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David John Middleton(born1963)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2549
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชา จีนตอนใต้(กวางตุ้ง ไหหลำ )อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ,ไทย และเวียดนาม พบตามป่าบนภูเขาและพุ่มไม้ชายทะเล ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล 5-10 เมตร ทุกส่วนของลำต้นมีน้ำยางสีขาว เปลือกเถาเหนียวและแยกจากแกนกลางเถาได้ง่าย เปลือกต้นเมื่อแก่สีเทา มีรูระบายอากาศเป็นจุดขาวอยู่ทั่วไป ใบเดี่ยวรูปขอบขนานถึงรูปไข่แคบยาว 4-20 ซม กว้าง1.7-5.3 ซม. ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบหยักเป็นคลื่น ดอกช่อสีขาวออกที่ปลายยอด หรือซอกใบมีดอกย่อยจำนวนมากและทยอยบาน ผลรวมมีผลย่อย 2 ผล เป็นฝักยาว ขนาด16.5-74x 4-10 มม.สีเขียวเรียบเป็นมัน แก่แล้วเป็นสีดำ แตกตามความยาวของฝัก เมล็ดแบนขนาด 4.7-13.6x 0.6-2.3 มม.มีครีบสีขาวปลิวไปตามลมได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน รากอยู่ในร่มเงาเต็มที่ทำได้โดยการคลุมด้วยหญ้ารอบๆโคนต้น ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ ชื้นสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี pH 5.6-6.5 การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือชั้นพื้นผิวดินจะแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขัง ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---การกำจัดส่วนของพืชที่ตายแล้วและการตัดแต่งกิ่งเพื่อการการเจริญเติบโตของพืช การตัดต้นไม้กลับเป็นรูปทรงพุ่มในปลายฤดูใบไม้ร่วงก่อนออกดอก ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมกราคม ระวังการตัดแต่งกิ่งอย่างหนักซึ่งอาจทำให้การออกดอกล่าช้า การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ 1ครั้งต่อปี ต้นฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด แมลงหวี่ขาว /ระวังโรครากเน่าจากการที่ดินระบายน้ำไม่ดี หรือให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขัง รู้จักอันตราย---สมาชิกในตระกูลนี้เกือบทั้งหมดมีพิษ และหลายชนิดถูกนำมาใช้ เป็นยาเนื่องจากมี cardiac glycosides และalkaloids ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ชาวกัมพูชากินใบอ่อนในช่วงเวลาที่ขาดแคลนอาหาร -ใช้เป็นยา ส่วนต่าง ๆ ของพืชใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ใช้รักษาโรคประดง แก้พิษฝีภายใน ; รากใช้บำรุงกำลัง แก้ไตพิการ ตับพิการ ขับระดู ใบเป็นส่วนผสมในยารักษาฝีและริดสีดวงทวาร ; ยาต้มของราก ใช้ภายในเพื่อรักษาปัญหาทางเดินปัสสาวะ เป็นยาบำรุงไข้ เพื่อรักษาโรคโลหิตจางและเบื่ออาหาร ช่วยในการมีประจำเดือนให้ปกติ -อื่น ๆ เปลือกเส้นใยสามารถใช้แทนเชือก ระยะเวลาออกดอก---กุมภาพันธ์-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
25 ไก่ฟ้าพญาลอ/Aristolochia ringens
[a-ris-toh-LOH-kee-uh] [RIN-jens]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aristolochia ringens Vahl.(1794) ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2651840 ---Basionym: Aristolochia grandiflora Vahl. (1788) ---Aristolochia globiflora Mutis.(1983) ---Aristolochia turbacensis Kunth.(1817) ---Howardia ringens (Vahl) Klotzsch.(1859) ชื่อสามัญ---Gaping dutchman's pipe, Pipe vine. ชื่ออื่น---ไก่ฟ้าพญาลอ, นกกระทุง ;[COLOMBIA: Gallitos, Guaco.];[CUBA: Flor de pato, Gallito, Patico.];[DOMINICAN: Gallito, Patico.];[MALAYALAM: Garudapoovu, Mayilpoovu.];[MARATHI: Badak vel.];[PUERTO RICO: Gallito, Panitos, Pelicanos.];[SPANISH: Aristoloquia, Chompipe.];[THAI: Kai fa phaya lor, Nok kra thung.]. ชื่อวงศ์---ARISTOLOCHIACEAE EPPO Code---ARPRI (Preferred name: Aristolochia ringens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล อเมริกากลาง อินดิสตะวันตก ประเทศในเขตร้อนทั่วไป นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Aristolochia' มาจากคำภาษากรีก 'aristos' ที่มีความหมายว่า 'ดีที่สุด' และ 'locheia' หมายถึง 'การเกิด' โดยอ้างอิงถึงการใช้พืชในการคลอดของชาวกรีก ; ชื่อสปีซี่ส์ 'ringens' มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่าคำราม เนื่องจากปากที่อ้าใกล้กับหลอดดอกไม้ Aristolochia ringens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ไก่ฟ้า (Aristolochiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ในปี พ.ศ.2337
Pictures: https://greencoverinitiative.com/flowering-plants/aristolochia-ringens-gaping-dutchmans-pipe/ ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้และเกิดขึ้นในเขตร้อนของทวีปอเมริกาและแอฟริกาพบตั้งแต่ปานามาจนถึงโบลิเวีย โคลอมเบียและเวเนซุเอลา เกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่อาศัยหลายชนิดเช่นป่าพรีมอนเทนชื้น ป่าเขตร้อนชื้นถึงชื้นมากและป่าทุติยภูมิเขตร้อน ที่ระดับความสูง 0-2000 เมตร ลักษณะ ไก่ฟ้าเป็นไม้เลื้อยเถาขนาดกลาง ต้นและใบเป็นสีเขียวอ่อน ต้นเหนียว สามารถเลื้อยพันไม้อื่นได้ไกลถึง 3-5 เมตร ใบเดี่ยวขนาด 5-16 x 6-18 ซม. รูปหัวใจ ปลายใบมนถึงแหลม โคนใบเว้าลึก ก้านใบยาว 3-11 ซม.มีหูใบคล้ายใบขนาดเล็กอยู่ตามข้อ ดอกมีลวดลายต่างๆสลับกันหลายสี ทรงดอกมีรูปร่างคล้ายไก่หรือนกกระทุง ขนาดดอกยาวระหว่าง 25-30 ซม.ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามข้อต้น ทรงดอกเป็นรูปงอ คล้าย หัว คอ ลำตัวของสัตว์ปีกจำพวกนกหรือไก่ ลำตัวเป็นสีเขียวอ่อน มีลายเป็นทางยาวและทางขวางสลับกันสีม่วงเข้ม ผลรูปทรงกระบอกยาว 6-11 ซม. มีเหลี่ยม เมื่อแก่แตกออกเป็นรูปกระเช้า ภายในมีเมล็ดแบนรูปหัวใจ มีปีกยาว 7-15 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไก่ฟ้าเป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายชนิดหนึ่ง ชอบดินร่วนซุยที่มีสภาพชุ่มชื้น สามารถทนต่อร่มเงาได้แต่ชอบแสงแดดจัด อุณหภูมิระหว่าง 10-25ºC อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การรดน้ำ---ความต้องการน้ำต่ำ ทนแล้ง; เหมาะสำหรับการ xeriscaping การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเล็กน้อยหลังจากออกดอกหมด การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอเดือนละครั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยหรือไร บางครั้งไวรัสที่ทำให้เกิดจุดสีเหลืองบนใบ รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชเป็นพิษหากกินเข้าไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ควรทำซุ้มไม้ให้เลื้อย -ใช้เป็นยา ใช้ในยาแผนโบราณของแอฟริกันในการจัดการพิษงูกัด การรบกวนระบบทางเดินอาหาร โรคไขข้ออักเสบและโรคนอนไม่หลับ สามารถต่อต้านพิษในยาอาหรับและอินเดียรวมทั้งยาของชาวอเมริกันพื้นเมือง ( Hance, 1873 ) ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นว่านทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม หากปลูกไว้ตามบ้านจะทำให้มีผู้นิยมชมชอบ หากนำหัวพกติดตัวจะทำมาค้าขึ้น กล่าวกันว่าถ้าเก็บดอกแห้งมาบดให้ละเอียดผสมกับสีผึ้งทาปาก ใช้เป็นเมตตามหานิยม ระยะออกดอกติดผล---มกราคม - มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีปักชำ หรือเพาะเมล็ด
|
26 โนรา/Hiptage benghalensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hiptage benghalensis (L.) Kurz.(1874) ชื่อพ้อง --- Has 5 Synonyms. ---Basionym: Banisteria benghalensis L.(1753.) ---Gaertnera obtusifolia Roxb.(1814) ---Hiptage javanica Blume.(1825) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-19500008 ชื่อสามัญ---Hiptage, Helicopter- Flower, Clustered hiptage ชื่ออื่น---สะเลา (เชียงใหม่), พญาช้างเผือก (แพร่), กำลังช้างเผือก (ภาคเหนือ), แหนปีก (ภาคอีสาน), กะลังจ่าง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน);[ASSAMESE: Madhabi lata, Madhoi lata.];[AYURVEDA: Atimukta, Atimuktaka, Maadhavi, Vaasanti, Pundrika, Mandaka, Vimukta, Kaamuka.];[BENGALI: Madhabilata.];[CHINESE: Fengzheng guo.];[FINLAND: Intiankolmisiipi (Suomi).];[FRENCH: Hiptage du bengale, Liane de cerf, Liane Papillon, Liane rouge.];[GERMAN: Benghalen-Liane.];[HINDI: Madhavi Lata.];[INDIA: Adimurtte, Adirganti, Atimukta, Chandravalli, Haldavel, Kampti, Kamuka, Madhalata, Madhavi, Madhavi, Madhumalati, Madmalati, Ragotpiti, Vasantduti.];[INDONESIA: Areuy beurit (Sunda); Jaranan, kakas (Java).];[KANNADA: Madhvi.];[MALAYALAM: Njarambodal, Seethambu, Sitampu, Pongapoo, Chittilakody.];[MAURITIUS: Liane de Cythère, Liane de fleurs d'oranger, Liane Rouge.];[NEPALI: Charpate laharo.];[SANSKRIT: Madhumadhavi, Madhavilata, Latamadhavi, Madhavi, Vasantaduti.];[SAUDI ARABIA: Liane papillon.];[SIDDHA/TAMIL: Madhavi, Vasandagala-malligai.];[TAIWAN: Fēngzhēng guǒ zhōngwén .];[TAMIL: Karipakkukodi, Vasantakaala Malligai, Kurkatikodi];[THAI: Nora (Bangkok); Ka-lang-chang (Karen-Mae Hong Son); Kamlang chang phueak (Northern); Phaya chang phueak (Phrae); Salao (Chiang Mai).];[VIETNAM: Tơ mành.]. ชื่อวงศ์---MALPHIGHIACEAE EPPO Code---HTGBE (Preferred name: Hiptage benghalensis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาลายู อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hiptage' มาจากภาษากรีก "hiptamai " ซึ่งแปลว่า "บิน" หมายถึงผลไม้สามปีกอันเป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "samara" ผลไม้ถูกพัดพาไปด้วยลมเพราะมีปีกที่เหมือนกระดาษ ; ชื่อสายพันธุ์ "Benghalensis" มีที่มาจากภูมิภาคประวัติศาสตร์ของเบงกอลซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมือง Hiptage benghalensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โนรา (Malpighiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2417 -Hiptage benghalensis subsp. benghalensis Includes 5 Accepted Infraspecifics ชนิดย่อย (Subspecies) ;- -Hiptage benghalensis subsp. benghalensis -Hiptage benghalensis subsp. candicans (Hook.fil.) Sirirugsa ความหลากหลาย (Varieties);- -Hiptage benghalensis var. longifolia (Nied.) R.C.Srivast. -Hiptage benghalensis var. rothinii R.C.Srivast. -Hiptage benghalensis var. tonkinensis (Dop) S.K.Chen Unranked -SH1286077.09FU (cf. Hiptage benghalensis) -See all https://www.gbif.org/species/3191302
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ [จีน (ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กว่างซี กุ้ยโจว ไหหลำ ไต้หวัน ยูนนาน) บังกลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เนปาล ไทย เวียดนาม] และฟิลิปปินส์ ถิ่นกำเนิดที่แน่นอนคลุมเครือเนื่องจากการเพาะปลูกที่กว้างขวาง มันถูกบันทึกว่าเป็นวัชพืชในป่าฝนของออสเตรเลีย และมีการบุกรุกอย่างมากในมอริเชียส เรอูนียง ฟลอริดา และฮาวาย ซึ่งมันเติบโตในป่าที่ราบลุ่มแห้งแล้ง ก่อตัวเป็นพุ่มหนาทึบและปกคลุมพืชพื้นเมือง Florida Exotic Pest Plant Council (FLEPPC) ระบุว่าH. benghalensisอยู่ในกลุ่มพืชประเภท II ในปี 2544 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่แสดงศักยภาพในการรบกวนชุมชนพืชพื้นเมือง ถือเป็นหนึ่งใน 100 สายพันธุ์รุกราน (Invasive species) ที่อันตรายที่สุดในโลก ในถิ่นกำเนิดพบที่ระดับความสูง (100-) 200 - 1,900 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค พบบริเวณเชิงเขาหินปูน ที่ระดับความสูง จากระดับน้ำทะเล 500-800 เมตร ลักษณะ มโนราห์เป็นไม้เลื้อยยืนต้น หรือรอเลื้อยคือสามารถตัดแต่งเป็นพุ่มได้ เลื้อยไปได้ไกลถึง 10 เมตร จะแตกกิ่งก้านเป็นไม้พุ่มได้เหมือนกัน กิ่งก้านเรียวเล็กห้อยลง เปลือกนอกบางสีเทา มีรูระบายอากาศทั่วไป เปลือกในสีขาว ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้าง4-6 ซม.ยาว 10-15 ซม. แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ส่วนท้องใบมีขน มีต่อมเล็ก ๆ อยู่ใกล้ฐานใบ ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง และมันจะออกเกือบทุกข้อต้นตามแนวกิ่ง ช่อดอกยาว 9-22 ซม.ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพูอ่อน กลางดอกเป็นสีเหลือง ดอกหอมมาก กลิ่นของดอกมโนราห์ คล้ายกลิ่นดอกส้ม บ้างว่าคล้ายส่าเหล้า ผลแยกออกเป็น 3 เสี้ยว แต่ละเสี้ยวมีปีกซึ่งมีขน ปีกกลางจะใหญ่ที่สุดยาว 4-6 ซม.ปีกด้านข้างสองข้างยาว 2-3 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจัดมากนัก ควรเลือกปลูกในตำแหน่งที่มีแสงแดดในตอนเช้าและพ้นแสงแดดในช่วงบ่าย หรือใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่มีแดดส่องถึง ดินที่เป็นกรดเล็กน้อย ทนอุณหภูมิต่ำสุด 12°C ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 18-28°C อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว การรดน้ำ---ให้น้ำเมื่อดินแห้งเมื่อสัมผัส อย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ต้องการ การตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือปุ๋ยเม็ดสูตรสมดุล เช่น 16-16-16 ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ดูแมลงเกล็ดและเพลี้ยแป้ง/ อาจเกิดโรคใบจุด และหากมีน้ำขังแฉะอาจเกิดโรครากเน่าได้
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สามารถตัดแต่งให้เป็นต้นไม้หรือไม้พุ่มขนาดเล็กหรือสามารถเป็นไม้เลื้อยได้ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในสวนเมืองร้อน เนื่องจากดอกไม้มีรูปแบบที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์และมีกลิ่นหอม ดอกมีสีซึ่งผิดกับไม้ดอกหอมชนิดอื่นซึ่งมักมีสีขาวปลอด -ใช้เป็นยา แก่นโนราเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้ดองเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้เจริญอาหาร แก้อาการก่อนเพลีย ช่วยขับลม แก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ ใช้ดองกับเหล้าเป็นยาบำรุงกำหนัด เปลือกต้นนำมาตำพอกใช้รักษาแผลสด ; ใช้เป็นยาในการแพทย์ทางเลือกอายุรเวท ใบและเปลือกต้นมีรสร้อน ฉุน ขม ใบใช้เพื่อรักษาโรคหอบหืดและโรคไขข้อ เปลือกต้นใช้ใน รักษาโรคทางเดินน้ำดี อาการ ไออาการแสบร้อน กระหายน้ำและการอักเสบ นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังและโรคเรื้อน -อื่น ๆ พืชมีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง -น้ำมันเมล็ดพืชมีศักยภาพที่จะใช้เป็นแหล่งพลังงานทางเลือกสีเขียวสำหรับการผลิตไบโอดีเซล พิธีกรรม/ความเชื่อ---Madhavi lata พืชเป็นที่นับถือในศาสนาฮินดูและเกี่ยวข้องกับพระวิษณุ ตามพระวิษณุปุรณะ Madhavi (เทพธิดาลักษมี) เป็นชายาของพระวิษณุ / Madhava และพืชได้รับการตั้งชื่อตามชื่อพระนาง Madhavi Lata เป็นตัวแทนของเถาวัลย์ที่เลื้อยรัด และพระวิษณุหมายถึงต้นไม้ที่พระนางเกาะยึดเพื่อค้ำจุน ระยะออกดอก/ติดผล--- มีนาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำหรือตอนกิ่ง
|
27 หิรัญญิการ์/Beaumonontia grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Beaumontia grandiflora Wall.(1824) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-20251 ---Basionym: Echites grandiflora Roxb.(1832) [Illegitimate] ---Beaumontia longiflora Hook.f.(1832) [Invalid] ---Beaumontia longifolia Lodd. ex Loudon.(1830) ชื่อสามัญ---Nepal Trumpet, Nepal trumpet- flower, Easter-lily-vine, Herald's-trumpet. ชื่ออื่น---เถาตุ้มยำช้าง (ภาคเหนือ), หิรัญญิการ์ (ภาคกลาง) ;[CHINESE: Qīng míng huā.];[FRENCH: Bougainvillier blanc, Lys bois.];[GERMAN: Großblütige Heroldstrompete, Heroldstrompete, Nepal Trompetenblume, Lilienwein.];[PORTUGUESE: Trombeta de arauto, Trombeya-branca, Bomoncia.];[SPANISH: Trombeta blanca.];[SWEDISH: Trattranka.];[THAI: Thao tumyam chang (Northern), Hi-run-yi-ka (Central).]. ชื่อวงศ์--APOCYNACEAE EPPO Code---BMNGR (Preferred name: Beaumontia grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียใต้ถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลเป็นเกียรติแก่ Diana Beaumont (1765-1831) จาก Bretton Hall นักสะสมแร่ธาตุและพืชแปลกใหม่ผู้ส่งพืชไปให้ Nathaniel Wallich (1786-1854) ; ชื่อสายพันธุ์ 'grandiflora' คือการรวมกันของคำในภาษาละติน ''grandis'' = great และ ''flos,-oris '' = ดอกไม้ โดยอ้างอิงถึงดอกไม้ขนาดใหญ่ของสายพันธุ์นี้ Beaumontia grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786-1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศเนปาล ทิเบตตะวันออกเฉียงใต้ จีนตอนใต้ (ยูนนาน) อินเดีย (รัฐอัสสัม) พม่า และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ใน Malesia: สุมาตรา, คาบสมุทรมาเลเซีย, บอร์เนียว, ชวา, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, ซุนดาน้อย, โมลุกกะ) เติบโตตามป่าละเมาะ บนโขดหินและต้นไม้ในป่า ที่ระดับความสูง 300- 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นตามชายป่าดิบ ป่าเบญจพรรณใกล้ลำธาร ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยลำต้นแก่มีเนื้อไม้ กึ่งผลัดใบขนาดใหญ่ เลื้อยพันต้นไม้อื่นสูง 3-15 เมตร และแผ่กว้าง 2.5 เมตร.หลังจาก 5-10 ปี แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มแน่นเฉพาะตรงส่วนยอดที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ กิ่งอ่อนมีขนมีน้ำยางสีขาวข้น ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ระนาบเดียวกัน ใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับ หรือรูปรีแกมขอบขนาน ขนาดกว้างประมาณ 4-5 ซม.ยาวประมาณ 16-25 ซม. ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือแหลม ส่วนขอบใบเรียบไม่มีหยัก หลังใบเรียบเป็นมัน ใต้ท้องใบเห็นเส้นใบได้ชัดเจน มีประมาณ 10-14 คู่ ไม่มีขนปกคลุม ก้านใบยาวประมาณ 1-1.5 ซม.ดอกมีขนาดใหญ่สีขาวขนาด 10-15 ซม. ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีดอกย่อยประมาณ 5-10 ดอก มีกลิ่นหอมตลอดวัน ผลเป็นฝัก ยาวประมาณ 12-30 ซม. ผนังหนาและแข็งมาก ฝักเมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในผลมีเมล็ดแบน ๆ สีน้ำตาลอยู่เป็นจำนวนมาก ยาวประมาณ 1.7ซม.ส่วนปลายของเมล็ดมีขนยาวอ่อนนุ่มติดอยู่เป็นกระจุก ยาวประมาณ 3.5-5ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวันหรือแสงแดดรำไร ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ดินต้องเป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อนๆ ความชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงต่ำสุด (-5°C) อุณหภูมิที่เหมาะสม 7° C-15 ° C ชอบความชื้นในอากาศสูงไม่ต่ำกว่า 50% อัตราการเจริญเติบโต 5 เมตร/ปี มีความทนทานและอายุยืน การรดน้ำ---ดินต้องแห้งก่อนการรดน้ำ จำเป็นต้องมีความชื้นมากใช้เครื่องพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำช่วยเป็นระยะ ในฤดูหนาวการรดน้ำควร จำกัด ความชื้นในดินในฤดูหนาวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมการเติบโตได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยละลายน้ำเจือจางทุกๆ 2 สัปดาห์ งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อโรคพืชและศัตรูพืช บางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากเพลี้ยแป้งและไรเดอร์/ มีอันตรายจากการสลายตัวของรากด้วยการรดน้ำมากเกินไปในสภาวะที่เย็น รู้จักอันตราย---มีพิษเช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)อื่น ๆอีกหลายชนิด ประกอบด้วย cardiac glycoside oleandrin ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ที่แตกยอดเร็วมาก อาจเลี้ยงในกระถางได้ระยะหนึ่ง ต้องย้ายปลูกลงดิน และทำซุ้มให้เลื้อย คอยตัดแต่งให้ทรงพุ่มได้รับแสงแดดทั่วถึง ช่วงออกดอกดกต็มต้นจะสวยมาก เป็นไม้เลื้อยที่ต้องทำซุ้มรับให้แข็งแรง มากๆ -ใช้เป็นยา เมล็ดมักใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ -รากและใบใช้รักษากระดูกหัก บาดเจ็บ ปวดหลังและปวดขาจากโรคไขข้อ -อื่น ๆ เส้นใยได้มาจากกิ่งอ่อน ใช้ทำเชือกหยาบ ; พืชมีขนเมล็ดที่ดีที่สุดที่รู้จักกัน แต่ก็ยังใช้น้อยที่สุด เส้นใยนี้ถูกกล่าวขานว่าไม่เพียงแต่เป็นประกายเงางามและสีขาวบริสุทธิ์ที่สุดของสิ่งที่เรียกว่า 'Vegetable silks' เท่านั้นแต่ยังมีความแข็งแกร่งในระดับที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ขนยังแยกออกจากเมล็ดได้ง่ายมาก ได้เส้นใยยาว 0.29 - 0.44 ซม. ระยะออกดอก/ติดผล--- ธันวาคม-เมษายน การขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด และตอนกิ่ง ปักชำ
|
28 กระเทียมเถา/Mansoa alliacea
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Mansoa alliacea (Lam.) A.H.Gentry.(1980) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms. ---Basionym: Bignonia alliacea Lam.(1785) ---Adenocalymma alliaceum (Lam.) Miers.(1861) ---Adenocalymma sagotii Bureau & K.Schum.(1896) ---Pseudocalymma sagotii (Bureau & K.Schum.) Sandwith.(1937) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-317544 ชื่อสามัญ ---Garlic Vine, False Garlic, Fake garlic, Purple garlic vine, Amethyst vine. ชื่ออื่น ---กระเทียมเถา, การ์ลิคไวน์ ;[CHINESE: Dàsuàn téng, Suàn xiāngténg.];[COLOMBIA: Campana morada, Chica, Chirriador.];[COSTA RICA: Jalapa.];[FRENCH: Liane d'ail.];[JAPANESE: Gârîkubain, Ninnikukazura.];[PERU: Ajo del monte, Ajo sacha, Sacha ajo.];[PORTUGUESE: Alho-da-mata, Cipó-de-alho.];[PUERTO RICO: Bejico de ajo, Mata de ajo.];[RUSSIA: Mansoa.];[SPANISH: Ajos sacha, Bejuco de ajo, Flor de ajo.];[THAI: Kratheīum thao.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---MZKAL (Preferred name: Mansoa alliacea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ - เม็กซิโก บราซิลและเปรู , อเมริกากลาง - ทางเหนือของคอสตาริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Mansoa' เป็นเกียรติแก่แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล Antonio Luiz Patricio da Silva Manso (1788-1848) ; ชื่อสายพันธุ์ 'alliacea' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน “alliaceus, a, um” = คล้ายกับกระเทียม โดยอ้างอิงถึงกลิ่นของกระเทียมที่ปล่อยออกมาเมื่อขยี้ใบ Mansoa alliacea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ(Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Alwyn Howard Gentry (1945–1993) นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมพืชชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2523 **การพูดคุยส่วนตัว ต้นไม้ ชนิดนี้ นิยมเรียกทับศัพท์ชื่อสามัญว่า “กาลิคไวน์” แต่ก็มีคนจำนวนมากเรียกเพี้ยนเป็น “กาหลิบไวน์” กลายเป็นต้นไม้อาหรับไป ก็น่าจะเรียกกันให้ถูกต้อง หรือไม่ก็เรียกชื่อภาษาไทยไปเลยว่า กระเทียมเถา ซึ่งชื่อนี้ หลวงบุเรศร บำรุงกาล ตั้งไว้เมื่อ พ.ศ.2514** ที่อยู่อาศัย การกระจายจากเฟรนช์เกียนาพื้นที่ของมันทอดยาวจากทางตอนเหนือของโบลิเวีย ส่วนอเมซอนของเปรูและบราซิล ผ่านกายอานาและซูรินาเม ถึงคอสตาริก้าอเมริกากลาง อย่างไรก็ตามมีการปลูกในพื้นที่เขตร้อนอื่น ๆ ของโลกในสวนและสวนสาธารณะ (แอนทิลลิส, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, แอฟริกาใต้) ตามธรรมชาติพบได้ที่ระดับความสูงประมาณ 0- 900 เมตร ลักษณะ กระเทียมเถาเป็นไม้เลื้อยขนาดกลาง ลำต้นเป็นเถาใหญ่ แข็งแรงสามารถเลื้อยไปได้ไกลกว่า10 เมตร เถาอ่อนและส่วนยอดจะเป็นสีเขียว ส่วนเถาแก่จะเป็นสีน้ำตาล มีใบประเภทใบประกอบ มีใบย่อย 1 คู่ ออกตรงข้ามกันตามข้อต้น เป็นไม้ใบบางแต่แข็งกระด้าง รูป ใบรีหรือมน หรือใบรูปไข่ขอบใบเรียบปลายใบและโคนใบแหลมก้านใบสั้น มีมือเกาะอยู่ระหว่างใบย่อยแต่ละคู่หรือตามโคนกาบใบ ในขณะที่ใบยังอ่อน ลองขยี้ใบแล้วเอามาดมดูจะได้กลิ่นเหมือนกลิ่นกระเทียม ดอกออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งจะมีประมาณ 10-20 ดอก สีม่วงอ่อน ตรงปากดอกหรือกลางดอกสีค่อนข้างขาวมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเล็กน้อย ลักษณะดอก จะเป็นรูปกรวยปากบาน หรือรูปแตร มีกลีบดอกแยกออกเป็น 5 กลีบเมื่อดอกบานใหม่ ๆ จะเป็นสีม่วงและเปลี่ยนเป็นสีลาเวนเดอร์ที่อ่อนลงตามอายุ จางลงจนเกือบขาวในที่สุด จะเห็นดอกไม้ 3 สีที่ต่างกันบนต้นไม้ในเวลาเดียวกัน มีเกสรตัวผู้ภายในดอก 4 อัน สั้น 2 อัน และยาวอีก 2 อัน ในช่วงที่ออกดอก กระเทียมเถาจะทิ้งใบหมด ผลเป็นฝักยาวได้ถึง 20 ซม. มีเมล็ดมีปีกคล้ายหลังคาซ้อนกันยาว 3 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดถึง ร่มเงาบางส่วน ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง อย่างน้อย 3-6 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าต้นไม้จะรับร่มเงาได้ครึ่งหนึ่ง ทนอุณหภูมิต่ำสุด 1-2°C อุณหภูมิที่เหมาะสม 16°C-24°C ควรปลูกในดินปนทราย หรือในดินอุดมด้วยฮิวมัสที่ร่วนซุย ไม่ชอบดินเหนียว อัตราการเจริญเติบโต เร็วปานกลาง การรดน้ำ---รดน้ำอย่างเพียงพอ ที่จะทำให้ส่วนผสมของการปลูกมีความชุ่มชื้นอย่างทั่วถึง แต่อย่าให้น้ำมากเกินไป ต้องรดน้ำเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงออกดอก ในช่วงฤดูร้อน รดน้ำ วันละ 2 ครั้ง ลดการให้น้ำน้อยลงในช่วงพักตัว การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษารูปทรงให้กระชับขึ้นหรือตัดเป็นพุ่มควรทำหลังจากที่ดอกหมดไปแล้ว ไม่ควรตัดแต่งกิ่งมากเกินไป เนื่องจากพืชจะผลิดอกทั้งกิ่งเก่าและใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำมาตรฐานทุกสองสัปดาห์ ถ้าต้องการให้ออกดอกดกมากกว่าปกติ ให้พรวนดินรอบโคนต้นแล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเดือนละครั้ง (ต.ค.-ม.ค.) หลังจากนั้นใช้ปุ๋ยไนโตรเจน (40-0-0) สัปดาห์ละครั้ง จนกว่าจะถึงเวลาใบร่วงจึงหยุดใส่ปุ๋ยแต่ต้องรดน้ำไว้ตามปกติ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชและโรคร้ายแรง ระวังเพลี้ยอ่อน ใช้ประโยชน์---ชาวบ้านนิยมนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณและยังนิยมปลูกเป็นไม้กระถางประดับในร่ม -ใช้กิน ใบใช้เป็นเครื่องปรุงหรือเครื่องเทศสำหรับรสและกลิ่นของกระเทียม -ใช้เป็นยา ในการแพทย์พื้นบ้านจะใช้ยาต้มใบหรืออาบน้ำอุ่นด้วยใบและเปลือกไม้บดในกรณีของโรคทางเดินหายใจส่วนบน ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงโรคข้อ ทั้งเปลือก (ในยาต้ม) หรือใบ (ในยาต้ม) ใช้เป็นยารักษาโรคไขข้ออักเสบ หวัด มดลูกผิดปกติอักเสบและโรคลมบ้าหมู -อันที่จริงวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการได้ยืนยันประสิทธิภาพของการรักษานี้ยาต้านโรคไขข้อ (เม็ด) ที่มีสารสกัดจาก manson สามารถซื้ออย่างเป็นทางการในร้านขายยาอเมริกาใต้ -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้เลื้อยขึ้นซุ้ม ใช้เป็นพืชเลื้อยคลุมสำหรับ pergolas หรือรั้ว ในเขตอบอุ่น ต้นไม้จะถูกขายไปบนโครงลวดต่างๆเพื่อให้ดอกไม้ที่น่าสนใจโดดเด่น ความเชื่อ/พิธีกรรม---Bejuco de Ajo ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายโดยชาวมายันชนพื้นเมืองในอเมซอนโดยมีการใช้เกือบทุกส่วนของพืช เมื่อแขวนกิ่งใบไว้รอบ ๆ บ้าน โดยเชื่อว่าต้นไม้นั้น 'มีมนต์ขลัง' หรือ 'จิตวิญญาณ' จะนำความโชคดีหรือเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไป- ชาวประมงใช้สำหรับการทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าจับปลาได้ดี ยังใช้ในห้องอาบน้ำเพื่อเสริมความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง -หมอผีใช้เป็นส่วนผสมในยาหลอนประสาท ระยะออกดอก--- มกราคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ ทับกิ่ง
|
29 อัญชัน/Clitoria ternatea
[klih-TOH-ree-uh] [tern-AH-tee-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Clitoria ternatea L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms. ---Clitoria albiflora Mattei.(1908) ---Clitoria bracteata Poir.(1811) ---Ternatea vulgaris Kunth.(1824) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-2539 ชื่อสามัญ---Butterfly Pea, Asian pigeonwings, Bluebellvine, Blue pea, Cordofan pea, Darwin pea. ชื่ออื่น--- แดงชัน (เชียงใหม่), เอื้องชัน (ภาคเหนือ), อัญชัน ;[ARABIC: Mazariyune-Hindi, Bazrulmazariyune-Hindi (Seeds), Bazrulmazariyunehindi, Buzrula, Mazariyunehindi.];[ARGENTINA: Campanilla.];[ASSAMESE: Aparajita.];[AUSTRALIA: Asian pigeon-wings; Butterfly pea.];[BENGALI: Aparajita.];[BRAZIL: Cunha, Clitória.];[CAMBODIA: Rum'choan.];[CHINESE: Die Dou.];[FRENCH: Honte, Pois bleu, Pois Tonelle.];[GERMAN: Blaue Klitorie, Blaue Schmetterlingswicke.];[HAITI: Honte.];[INDONESIA: Bunga biru; Kembang telang.];[ITALIAN: Fagiolo indiano, Fior celeste.];[LAOS: 'Ang s'an dam, Bang s'an dam.];[MALAYSIA: Bunga biru, Bunga telang, Kacang telang.];[MEXICAN: Chorreque azul, Conchita de mar, Zapatillo de la reina.];[PHILIPPINES: Kolokanting (Tagalog); Giting princesa (Bikol); Balog-balog (Visaya).];[PORTUGUESE: Cunhã, Fula criqua.];[SPANISH: Azulejo, Bejuco de conchitas, Conchita,s papito, Zapotico de la reina.];[THAI: Anchan, Daengchan, Auengchan.];[TURKISH: Mavi Kelebek Sarmaşığı.];[VIETNAM: Chi Đậu biếc, Dâu biê'c.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONACEAE) EPPO Code---CXCTE (Preferred name: Clitoria ternatea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย-- ไทย มาเลเซีย เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Clitoria' หมายถึงความคล้ายคลึงกันของดอกไม้กับอวัยวะเพศหญิงของมนุษย์ ; ชื่อสปีซี่ส์ "ternatea" หมายถึงเกาะ Ternate ที่ตั้งอยู่ ทางตอนเหนือของหมู่เกาะโมลุกกะของอินโดนีเซีย ; ชื่อพื้นถิ่นหลายชื่อของพืชในภาษาท้องถิ่นยังมาจากรูปร่างของดอกไม้ Clitoria ternatea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย ต้นกำเนิดที่แท้จริงของมันถูกบดบังด้วยการเพาะปลูกหรือการแปลงสัญชาติอย่างกว้างขวางในเขตร้อนชื้นของเอเชียแอฟริกาหมู่เกาะแปซิฟิกและอเมริกา เป็นที่แพร่หลายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในช่วงธรรมชาติC. ternateaเติบโตในทุ่งหญ้าป่าเปิดป่าไม้พืชพันธุ์ในแม่น้ำและป่าที่ถูกรบกวน เติบโตที่ระดับความสูง 0-1600 (-1800) เมตร อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้รอดพ้นจากการเพาะปลูกและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่รุกรานในริมฝั่งแม่น้ำลำห้วย ขอบของร่องน้ำช่องชลประทาน พื้นที่ที่ถูกรบกวน ถนน พื้นที่ป่าและทุ่งหญ้า ในออสเตรเลีย ฮาวาย กาลาปากอส หมู่เกาะฟิจิและบนหลายเกาะในภูมิภาคแปซิฟิก ( Smith, 1985 ; Wagner et al., 1999 ;เปียร์, 2559 ; วัชพืชแห่งออสเตรเลีย, 2559) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดเล็ก มีเถาเล็กและอ่อน เลื้อยได้ไกลถึง 7-8 เมตร ใบเป็นใบประกอบมี 5-7 ใบ ใบย่อยเล็กค่อนข้างบางรูปไข่กว้างหรือเกือบเป็นรูปไข่ 2.5–5 x 1.5–3.5 ซม ดอกออกเป็นช่อตามปลายยอดสีน้ำเงินอมม่วงดอกคล้ายดอกถั่วขนาด 5.5ซม. มีสีขาวหรือสีส้มจาง ๆ อยู่ตรงกลางเป็นรูปไข่กว้าง มีฝักคล้ายถั่วฝักยาว5–11 x 0.7–1 ซม.จงอยปากยาว มีเมล็ดสีดำ 6–10 เมล็ด ปกติ อัญชันที่เห็นกันมีดอก สีฟ้า สีน้ำเงินอมม่วง และสีขาว แต่ก็มีอีกชนิด (variety) หนึ่ง เป็นอัญชันดอกสีน้ำเงินเข้ม แต่มีกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น เรียกว่า “อัญชันซ้อน” ชนิดนี้น่าปลูกมาก เพราะมีลีลาดอกสวยกว่า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โดยปกติจะเติบโตในแสงแดดเต็มที่ (6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่มีความทนทานต่อร่มเงาปานกลาง อุณหภูมิเฉลี่ย 19° – 28° C อุณหภูมิต่ำสุดที่ 15° C ต่ำกว่านี้ พืชอาจตายได้ ปรับสภาพให้เข้ากับดินหลากหลายประเภทตั้งแต่ดินทรายไปจนถึงดินร่วนแฉะลึกและดินเหนียวหนักที่มีการระบายน้ำดี pH ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.9 การรดน้ำ---ต้องการน้ำในปริมาณเล็กน้อยแต่เพิ่มเติมในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไป หากผ่านไป 1-2 ชั่วโมงแล้วยังมีน้ำขังอยู่แสดงว่าดินระบายน้ำไม่ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นรกรุงรัง ตัดกลับในฤดูใบไม้ผลิ โดยเหลือเถาไว้อย่างน้อย 7 ถึง 10 ซม. (3 ถึง 4 นิ้ว) เพื่อให้สามารถเติบโตต่อไปได้ การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยทุกเดือน บำรุงพืชปีละครั้งหรือสองครั้งด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยและไรเดอร์/หนอนผีเสื้อและตั๊กแตนเ รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษต่อคนและสัตว์ ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยา -ใช้กิน ดอกสดดิบ-สุก นำมากินเป็นผักหรือปรุงเป็นอาหาร ทำเป็นเครื่องดื่มน้ำอัญชันเพื่อใช้ดับกระหาย ดอกอัญชันตากแห้งสามารถนำมาชงดื่มแทนน้ำชาได้ น้ำดอกอัญชันนำมาใช้ทำเป็นสีผสมอาหารโดยให้สีม่วง -ใช้เป็นยา *อัญชันมีสารที่ชื่อว่า "แอนโทไซยานิน" (Anthocyanin) ซึ่งมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น เช่น ไปเลี้ยงบริเวณรากผม ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ เงางาม หรือไปเลี้ยงบริเวณดวงตาจึงช่วยบำรุงสายตาไปด้วยในตัว หรือไปเลี้ยงบริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งก็จะช่วยแก้อาการเหน็บชาได้ด้วย และที่สำคัญสารนี้ยังมีความโดดเด่นที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่ทราบ นั่นก็คือช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้ และการ "กินดอกอัญชันทุกวัน...วันละหนึ่งดอก" จะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบได้อีกด้วย* [จากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)] -ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชตระกูลถั่วในทุ่งหญ้าที่มีการค้าเป็นไม้ประดับในสวน ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับบนรั้วและระแนงบังตา -วนเกษตร ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก ลักษณะอัตราการเจริญเติบโตสูงความทนทานต่อความแห้งแล้งและการปรับตัวให้เข้ากับดินเหนียวหนักชี้ให้เห็นว่าสายพันธุ์นี้สามารถใช้เพื่อปรับปรุงทุ่งหญ้าตามธรรมชาติได้ ( Staples, 1992 )ใช้ปลูกเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและปรับปรุงผลผลิตของพืชเช่นข้าวโพดข้าวฟ่างและข้าวสาลี นอกจากนี้ยังปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดพืชคลุมดินสำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์แบบหมุนเวียน แผล่งโปรตีนของการผลิตหญ้าแห้งและหญ้าหมัก -อื่น ๆ ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่าง ครีมนวดผม ยาสระผม ต้นไม้จากวรรณคดี--- คนสมัยก่อนนิยมใช้ดอกอัญชันขยี้ที่หัวเด็กให้ผมดก หรือขยี้ฝนที่คิ้วให้คิ้วดก ดังกาพย์ห่อโคลงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ จากนิราศธารโศก ซึ่งแสดงไว้ อัญชันคิดอัญชัน ทาคิ้วมันกันเฉิดปลาย ชำเลืองเยื้องตาชาย ชายชมนักมักแลตาม อัญชันคะนึงอ่าเจ้า โฉมฉาย คิ้วเคลือบมันกันปลาย เฉิดช้อย ชำเลืองเยื้องตาชาย เนืองนั่ง ชมเพลินเดินคล้ายคล้อย บ่ายหน้า แลตาม ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
30 ใบระบาด/Argyreia nervosa
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Argyreia nervosa (Burm f.) Bojer.(1837) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Basionym: Convolvulus nervosus Burm.fil.(1768) ---Argyreia speciosa (L. f.) Sweet.(1827) ---Convolvulus speciosus L. f.(1781) ---Ipomoea speciosa (L. f.) Pers.(1805) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8500613 ชื่อสามัญ ---Silver Morning Glory, Silver Morning, Elephant Creeper, Elephant Climber, Elephant Creeper Silver, Hawaiian baby woodrose, Baby Wood- Rose, Hawaiian Wood rose, Elephant VineMorning Glory, Woolly- morning- glory, Wood Rose. ชื่ออื่น---ใบระบาด เมืองมอน เมืองมอบ (กรุงเทพฯ), ผักระบาด (ภาคกลาง), ใบละบาท ผักระบาท ;[ASSAMESE: Jatak mashi, Bih dharak.];[BENGALI: Goguli, Bichtarak.];[CHINESE: Mei li yin bei teng.];[CUBA: Hoja de plata, Campanola, Cordón de seda, Hoja de plata, Ipomoeai, Pomoea morada.];[DOMINICAN REPUBLIC: Basquiña, Hoja de seda.];[FRENCH: Coup d'air, Liane à minguet, Liane d'argent, Liane d'argent à minguet.];[GERMAN: Elefantenwinde, Holzrose.];[HAITI: Coup d'air, Liane à minguet, Liane d'argent, Lliane tonnelle.];[HINDI: Vidhara, Samundar-ka-pat, Ghav Bel, Samudra-sokh.];[INDIA: Ambagar, Antakotarapushpi, bichtarak.];[INDONESIA: Areuy bohol keboh (Sundanese).];[KANNADA: Samudravalli, Samudra Haale.];[MALAYALAM: Maruthudari, Samudrappacha, Marikkunni.];[MARATHI: Samudrasoka, Gugguli.];[PHILIPPINES: Hojas de seda, Sedang-dahon (Tagalog).];[SANSKRIT: Samudrashosha, Murva, Samudraphalaka, Vidhara.];[SPANISH: Hojas de seda.];[SWEDISH: Elefantvinda.];[TAMIL: Samuttira-p-palai, Katar-palai.];[TELUGU: Chandra Poda.];[THAI: Bai rabaat, Phak rabaat (Central); Mueangmop, Mueang mon (Bangkok).];[VIETNAM: Thro bac gan.]. ชื่อวงศ์ --- CONVOLVULACEAE EPPO Code---AGJNE (Preferred name: Argyreia nervosa.) ถิ่นกำเนิด --- ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อนุทวีปอินเดีย บังคลาเทศ ฮาวาย แอฟริกา และแคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Argyreia' มาจากภาษากรีก'' argyro '' ซึ่งหมายถึงสีเงินที่ด้านล่างของใบ ; ชื่อของสปีชีส์ '' nervosa '' อ้างอิงถึงเส้นเลือดที่เด่นชัด -ชื่อสามัญที่ถูกอ้างถึงบ่อยที่สุดสองชื่อคือ “elephant creeper” หมายถึงความคล้ายคลึงของใบขนาดใหญ่กับหูช้างและ -“Hawaiian wood rose” สำหรับความคล้ายคลึงของผลไม้กับกุหลาบแกะสลัก Argyreia nervosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wenceslas Bojer (1797–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวโบฮีเมีย ในปี พ.ศ.2380 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในขอบป่าทุติยภูมิและพุ่มไม้ ที่ระดับความสูงต่ำถึงปานกลางสูงถึง 1,500 เมตร ได้รับการแนะนำ (เพาะปลูก) ในเอเชียตะวันออก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ เกิดขึ้นในแหล่งอาศัยในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ได้แก่ ป่าฝน ป่าเปิด ทุ่งหญ้าหนาทึบ ริมถนน ริมฝั่งแม่น้ำ ขอบทะเลสาบ พื้นที่ที่ถูกรบกวน และพื้นที่รกร้าง (Padhi et al., 2013 ; Weeds of Australia , 2559 ).ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงถึง 900 เมตร มีการบันทึกว่าเป็นผู้รุกรานป่าดงดิบและชุมชนป่าเขตร้อนอื่น ๆ ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย (รัฐควีนส์แลนด์) และหมู่เกาะแปซิฟิกบางแห่ง ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยอายุหลายปี เลื้อยได้ไกล 10 เมตร ทุกส่วนมียางสีขาวและขนคลุม หนาแน่นโดยเฉพาะกิ่งอ่อน เถาอายุน้อยจะอวบน้ำ แต่พอแก่เถาจะแข็งเป็นไม้ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าขนาดกว้าง 8-25 ซม.ยาว 10-30 ซม. หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบมีขนนุ่มสีขาว ก้านใบยาว ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อย 3-5 ดอก ก้านช่อแข็ง ยาว 20 ซม. ดอกสีม่วงอมชมพูรูปแตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 ซม. ผลเป็นผลสดรูปทรงกลม สีน้ำตาล อมเหลือง ขนาด 2 ซม.ปลายผลมีติ่ง มีเมล็ดขนาดใหญ่ 4-6 เมล็ด สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนซุยมีอินทรียวัตถุอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ชื้นแต่มีการระบายน้ำดี ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 10°C-30°C อุณหภูมิทนได้ต่ำสุดที่รายงานคือ (-4°C) การรดน้ำ---ทนทานต่อความแห้งแล้ง รดน้ำอย่างอิสระตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง ลดปริมาณน้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งจะทำในปลายฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเร่งดอกอินทรีย์แบบเหลว เช่น 0-10-10 เดือนละครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เนื่องจากอาจกระตุ้นให้พืชออกใบมากแต่มีดอกน้อย ศัตรูพืช/โรคพืช---คอยดูไรเดอร์ซึ่งมักจะมีขนาดเล็กเกินกว่าจะมองเห็นได้ แต่จะสังเกตได้จากใบไม้ที่มีจุดและใยแมงมุมบนใบไม้เหล่านั้น หากสังเกตเห็นสัญญาณดังกล่าว ให้ฉีดพ่นพืชให้ทั่วในตอนเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ด้วยสารละลายน้ำมันพืชสวน 2 เปอร์เซ็นต์ ฉีดใบเป็นครั้งคราวด้วยน้ำจากสายยางเพื่อขับไล่และกีดกันไรเหล่านั้นซึ่งชอบสภาพอากาศแห้ง/การให้น้ำมากเกินไปทำให้ลำต้นและรากเน่า ใช้ประโยชน์---พืชกูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในการแพทย์แผนโบราณนอกจากนี้ยังมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเพื่อเป็นไม้ประดับทั่วเขตร้อน -ใช้เป็นยา รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง ใช้รักษาโรคอ้วนที่เกิดจากการสะสมของไขมัน ช่วยกระตุ้นกำหนัด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำเหลืองเสีย น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูรักษาอาการอักเสบ ใบใช้ตำพอกรักษาบาดแผล พอกรักษาฝี รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ; รากและเมล็ดใช้ในยาสมุนไพรอายุรเวทในอินเดีย -ใช้ปลูกประดับ ปลูกขึ้นซุ้มไม้เลื้อยหรือปลูกริมรั้ว -อื่น ๆสปีชีส์นี้มีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ทางจิตมากที่สุดในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) และกำลังถูกใช้เป็นยา "ถูกกฎหมาย" หรือ "biogenic" และเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ( Ashutosh et al., 2011 ; Paulke et al., 2013). เมล็ดพันธุ์มีจำหน่ายในเว็บไซต์ และร้านค้าในท้องถิ่นต่างๆ คำแนะนำและวิดีโอเกี่ยวกับวิธีใช้พืชเป็นยามีอยู่ทางอินเทอร์เน็ต รู้จักอันตราย---ผลกระทบที่รายงานของยารวมถึง: ผลกระทบทางระบบประสาท/จิตใจ เช่น ความใจเย็น การรับรู้ภาพเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนแปลง ความวิตกกังวล การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเวลา คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็วจนเป็นกล้ามเนื้อกระตุก ( Paulke et al., 2015 ) พิธีกรรม/ความเชื่อ---หากปลูกต้นนี้แล้วเจริญงอกงามมีจำนวนใบมากๆและใบมีความสวยงามก็จะมีเงินมากขึ้นเรื่อยๆส่งผลให้คนอยู่อาศัยภายในบ้านร่ำรวย เพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นใบระบาดไว้ทางทิศตะวันตก และให้ปลูกในวันอังคาร ระยะออกดอก---กรกฎาคม - ธันวาคมและมีนาคม - เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง
|
31 ใบไม้สีทอง/Bauhinia aureifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Bauhinia aureifolia K.Larsen & S.S.Larsen.(1991) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-45951 ---Bauhinia chrysophylla K.Larsen & S.S.Larsen.(1989) ชื่อสามัญ---Golden Leave Liana ชื่ออื่น---ใบไม้สีทอง, ย่านดาโอ๊ะ, เถาใบสีทอง ; [THAI: Bai mai si thong, Yhao si thong, Yan Da-o.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE) EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา Bauhinia aureifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Kai Larsen (1926–2012) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และ Supee Saksuwan Larsen (สุภี ศักดิ์สุวรรณ เกิดปี 1939) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย-เดนมาร์ก ในปีพ.ศ.2534
ที่อยู่อาศัย เป็นไม้ประจำถิ่นของไทย ขึ้นตามที่โล่งริมลำธารในป่าดิบชื้น อุทยานแห่งชาติน้ำตกบาโจ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา-บาลา ที่ระดับความสูง50-200 เมตร พบครั้งแรกโดย ดร.ชวลิต นิยมธรรม ที่น้ำตกบาโจ จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2526 ตั้งชื่อโดยศาสตราจารย์ ไคลาร์เสน (Dr.of Kai Lascrn) นักพฤษาศาสตร์ชาวเดนมาร์ค เมื่อ พ.ศ.2532 ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีมือเกาะสำหรับเลื้อยพัน มือเกาะม้วนงอเป็นรูปตะขอคู่ สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 30 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปใบค่อนข้างกลม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายและโคนใบเว้าลึก ใบแก่สีเขียวเข้มใบอ่อนสีทอง มีขนกำมะหยี่สีแดงปกคลุม เมื่อใบโตเต็มที่จะเห็นชัด แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์เงินสวยงามมากใบดกหนาให้ร่มเงาได้ดี ขนาดใบกว้าง 10-17 ซม.ยาว8-12ซม.ระยะที่จะเห็นใบเป็นสีทองชัดเจนในช่วงเดือน มิถุนายน -กรกฎาคม ของทุกปี ต้นที่ปรากฏใบสีทองต้องมีอายุมากกว่า3- 5 ปี ดอกออกเป็น ช่อกระจุกที่ปลายยอดสีขาว ช่อละ3-5ดอก เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีครีม ดอกมี5กลีบรูปไข่ ขอบกลีบหยักเป็นคลื่น โคนกลีบสอบเรียว ดอกมีกลิ่นหอมเย็น ผลเป็นฝักแบนคล้ายฝักดาบ ยาว 23 ซม. กว้าง 6 ซม. มีขนสีน้ำตาลแดงคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม หนึ่งฝักมี ประมาณ 6-8 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แม้ว่าจะทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ ชอบอากาศค่อนข้างชื้น ทนอุณหภูมิต่ำสุด ได้ถึง (-6℃) ถึง (-9℃) เติบโตได้ในดินทราย ดินร่วน หรือลูกรัง และมีการระบายน้ำที่ดี ค่า pH ต่ำกว่า 7.5 การรดน้ำ---อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในฤดูร้อน หรือทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ควรทำในช่วงปีแรกหลังปลูก ตัดแต่งกิ่งในปลายฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนหลังจากที่ดอกไม้บานหมดฤดูกาลแล้ว สามารถตัดกิ่งที่อ่อนแอ กิ่งตาย หรือเสียหายออกได้ตลอดปี การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยในฤดูใบไม้ผลิด้วยปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง (N) และให้ปุ๋ยในฤดูร้อนระหว่างระยะออกดอกได้ด้วยปุ๋ยที่อุดมด้วยโพแทสเซียม (P) และฟอสฟอรัส (K) ศัตรูพืช/โรคพืช---ตรวจดูไรแดงและหนอนกอ ฉีดพ่นสบู่ฆ่าแมลง น้ำมันสะเดา หรือยาฆ่าแมลง/ใบจุด (Leaf Spot) มักเกิดจากเชื้อรา เมื่อสภาพเปียกและชื้น ให้รดน้ำต้นไม้ที่โคนต้น ใช้ประโยชน์--- ปัจจุบันนำมาขยายพันธุ์และปลูกเป็นไม้ประดับกันบ้าง แต่ยังไม่แพร่หลาย มักนำมาปลูกเป็นไม้ประดับซุ้ม ความเชื่อ/พิธีกรรม---*ความแปลกของต้นใบไม้สีทอง ใน 1 ต้น จะมีการเปลี่ยนของสีใบถึง 3 สี คือ สีนาค สีเงิน และสีทอง (ฤดูร้อน, ฤดูฝนจะมีสีทอง และฤดูหนาวจะมีสีเงิน ) ใน 1 ต้น จะมีใบสีนาคเพียง 1 ใบเท่านั้น ทำให้ต้นใบไม้สีทองกลายเป็นใบไม้มงคลตามความเชื่อ ที่หลายคนอยากที่มีไว้ภายในบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล-ข้อมูลเพิ่มเติม: สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสร็จทรงงานที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีชาวบ้านนำใบไม้ดังกล่าวมาถวาย พระองค์จึงได้ประทานชื่อต้นไม้ดังกล่าว ตามแหล่งที่พบคือ “ย่านดาโอ๊ะ” และเรียกมาจนถึงปัจจุบัน โดยรับสั่งให้มีการรณรงค์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ดังกล่าวนับแต่นั้นมา* http://www.oknation.net ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม - พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
32 อมรเบิกฟ้า/Mandevilla amoena
ชื่อวิทยาศาสตร์---Mandevilla x amabilis (Backh. & Backh.f.) Dress.(1974) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/79936-1 ---Dipladenia × amabilis Backh. & Backh.f.(1864) ---Dipladenia × amoena T.Moore.(1868) ---Dipladenia × insignis Anon.(1872) ชื่อสามัญ---Rose Dipladenia, Mandevilla Vine, Dipladenia (hybrids) ชื่ออื่น---อมรเบิกฟ้า, อรุณเบิกฟ้า;[THAI:A-mon burk fa, A-run burk fa.]. ชื่อวงศ์ ---APOCYNACEAE EPPO Code---MDVAM (Preferred name: Mandevilla x amabilis.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---บราซิล-ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Mandevilla" ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Henry John Mandeville (1773-1861) ทูตอังกฤษประจำอาร์เจนตินาเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ; ชื่อสายพันธุ์ 'amabilis' หมายถึง น่ารัก Mandevilla × amabilis สายพันธุ์นี้เป็นลูกผสมเทียม (artifical hybrid) เป็นไม้ดอกในวงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย James Backhouse (1794 – 1869) นักพฤกษศาสตร์และมิชชันนารีของคริสตจักรเควกเกอร์ ในออสเตรเลียและลูกชายของเขา James Backhouse (1825–1890) ที่เป็นนักพฤกษศาสตร์เช่นกัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William John Dress (1918–) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปีพ.ศ.2517 Special varieties of Mandevilla ;- - Mandevilla x amabilis 'Magic Dream' หนึ่งใน Mandevillas ที่มีสีแดงที่สุด ดอกไม้สีแดงเข้มคล้ายทรัมเป็ตสีแดงเข้มที่ค่อยๆจางหายไปจนถึงสีบานเย็น จะออกดอกตลอดทั้งปีในสภาพอากาศอบอุ่น แต่ละดอกบานทนกินเวลาหลายวัน - Mandevilla x amabilis ‘Alice du Pont’ กลีบดอกสีชมพูอ่อนถึงชมพูเข้ม โคนกลีบสีชมพูอ่อนอมเหลือง กลีบดอกเรียงเวียนคล้ายกังหัน ปัจจุบันมีลูกผสมหลายพันธุ์หลายสี ทั้งสีขาว ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม แดง และกลีบดอกซ้อน - Mandevilla x amabilis 'Pink Parfait' มีลักษณะเป็นกลีบดอกคู่ มีดอกตูมจำนวนมาก ถึงประมาณ 20 ดอกขึ้นไป ออกเป็นเวลาหลายเดือน คุณลักษณะที่แตกต่างของ 'Pink Parfait' คือดอกไม้มีกลิ่นหอมอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน Mandevillas อื่น ๆ - Mandevilla x amoena 'Aloha Regal Ruby' ดอกไม้รูปทรัมเป็ตสีแดงทับทิม
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์นี้ไม่มีขอบเขตตามธรรมชาติ มีต้นกำเนิดในการเพาะปลูกในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 คิดว่าเป็นลูกผสมระหว่างMandevilla splendensกับอีกสายพันธุ์ที่ไม่รู้จัก ในทางกลับกัน แหล่งข่าวคนหนึ่ง กล่าวว่ามันเป็นลูกผสมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในบราซิล ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ขนาดกลางอายุยืนยาวหลายปี เลื้อยได้ไกลถึง 5 เมตร ทุกส่วนภายในต้นมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีแกมรูปไข่ ขนาดกว้าง3-5 ซม.ยาว 6-10 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน แผ่นใบหนาเหนียวคล้ายแผ่นหนังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ค่อนข้างโปร่ง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบช่อละ 3 - 4 ดอก ดอกรูปแตร กลีบดอกสีชมพูอ่อนถึงเข้ม โคนกลีบสีชมพูหรือเหลืองเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยก5กลีบ เรียงเวียนคล้ายกังหันตามเข็มนาฬิกา ดอกใหญ่ขนาด 7-9 ซม. ดอกบานทน 5 - 6 วัน ไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดหรือแสงแดดครึ่งวันเช้า ปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบดินโปร่งร่วนซุยระบายน้ำดี pH อยู่ระหว่าง 6.0 ถึง 6.5 การรดน้ำ---ชอบความชื้นที่สม่ำเสมอ รดน้ำในระดับปานกลางและไม่มากเกินไป การให้น้ำทุกๆ 8-10 วันก็เพียงพอ ในฤดูร้อนควรให้บ่อยกว่านี้ อย่าปล่อยให้ดินแห้งสนิทระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรคหรือกิ่งที่เสียหายออกได้ทุกเมื่อ การตัดแต่งกิ่งเพื่อกระตุ้นให้เติบโตเต็มที่ พืชจะออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ ทำได้ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม การใส่ปุ๋ย---ตั้งแต่เดือนเมษายน ใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้สมดุลและให้ปริมาณฟอสฟอรัสที่ดีต่อสุขภาพ (เช่น 10-20-10) /ในปลายเดือนสิงหาคม ให้ปุ๋ยที่ละลายน้ำที่มีฟอสฟอรัสสูง (เช่น 10-56-14) เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับช่วงพักตัวในต้นฤดูหนาวที่จะมาถึง นี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช--- ค่อนข้างปลอดโรคและแมลงรบกวนเมื่อปลูกกลางแจ้งในสภาพที่เหมาะสม คอยดูแมลงหวี่ขาว ไรเดอร์ และเพลี้ยแป้ง ฉีดพ่นด้วยน้ำมันสะเดาหรือสบู่ฆ่าแมลงเพื่อป้องกันพืชจากศัตรูพืชเหล่านี้/รากเน่าอาจเกิดขึ้นได้หากให้น้ำมากเกินไปหรือการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นเถาเลื้อยสำหรับโครงบังตาหรือซุ้มไม้เลื้อยที่ไม่สูง อาจปลูกเป็นกระโจมในกระถางที่ใหญ่หรือปลูกให้เลื้อยเถาไปตามรั้วไม้เตี้ยๆ ถ้าปล่อยให้เลื้อยสูง ต้นจะผอมแกร็น ไม่แตกกิ่ง ไม่ออกดอก ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ
|
33 จันทร์กระจ่างฟ้า/Pentalinon luteum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pentalinon luteum (L.) B.F.Hansen & Wunderlin.(1986) ชื่อพ้อง---Has 17 synonyms. ---Basionym: Vinca lutea L.(1756) ---Urechites lutea (L.) Britt.(1907) ---More.See all The Plant List ชื่อสามัญ---Hammock Viper’s Tail, Yellow Dipladenia, Golden Fragrant Vine, Bryanthemum vine, Wild allamanda, Wild wist, Licebush. ชื่ออื่น---จันทร์กระจ่างฟ้า ;[BANGLADESH: Wild Alkananda, Lata Alkananda (Tapas Vardhan ).];[SPANISH: Babeiro, Babeiro Amarillo.];[SWEDISH: Liten allamanda.];[THAI: Chan kra chaang fa.];[VIETNAM: Cây Huỳnh đệ.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---QENLU (Preferred name: Pentalinon luteum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--- แคริบเบียน - จาเมกาไปบาฮามาส; อเมริกาเหนือ - ฟลอริดา ; อเมริกากลาง: ฮอนดูรัส นิรุกติศาสตร์--- ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'lūteum' มาจากภาษาละติน = "สีเหลือง" อ้างอิงจากสีของดอกไม้ Pentalinon luteum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bruce Frederick Hansen (born 1944) นักพฤกษศาสตร์ ชาวอเมริกัน และ Richard P. Wunderlin (born 1939) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2529
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะแคริบเบียน: แองกวิลลา บาฮามาส หมู่เกาะเคย์แมน คิวบา สาธารณรัฐโดมินิกัน กวาเดอลูป เฮติ จาเมกา เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส [ซาบาห์] เซนต์คิตส์และเนวิส [เซนต์คิตส์] เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, [เซนต์วินเซนต์] สหรัฐอเมริกา, [เปอร์โตริโกหมู่เกาะเวอร์จินสหรัฐอเมริกา] หมู่เกาะเวอร์จิน (อังกฤษ) อเมริกากลาง: ฮอนดูรัส ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลาง อายุหลายปี เลื้อยได้ไกล 3 – 5 เมตร กิ่งอ่อนสีเขียวอมแดงเรื่อ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีแกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 4-6 ซม.ยาว7-9 ซม.ปลายใบและโคนใบมน แผ่นใบสีเขียวสดเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง รูปแตรสีเหลืองสด โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยก5กลีบ รูปกลมซ้อนเกยกัน ขนาดดอก4-5ซม.มักไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดหรือแสงแดดครึ่งวันเช้า อุณหภูมิ 25°C ถึง 35°C ความชื้นในอากาศอย่างน้อย 50 % ปลูกได้ในดินทุกชนิดแม้ในดินที่ไม่ดีแต่มีการระบายน้ำดี ชอบดินโปร่งร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ pH อยู่ระหว่าง 6.0 ถึง 6.5 ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี สามารถทนต่อลมเค็มและละอองเกลือจำนวนมากและต่อเนื่องได้ การรดน้ำ---รอจนกระทั่งผิวด้านบนของดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำครั้งต่อไป การตัดแต่งกิ่ง---ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ ใช้กรรไกรเล็มกิ่งขนาดเล็กแบบมือถือเล็มเฉพาะปลายกิ่ง สิ่งนี้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของตาใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำปริมาณฟอสฟอรัสที่ดีต่อสุขภาพ (เช่น 10-20-10) เดือนละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อน/รากเน่าอาจเกิดขึ้นได้หากให้น้ำมากเกินไปหรือการระบายน้ำไม่ดี รู้จักอันตราย---น้ำยางเป็นพิษหากกลืนกิน ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสและการระคายเคืองต่อผิวหนัง ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชจะถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น -ใช้เป็นยา พืชใช้ในการรักษาอาการจุกเสียด หนองใน โรคสะเก็ดเงิน หูดและงูกัด -ใช้ปลูกประดับซุ้มไม้เลื้อย ริมรั้ว ริมกำแพง สามารถออกดอกภายใน 2 – 3 เดือนหลังปลูก -อื่น ๆ พิษลูกศรทำจากพืช พืชนี้ยังใช้เบื่อปลาทำให้ปลามึนงง พิธีกรรม/ความเขื่อ---เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ การเริ่มต้นใหม่ และความสุข ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์--- ตอนกิ่งและปักชำ
|
34 แพนโดเรีย/Pandorea jasminoides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandorea jasminoides (Lindl.) K.Schum.(1894) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-317949 ---Basionym: Tecoma jasminoides Lindl.(1837) ---Gelseminum jasminoides (Lindl.) Kuntze.(1891) ---Pandorea jasminoides var. alba Rehder.(1916) ชื่อสามัญ---Bower Of Beauty, Bower Plant, Bower Vine ชื่ออื่น---แพนโดเรีย, จัสมินออสเตรเลีย, พิ้งค์เลิฟ, จัสมินใบด่าง ;[DUTCH: Trompetbloem.];[FRENCH: Pandoréa.];[GERMAN: Jasmintrompete, Laubenwein, Rosa Pandorea.];[PORTUGUESE: Trepadeira-de-arco.];[RUSSIA: Pandoreya zhasminovidnaya.];[SPANISH: Bignonia blanca.];[SWEDISH: Jasminpandorea.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---PDEJA (Preferred name: Pandorea jasminoides.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย-ควีนส์แลนด์ เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pandorea' มาจากตำนานเทพเจ้ากรีก Pandora เปิดภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้าย ในส่วนที่เกี่ยวกับพืชนี้หมายถึงเมล็ดจำนวนมากที่ปล่อยออกมาเมื่อแคปซูลเปิด ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'jasminoides' = คล้ายดอกมะลิ (Jasminum sp.) หมายถึงดอกไม้ Pandorea jasminoides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Lindley(1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2437
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของออสเตรเลีย เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่า sclerophyllous ในเขตร้อนชื้นนิวเซาธ์เวลส์และควีนส์แลนด์ เติบโตในป่าชายฝั่งกึ่งเขตร้อน ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดเล็ก เลื้อยได้ไกล2-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อย 5-9 ใบ เรียงตรงข้าม รูปไข่แกมรูปใบหอก ขนาด 1-2 x 4-8 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมันหรือด่างสีเหลืองครีม ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด ดอกไม้รูปทรัมเป็ตสีขาวหรือสีชมพูที่มีสีแดงและมีขนภายใน ขนาดดอกบาน 5-8 ซม. ผลเป็นฝักแบนยาว 4- 6 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม.เมื่อแก่แตกได้ มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดแบนเกือบทั้งหมดล้อมรอบด้วยปีกที่เป็นเยื่อมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มหรือแสงแดดครึ่งวันเช้า (แสงแดดโดยตรงต่อเนื่องมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิที่เหมาะสม 25°C ถึง 35°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (-5°C) ปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทรายถึงดินร่วนปนดินเหนียวบางส่วนอุดมด้วยปุ๋ยหมัก ระบายน้ำได้ดี pH 5.5 ถึง 7.5 อัตราการเติบโต เร็ว ถึง ปานกลาง การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ให้ลึกและมากพอเพื่อให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่อย่าให้ท่วมขัง ในฤดูหนาวลดการรดน้ำให้น้อยลง (พืชส่วนใหญ่ชอบน้ำประมาณ 1 นิ้วต่อสัปดาห์ การปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักจะช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสและการอุ้มน้ำหรือการระบายน้ำ คลุมด้วยหญ้าหนา 3 นิ้วจะช่วยรักษาความชื้นในดิน และจากการศึกษาพบว่าพืชที่คลุมด้วยหญ้าจะเติบโตเร็วกว่าพืชที่ไม่คลุมดิน) การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดส่วนที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคออกก่อนเสมอ ตัดแต่งกิ่งหลังดอกบาน หากต้องการให้การเจริญเติบโตแข็งแรงอยู่ภายใต้การควบคุม ให้เล็มหรือตัดกลับตามต้องการ ตอบสนองได้ดีต่อการตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยทุก 15 วันด้วยปุ๋ยอเนกประสงค์ (ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงจะส่งเสริมการเกิดตาใบมากกว่าตาดอก ควรหลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงปลายฤดูปลูก) ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อาจได้รับผลกระทบจากเพลี้ยอ่อน และหนอนผีเสื้อทำลายใบไม้ได้ ฉีดพ่นด้วยน้ำมันสะเดาหรือสบู่ฆ่าแมลงเพื่อกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้/ไส้เดือนฝอยปมรากอาจเป็นปัญหาและทำให้การเจริญเติบโตไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับขึ้นซุ้มไม้เลื้อย ระบบรากที่แข็งแรงและเจาะทะลุได้ และไม่ควรปลูกใกล้กับท่อใต้ดิน พันธุ์ที่นิยม;- ---Pandorea jasminoides 'Alba'---กลีบดอกสีขาว โคนกลีบสีขาว ---Pandorea jasminoides 'Lady Di'---กลีบดอกสีขาว โคนกลีบสีเหลือง ---Pandorea jasminoides 'Variegata'---กลีบดอกสีขาว โคนกลีบสีแดง ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2017 ระยะออกดอก---ตลอดปี ดอกดกช่วงฤดูหนาว ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่งและตอนกิ่ง
|
35 ถ้วยทอง/Solandra grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Solandra grandiflora Sw.(1787) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2579586 ---Swartzia grandiflora (Sw.) J.F.Gmel.(1791) ชื่อสามัญ---Golden Cup, Golden Chalice, Big chalice-vine, Showy chalicevine, Cup of Gold Vine, Silver-cup. ชื่ออื่น---ถ้วยทอง ;[JAPANESE: Rappabana.];[PUERTO RICO: Bejuco de peo.];[SPANISH: Arbol del Viento, Bolsa de Judas.];[SWEDISH: Solandra.];[THAI: Tuay Thong.]; ชื่อวงศ์---SOLANACEAE EPPO Code---SDRGR (Preferred name: Solandra grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลางและภาคเหนือของอเมริกาใต้ ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Solandra' ตั้งชื่อตาม Daniel Charles Solander (1733 – 1782) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'grandiflora' คือการรวมคำมาจากภาษาละติน '' grandis '' = ขนาดใหญ่และ " floreo " = ที่จะเบ่งบาน Solandra grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเขือ (Solanaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Olof Peter Swartz (1760–1818) นักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยาและนักอนุกรมวิธานชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2330
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของอเมริกากลางและภาคเหนือของอเมริกาใต้ (เม็กซิโก บราซิล จาไมก้า เวเนซุเอล่า แอนดีส, หมู่เกาะแคริบเบียน, เซียร์รา เนวาดา) มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนเป็นไม้ประดับ เติบโตที่ระดับความสูง 0-1800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยทรงพุ่มขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกล 9-12 เมตร เปลือกเถาเรียบเกลี้ยงสีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีน้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงสลับกันแบบถี่ๆ บริเวณปลายยอดและกิ่งก้าน ใบรูปทรงรีแกมขอบขนาน แผ่นใบเรียบมีสีเขียวเข้มและค่อนข้างหนา โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบมีคลื่นเล็กน้อย มีขนาดความยาวของใบประมาณ 12-18 ซม.กว้างประมาณ 7–10 ซม.ก้านใบแข็ง มีความยาวประมาณ 1-5 ซม.ดอกขนาดใหญ่มาก ออกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบกลีบเลี้ยงสีเขียว โคนกลีบเชื่อมติดเป็นหลอดแคบยาวแล้วพองออกเป็นถ้วย ปลายแยก 5 แฉก ขอบกลีบบิดเป็นเส้นริ้ว ภายในดอกมีแถบสีม่วงแดง10 เส้น ดอกขนาด 8-11ซม.ดอกหอมส่งกลิ่นแรงในตอนเย็น (*ความคิดเห็นส่วนตัวว่าไม่มีกลิ่นหอม ที่มีกลิ่นหอมอาจเป็น Solandra Maxima) เมื่อดอกบานครั้งแรกมีโทนสีขาวครีมมากกว่าต่อมาในวันที่สองและสามจะเป็นโทนสีเหลืองเข้มขึ้นตามอายุบานนาน 3-4 วัน ผลรูปกลมขนาด 4-5 ซม.ผิวผลเรียบสีเหลืองอ่อน ปลายผลมีติ่งแหลม เปลือกผลเหนียว ภายในผลมีเมล็ดรูปไต± 7 × 4 มม สีน้ำตาลอ่อนจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดแบบเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงต่อเนื่องมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ในที่มีแสงแดดรำไรก็ปลูกได้แต่อาจจะออกดอกน้อย หรือไม่มีดอกเลยถ้าอยู่ในร่มเงาทั้งหมด ชอบดินร่วนปนทรายแต่สามารถปรับตัวได้กับดินทุกประเภทหากมีการระบายน้ำที่ดี pH 5.5 - 6.5 อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---ให้น้ำสัปดาห์ละครั้งและรดน้ำให้ชุ่มลึก สังเกตุได้เมื่อขาดน้ำจะทำให้ยอดและใบที่แตกออกมาใหม่เหี่ยวเฉา การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดส่วนของพืชที่ตายแล้ว เสียหายหรือเป็นโรค ออกก่อนเสมอ พืชจะออกดอกเมื่อมีการเจริญเติบโตใหม่ ตัดยอดที่ยาวและแข็งแรงออกเพื่อให้แตกแขนงและออกดอกมากขึ้น ดังนั้นสามารถตัดแต่งได้ตลอดเวลา ทนต่อการตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ย---ต้นไม้จำเป็นต้องได้รับการใส่ปุ๋ยทุกๆสอง-สามปี ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในฤดูใบไม้ร่วง ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีศัตรูพืชและโรคร้ายแรง ระวังศัตรูพืชเฉพาะ แมลงเกล็ด และไรเดอร์/การให้น้ำมากเกินไปอาจเกิดโตเน่าโคนเน่า หรือเกิดจากดินระบายน้ำไม่ดี รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษ หากกลืนกิน อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ รูม่านตาขยาย ตัวร้อน และเพ้อ ใช้ประโยชน์---การใช้แบบดั้งเดิมเช่นเดียวกับพืชที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนที่พบได้ทั่วไปในเม็กซิโกและอเมริกากลาง ชาวอเมริกันได้พัฒนาการเตรียมการที่แตกต่างกันมากมายเพื่อควบคุมคุณสมบัติมหัศจรรย์ของพืช บางเผ่ากินแต่ดอกไม้สดเพื่อกระตุ้นสภาวะภวังค์อันสุขสันต์ วิธีการที่คล้ายกันเกี่ยวข้องกับการกดก้านสดและดื่มน้ำผลไม้ที่สกัดออกมา ชนเผ่าอื่นทำชาโดยการแช่ก้านและรากแห้งในน้ำร้อนแล้วดื่มชาที่ได้ หลายเผ่าบดขยี้ใบสดและใช้เป็นยาเหน็บทางทวารหนัก วิธีการกลืนกินที่ได้รับความนิยมและได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดีนั้น จะต้องนำดอกไม้ ใบ และรากมาตากแห้ง บด และผสมให้เข้ากับสมุนไพรที่ก่อให้เกิดอาการประสาทหลอนชนิดอื่นๆ แล้วจึงนำไปรมควัน (Knab 1977).ในอาณานิคมของเม็กซิโก ดอกไม้ Solandra บางครั้งก็ถูกเติมลงในเครื่องดื่มโกโก้เพื่อเพิ่มผล (Ratsch 1998, 474) -ใช้เป็นยาใช้กันอย่างแพร่หลายในเม็กซิโก เป็นยาโป๊และยาแห่งความรัก ชาวอินเดียนแดง Huastec เก็บน้ำค้างยามเช้าที่ค้างอยู่บนดอกไม้และใช้เป็นยาหยอดตาเพื่อปรับปรุงการมองเห็นและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการติดเชื้อที่ตา นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าชาที่ทำจากใบสามารถลดความรุนแรงของอาการไอได้ (Ratsch 1998, 475) -ใช้ปลูกประดับ ต้นนี้ดอกใหญ่สวยและออกดอกดกมาก นิยมปลูกประดับทำซุ้มให้ร่มเงาหรือริมรั้ว พิธีกรรม/ความเชื่อ---การใช้พืชตระกูล Solandra ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการศึกษามากที่สุดมาจากชาวอินเดีย Huichol แห่งฮาลิสโก ประเทศเม็กซิโก เชื่อว่าการนอนข้างดอกไม้ กลิ่นหอมจะเข้าสู่ร่างกายและส่งผ่านความฝันไปสู่ดินแดนแห่งการรู้ลึกลับ พวกเขาเชื่อว่าพืชสามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุระดับสูงสุดของจิตสำนึก (Furst 2007) ชาวอเมริกันจำนวนมากจากเม็กซิโกกลางและอเมริกากลางตอนเหนือเชื่อมาช้านานว่ามันถูกล้อมรอบด้วยพลังชั่วร้ายและหมอผีที่ใช้พืชชนิดนี้จะฝึกมนต์ดำ คาถาและเวทมนตร์ศาสตร์มืดที่เป็นอันตราย หมอผีจะใช้พืชชนิดนี้เพื่อชักนำให้เกิดสภาวะภวังค์อันสุขสันต์ แต่มีเฉพาะในโอกาสที่หายากและเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะพวกเขากลัวว่าพลังชั่วร้ายจะครอบงำพวกเขาในขณะที่พวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของมันและมันจะขโมยพลังชีวิตของพวกเขาไป รู้จักอันตราย---ส่วนสีเขียวของพืชมีความเป็นพิษสูง อาการที่เกิดจากการกลืนกินส่วนต่างๆ ของพืช แม้จากการเคี้ยวเศษดอกไม้ก็ตาม ได้แก่ คอแห้ง ปวดศีรษะ อ่อนแรง มีไข้เพ้อประสาทหลอน ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจล้มเหลว ที่อาจถึงตายได้ ระยะออกดอก---ตลอดปี ดอกดกในช่วงฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง
|
36 เหลืองชัชวาลย์/Dolichandra unguis-cati
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dolichandra unguis-cati (L.) L.G.Lohmann.(2008) ชื่อพ้อง---Has 46 Synonyms ---Basionym: Bignonia unguis-cati L.(1753) ---Bignonia tweediana Lindl.(1840) ---Macfadyena unguis-cati (L.) A.H. Gentry.(1973) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-320930 ชื่อสามัญ---Barbados trumpet flower, Cats claw creeper, Cat's-claw vine, Cat's claw trumpet, Funnel creeper, Macfadyena ชื่ออื่น---เหลืองชัชวาลย์, เล็บวิฬาร์ ;[CUBA: Bejuco rana, Bejucos perdiz.];[DANISH: Katteklo.];[DOMINICAN: Abrazapalo, Abraza-polo, Pega palo.];[FRENCH: Griffe à chatte, Liane patate, Liane à chat, Patte d'oiseau, Riffe chatte.];[GERMAN: Krallentrompete, Katzenkralle.];[HAITI: Griffe-chatte, Gris-chotte, Liane griffe-chatte, Liane verte.];[MEXICO: Uña de murciélago.];[PORTUGUESE: Bignónia-unha-de-gato, Cipó-de-gato, Cipó-de-morcego, unha-de-gato.];[PUERTO RICO: Liana uñada, Pegapalo.];[SPANISH: Bejuco de gato, Bejuco de murciélago, Bejuco de pata, Liana uñada, Paz e justicia, Pega-pala, Uña de gato.];[SWEDISH: Kattklo.];[THAI: Leb wi la, Lueang chat-cha-wan.]. ชื่อวงศ์---CRASSULACEAE EPPO Code---BIGUC (Preferred name: Dolichandra unguis-cati.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา แคริบเบียน เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แคริบเบียน ออสเตรเลีย ตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา แอฟริกาใต้ เอเซียเขตร้อน Dolichandra unguis-cati เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุหลาบหิน (Crassulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยLúcia Garcez Lohmann (-1973) นักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล ในปีพ.ศ.2551
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนตั้งแต่เม็กซิโกจนถึงอาร์เจนตินาและหมู่เกาะอินเดียตะวันตกรวมทั้งตรินิแดดและโตเบโก ส่งผลกระทบต่อทุกชั้นของพืชในระบบนิเวศป่าไม้ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั้งในแนวตั้งและแนวนอน Florida Exotic Pest Plant Council ได้กำหนดให้พืชชนิดนี้อยู่ในรายการพืชรุกรานประเภทที่ 1 และ UF/IFAS จัดอยู่ในประเภทความเสี่ยงการบุกรุกสูง ปัจจุบันเถาวัลย์ชนิดนี้ถูกระบุว่ารุกรานในเคนยา มาลาวี แทนซาเนีย แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย จีน มอริเชียส นิวแคลิโดเนีย คิวบา บาฮามาสและสหรัฐอเมริการวมทั้งฮาวายฟลอริดาและเท็กซัส เติบโตจากระดับน้ำทะเล 0-1660 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดเล็กมีมือเกาะ มักเลื้อยพันต้นไม้ใหญ่ เลื้อยเกาะโดยใช้มือพัน เลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปไข่แคบ ขนาด 2-6 ซม.ยาว 5-16 ซม.ใบย่อยตรงกลางเปลี่ยนรูปเป็นมือจับที่ปลายแยกเป็น 3 แฉกคล้ายเล็บแมว ปลายใบแหลมเป็นติ่ง แผ่นใบบาง ขอบใบหยักเป็นคลื่นใต้ใบหยาบ ก้านใบยาว 0.5-2.5 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก 1-15 ดอกที่ปลายยอด ก้านดอกยาว 2 ซม.ดอกรูปแตร กลีบดอกสีเหลือง เส้นดอกบริเวณโคนกลีบสีส้ม โคนกลีบเชื่อมเป็นหลอดปลายแยก 5 กลีบ ขนาดดอก 6-8 ซม.ผลแห้ง แคปซูลมีลักษณะเป็นเส้น ๆรูปขอบขนานยาว 15-50 ซม. และกว้าง 8-12 มม.สีน้ำตาล เมื่อแก่แตกเป็น2ซีก เมล็ดจำนวนมากรูปขอบขนาน ยาว 10-40 มม.และกว้าง 4-10 มม.มีปีกสองข้าง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม หรือในที่ร่มบางส่วน ทนต่อร่มเงา (การออกดอกต้องมีแสงแดดจัดต่อเนื่องอย่างน้อย 6 ชั่วโมง) ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้น ทนต่อดินส่วนใหญ่ ยกเว้นดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีและมีความเค็ม ค่า pH 6.1-7.8 (เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย) สายพันธุ์นี้ทนทานต่อความเย็นจัดและยังสามารถอยู่รอดในทุ่งเลี้ยงสัตว์และไฟป่า การรดน้ำ---เมื่ออายุยังน้อย แนะนำให้รดน้ำบ่อยๆ ประมาณ 2 ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จนกว่าพืชจะตั้งตัว ความถี่ในการรดน้ำอาจน้อยลงเมื่อต้นโตเต็มที่ อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำให้รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสอบสภาพพืชและดินเป็นประจำจะช่วยกำหนดปริมาณความชื้นที่จะใช้ได้ ลดการรดน้ำลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ทำได้บ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อให้พืชไม่มีส่วนที่ตาย ซึ่งช่วยลดความอ่อนแอต่อโรคต่างๆ การใส่ปุ๋ย---การใส่ปุ๋ยทำได้ตามที่พืชต้องการ ปุ๋ยที่อุดมด้วยไนโตรเจนจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบมากขึ้นในขณะที่ปุ๋ยที่อุดมด้วยฟอสฟอรัสจะช่วยให้ออกดอก ศัตรูพืช/โรคพืช--- อาจอ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน และแมลงเกล็ด/ปลอดโรคโดยทั่วไป รู้จักอันตราย---ทุกส่วนมีความเป็นพิษสูงหากกลืนกิน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบและลำต้นใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้ไข้และทำให้ผิวนวล ใช้รักษาอาการไอและขับปัสสาวะ ใช้รักษาอาการ อักเสบของลำไส้ กามโรค โรคไขข้อ โรคบิด มาลาเรียและโรคไขมันในเส้นเลือด ใช้รักษางูกัดในการแพทย์พื้นบ้าน นอกจากนี้ ในกายอานา ยังใช้คุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงและการตกเลือด -ใช้ปลูกประดับ สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางในฐานะเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ขนาดเล็ก ประดับซุ้ม รั้ว ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง
|
37 มอร์นิ่งกลอรี่/Ipomoea purpurea
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ipomoea purpurea (L.) Roth.(1787) ชื่อพ้อง--- Has 8 Synonyms ---Basionym: Convolvulus purpureus L.(1762) ---Ipomoea diversifolia Lindl.(1837) ---Pharbitis diversifolius Lindl.(1837) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8500061 ชื่อสามัญ---Morning Glory,Common morning-glory,Tall morning-glory, Purple morning glory ชื่ออื่น---มอร์นิ่งกลอรี่ ;[AFRIKAANS: Purpurwinde.];[ALBANIA: Gashtall.];[ASSAMESE: Longuti-Lata.];[BRAZIL: Corda de viola.];[CHINESE: Yuan ye qian niu.];[CUBA: Aguinaldo purpureo.];[CZECH: Povijnice nachova, Povojnik purpurovy.];[DUTCH: Dagbloem.];[FRENCH: Ipomée pourpre, Liseron, Liseron pourpre, Volubilis.];[GERMAN: PurPur-Prunkwinde, PurPur-Trichterwinde, Purpurne Prunkwinde.];[GUATEMALA: Quilamul, Xel wamal.];[HUNGARIAN: Kerti hajnalka.];[ITALIAN: Campanella turchina.];[JAPANESE: Maruba asagao.];[KOREAN: Dung geun ip na pal kkot.];[PHILIPPINES: Aurora (Tag.).];[PORTUGUESE: Corda-de-viola, Gloria-da-manha, Campainha.];[RUSSIA: Ipomeya purpurnaya, Kruchënyy panych, Kudryavyye panychi.];[SPANISH: Campanilla, Correhuela anual, Enredadera, Quiebra-cajete, Suspiro, Tortillera.];[SWEDISH: Purpurvinda.];[TURKISH: Gece sefa, Kahkaha çiçeği.]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---PHBPU (Preferred name: Ipomoea purpurea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุล 'Ipomoea' มาจากคำภาษากรีก 'Ips' = "หนอน" และ 'homois'= "คล้ายกับ" ; ชื่อสายพันธุ์ 'Purpurea' หมายถึง สีม่วง Ipomoea purpurea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Albrecht Wilhelm Roth (1757–1834) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2330 Ipomoea purpurea มีหลายสายพันธุ์ พันธุ์ที่พบบ่อย ได้แก่ ;- ---พันธุ์ Heavenly Blue สีฟ้าเข้ม ใจกลางดอกสีอ่อน ดอกขนาด10-12ซม. เลื้อยได้ไกล 3.5 เมตร ---Scarlet O’Hara สีแดงสด ได้ AAS ปี 1939 ---Pearly Gates สีขาว ได้ AAS ปี 1942 ---ชุดพันธุ์ Early Call มีสีคละ เช่น ฟ้าเข้ม แดง ม่วงไวโอเล็ต ชมพู ขาว สีชอกโกแลต และ Early Call Rose สีชมพูเข้มได้ AAS 1970 ---Scarlet Star เป็นพันธุ์ใหม่ ดอกสีแดง (carmine scarlet) มีแฉกสีขาวรูปดาว และขลิบริมกลีบสีขาวด้วย พันธุ์นี้ให้ดอกเร็วและสามารถบานได้นานในช่วงบ่าย เถายาว 90 ซม. หรือกว่านั้น ดอกมีขนาด 8 ซม. ผู้สร้างพันธุ์นี้ คือ ศาสตราจารย์ Yoneda และบริษัท Sakata นำมาปรับปรุงพันธุ์ ---Dwarf Variegated Leaved mixture ต้นเตี้ยไม่เลื้อย ใบด่างให้ดอกสีต่าง ๆเช่น แดง ชมพู น้ำเงิน และมีขอบขาวในทุกสี ---Dwarf Minibar Rose ดอกสี แดงอมชมพู (rosy red) มีขอบขาว ออกดอกดก ต้นมีใบเล็กๆ และด่าง ที่อยู่อาศัย พันธุ์พื้นเมืองที่แน่นอนของIpomoea purpurea นั้นคลุมเครืออย่างไรก็ตามเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ มีสัญชาติในบางส่วนของเคนยาและได้รับการแนะนำให้รู้จักในแทนซาเนียและยูกันดา;ในแอฟริกาตะวันออกเกิดขึ้นในเขต Mengo (ยูกันดา) เขต Kiambu (เคนยา) และเขต Lushoto (แทนซาเนีย) เติบโตในพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ใน riparian (ริมฝั่งน้ำ) พื้นที่ชุ่มน้ำและที่อยู่อาศัยริมชายฝั่งถึงระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตร ลักษณะ เป็นเถาไม้เลื้อยเนื้ออ่อน อายุฤดูเดียว ไม่มีมือเกาะเลื้อยได้ไกล 3-5 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ โคนใบเว้ารูปหัวใจ ปลายใบเป็นติ่งแหลม ทุกส่วนมียางสีขาว ดอกรูปแตรออกเป็นช่อ ตามซอกใบและปลายยอด ดอก ย่อยขนาด12-14 ซม.รูปแตรมีสีให้เลือกหลายสีแล้วแต่ชอบ กลีบอ่อนบางสีหวานแหววมีสีฟ้า สีน้ำเงินอมม่วง แดง ชมพู ดอกบานเพียง1วัน ผลกลมขนาด 9–10 มม เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลแห้งแล้วแตก ภายในมีเมล็ดสีดำหรือสีนวล1-6 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แสงแดดส่องถึงหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ แต่ก็ปรับตัวเข้ากับดินที่ไม่ดีแต่มีการระบายน้ำดีได้ การรดน้ำ---รดน้ำบ่อย ๆ ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเพื่อให้พื้นผิวดินไม่แห้งสนิท ทนทานความแห้งแล้งได้ไม่กี่วัน การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและรักษารูปทรงให้กระทัดรัด ในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ ปุ๋ยหมักในต้นฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคพืชร้ายแรง ไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะในสภาพอากาศแห้ง บางครั้งอาจถูกเพลี้ย หนอน และราสนิม โจมตี รู้จักอ้นตราย---เมล็ดเป็นพิษเมื่อกินเข้าไป ใช้ประโยชน์---ปลูกประดับ รั้วหรือซุ้มจะขึ้นเร็วแต่อายุไม่ยืน -ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับปัสสาวะ ยาระบาย ใช้ในการรักษาอาการบวมน้ำ, oliguria, ascariasis และท้องผูก เมล็ดถือว่ามีฤทธิ์ทางจิตประสาท ในประเทศจีนเมล็ดใช้เป็นยาระบาย ความเชื่อ/พิธีกรรม---เมล็ดใช้ในพิธีกรรมของชนเผ่าแอฟริกันบราซิล ระยะออกดอก---กรกฎาคม - ตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
38 ลดาวัลย์/Porana volubilis
[por-AH-na] [vol-OO-BIL-iss]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Porana volubilis Burm.f.(1768) ชื่อพ้อง---This name is unresolved.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-100356823 ชื่อสามัญ---Bridal Creeper, Snow Creeper, Bridal Wreath, Snow Vine, Horse-tail Creeper, Christmas flower. ชื่ออื่น ---ลัดดา, ลดา, นดา, กะลาเผือก, มอกหันเซะ ;[FRENCH/REUNION: Porana volubile.];[INDONESIA: Widosarie, Widosari, Wedosari (Java); Plilitan (Soebah); Lapat (akar, Idahan).];[JAPANESE: Hirugao-ka.];[MALAYSIA: Bunga Wangi.];[PHILIPPINES: Domag-ac, Bevoio al Paro.];[THAI: Laddawan, Ladawan, Lada, Nada.];[VIETNAM: ฺDay bìm bìm núi, Mac lôi, Uu muôa..]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---PNRVO (Preferred name: Porana volubilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงหมู่เกาะแปซิฟิก : อินโดจีน ชวา บอร์เนียว สุมาตรา โมลุกกะ สุลาเวสี ซุนดาน้อย Porana volubilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.ในปีพ.ศ.2311
ที่อยู่อาศัย อาจมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซียและอินโดนีเซีย ดูเหมือนได้รับการแนะนำและแปลงสัญชาติในอินเดียตอนใต้ เมียนมาร์และฟิลิปปินส์ พบขึ้นตามธรรมชาติในป่าเต็งรังจากชายฝั่งถึงความสูง 700 เมตร ลักษณะ ลดาวัลย์เป็นพืชเถาเลื้อยยืนต้นอายุยืนนาน มีเถาขนาดเล็กแต่เหนียวนักพุ่มแน่น ยาว 6–10 (–20) เมตร ยิ่งปลูกนานก็ยิ่งเพิ่มสง่าราศรีแก่บ้านเรือนสามารถเลื้อยคลุมไม้ใหญ่ได้มิดทั้งต้น ใบมีลักษณะมนกลมปลายใบแหลมเนื้อเนียนบาง ขนาด5.8–10.7 x 3.7–6.3 ซม. โคนมนกลมหรือหัวใจเว้าตื้น มีขนประปรายตามเส้นแขนงใบด้านล่าง ก้านใบยาว 1.3–2.7 (–3.8) ซม. ออกดอกเป็นช่อแน่นระย้าตามปลายกิ่งเป็นดอกสีขาวเล็กๆ แต่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจทั้งยังส่งกลิ่นหอมไปได้ไกลมากกว่าดอกไม้หอมชนิดใดๆ อีกด้วย(ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความหอมของดอกไม้บอกมา)ช่อดอกช่อหนึ่งยาวเกิน กว่า 50 ซม.ขึ้นไปเกือบทุกช่อ ดอกสีขาวเล็กมากมี 5 กลีบ ดอกกว้างประมาณ 1.5 ซม. ผลเป็นกระเปาะ รูปไข่หรือจัก 2-3 พู กลีบเลี้ยงเป็นแผ่นบาง พับงอ ส่วนมากมีเมล็ดเดียว เมล็ดกลมหรือเป็นแฉก 2- หรือ 3 แฉกเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5–3 มม. สีน้ำตาลเข้มถึงดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ดอกลดาวัลย์จะบานพร้อมสะพรั่งเพียงปีละวันเดียวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน วันที่ดอกลดาวัลย์บานนั้น ฝูงแมลงจะพากันมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงทำให้ เกิดภาพที่สวยงามจริงๆ เป็นต้นไม้ที่ควรหามาปลูกไว้เพราะปลูกง่าย ขึ้นง่ายชอบแดดจัด ดินชุ่มชื้นร่วนซุยระบายน้ำดี การรดน้ำ---ให้น้ำเมื่อดินแห้งเมื่อสัมผัส อย่าให้น้ำมากเกินไป ตอนช่วงปลูกใหม่ก็ดูแลให้น้ำบ่อยหน่อยต่อไปก็ปล่อยไปตามธรรมชาติได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอก ตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยทุก ๆ สองสามสัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำเจือจางหรือโรยปุ๋ยเม็ดบนดิน ใช้ปุ๋ยอะไรก็รับได้หมดไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ ริมรั้ว หรือขึ้นซุ้ม -ใช้เป็นยา ในมาเลเซียมีการใช้น้ำต้มใบ สำหรับสตรีมีครรภ์เพื่อดื่มเป็นยาชำระล้าง ใบใช้ในการรักษากลิ่นปาก ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกต้นเล็กๆงอกจากไหล ไปปลูกเลี้ยงในกระถางราว 45 วัน ก็นำไปปลูกลงดินได้
|
39 ม่านบาหลี/Cissus nodosa
[KISS-us] [nod-OH-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cissus nodosa Blume.(1823) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2722694 ---Cissus glaberrima (Wall.) Planch.(1887) ---Vitis glaberrima Wall.(1824) Unresolved ---Vitis nodosa (Blume) Miq.(1863) ชื่อสามัญ---Grape Ivy, Javanese Treebine, Princess vine, Curtain vine ชื่ออื่น---ม่านบาหลี, ม่านบังตา, ม่านพระอินทร์ ;[THAI: Maan Bali, Maan bang taa, Maan phra-in.]. ชื่อวงศ์---VITACEAE EPPO Code---CIBNO (Preferred name: Cissus nodosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน: อินเดีย [หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์.] มาเลเซีย: บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย [สุลาเวสี,ชวา] มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีซี่ส์ 'nodosa' มาจากภาษาละติน 'knot' = 'ปม' อ้างอิงถึงก้านที่ผูกปม Cissus nodosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์องุ่น (Vitaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัย อันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สู่แปซิฟิกตะวันตก มีการรุกรานอย่างมากในฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกอื่น ๆเติบโตในพื้นที่แห้งแล้ง สันเขา ป่าทุติยภูมิ พื้นที่เปิดโล่งในป่าดิบชื้น ใกล้ระดับน้ำทะเล ลักษณะ ม่านบาหลีเป็นไม้เลื้อยขนาดกลาง อายุหลายปี กิ่งก้านทอดเลื้อยได้ไกล 2-6 เมตร ลำต้นมีรากพิเศษแตกออกตามข้อเป็นเส้นยาวห้อยลงมายาวได้ 3-8 เมตร เมื่ออายุมากขึ้นลำต้นและรากมีเนื้อไม้ ใบเดี่ยวออกสลับรูปไข่ ขนาด 4-7x7-8 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบหยักมนเล็กน้อย แผ่นใบสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกย่อยสีขาวครีม ผลกลมมีเนื้อสีแดงเข้มเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 ซม.(มักไม่ติดผล) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงทางอ้อมที่สว่างปานกลางถึงสว่างมากเหมาะสำหรับ cissus ทุกสายพันธุ์ ดินร่วนมีอินทรียวัตถุสูงระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตเร็ว เถาสามารถยาวมากกว่า 60 ซม./ปี หากดูแลอย่างเหมาะสม การรดน้ำ---ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ ลดการรดน้ำในช่วงพักตัวในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อกระตุ้นให้ต้นเติบโตใหม่ไปสู่ยอด และสร้างต้นที่สมบูรณ์และเป็นพุ่มหนามากขึ้น การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องได้รับการใส่ปุ๋ย แต่การให้อาหารแก่พืชเป็นประจำจะช่วยให้พืชเติบโตใหม่ได้เร็วขึ้น ให้อาหารพืชในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนไม่เกินเดือนละครั้งโดยใช้อิมัลชันของปลาหรือสาหร่ายหรือปุ๋ยน้ำเจือจาง อย่าให้ปุ๋ยในช่วงเดือนที่หนาวเย็น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อโรคราแป้ง/อาจทิ้งใบหากพืชประสบความเครียดจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นดินที่ชื้นเกินไปหรือปล่อยให้แห้งมากเกินไป การตรวจสอบดินเป็นประจำและรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งสามารถป้องกันความเครียดจากน้ำได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ **การพูดคุยส่วนตัว พันธุ์ไม้เลื้อยต้นนี้ก่อนเทรนด์บาหลีจะมาแรงถือกันเป็นพันธุ์ไม้รก เนื่องจากเป็นไม้เลื้อยโตเร็วเลื้อยได้ไกลเป็นสิบๆเมตรขยายพันธุ์ง่ายๆ ชำกิ่งทิ้งก็ขึ้นมักจะขึ้นเองมากกว่าจะตั้งใจปลูก แต่หลังจากสวนบาหลีได้รับความนิยมไม้ต้นนี้ก็ได้รับความนิยมสูงตามไปด้วย เพราะนำไปขึ้นซุ้มไม้ระแนงก็ได้ร่มเงาทันใจในเวลาไม่นานเหมาะเจาะเข้ากันได้ ดีกับอารมณ์บาหลีเพราะความหนาแน่นของใบและรากที่ห้อยย้อยพริ้วไปมา หากตัดรากบ่อยๆ รากจะแตกใหม่เป็นสีชมพู เอารากมาผูกโบว์ถักเปียกันเก๋ไก๋ไปเลย ก่อนหน้าที่จะรู้จักไม้ต้นนี้ในชื่อม่านบาหลี เขาเรียกกันว่า ม่านพระอินทร์** ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---ด้วยการชำกิ่ง
|
40 มาลัยนงนุช/Petraeovitex wolfei
ชื่อวิทยาศาสตร์---Petraeovitex wolfei J. Sinclair.(1956) ชื่อพ้อง--No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-150854 ชื่อสามัญ---Nong Nooch Vine, Golden Wreath Flower, Wolfei's Vine ชื่ออื่น---มาลัยนงนุช, มาลัยทอง (ทั่วไป); [CHINESE: Wò ēr fū téng.];[THAI: Malai nong nuch, Malai thong.]; ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (formerly placed within Verbenaceae) EPPO Code---PVXWO (Preferred name: Petraeovitex wolfei.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย บอร์เนียว อินโดนีเซีย ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Petraeovitex' หมายถึงพืชที่คล้ายกับสกุล 'Petrea' ที่กลีบเลี้ยงที่ขยาย และสกุล 'Vitex' ตามลักษณะดอก ; ชื่อสายพันธุ์ 'wolfei' ได้รับการตั้งชื่อตาม Dr. Eric Christopher Wolfe ผู้ค้นพบพืชใน Kedah และมอบให้กับ Mr. JW Ewart ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ที่สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ในปี 1938 Dr. EDP Wolf เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริการของสหพันธรัฐมาลายา ได้รับการบันทึกครั้งแรกในรัฐเคดาห์และตรังกานูในคาบสมุทรมาเลเซีย ; ชื่อสามัญ: Nong Nooch Vine มาจากสวนนงนุชพัทยาประเทศไทย ; ชื่อสามัญอีกชื่อ คือ Wolf’s Vine ตามคำระบุชนิด ลักษณะทั่วไปคล้ายกับ Petraeovitex bambusetorum King & Gamble (1965) ที่พบในมาเลเซียเช่นเดียวกัน Petraeovitex wolfei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ก่อนหน้าอยู่ในวงศ์ผกากรอง (Verbenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Sinclair (1913–1968)นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปี พ.ศ.2499
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิด รัฐเคดาห์และตรังกานูในคาบสมุทรมาเลเซีย ปลูกเป็นไม้ประดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ มาลัยทอง เป็นไม้เลื้อยพัน ไม่มีมือเกาะ เลื้อยได้ไกล 2 – 5 เมตร กิ่งก้านเป็นเหลี่ยม ใบประกอบแบบนิ้วมือ มี 3 ใบย่อย รูปไข่ ปลายใบแหลม ผิวใบไม่เรียบ นูนขึ้นระหว่างเส้นใบ ออกดอกเป็นดอกช่อแบบรวงข้าว ดอกย่อยมีใบประดับสีเหลือง รองรับ ดอกที่แท้จริงมีขนาดเล็ก อยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด สีเหลืองทั้งหมด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดถึงรำไร ดินร่วนระบายน้ำดี แต่ปรับให้เข้ากับสภาพดินได้หลากหลาย การรดน้ำ---ทุกสัปดาห์ ต้องการน้ำสูงสุดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ในช่วงฤดูร้อน อาจต้องให้น้ำพืชชนิดนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอกหมด และตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย--- ให้ปุ๋ยที่สมดุลเป็นประจำทุกสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ระวังเพลี้ยแป้ง/ระบบรากแข็งแรง ไม่มีปัญหาโรคราก ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อย หรือไม้กระถางแขวน ดอกของมาลัยทองจะบานทน อยู่นานมาก ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
|
4/5/2008 www.suansavarose.com
Tipvipa..V..2008
|
แหล่งที่มา-อ้างอิง
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp ---เต็ม สมิตินันทน์. 2557. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทธยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช. โรงพิมพ์พุทธศาสนาแห่งชาติ. กรุงเทพ.http://www.dnp.go.th/botany/ ---เว็บไซต์เมดไทย (MedThai) URL: https://www.medthai.com ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ -- กรุงเทพมหานคร : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, พ.ศ. 2549 http://www.dnp.go.th/botany/ ---ฐานข้อมูล อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri ---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙เล่ม 2 (2542)บ.อมรินทร์ปริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) ---เอื้อมพร วีสมหมาย และคณะ. 2551. พรรณไม้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด.
Check for more information on the species: Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ Global Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images ---Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan theva.com Update 8/8/2008 Update 9/11/2016 update 28/8/2016, Update 9/11/2016 update 24/10/2017 update 28/4/2018 update 8/8/2020 update 14/7/2022
|
[Back] 1 2 3
|
|
ความคิดเห็น