เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
02/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
53,304,779 |
Page Views |
60,124,029 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
10/01/2024
View: 101,416
n
ต้นไม้ใหญ่ 3
For information only-the plant is not for sale.
50 |
แจง/Maerua siamensis |
70 |
เสม็ดขาว/Melaleuca cajuputi |
51 |
ชมพูภูคา/Bretschneidera sinensis |
71 |
เสม็ดแดง/Syzygium cinereum |
52 |
ชุมแสง/Xanthophyllum lanceatum |
72 |
ศุภโชค/Pachira aquatica |
53 |
ตะเคียนทอง/Hopea odorata |
73 |
หูกระจง/Terminalia ivorensis |
54 |
- |
74 |
พี้จั่น/Millettia brandisiana |
55 |
เสลา/Lagerstroemia loudonii |
75 |
ชิงชัน/Dalbergia oliveri |
56 |
อินทนิลน้ำ/Lagerstroemia speciosa |
76 |
พะยูง/Dalbergia cochinchinensis |
57 |
อินทนิลบก/Largerstroemia Macrocarpa |
77 |
บุหงาส่าหรี/Cithrarexylum spinosum. |
58 |
ตะแบกนา/Lagerstroemia floribunda |
78 |
เกษมณี/Melia azedarach |
59 |
ตะแบกเกรียบ/Lagerstroemia cochinchinensis |
79 |
จัน-อิน/Diospyros decandra |
60 |
หางนกยูงฝรั่ง/Delonix regia |
80 |
จิกสวน/Barringtonia racemosa |
61 |
โสกน้ำ/Saraca indica |
81 |
จิกนา/Barringtonia acutangula |
62 |
โสกขาว/Maniltoa grandiflora |
82 |
จิกทะเล/Baringtonia asiatica |
63 |
โสกเขา/Saraca declinata |
83 |
จิกนมยาน/Barringtonia macrostachya |
64 |
ศรียะลา/Saraca thaipingensis |
84 |
มะคังขาว/Tamilnadia uliginosa |
65 |
อโศกอินเดีย/Polyalthia longifolia var. pendula |
85 |
ต้นมั่งมี, เฉียงพร้านางแอ/Carallia brachiata |
66 |
เสี้ยวป่า/Bauhinia saccocalyx |
86 |
กาญจนิกา/Santisukia pagettii |
67 |
ชงโคนา/Bauhinia racemosa |
87 |
มะค่าโมง/Afzelia xylocarpa |
68 |
แสมสาร/Senna garrettiana |
88 |
เลือดแรด/Knema globularia |
69 |
เสม็ดชุน/Syzygium gratum |
89 |
มะค่าแต้/Sindora siamensis |
EPPO code ---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัส EPPO เป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์ )
สถานะการอนุรักษ์ IUCN. Red List of Threatened Species https://www.iucnredlist.org/
1 สูญพันธุ์ (EX) การกำหนดที่ใช้กับสปีชีส์ที่บุคคลสุดท้ายเสียชีวิตหรือการสำรวจอย่างเป็นระบบและตามเวลาที่เหมาะสมไม่สามารถบันทึกได้แม้แต่บุคคลเดียว 2 Extinct in the Wild (EW) หมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่สมาชิกอยู่รอดได้เฉพาะในกรงขังหรือเป็นประชากรที่ได้รับการสนับสนุนเทียมซึ่งอยู่นอกขอบเขตทางภูมิศาสตร์ในอดีต 3 ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต (CR) ซึ่งเป็นประเภทที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 80 ถึงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ปัจจุบันขนาดของประชากรน้อยลง กว่า 50 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ 4 ใกล้สูญพันธุ์ (EN) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 50 ถึงมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า 250 บุคคลหรือปัจจัยอื่น ๆ 5 เปราะบาง (VU) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากการลดลงอย่างรวดเร็วของประชากร 30 ถึงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า จำนวน 1,000 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ 6 Near Threatened (NT) เป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่ใกล้จะถูกคุกคามหรืออาจเข้าเกณฑ์สำหรับสถานะถูกคุกคามในอนาคตอันใกล้ 7 ความกังวลน้อยที่สุด (LC) หมวดหมู่ที่มีสายพันธุ์ที่แพร่หลายและอุดมสมบูรณ์หลังจากการประเมินอย่างรอบคอบ 8 Data Deficient (DD) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ใช้กับสปีชีส์ซึ่งจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงไม่สามารถดำเนินการประเมินได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงไม่เหมือนกับหมวดหมู่อื่นๆ ในรายการนี้ หมวดหมู่นี้ไม่ได้อธิบายถึงสถานะการอนุรักษ์ของสปีชีส์ 9 ไม่ได้รับการประเมิน (NE) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ใช้รวมสัตว์เกือบ 1.9 ล้านชนิดที่อธิบายโดยวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้รับการประเมินโดย IUCN LR/lc---สิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ Version 3.1: สภา IUCN ได้นำเวอร์ชันล่าสุดนี้มาใช้ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันเป็นผลมาจากความคิดเห็นของสมาชิก IUCN และ SSC และจากการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 Version 2.3: IUCN (1994)
|
50 แจง/Maerua siamensis
[Mae-ru-ah] [sy-am-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Maerua siamensis (Kurz) Pax. (1936) ชื่อพ้อง ---Has 6 Synonyms. ---Basionym: Niebuhria siamensis Kurz.(1877).https://www.gbif.org/species/3873399 ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:147780-1#synonyms ชื่อสามัญ---Siamese Maerua, Siamese's Maerua ชื่ออื่น--- แจง (ทั่วไป); แกง (นครราชสีมา); [THAI: Chaeng (General); Kaeng (Nakhon Ratchasima).]; EPPO Code--- 1MAEG (Preferred name: Maerua) ชื่อวงศ์---CAPPARACEAE (CAPPARIDACEAE) ถิ่นกำเนิด---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล“Maerua”มาจากภาษาอาหรับ meru หมายถึงดวงอาทิตย์ อ้างอิงถึงพืชที่ชอบแสงแดดจัด ;ชื่อสายพันธุ์ 'siamensis' = จากประเทศไทย อ้างอิงถึงเป็นไม้ในสกุลที่มีเพียงชนิดเดียวในประเทศไทย Maerua siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ferdinand Albin Pax (1858-1942)ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2479 - พบครั้งแรกในประเทศไทยโดย J.E. Teijsmann ชาวเนเธอร์แลนด์ที่จังหวัดราชบุรี
ที่อยู่อาศัย---พบในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบทุกภาคจนถึงภาคใต้ตอนบน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง หรือตามป่าโปร่ง โดยเฉพาะเขาหินปูนเตี้ย ๆ ที่ระดับ ความสูง 0- 400 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบในช่วงสั้นๆ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่สูงไม่เกิน10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ มีใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย (trifoliolate) เรียงตัวแบบแผ่ๆ หรือแบๆ ออกมา ลักษณะคล้ายตีนนก ใบย่อยรูปไข่กลับ รูปขอบขนาน หรือรูปแถบ ใบค่อนข้างแข็ง กว้าง 1-3 ซม. ยาว 5-7 ซม.เกือบไร้ก้าน ดอกสีเขียวอมขาวออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น แฉกรูปไข่ กว้าง 0.2-0.3 ซม. ยาว 0.7-1 ซม. ปลายแหลม ขอบมีขนคล้ายเส้นไหม ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้ 9-12 อัน ก้านเกสรยาว 10-15 มม.อับเรณูรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 มม.ปลายอับเรณูเป็นติ่ง ก้านชูเกสรเพศเมีย ยาว 1.5-2 ซม.รังไข่รูปทรงกระบอก ยาว 1.5-2 มม.เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผลรูปรีหรือรูปกลมผิวขรุขระ กว้าง 1.3-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม.ก้านผลยาว 4.5–7.5 ซม. ผลจะกลายเป็นสีเหลืองเข้มเมื่อสุก ซึ่งภายในผลจะมีเมล็ดรูปไตอยู่ประมาณ 2-3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone10-11) ชอบที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด สามารถทนต่อดินได้หลายประเภท รวมถึงดินทรายหรือดินเหนียว ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่มากเกินไป ปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ มีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออกเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและสร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่สมดุลทุกๆ สองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อศัตรูพืชและโรค แต่ก็ยังอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาทั่วไปบางประการ ต่อไปนี้คือศัตรูพืชและโรคที่พบบ่อยที่สุดที่อาจส่งผลต่อพืช พืชอาจได้รับผลกระทบจากเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์ สัตว์รบกวนเหล่านี้สามารถควบคุมได้ด้วยสบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดา/ อาจได้รับผลกระทบจากโรคเชื้อรา เช่น โรคราแป้งและโรคใบจุด โรคเหล่านี้สามารถป้องกันโรคได้โดยจัดให้มีการไหลเวียนของอากาศที่ดีและหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกอ่อน ยอดอ่อน นำมาดองคล้ายดอกกุ่มหรือผักเสี้ยน กินกับน้ำพริก เนื้อไม้ใช้เป็นส่วนผสมในการทำผงเชื้อของแป้งข้าวหมาก ใช้เป็นยา---แจงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการใช้ ราก เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปัสสาวะพิการ แก้กษัย แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ แก้ดีซ่าน แก้หน้ามืดตาฟาง รักษาฝีในคอ แก้ไข้จับสั่น - ต้น มีคุณสมบัติเหมือนราก แต่มีคุณสมบัติมากกว่ารากตรงที่แก้แมงกินฟัน ทำให้ฟันทน เปลือก แก้หน้ามืดตาฟาง บำรุงกำลัง แก้ปัสสาวะพิการ แก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย - แก่น แก้ไข้ตัวร้อน - รากและใบ ต้มน้ำดื่ม แก้ดีซ่าน หน้ามืด ตาฟาง - ใบและยอด ตำโขลกใช้สีฟันทำให้ฟันทน - ใช้ทั้งห้า แก้ไข้จับสั่น แก้ดีพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้สีขาวและล่อนเป็นกาบ นิยมนำมาทำดินปืน หรือเผาเป็นถ่านที่มีคุณภาพดี - ใบ ใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงเพื่อเผาขนสัตว์ ระยะออกดอก--- ธันวาคม-มีนาคม/กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์ --- ด้วยการตอนกิ่งและเพาะเมล็ด
|
Akaniaceae หรือครอบครัว turnipwood เป็นครอบครัวของพืชดอก ประกอบด้วยต้นไม้สองสกุลคือ Akaniaและ Bretschneidera ซึ่งแต่ละชนิดมีสายพันธุ์เดียว พืชเหล่านี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน , เวียดนาม , ไต้หวันและออสเตรเลียตะวันออก (แสดงในหน้านี้ 1 สกุล 1 สายพันธุ์) -Akania bidwillii (turnipwood) - ออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ -Bretschneidera sinensis - จีนตอนใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
51 ชมพูภูคา/Bretschneidera sinensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bretschneidera sinensis Hemsl.(1901) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:782165-1#synonyms ---Bretschneidera yunshanensis Chun & F.C.How.(1958) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ชมพูภูคา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Zhōng è mù, Bo le shu, Boleshu.];[THAI: Chompoo Phu Kha (General).];[VIETNAMESE: Rết nây, Chung ngạc mộc, Chuông đài.] EPPO Code--- BTASI (Preferred name: Bretschneidera sinensis.) ชื่อวงศ์---AKANIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไต้หวัน ไทยและเวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bretschneidera' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวลัตเวีย Emil Bretschneider (1833-1901) ; ฉายาเฉพาะ 'sinensis' หมายถึงการเสื่อมถอย Bretschneidera sinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Akaniaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Botting Hemsley (1843-1924) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2444 ที่อยู่อาศัย---สายพันธุ์นี้กระจัดกระจายไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (หูเป่ย เจ้อเจียง หูหนาน ฝูเจี้ยน เจียงซี กวางตุ้ง เสฉวน กวางสี ยูนนาน กุ้ยโจว) ขยายไปถึง Lai Chauในเวียดนามและไท่เป่ย มณฑลอิลานในไต้หวันตอนเหนือ และภาคเหนือของประเทศไทย ต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติ ในป่าระดับความสูงต่ำถึงปานกลางในหุบเหวและลำธารที่ระดับความสูง 300- 1,700 เมตร - ชมพูภูคา เป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้หายาก ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งของโลก เมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้ ที่มณฑลยูนานประเทศจีน แต่ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเนื่องด้วยการตัดไม้ทำลายป่า - ในประเทศไทย มีรายงานการสำรวจพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2532 บริเวณป่าดงดิบเขาดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว และที่ บ้านสว่าง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน พบขึ้นตามที่ลาดชันในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,200-1,500 เมตร ลักษณะ---ชมพูภูคาเป็นต้นไม้หายากเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่สูงได้ถึง10–20 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอมเทา ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 4-8 คู่ ขนาดกว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 8-25 ซม.ฐานใบเบี้ยว ใบแก่เกลี้ยงมีขนเล็กน้อยบนก้านใบ ด้านล่างใบสีเทาอ่อน ดอก สีชมพูสดใสขนาด 3.5-4ซม. ช่อไม่แตกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง ยาว40ซม กลีบดอกกลม5กลีบ ฐานกลีบแคบ เกสรเพศผู้ 8 อันอยู่กันเป็นกลุ่มโค้งลง ก้านเกสรเพศเมีย1อัน ผลขนาด 4 ซม.มนรีปลายสองข้างแคบแตกเป็น3เสี้ยว แต่ละเสี้ยวมี1-2เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เนื่องมาจากความหายากในการเพาะปลูก แทบไม่สามารถพูดถึงข้อกำหนดได้ แต่เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมจีน (China Culture 2003) ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความต้องการทางนิเวศวิทยา ตามรายงานของผู้เขียนที่ไม่ระบุชื่อรายงานนี้ เป็นสายพันธุ์กึ่งเขตร้อน ซึ่งเติบโตในดินที่เป็นกรดที่อุดมสมบูรณ์ ในสภาพที่มีน้ำค้างแข็งแต่ไม่ได้รับความร้อนมากเกินไป มันงอกในที่ร่ม และเจริญขึ้นโดยทนร่มเงาได้เหมือนต้นอ่อน การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้เป็นยาแก้ปวดเส้นเอ็น อื่น ๆ---กล่าวกันว่ามีรากที่ลึกและกันลม ทำให้ได้ไม้ที่สวยงามคุณภาพดี สถานภาพ---ชมพูภูคาเป็นพืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย พบเฉพาะในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ภัยคุกคาม---เนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย และประสิทธิภาพการถ่ายเทละอองเกสรต่ำ กำลังนำไปสู่การคุกคามของสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN สำหรับชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Bretschneidera sinensis ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ A1cd สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED A1cd - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.(1998) source: Sun, W. 1998. Bretschneidera sinensis. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T32324A9697750. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T32324A9697750.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32324/9697750 - สายพันธุ์นี้ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของไต้หวัน ครอบครัวเป็นแบบ Monotypic. ระยะเวลาออกดอก ---กุมภาพันธ์-มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาเมล็ด
|
52 ชุมแสง/Xanthophyllum lanceatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Xanthophyllum lanceatum (Miq.) J.J.Sm.(1912) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:692862-1#synonyms ---Basionym: Skaphium lanceatum Miq.(1861). https://www.gbif.org/species/4051497 ---Xanthophyllum glaucum Wall. ex Hassk.(1864) ---Xanthophyllum microcarpum Chodat.(1896) ---Banisterodes glaucum (Wall. ex Hassk.) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---แก้ว (ลำปาง), แสง (สกลนคร), แสงกึน (อุบลราชธานี), กระเบียน (กาญจนบุรี), ขางข้าวต้นเกลี้ยง (เชียงใหม่), ชุมแสง (ภาคกลาง) ; [CAMBODIA: Kânsaëng, Pumsaèn (Khmer).];[LAOS: Soum seng.];[MALAYSIA: Berok Minyak (Malay); Nyalin (Iban).];[INDONESIA: Pokok Minyak Berok.];[THAI: Kaeo (Lampang); Saeng (Sakon Nakhon); Saeng kuen (Ubon Ratchathani); Krabian (Kanchanaburi); Khang khao ton kliang (Chiang Mai); Chumsaeng (Central).]. EPPO Code---1XAPG (Preferred name: Xanthophyllum) ชื่อวงศ์---POLYGALACEAE ถิ่นกำเนิด---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์ --- บังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Xanthophyllum' มาจากภาษากรีกแปลว่า "ใบเหลือง" หมายถึงใบมักเป็นสีเหลืองเมื่อแห้ง ; ฉายาเฉพาะ 'lanceatum' จากคำคุณศัพท์ภาษาละติน = หอก อ้างอิงถึงลักษณะใบไม้ Xanthophyllum lanceatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Polygalaceae (ภายใต้ระบบ Cronquistก่อนหน้านี้มันถูกวางไว้ในตระกูล monotypic Xanthophyllaceae )ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Jacobus Smith (1867–1947) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2455
ที่อยู่อาศัย---พบได้ตั้งแต่สุมาตราไปจนถึงบังคลาเทศ ประเทศและภูมิภาคที่ปลูกได้แก่ อินโดนีเซีย (สุมาตรา), มาเลเซีย (คาบสมุทร), ประเทศไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว, พม่า, และบังคลาเทศ พบตามหนองน้ำในป่าฝนที่ลุ่มที่ระดับความสูงต่ำกว่า 500 เมตร - ในประเทศไทย พบได้ในชุมชนพืชพรรณริมฝั่งน้ำกระจัดกระจายตามริมฝั่งแม่น้ำพระปรง (จังหวัดสระแก้วภาคตะวันออกของประเทศไทย) อีกฝั่งริมแม่น้ำคือวิทยาเขตวิทยาลัยโพธิวิชชาลัยของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ - ในชุมชนพืชพรรณข้างแม่น้ำโขงใน จังหวัด กระแจะและสตึงแตรงประเทศกัมพูชา กลุ่มนี้พบได้ยากในชุมชนที่มีโขดหินหลากหลายชนิดหนาแน่น (น้ำท่วมครั้งสุดท้ายในแต่ละปี ระบายออกก่อน) เติบโตบนดินที่ได้มาจากหินทรายแปรสภาพที่ระดับความสูง 20-25 เมตร ลักษณะ---ต้นชุมแสงมีลักษณะคล้ายกับต้นแจง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 5-8 เมตร เปลือกเรียบสีน้ำตาลอมเทา ลำต้นบิดงอปลายลำต้นมักโค้งงอลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม.ยาว 8-12 ซ. ผิวใบเกลี้ยง ใบคล้ายกับใบมะปรางเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง หรือ ซอกใบใกล้กิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ, กลีบดอก 5 กลีบสีขาวถึงม่วงอ่อน เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาล ผลแห้ง รูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5- 3 ซม.สีเขียวแกมเทา ไม่แตก เปลือกหนามีเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่โล่งแจ้งแสงแดดจัดจนถึงแสงปานกลาง ดินมีความชื้นสูงสม่ำเสมอ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางถึงน้ำมาก รดน้ำสม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวนร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์--- ใช้กิน ยอดอ่อนใช้กินเป็นผัก น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้ในการปรุงอาหาร ใบถูกนำมาใช้แทน hops ในการผลิตเบียร์ ใช้เป็นยา---เป็นพืชสมุนไพร ราก เปลือกลำต้นและใบ มีสรรพคุณทางยา - คนไทยโบราณใช้ทำยารักษาโรคพรายเลือดลมสตรี - ราก เปลือกลำต้น หรือใบ ผสมลำต้นสะแก ลำต้นสะแบง และสังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น แช่น้ำ อาบทุกวัน ๆ ละ3 ครั้ง แก้โรคผิวหนังเปือยพุพอง - เปลือกใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาโรคอีสุกอีใส ใช้ปลูกประดับ---ชุมแสงเป็นไม้ยืนต้นที่ยากจะทิ้งใบนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนตามสถานที่ต่าง ๆปัจจุบันต้นชุมแสงจัดเป็นต้นไม้ที่ควรอนุรักษ์ อื่น ๆ--- ผลของต้นชุมแสงใช้เป็นลูกกระสุนสำหรับธนู - น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้สำหรับทำเทียนและสบู่ - สารสกัดจากผล มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Magnaporthe grisea ที่ทำให้เกิดโรคพืชได้ดีเยี่ยม - ผล ดอกไม้ และใบของต้นไม้นี้ สังเกตกันว่าปลาจะกินเป็นประจำโดยชาวประมงในแม่น้ำโขง ที่อำเภอโขงจังหวัดจำปาสัก ทางตอนใต้ของลาว และพบผลในกระเพาะของ ปลาสวาย polyuranodon (Juaro fish) ที่ตรวจในบริเวณนั้น พิธีกรรม/ความเชื่อ---ในประเทศไทย ในยุคสมัยก่อนการสร้างหลังคาโบสถ์ของวัดต่างๆ คาน ขื่อ และแป จะต้องใช้ไม้ของ “ต้นชุมแสง” เพียงอย่างเดียวจึงจะเป็นสิริมงคลตามความเชื่อโบราณ ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์-มีนาคม/เมษายน-กรกฎาคม ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ตอนกิ่ง
|
|
53 ตะเคียนทอง/Hopea odorata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hopea odorata Roxb.(1811 publ. 1819) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/320965-1#synonyms ---Doona odorata (Roxb.) Burck.(1887) ชื่อสามัญ---Ironwood, White thingan. ชื่ออื่น---กะกี้, โกกี้ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); แคน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); จะเคียน (ภาคเหนือ); จืองา (มาเลย์-นราธิวาส); จูเค้, โซเก (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะเคียน, ตะเคียนทอง, ตะเคียนใหญ่ (ภาคกลาง); ไพร (ละว้า-เชียงใหม่); [BANGLADESH: Telsur, Tersol.];[CAMBODIAN: Koki Masao, Thmar (Central Khmer).];[KANNADA: Kallurala, Bili tirupu.];[LAOS: Kh’ein, Khaen Huea.];[MALAYSIA: Merawan, Cengal kampung, Chengal mas, Cengal Pasir, Chengal pasir, Merawan siput jantan (Malay); Chengal Kampung (Terengganu); Chengal Pulau (Kedah)];[MYANMAR: Thingan.];[TAMIL: Urappupicin.];[THAI: Ka-ki, Ko-ki (Karen-Chiang Mai); Khaen (Northeastern); Cha khian (Northern); Chue-nga (Malay-Narathiwat); Chu-khe,so-ke (Karen-Kanchanaburi); Ta khian, Ta khian thong, Ta khian yai (Central); Phrai (Lawa-Chiang Mai).];[VIETNAM: Sao, Sao den.];[TRADE NAME: Merawan.]. ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ --เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า หมู่เกาะอันดามัน กัมพูชา ลาว เวียตนามตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ตอนเหนือ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hopea' ตั้งตาม John Hope (1725-1786) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก๊อต ; ชื่อเฉพาะ 'odorata' คือคำคุณศัพท์ภาษาลาติน“ odoratus, a, um” = กลิ่นหอม, น้ำหอมโดยมีการอ้างอิงถึงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม Hopea odorata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Dipterocarpaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh(1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2362 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติขยายจากศรีลังกาไปยังหมู่เกาะอันดามัน และนิโคบาร์ และจากบังคลาเทศไปยังพม่า ไทย, มาเลเซียและกัมพูขา, ลาว, เวียตนาม ขึ้นกระจายอยู่กว้างขวางพบในป่าดิบชื้นส่วนใหญ่ตามแนวน้ำที่ระดับความสูง 0 - 600 เมตร - ในพื้นที่กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติส่วนใหญ่พบตามป่าเขตร้อนชื้นที่ลุ่มบนดินลึกที่ระดับความสูงถึง 300 เมตร และไม่ค่อยอยู่ห่างจากลำธาร ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบสูง 30-40 เมตรเส้นรอบวงลำต้นประมาณ 4 เมตร เรือนยอดแน่นสีเขียวเข้มกิ่งแผ่กว้าง ลำต้นเปลาตรงเปลือกนอกสีน้ำตาลคล้ำเกือบดำมักมีร่องลึกตามยาว เมื่ออายุมากขึ้นเปลือกจะเป็นเกล็ด ๆเปลือกชั้นในสีเหลืองหม่นมักจะมีน้ำยางสีเหลืองซึมออกมา กิ่งแขนงเรียวเล็กลู่ลง ใบรูปไข่แคบหรือเกือบขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง 3-7.5 ซม.ยาว 8-16 ซม.ฐานใบป้านหรือกลมไม่สมมาตร ใบเกลี้ยงเป็นมันด้านล่างของใบจะมีตุ่มหูดสีเหลืองอ่อนใบอ่อนมีขนรูปดาวสีเทาใบแก่ผิวเรียบยกเว้นมีกลุ่มขนเล็กๆสีดำในซอกเส้นใบ หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสมบูรณ์เพศขนาด 0.8-1 ซม.สีขาวหรือเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอมทุกส่วนของช่อดอกมีขนนุ่มสีเทาดอกเป็นช่อถึง 50 ดอก ออกที่ปลายช่อและซอกใบบนๆ ผลมีปีกยาว 2 ปีก ปีสั้น 3 ปีก ปีกซ้อนกันแต่หุ้มส่วนกลางผลไม่มิด มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 26 - 36°C แต่สามารถทนอุณหภูมิได้ 10 - 41°C พืชถูกทำลายด้วยอุณหภูมิ -3°C ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ยกเว้นในช่วงปีแรกของชีวิตที่มีร่มเงาบางส่วน และสามารถปรับให้เข้ากับดินประเภทต่างๆได้ดี ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และลึก มีการระบายน้ำดี มีค่า pH ในช่วง 4.8 - 5.2 ซึ่งทนได้ 4.4 - 6 อัตราการเจริญเติบโต โดยเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้น 0.97 ซม.ต่อปี และความสูงเพิ่มขึ้น 51 ซม.ต่อปี การบำรุงรักษาต่ำ - วงจรการหมุนไม่ได้รับการคำนวณหรือพัฒนาสำหรับสายพันธุ์ แต่ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของต้นไม้จำนวนจำกัด วงจร 30 ถึง 40 ปี การรดน้ำ---Unknown การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความอ่อนไหวต่อแมลงศัตรูพืช ที่สำคัญได้แก่Trioza hopeae (เพลี้ยกระโดด)/ไวรัส และเชื้อราหลายชนิด ส่งผลกระทบต่อใบ ผลไม้ และราก รู้จักอ้นตราย---* บางส่วนของพืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณสำหรับโรคต่างๆ แต่ในขณะนี้ (2559) ยังไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความเป็นพิษของมัน https://www.monaconatureencyclopedia.com/hopea-odorata-2/?lang=en การใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้แทนนิน, เรซิ่นและไม้ ต้นไม้ถูกเอาเปรียบทางการค้าในฐานะแหล่งที่มาของไม้ซุง 'merawan' ในขณะที่เรซิ่นขายในตลาดท้องถิ่น ใช้กิน---เปลือกไม้ใช้เคี้ยวแทนหมากกับพลู ใช้เป็นยา---บางส่วนของพืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณสำหรับโรคที่หลากหลาย - เปลือกมีรสฝาด ใช้รักษาโรคท้องร่วง เป็นส่วนผสมของยารักษาอาการอักเสบของเหงือกและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ - ชันตะเคียนเป็นน้ำมัน (oleoresin) ที่ได้จากต้นตะเคียน คนไทยโบราณใช้ชันตะเคียนเพื่อทาแผลแก้อักเสบและห้ามเลือด เปลือกต้นมีรสฝาด เมา ใช้ต้มน้ำดื่มเป็นยาฝาดสมาน อมกลั้วคอ แก้เหงือกอักเสบ แก้บิดมูกเลือด แก้ลงแดง - เรซิ่นใช้ในยาแผนโบราณในพม่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดโดยมีฤทธิ์ช่วยหยุดเลือดเมื่อนำไปใช้กับบาดแผล ใช้เป็นไม้ประดับ--- เป็นไม้ประดับและให้ร่มเงาในส่วนของเบงกอลตะวันตกและชายฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะอันดามันเวียดนาม ฯ วนเกษตร---ใช้ในโครงการปลูกป่าเหมาะสำหรับการปลูกบนที่ดินที่เสื่อมโทรม อื่น ๆ---เนื้อไม้ละเอียดสีเหลืองซีดที่กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนหากสัมผัส เป็นไม้ที่มีเนื้อไม้ทนต่อแมลงและปลวก เนื้อไม้แข็งและทน แต่ทำให้แห้งยาก เป็นที่รู้จักกันในแง่เนื้อไม้ที่มีคุณภาพสูง ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย, เรือ, สะพาน, หมอนรถไฟ, เฟอร์นิเจอร์ และวัตถุงานฝีมือและงานศิลปะ - แทนนินพบได้ในส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้โดยมี 11% ในใบไม้, 13-15% ในเปลือกและ 10% ในไม้ เปลือกที่มีสารแทนนินสูง ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง - ต้นไม้ประกอบด้วยเรซินโปร่งใสที่เรียกว่า rock dammar ที่มีคุณภาพดีใช้สำหรับเคลือบเงาและกันน้ำในเรือ - ต้นที่มีขนาดใหญ่ในป่าหายากมาก นอกจากป่าที่ได้รับการดูแลอย่างดีหรือป่าที่เข้าถึงยาก - *(ส่วนตัว) รูปดอกตะเคียนทองถ่ายมาจากวัดสะพานสูง นนทบุรี ประเทศไทย มีต้นใหญ่อยู่หลายต้นมากโชคดีที่ได้รูปดอกตะเคียนมาเพราะต้นตะเคียนจะไม่ออกดอกทุกปี จะออก 2 ปีต่อครั้ง ถือว่าโชคดีสุดๆ แต่ก็ไม่วายมีกรรมบังมาด้วยกล้องถ่ายรูปที่ใช้ สมรรถนะต่ำ รูปเลยออกมาไม่ค่อยชัด (2554) พิธีกรรม/ความเชื่อ---ในประเทศไทย เรียกว่าตะเคียน (THAI : Ta-khian) เชื่อกันว่าต้นไม้ต้นนี้อาศัยอยู่โดยวิญญาณต้นไม้บางชนิด ที่เรียกว่า Lady Ta-khian (THAI : Nang ta-khian) ซึ่งเป็นผีประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ ต้นไม้ที่เรียกโดยทั่วไปว่านางไม้ ( Nang Mai) - ชาวบ้านหรือคนไทยสมัยก่อน ถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่นิยมสักการบูชา เพื่อขอโชคลาภ โดยเฉพาะเรื่องของการเสี่ยงโชค ภัยคุกคาม---เนื่องจากการถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปและการทำลายถิ่นที่อยู่จำนวนประชากรลดลงอย่างมาก ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2017 Hopea odorata ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ A2cd (สายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในป่า). สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE A2cd - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species.(2017) source: Ly, V., Newman, M.F., Khou, E., Barstow, M., Hoang, V.S., Nanthavong, K. & Pooma, R. 2017. Hopea odorata. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T32305A2813234. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T32305A2813234.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32305/2813234 - ชนิดนี้รายงานจากคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด 12 รายการ (BGCI 2017) ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเก็บรวบรวมเหล่านี้เป็นตัวแทนของชนิดพันธุ์ประชากรทั้งหมด และหากไม่ก็ควรดำเนินการรวบรวมเพิ่มเติม มันเกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งตลอดช่วงของมัน - ในประเทศมาเลเซีย ชนิดพันธุ์นี้ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยง B2b(iii)+c(ii) (Chua et al. 2010) - ขอแนะนำว่าควรปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ที่เหลืออยู่และคงเหลือแหล่งอาศัยของสายพันธุ์ที่ระบุ ขนาดประชากรควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมและติดตามการลดลงของประชากร การเก็บเกี่ยวชนิดพันธุ์ควรได้รับการตรวจสอบและจำกัดหากจำเป็น ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์—เมษายน/พฤษภาคม—มิถุนายน - ต้นไม้จะออกดอกและติดผลสม่ำเสมอทุกๆ 2 ปี ช่วงที่ดอกออกมากจะมีประมาณ 3-5 ครั้งต่อปี การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ระยะเวลางอก 10-30 วันโดยต้องปลูกให้เร็วที่สุด เมล็ดมีอายุการงอกระยะสั้น โดยใช้ดินร่วนอินทรีย์ระบายน้ำ รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 25-28°C - อัตราการงอกของเมล็ดพบว่ามี 73% เพาะในที่ไม่มีร่มเงา, 83% ในที่กึ่งร่มเงาและ 40% สำหรับการหว่านโดยตรง
|
ต้นไม้ในสกุล Lagerstroemia [la-ger-STREEM-ee-a]หรือสกุลของ ตะแบก เสลา อินทนิลนี้ ทางอิสานจะเรียกรวมกันว่า"เปื่อย"และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จนบางทียากที่จะบอกว่าต้นไหนเป็นต้นไหนเพราะตะแบกบางพันธุ์มีใบเล็กใบใหญ่ เหมือน เสลากับอินทนิลดอกก็เหมือนกันบางพันธุ์จะมีดอกขนาดใหญ่สีม่วงขาว ชมพู มองคละกันไปดูเหมือนกันไปหมดบางพันธุ์ก็มีขนาดเล็กสีสันต่างๆก็คล้ายกันทั้งนั้น ในหนังสือ"ดอกไม้และประวัติไม้ดอกเมืองไทย" ของท่านอาจารย์ วิชัย อภัยสุวรรณ แนะให้ลองสังเกตุดังนี้ ตะแบก - เปลือกเรียบเกลี้ยงเป็นสีเทาขาวขุ่น ตามเปลือกรอบต้นมีรอยคล้ายแผลเป็น ลักษณะเป็นดวงด่าง วงๆประอยู่ห่างๆทั่วไปตามลำต้น เสลา - เปลือกลำต้นสีน้ำตาลคล้ำ หรือค่อนข้างดำ แต่ไม่ดำสนิท และจะมีรอยแตกตามยาวเป็นร่องตื้นตลอดต้น จำไม่ได้ให้ท่องไว้.... เสลาเปลือกแตก-ตะแบกเปลือกเรียบ อินทนิล - เปลือกลำต้นจะมีผิวเรียบเกลี้ยง แต่มีแผ่นสะเก็ดบางๆลอกออกได้เองคล้ายเปลือกต้นฝรั่ง แต่ถ้าเปลือกของลำต้นมองดูกระด้างตาไม่มีการลอกเป็นสะเก็ดพวกนั้นคือตะแบก เปลือกบาง "
55 เสลา/Lagerstroemia loudonii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn.(1863) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553587-1 ---Lagerstroemia hirsuta Rottler ex C.B.Clarke.(1879) ---Lagerstroemia rottleri CBClarke.(1879) ---Murtughas loudonii (Teijsm. & Binn.) Kuntze. (1891) ---Murtughas rottleri (CBClarke) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---Thai Bungor, Thai Crapemyrtle, Burmese Bungor, Loudon’s crape myrtle, Salao flower. ชื่ออื่น--- เกรียบ, ตะเกรียบ (ชอง-จันทบุรี); ตะแบกขน, เสลา (นครราชสีมา); เสลาใบใหญ่ (ประจวบคีรีขันธ์, สระบุรี); อินทรชิต (ปราจีนบุรี); [INDONESIA: Bungur (Java).];[MALAYSIA: Bungor Siam (Malay).];[THAI: Salao, in tha ra jit, Dta baek kon, Dta griap, Griap, Sa lao bai yai.];[VIETNAM: Bàng lang tía]. EPPO Code--- LAELO (Preferred name: Lagerstroemia loudonii.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' เป็นเกียรติแก่ Magnus von Lagerstrom (1691-1759) นักธรรมชาติวิทยาและผู้อำนวยการบริษัทอินเดียตะวันออกของสวีเดน แม็กนัสเป็นเพื่อนและผู้อุปถัมภ์ของ Carl Linnaeus ในระหว่างการเดินทาง เขาได้จัดหาพืชให้กับลินเนียส และในทางกลับกัน ลินเนียสได้ตั้งชื่อสกุลของ Crapemyrtle ตามชื่อของเขาว่า"Lagerstroemia" ; ชื่อสายพันธุ์ 'loudonii' เป็นเกียรติแก่ John Claudius Loudon(1783-1843)นักพฤกษศาสตร์และนักออกแบบภูมิทัศน์ชาวสก็อต Lagerstroemia loudonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และ Simon Binnendijk (1821–1883) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2406
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในพม่าและไทย ในประเทศไทยพบต้นเสลาขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ และป่าชายหาด พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ลงไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 5-15 เมตร เรือนยอดกลมใบดกและกิ่งโน้มลงรอบทรงพุ่ม เปลือกสีดำแตกเป็นร่องเล็กตามความยาวลำต้น ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม-เกือบตรงข้ามรูปไข่แกมขอบขนานยาว 5-20 ซม.กว้าง 4-8 ซม.ก้านใบยาว 0.3-0.5 ซม.แผ่นใบมีขนสั้นหนานุ่มทั้ง 2 ด้าน ช่อดอกใหญ่ออกที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ช่อดอกยาว 10-30 ซม.ดอกสีชมพูเข้มหรือม่วง เปลี่ยนเป็นสีอ่อนลง-สีขาวเมื่อใกล้โรย กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5-8 แฉก กลีบดอกส่วนใหญ่เป็น 6 กลีบ รูปกลมบางยับย่น ขอบย้วย โคนคอดเป็นก้านสั้น ๆ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม. เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลแคปซูลรูปกลมรียาว 2-2.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.ผลแห้งแตกตามยาว 5-6 ซีก เมล็ดสีน้ำตาลเข้มจำนวนมาก เมล็ดมีปีกสีน้ำตาลอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตอบอุ่นถึงกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 7a-9b) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0°C ในช่วงสั้น ๆต้องการแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ pH 5.1-6.5 ไม่ทนน้ำท่วมขัง ทนทานต่อความเค็มได้ดี การรดน้ำ---ไม่ต้องการน้ำมาก รดน้ำ 5 – 7 วันต่อ 1 ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือหมัก ใส่ปีละ 4 – 5 ครั้ง ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีสูตรสมดุล ใส่ปีละ 3 – 4 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---Unknown การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา บางส่วนของพืชถูกใช้ในการแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะเปลือกไม้สำหรับรักษาอาการท้องเสีย ใบไม้ใช้กับแผลที่ผิวหนัง ใช้ใบบดกับกำยานใช้ทาผดผื่นคัน ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาและให้ดอกที่สวยงาม นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในสวนสาธารณะของประเทศไทย สามารถนำไปใช้ใกล้ทะเลได้ อื่น ๆ---ไม้เนื้อแข็ง เนื้อเหนียว ทนทาน ใช้ก่อสร้าง แปรรูป ต่อเรือ ทำสะพาน ทำพื้น ตง รอด หรือใช้แกะสลัก-ผลใช้ทำไม้ประดับแห้ง พิธีกรรม/ความเชื่อ---คนไทยมีความเชื่อว่าหากปลูกต้นเสลาไว้ประจำบ้านจะเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลทำให้บ้านนั้นมีฐานะสูงขึ้น สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานจังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทย - เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน- มกราคม/กุมภาพันธ์-กรกฎาคม การขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 15 - 40 วัน ที่อุณหภูมิ 24-25 °C
|
56 อินทนิลน้ำ/Lagerstroemia speciosa
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.(1806) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553618-1#synonyms ---Lagerstroemia munchhausia L. ex Forsyth f.(1794), nom. superfl. ---Munchausia speciosa L.(1770) ---Murtughas speciosa (L.) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ--Queen Flower, Giant crape-myrtle, Queen's crape-myrtle, Banabá plant for Philippines, Pride of India, Bloodwood, Rose of India ชื่ออื่น---ฉ่วงมู, ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะแบกดำ (กรุงเทพฯ); บางอบะซา (นราธิวาส); บาเย, บาเอ (มาเลย์-ปัตตานี); อินทนิล, อินทนิลน้ำ (ภาคกลาง, ภาคใต้); [ASSAMESE: Ejar, Ajar, Jarul.];[BRAZIL: Flor-da-rainha, Resedá-flor-da-rainha, Resedá-gigante.];[CHINESE: Bai ri hong, Da hua zi wei, zi wei shu.];[CUBA: Astronomía, Cupido, Gastronomia, Júpito.];[DOMINICAN REPUBLIC: Almira, Armira.];[DUTCH: Koninginnebloem.];[FRENCH: Lilas des Indes, Stragornia blanc.];[GERMAN: Rose von India.];[HAITI: Atromelia stragornia.];[HINDI: Jarul.];[INDONESIA: Bungur, Bungur tekuyung, Ketangi.];[JAMAICA: Crape myrtle, June rose.];[JAVANESE: Ketangi.];[MALAYSIA: Berangan asu, Bungor raya, Bongor biru, Sebugor, Tibabah (Malay).];[MARATHI: Taman.];[MYANMAR: Gawkng-uchyamang, Pyinma, Pyinma-ywetthey.];[NETHERLANDS: Koninginnebloem.];[PHILIPPINES: Banaba (Tag.), Makabols, Parasabukong.];[PUERTO RICO: Astromero.];[SPANISH: Astromelia, Embrujo de la India, Flor de la reina, Orgullo de la India.];[TAMIL: Kadali.].[THAI: Chuang-muu, Chong-pana, Tabaek dam, Inthanin nam.];[VIETNAM: Banglang.];[TRADE NAME: Arjuna, Pyinma.]. EPPO Code---LAESP (Preferred name: Lagerstroemia speciosa.) ชื่อวงศ์ ---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ อินโดจีน มาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ ชวา สุลาวาสี ตอนเหนือของออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus ; ชื่อเฉพาะ 'speciosa' เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'speciosus, a, um' = สวยงามฉูดฉาดอ้างอิงถึงดอกไม้ Lagerstroemia speciosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยChristiaan Hendrik Persoon (1761–1836)นักพฤกษศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ.2349 Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553618-1#synonyms Includes 2 Accepted Infraspecifics - Lagerstroemia speciosa subsp. intermedia (Koehne) Deepu & Pandur.(2017) - Lagerstroemia speciosa subsp. speciosa
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเอเชียเขตร้อนรวมถึงอนุทวีปอินเดีย, จีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางเป็นไม้ประดับและขณะนี้ได้รับการแปลงสภาพในเขตร้อนของเอเชียและแอฟริกา, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก, อเมริกากลาง อเมริกาใต้และหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเป็นพืชของเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร สายพันธุ์นี้ได้รับการชื่นชมอย่างมากในตลาดพืชสวนขนาดใหญ่ มักจะนำไปปลูกในสวนทั่วไป ในสวนสาธารณะ รอบลานจอดรถและตามทางหลวง มันได้หลบหนีจากการเพาะปลูกและตอนนี้สามารถพบได้ตามธรรมชาติในพื้นที่เสีย, พื้นที่ที่ถูกรบกวน, ทุ่งหญ้าโล่งและตามริมถนนในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ขณะนี้มีการจดทะเบียนเป็นพืชรุกรานในเบลีซ, คอสตาริกา, เปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จิน ( Balick et al., 2000 ; ChacónและSaborío, 2012 ; Rojas-Sandoval และ Acevedo-Rodríguez, 2015 ) ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 750 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ หมายถึงถ้าขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้งจะผลัดใบ ถ้าผลัดใบจะผลัดใบประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ต้นสูงประมาณ 10-20 เมตร เส้นผ่านศูน์กลางประมาณ 60 ซม.เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มกว้างกลม เปลือกหนาสีเทาอมน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียบเป็นมัน เรียงตรงข้าม ใบยาวรูปไข่กึ่งขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อยาวประมาณ10-50ซม.ออกที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ดอกสีม่วงสด ,ม่วงอมชมพู ,สีชมพูหรือสีขาว (สำหรับอินทนิลพันธุ์สีชมพูสดเรียกว่า ตะแบกอินเดีย) ดอกขนาดใหญ่ขนาดดอกประมาณ 5-7.5ซม มีกลีบดอก 6 กลีบ.เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลเป็นแบบแคปซูลรูปไข่ยาวและกว้าง 2-2.5ซม. เมื่อแก่มีสีน้ำตาล ผลแก่แตกออกเป็น6พู ผลและเมล็ดเล็กกว่าอินทนิลบก เมล็ดยาว1ซม.สีน้ำตาลอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในตำแหน่งที่มีแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) มักจะพบการเจริญเติบโตตามลำธาร ดินอาจแตกต่างจากการระบายน้ำดีถึงน้ำท่วมเป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่ดินพรุ ต้องการค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0°C ในช่วงสั้น ๆต้นไม้ได้รับการปลูกอย่างประสบความสำเร็จในเขตเมืองที่มีมลพิษทางอากาศ การระบายน้ำไม่ดีดินบดอัดและ/หรือภัยแล้ง สามารถออกดอกได้เมื่ออายุเพียง 2 ปี สายพันธุ์นี้ทนต่อไฟ การรดน้ำ---ไม่ต้องการน้ำมาก รดน้ำ 5 – 7 วันต่อ 1 ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งมากนัก ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งต้นไม้นี้เป็นประจำ แต่ต้องมีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ กำจัดกิ่งที่เหี่ยวแห้งและตายในทุกฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือหมัก ใส่ปีละ 4 – 5 ครั้ง ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีสูตรสมดุล ใส่ปีละ 3 – 4 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง รู้จักอันตราย-รากลำต้นและใบมีกรดไฮโดรไซยานิค ปริมาณสูงสุดในระยะเริ่มแรกของการเจริญเติบโตและจะลดลงเมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มที่
การใช้ประโยชน์---- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาและแหล่งวัสดุ ไม้ที่มีคุณภาพดีถือว่าเป็นหนึ่งในไม้ที่ดีที่สุดในพม่าและอัสสัมและมักจะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเชิงพานิชย์ ใช้เป็นยา--- การเตรียมจากใบแห้งหรือที่เรียกว่า Banaba มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศฟิลิปปินส์ในการรักษาโรคเบาหวานและปัญหาปัสสาวะ ใบไม้นั้นใช้เป็นยาถ่าย - ในอินเดียใช้เปลือกและใบเป็นยาขับพิษ เมล็ดใช้เป็นยาเสพติด และรากเป็นยาแก้ไข้ ยากระตุ้น และยาสมานแผล (Jain and DeFilipps 1991) - ในอินโดจีนจะใช้รากและเปลือกเป็นยาสมาน ใบและผลมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดในการรักษาโรคเบาหวาน บนคาบสมุทรมลายูมีการรับประทานยาต้มจากเปลือกเพื่อรักษาอาการปวดท้องและโรคบิด ใบทำเป็นยาพอกเพื่อรักษาโรคมาลาเรียและเท้าแตก - ในประเทศอินโดนีเซียใช้เปลือกเย็นเพื่อรักษาอาการท้องร่วง ยาพอกใบใช้แก้อาการไข้มาเลเรีย ยาต้มเปลือกใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสียและปวดท้อง วนเกษตรใช้---ต้นไม้มีระบบรากที่มีความหนาแน่นสูงและกว้างซึ่งทำให้มันมีประโยชน์ในการปลูกเพื่อควบคุมการชะล้างพังทลาย - ถูกใช้ในรูปแบบการปลูกป่าสำหรับเนินเขาที่เสื่อมโทรมในชวา ใช้เป็นไม้ประดับ---นิยมใช้เป็นไม้ประดับและไม้ให้ร่มเงาตามอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย สถานที่ราชการ ริมถนน สวนสาธารณะโดยทั่วไป ใช้อื่นๆ--- แก่นไม้เป็นตัวแปรจากสีน้ำตาลอ่อนสีเหลืองน้ำตาลสีเทาหรือสีแดงไปจนถึงสีน้ำตาลแดง พื้นผิวมีความละเอียดปานกลางถึงหยาบและไม่สม่ำเสมอค่อนข้างมันวาว ไม้หนักพอสมควร เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน แผ่นผนัง แผ่นไม้อัด ผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับสูงการแกะสลักและพื้นภายใน มีรายงานว่าเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในการสร้างเรือในประเทศไทยและบางส่วนของภูมิภาคอินโดจีน - เปลือกผลและใบมีแทนนิน [เปลือกผลไม้ (14 - 17%) ใบ (12 - 13%).] สีย้อมสีเหลืองได้จากเปลือกไม้ - ไม้ยังใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กรกฏาคม ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ชำราก
|
|
57 อินทนิลบก/Largerstroemia Macrocarpa
[la-ger-STREEM-ee-a] [Mac·ro·car·pa]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Largerstroemia macrocarpa Wall. ex Kurz.(1874) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553588-1#synonyms ---Lagerstroemia costa-draconis Furtado & Srisuko.(1969) ---Lagerstroemia hossei Koehne.(1908) ---Lagerstroemia intermedia var. oblonga Craib.(1911) ---Lagerstroemia macrocarpa var. reflexa Furtado & Srisuko.(1969) ชื่อสามัญ---Giant Crape Myrtle, Queen's Crepe Myrtle, Naked lady of the forests, Nude Lady of the Forest ชื่ออื่น--- กากะเลา (อุบลราชธานี); กาเสลา, กาเสา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); จ้อล่อ, จะล่อ, จะล่อหูกวาง, หูกวาง (ภาคเหนือ); ชีมุง (เงี้ยว); ปะหน่าฮอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); อินทนิลบก (ภาคกลาง) ;[BURMESE: Eikmwe, Kon-pyima, Mai-sa-hpong, Pyinma-ywet-gyi.];[KANNADA: Nandimara.];[MALAYALAM: Vellilav, Ventheekk.];[MARATHI: Bondara, Kumbaya, Nana.];[RUSSIAN: Lagestromiia krupnoplodnaia.];[TAMIL: Kaccai-k-kattai, Vel-vila, Ventekku.];[TELUGU: Chinnangi.];[THAI: In ta nin bok (Central Thailand), Ga ka lao, Jorlor, Jalor, Jalor hoo kwang (Northern Thailand), See mung.]. EPPO Code--- LAEMA (Preferred name: Lagerstroemia macrocarpa.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย ลาว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus ; ฉายาเฉพาะ 'macrocarpa' จากภาษาละติน หมายถึงผลขนาดใหญ่ อ้างอิงถึงผลไม้ของชนิดนี้ Largerstroemia macrocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กจากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2417 ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเทือกเขา Western Ghats ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย กระจายอยู่ในตอนเหนือของพม่า ไทย ลาว เติบโตในป่าเต็งรัง ป่าเปิด ป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร เป็นไม้ที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในประเทศเขตร้อน ในประเทศไทยพบทั่วไปในป่าผลัดใบและป่าโปร่งผสม พบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ พบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,000 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร ขนาดทรงพุ่ม 5-6 เมตร โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา แตกเป็นร่องตื้น หลุดล่อนเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน แกมรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ยาว 10-45 ซม.ออกเรียงตรงข้ามเป็นคู่ โคนใบมน ปลายใบมนหรือแหลม แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 0.5-2 ซม.ใบใหญ่กว่าอินทนิลน้ำ ผลัดใบในฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมจะแตกใบใหม่พร้อมทั้งออกช่อดอก ดอกจะออกเป็นช่อกระจะตั้งตรง ยาวได้ถึง 30 ซม. มีขนสั้นนุ่ม ก้านดอกเทียมยาว 0.5-2 ซม.กลีบดอก 6 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมากเรียงเป็นกระจุกอยู่กลางดอกอับเรณูสีเหลือง ดอกจะมีสีชมพูอมม่วงเมื่อบานครั้งแรก จากนั้นจางหายไปเป็นสีชมพูอ่อนเกือบขาวหลังจากผ่านไปสองสามวัน ผลรูปรีกว้างหรือเกือบกลม ยาว 3-4 ซม. เกลี้ยง ปลายมีติ่งแหลม แตกเป็น 6 ซีก เมล็ดจำนวนมาก มีปีก สีน้ำตาล ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตอบอุ่นถึงกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 7a-9b) อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด 18-27℃ ทนได้ (-10 )ถึง 41 ℃ ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 3-6 ชั่วโมงในแต่ละวัน นี่เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่ชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำดี แต่สามารถทนต่อดินประเภทต่างๆ และเจริญเติบโตได้ดีทั้งในดินที่เป็นปูนและดินที่เป็นกรด pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 ทนความชื้น ทนความแห้งแล้ง ทนเค็ม อัตราการเจริญเติบโตเร็วปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำให้ทั่วทุก 3-5 วัน 2-3 ครั้ง ภายในสองเดือนหลังปลูก หลังจากนั้นไม่ต้องการน้ำมาก รดน้ำ 5–7 วันต่อ 1 ครั้งตามปกติสามารถรดน้ำได้ 1 หรือ 2 เดือน ทนแล้งได้ดีมาก หลีกเลี่ยงการรดน้ำในตอนเย็นหรือตอนกลางคืนเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งมากนัก ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งต้นไม้นี้เป็นประจำ แต่ต้องมีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ กำจัดกิ่งที่เหี่ยวแห้งและตายในทุกฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---พืชปลูกใหม่ ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้าหนึ่งช้อนชาเดือนละครั้งในปีแรก จากนั้นใช้ปุ๋ยคอกหรือหมัก ใส่ปีละ 4 – 5 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญมากและให้สิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของป่าตะวันตกของอินเดีย มันถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและยังมีการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในเชิงพานิชย์ ใช้เป็นยา---เปลือก ต้น ใบ ใช้เป็นยาสมุนไพร ใช้ปลูกประดับ--- นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและไม้ให้ร่มเงาในสวนสาธารณะ ที่อยู่อาศัย ต้นไม้ริมถนน และสวนทั่วไป สามารถปลูกใกล้ทะเล อื่นๆ---แก่นไม้มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง ไม้เนื้อแข็งปานกลางไม่ทนทาน ค่อนข้างหยาบ ค่อนข้างเป็นมัน ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป การต่อเรือ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน พื้นไม้ปาร์เก้ และงานกรุ ระยะออกดอก/ออกผล---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม/ เมษายน-กรกฎาคม - ออกดอกเมื่ออายุ 4-6 ปี การขยายพันธุ์ ---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
|
58 ตะแบกนา/Lagerstroemia floribunda
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia floribunda Jack.(1820) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553564-1#synonyms ---Murtughas floribunda (Jack) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---Thai crape myrtle, Tropical crape myrtle. ชื่ออื่น---กระแบก (ภาคใต้); ตราแบกปรี้ (เขมร); ตะแบกไข่ (ราชบุรี, ตราด); ตะแบกนา (ภาคกลาง); บางอตะมะกอ, บางอยามู (มาเลย์); เปื๋อยด้อง, เปื๋อยนา, เปื๋อยหางค่าง (ภาคเหนือ); [BURMESE: Kamaung-phyu, Pyinma-phyu.];[CAMBODIA: Trapek (Khmer).];[CHINESE: Líng guǒ zǐwēi, Léng è zǐwēi, Dà huā zǐwēi];[KHMER: .];[MALAY: Bungor kedah, Kedah bungor, Antui Gajah];[RUSSIAN: Lagerstremiia pyshnotsvetushchaia, Lagerstremiia obil'notsvetushchaia.];[THAI: Tabaek-na, Bpeuay naa, Bpeuay haang kaang, Bpeuaytong, Tabaek kai , Tabaek kon.];[VIETNAMESE: Bằng lăng nhiều hoa.]; EPPO Code---LAEFL (Preferred name: Lagerstroemia floribunda.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem (1691-1759) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus; ชื่อเฉพาะ 'floribunda' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน“ floribundus, a, um” = floriferous, ที่มีดอกไม้มากมาย, จากคำกริยา“ floreo” = เพื่อความเจริญ Lagerstroemia floribunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2363 Accepted Infraspecifics Includes 3 Accepted Infraspecifics - Lagerstroemia floribunda var. cuspidata Wall ex C.B.Cl.(1879) - พม่าถึงคาบสมุทรมาเลเซีย (ลังกาวี, เคดาห์) - Lagerstroemia floribunda var. floribunda - อินโดจีนถึงคาบสมุทรมาเลเซีย - Lagerstroemia floribunda var. sublaevis Craib (1931) - เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทย
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศพม่า กัมพูชา มาเลเซีย ไทยและเวียดนาม พบตามป่าดิบชื้นป่าที่ลุ่มและป่าป่าปฐมภูมิ มักชื้นเลียบฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูงต่ำ 0-850 เมตร ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และชายป่าดิบชื้น ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ สูง 10-15 (-30) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 60 ซม.โคนต้นมักเป็นพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาเป็นมันผิวเรียบลอกหลุดเป็นแผ่นบางๆ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปขอบขนาน ยาว 10-25 ซม. และกว้าง 5-10 ซม.เส้นใบย่อยเลือนลางห่างๆกัน ใบอ่อนสีชมพูบรอนซ์ มีขนรูปดาว กิ่งก้านมีสันคม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว20-50 ซม. ดอกย่อยเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม.มีกลีบดอก 6 กลีบ กลีบดอกสีม่วงอมชมพู สีจะจางลงจนขาว ก้านช่อและดอกตูมมีขนละเอียดสีน้ำตาลทองปกคลุม ผลยาว 1-1,6 ซม. สีน้ำตาลเข้ม เมล็ดสีน้ำตาลเข้มหลายปีก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชที่ปลูกในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้น เนื่องจากไม่มีอุณหภูมิใกล้ 0 °C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 0 °C ในช่วงสั้น ๆต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในที่ร่มเล็กน้อย ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ไม่ทนน้ำท่วมขัง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นปานกลางสม่ำเสมอ รดน้ำเว้นระยะ แต่อย่าให้ดินแห้งสนิท ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งมากนัก ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งต้นไม้นี้เป็นประจำ แต่ต้องมีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ กำจัดกิ่งที่เหี่ยวแห้งและตายในทุกฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือหมัก ใส่ปีละ 4 – 5 ครั้ง ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีสูตรสมดุล ใส่ปีละ 3 – 4 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือศัตรูพืชร้ายแรง ระวัง หนอนเจาะลำต้น รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์---ต้นไม้มักถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ไม้ที่สวยงาม ซึ่งใช้ในท้องถิ่นและมีการค้าขายด้วย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้เป็นยา---บางส่วนของพืชถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณใช้ใบในกรณีมีไข้สูง ฆ่าพยาธิ สภาพผิวหนังเช่นสิว ใช้ปลูกประดับ--- มีคุณค่าของการประดับและการจัดสวนที่ยอดเยี่ยมเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสวนสาธารณะ อาคารบ้านพักอาศัย ริมถนนและส่วนราชการต่าง ๆ ใช้อื่น ๆ--- แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดง ไม้หนักพอสมควร แข็งปานกลาง ค่อนข้างทนทานทนต่อปลวก และทนต่อเชื้อราปานกลาง ง่ายต่อการใช้งานเหมาะสำหรับการตกแต่งภายในแผ่นผนัง แผ่นไม้อัด การผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับสูงการแกะสลักและพื้น มีรายงานว่าเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในการสร้างเรือในประเทศไทยและบางส่วนของภูมิภาคอินโดจีน พิธีกรรม/ความเชื่อ---*คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นนะแบกไว้ประจำบ้านจะทำให้มีฐานะสูงขึ้น และมีความมั่นคง แข็งแรง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นตะแบกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ถ้าจะให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือและเป็น ผู้ที่ประกอบคุณงามความดี ก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก source: https://maipradabonline.com/ ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-กรกฏาคม ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง - ด้วยการเพาะเมล็ด โดยนำเมล็ดแช่น้ำไว้ก่อนเพาะ 1-2 วัน ที่อุณหภูมิ 25-28 °C มีระยะเวลาการงอกแปรผัน ตั้งแต่สองสัปดาห์ถึงสองเดือนขึ้นไป
|
|
59 ตะแบกเกรียบ/Lagerstroemia cochinchinensis
[la-ger-STREEM-ee-a] [ko-chin-chin-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lagerstroemia cochinchinensis Pierre.(1886) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:553546-1#synonyms --- Lagerstroemia collinsae Craib. (1914) ชื่อสามัญ ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---โคะกางแอ้ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); ตะแบกเกรียบ (ชลบุรี, นครราชสีมา); ตะแบกเกรียบแดง (ราชบุรี); เปื๋อยกะแอ่ง (สุโขทัย); เปื๋อยแดง, เปื๋อยเปลือกบาง, เปื๋อยแมว (ภาคเหนือ); เปื๋อยลอกเปลือก (แพร่); ลิงง้อ (จันทบุรี); [THAI: Kho kang ae; Tabaek kriab; Tabaek kriab daeng; Bpeuay ka aeng.] EPPO Code--- LAECO (Preferred name: Lagerstroemia cochinchinensis) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---คาบสมุทรมาเลย์ พม่า ไทย จีนตอนใต้ และคาบสมุทรอินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' ตั้งตาม Magnus von Lagerstroem (1691-1759) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนผู้จัดหาตัวอย่างจากตะวันออกสำหรับ Linnaeus; ชื่อเฉพาะ 'cochinchinensis' หมายถึง Cochin china (ชื่อเก่าของเวียดนามตอนใต้) เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเวียดนาม Lagerstroemia cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก(Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833 – 1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2429 ที่อยู่อาศัย---พบที่ภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 100-600 เมตร ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงถึง 25 เมตร เปลือกบาง ลำต้นยาวปลายสอบกิ่งก้านเรียวเล็ก โคนต้นเป็นร่องลึก เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน เรียบหลุดล่อนเป็นแผ่นกลมบาง ใบรูปรีถึงรูปใบหอก หรือแกมรูปไข่ ยาว 4-15 ซม. ก้านใบยาว 0.2-1 ซม.ใบอ่อนมีขนรูปดาวสีน้ำตาลส้มปกคลุมหนาแน่น และขนยังคงมีในใบแก่อย่างน้อยด้านล่าง ช่อดอกออกที่ปลายกิ่ง ยาวได้ถึง 30 ซม. ก้านดอกเทียมยาวประมาณ 2 มม.ขยายในผลเล็กน้อย หลอดกลีบเลี้ยงเรียบ ยาวประมาณ 8 มม.กลีบรูปสามเหลี่ยม ยาว 3–4 มม. ด้านในปลายกลีบมีขน ดอกสีชมพู ม่วง หรืออมขาว กลีบรูปรีกว้างเกือบกลม ยาว 1.5–3 ซม.รวมก้านกลีบที่ยาวประมาณ 5 มม.เกสรเพศผู้วงนอก 6 อัน รังไข่มีขนสีขาว ผลรูปรีเกือบกลม ยาว 1.4–1.7 ซม.เกลี้ยงหรือมีขนช่วงปลายผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตอบอุ่นถึงกึ่งเขตร้อน อุณหภูมิไม่ควรต่ำกว่า 4°C ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำดี การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำเพื่อรักษาดินให้ชื้นสม่ำเสมอ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ทุกเดือนช่วงการเจริญเติบโต ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคหรือศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา รากเป็นยาแก้ปวดกล้ามเนื้อและมีไข้ เปลือกชงดื่มแก้ท้องร่วง แก้พิษ ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับสวนทั่วไป ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-3 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 21-24°C
|
60 หางนกยูงฝรั่ง/Delonix regia
[dee-LON-iks] [REE-jee-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Delonix regia (Boj. ex Hook.) Raf.(1837) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:491231-1#synonyms ---Basionym: Poinciana regia Bojer ex Hook.(1829).https://www.gbif.org/species/2956176 ---Caesalpinia regia (Bojer ex Hook.) D.Dietr.(1840) ---Delonix regia var. flavida Stehlé.(1946) ---Delonix regia var. genuina Stehlé.(1946) ชื่อสามัญ---Flame Tree, Royal Poinciana, Flamboyant Tree, Flamboyant, Flame-of-the-forest, Peacock-flower, Mayflower. ชื่ออื่น---นกยูงฝรั่ง, หางนกยูงฝรั่ง, อินทรี (ภาคกลาง), ส้มพอหลวง(ภาคเหนือ), หงอนยูง (ภาคใต้) ;[ARABIC: Goldmore.];[ASSAMESE: Krishnasura.];[BANGLADESH: Krishna chura, Radha chura.];[BENGALI: Krishnachura.];[BRAZIL: Uaruna.];[BURMESE: Seinban.];[CHINESE: Feng huang mu, Hong hua ying.];[COLOMBIA: Clavellino.];[FIJI: Sekoula];[FRENCH: Flamboyan, Flamboyant, Mille Fleurs];[GERMAN: Feuerbaum, Flammenbaum, Pfauenbaum.];[HAWAII: ‘Ohai ‘ula];[HINDI: Gul mohor, Kattikayi, Peddaturyl, Shima sunkesula];[JAPANESE: Howoboku];[KANNADA: Gentige Hoo, Kempu Torai.];[MADAGASCAR: Alamboronala, Hintsakinsa, Kitsakitsabe.];[MALAYALAM: Kaalvarippoo, Alasippoomaram, Anasippoomaram, Poomaram.];[MEXICO: Tabachín.];[PAKISTAN: Gulmohur.];[PORTUGUESE: Flamboiã.];[SAMOA: Elefane, Tamaligi.];[SINHALESE: Mal-Mara.];[SPANISH: Arbol de la llama, Arbol del matrimonio, Arbol del fuego, Acacia roja, Flamboyán, Flor de pavo, Guacamoya, Pajarilla, Tabuchin, Morazán.];[SRI LANKA: Mayirkonri, Panjadi.];[TAHITI: Pakai, Puke, Ra‘ar marumaru];[TAMIL: Cemmayir- Konrai.];[TELUGU: Peddaturayi.];[THAI: Nok yung farang, Hang nok yung farang, In si (Central);Som pho luang (Northern); Ngon yung (Peninsular).];[TONGA: ‘Ohai]; [VIETNAM : Phuong.];[VENEZUELA: Acacia roja.];[VIETNAM: Phuong.];[TRADE NAME: Gold mohar]. EPPO Code---DEXRE (Preferred name: Delonix regia) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE- CAESALPINIACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Delonix' มาจากภาษากรีก delos =ชัดเจน และonux =(เล็บ) อ้างอิงถึงกลีบดอกที่ยาวเหยียด ; ฉายาเฉพาะ 'regia' = เป็นภาษาละติน มาจาก "regius" ซึ่งแปลว่า ต้นไม้ของกษัตริย์ เนื่องจากมีการผลิตผลไม้และไม้อย่างมีคุณค่า - ชื่อสามัญ 'Royal Poinciana' ต้นไม้นี้ตั้งชื่อตาม Phillippe de Longvilliers de Poincy (1584–1660) ขุนนางชาวฝรั่งเศสผู้เป็นผู้ว่าการเกาะเซนต์คริสโตเฟอร์ (Saint Kitts) Delonix regia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wenceslas Bojer (1797–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวโบฮีเมีย จากอดีต Sir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ Royal Botanic Gardens (Kew Gardens)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Constantine Samuel Rafinesque-Schmaltz (1783–1840) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส - อเมริกัน ในปี พ.ศ.2380 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดใน มาดากัสการ์ หลังจากนั้นแพร่กระจายไปยังเขตร้อนของทวีปแอฟริกาและต่อมาเพื่อความงามของมันถูกนำไปยังทวีปอื่น ๆ เช่นยุโรปและอเมริกา พบในเขตร้อนชื้นซึ่งพบในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 0-400 เมตร บางครั้งก็สูงถึง 750 เมตร บทสรุปของการรุกราน---ต้นไม้ที่มีสีสันเป็นไม้ประดับที่นิยมและสวยงามที่สุดที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีการดัดแปลงสัญชาติในหลายประเทศ และกลายเป็นการรุกรานในออสเตรเลีย และบนเกาะคริสต์มาสและหมู่เกาะแปซิฟิกจำนวนหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะสร้างวัฒนธรรมเชิงเดี่ยวและป้องกันการงอกใหม่ของสายพันธุ์พื้นเมือง เป็นไปได้ว่าสายพันธุ์นี้จะมีศักยภาพในการรุกรานในต่างประเทศ
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 15 เมตรเปลือกสีเทาเกลี้ยง เรือนยอดเป็นรูปร่มกว้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกและมีใบย่อยเล็กจำนวนมาก ดอกใหญ่ออกที่ปลายยอดและกิ่งข้าง กลีบรองดอกมี5กลีบขนาดไม่เท่ากัน มีสีแดงอมส้ม สีส้มและสีเหลืองบ้าง เกสรตัวผู้มี10อัน อยู่เป็นอิสระ ออกดอกในระหว่างที่ผลัดใบหรือแตกใบอ่อน ถ้าขึ้นในที่แล้งจะออกดอกจนมองไม่เห็นใบ ผลเป็นฝักแบนแข็งขนาดกว้าง3-5ซม.ยาว40-60ซม. ฝักแก่มีสีน้ำตาลดำ เมื่อแก่จะแตกออกทั้งสองด้านเมล็ดภายในฝักมีลักษณะกลมยาววสูงสุด 50 ซม. กว้าง 6 ซม. และหนา 5 มม สีน้ำตาลดำขอบขาว เปลือกเมล็ดแข็งมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zones 10-12) ต้นไม้เจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสมในอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีตั้งแต่ 14 ถึง 26°C อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดอยู่ระหว่าง 6 ถึง 18°C ตำแหน่งที่มีแสงแดดที่ (ได้รับอย่างน้อยหกชั่วโมงเต็มต่อวัน) ในดินที่มีการระบายน้ำดี เป็นดินร่วนปนทรายและดินไม่เหนียวเกินไป ต้องการ pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมาก ทนต่อความเค็มเล็กน้อย การรดน้ำ---รดน้ำต้นไม้เป็นประจำในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง รักษาดินให้ชุ่มชื้น แต่อย่าให้เปียกแฉะตลอดเวลา ควรรดน้ำเมื่อดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเพื่อสร้างโครงสร้างต้นไม้ที่แข็งแรง เนื่องจากกิ่งก้านอาจแตกหักได้ง่ายเมื่อมีลมแรง ให้ทำประมาณปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน หรือก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจะเริ่ม การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลแก่ต้นไม้เป็นเวลา 4 ถึง 6 สัปดาห์หลังปลูก และอีก 2 ถึง 3 ครั้งต่อปีในช่วง 3 ปีแรก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีแมลงรบกวนมากนัก แต่ตัวหนอนบางชนิดก็อาจกัดกินใบไม้ได้ อาจพบแมลงเกล็ด (Scale insects) และไรเดอร์ (spider mites) / Phellinus noxious (เห็ดเป็นพิษ) เป็นเชื้อราที่อาจทำให้รากเน่าได้ การเลือกจุดที่มีดินที่ระบายน้ำได้ดีจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อราจะเข้ามาได้ รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดสุกกินได้ ใช้เป็นอาหาร ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใช้ยาต้มเปลือกไม้รักษาโรคบิด ในยาพื้นบ้านของบังคลาเทศใบ ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน วนเกษตร---ใช้ปลูกบนพื้นที่ที่ถูกกัดเซาะเพื่อการควบคุมการสึกกร่อนและเพื่อการฟื้นฟูและปรับปรุงดินด้วยการตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---เป็นไม้ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา บริเวณอาคาร สถานที่ราชการ ริมถนน สวนสาธารณะเพราะมีพุ่มใบและช่อดอกที่สวยงาม สายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งในไม้ประดับที่ได้รับการเพาะปลูกมากที่สุดโดยปลูกเป็นไม้ประดับในสวนและบริเวณข้างถนน เนื่องจากความสวยงาม เป็นหนึ่งในไม้ประดับที่ใช้กันมากที่สุดในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก รูปแบบที่มีดอกไม้สีเหลือง (ที่รู้จักกันทั่วไปว่าDelonix regia var. flavida ) บางครั้งก็เห็นในการเพาะปลูก ก่อนการปลูกควรมีข้อพิจารณาดังนี้ ต้นไม้มีระบบรากตื้นและไม้อ่อนจึงมีแนวโน้มที่จะถอนรากถอนโคนในช่วงที่มีพายุรุนแรงและลมแรงพัดกระหน่ำควรปลูกไว้ในที่กำบังที่ดีที่สุด ระบบรากที่ตื้นและแผ่ขยายเป็นวงกว้างจะแข่งกับพุ่มไม้และพืชดอกใกล้เคียง ดังนั้นจึงควรปลูกให้ห่างจากพืชชนิดอื่นในสวน รากนั้นค่อนข้างก้าวร้าวซึ่งบางอันอยู่เหนือพื้นผิวทำให้ไม่เหมาะสำหรับริมทางเท้า ถนนหรือใกล้ ท่อระบายน้ำ ผนังบ้านและแม้แต่สายไฟฟ้า ก็ควรระวัง ใช้อื่น ๆ---สารสกัดด้วยน้ำของพืชมีสารประกอบ allelopathic รวมถึงกรดฟีนอลิกอัลคาลอยด์และฟลาโวนอยด์ สามารถใช้เป็นสารกำจัดวัชพืชตามธรรมชาติและยาฆ่าแมลงเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชผลทางการเกษตร-เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 17.2% น้ำมันนี้มีกลีเซอรีนปกติความไม่อิ่มตัวต่ำและดีมากสำหรับการผลิตสบู่และแชมพู-แก่นไม้มีสีเหลืองถึงน้ำตาลอ่อน กระพี้สีเหลืองอ่อน ไม้เนื้ออ่อนหนัก เนื้อหยาบอ่อนแอเปราะบางขัดเงาได้ดีและทนต่อความชื้นและแมลง แม้ถูกโจมตีจากปลวก เป็นไม้ที่ใช้ก่อสร้างที่ทนทานมากแต่ไม้ขนาดใหญ่หายาก -ฝักขนาดใหญ่แข็งเป็นเนื้อไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและไม้ถูกเผาใช้ทำเป็นถ่าน สำคัญ---หางนกยูงเป็นสัญญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีธงประจำมหาวิทยาลัย สีเหลืองแดงเหมือนสีของดอกหางนกยูงฝรั่ง
สถานภาพ---เป็นพืขถิ่นเดียว (endemic) ของมาดากัสการ์ ในป่าพบทางทิศตะวันตก (Tsingy de Bemaraha) และทางเหนือ (รวมถึง Orangea, คาบสมุทร Cap d'Ambre และรอบๆ Baie de Diego, Ankarana และ Analamerana Massifs) *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2011 Delonix regia ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species.2011 source: Rivers, M. 2014. Delonix regia. The IUCN Red List of Threatened Species 2014: e.T32947A2828337. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2014-1.RLTS.T32947A2828337.en. เข้าถึงเมื่อวันที่30 ธันวาคม 2566. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32947/2828337 - D. regiaได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วมาดากัสการ์และในเขตร้อนอื่นๆ เพื่อเป็นไม้ประดับ สามารถพบได้ในพื้นที่คุ้มครองบางแห่ง (Analamerana, Ankarana, Lokobe, Montagne des Français, Tsingy de Bemaraha) แม้ว่าประสิทธิภาพของการป้องกันอย่างเป็นทางการนี้จะไม่เพียงพอเสมอไป - การรวบรวมเมล็ดพันธุ์ได้รับการจัดทำและจัดขึ้นโดย Millennium Seed Bank (MSB, Wakehurst Place, UK) - และในประเทศโดย Silo National des Graines Forestières (SNGF) คอลเลกชันสวนพฤกษศาสตร์มีอยู่ตาม BGCI ( www.bgci.org ) ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์ --- ด้วยเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง ก่อนเพาะเมล็ดควรขลิบเปลือกออกเล็กน้อยระวังอย่าให้โดนต้นอ่อน จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น เริ่มออกดอกเมื่ออายุ4-5 ปี จากเมล็ด
|
สกุล Saraca ปัจจุบันมี 11 ชนิด (POWO 2020), มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (แสดงในหน้านี้ 3 สายพันธุ์) -Saraca asoca (Roxb.) W.J.de Wilde.(1968) -Saraca declinata ( Jack) Miq.(1855) -Saraca thaipingensis Cantly ex Prain (1897) |
61 โสกน้ำ/Saraca indica
[sar-AK-a] [IN-dih-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca asoca (Roxb.) W.J.de Wilde.(1968) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Jonesia asoca Roxb. (1795). https://www.gbif.org/species/7458904 ---(More) See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-1691 ชื่อสามัญ---Saraca, Asoka-tree, Ashok, Asoca, Sorrowless Tree, Red saraca. ชื่ออื่น---กาแปะห์ไอย์ (มาเลย์-ยะลา);ชุมแสงน้ำ(ยะลา);ตะโดลีเต๊าะ(มาเลย์-ปัตตานี); ส้มสุก (ภาคเหนือ); โสก (ภาคกลาง); โสกน้ำ (สุราษฎร์ธานี) ;[ARABIC: Saraka Hindi, Shabuqa.];[BENGALI: Ashoka.];[CHINESE: Wu you hua.];[FRENCH: Arbre ashoka, Jonesie, Saraca.];[GERMAN: Ashokbaum];[HINDI: Ashok, Asok, Asupala, Ashokam, Sita ashok.];[JAPANESE: MuYuTatsuki-MuYuHana, MuYuhana-Asokka.];[MALAYALAM: Asokam.];[MYANMAR: Thawka, Tthawka-po.];[NEPALESE: Ashau, Ashok.];[SANSKRIT: Ashoka, Anganapriya, Apashaka.];[TAMIL: Asogam, Asogu, Asokam.];[TELUGU: Ashokapatta.].[THAI: Ka-pae-ai (Malay-Yala); Chumsaeng nam (Yala); Ta-do-li-to (Malay-Pattani); Som suk (Northern); Sok (Central); Sok nam (Surat Thani).];[VIETNAM: Vang anh la nho.]. EPPO Code---SBRSS (Preferred name: Saraca sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE). ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา ไทย ลาว เวียดนามตอนใต้ คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Saraca' ที่มาของชื่อสกุลนั้นไม่แน่นอนส่วนใหญ่น่าจะมาจากชื่อท้องถิ่น ; ชื่อเฉพาะ 'Asoca' หมายถึง พระเจ้าอโศกชื่่อกรีกของเขาคือ Piodasses พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นจักรพรรดิอินเดียของราชวงศ์ Maurya ผู้ปกครองอนุทวีปอินเดียเกือบทั้งหมดตั้งแต่ 232-268 ปีก่อนคริสตกาล - ชื่อสามัญ Ashoka ในภาษาสันสกฤต หมายถึง "Sorrowless" = ปราศจากความเศร้าโศก อ้างอิงถึงชื่อเสียงของเปลือกไม้ในการรักษาสุขภาพของผู้หญิงให้อ่อนเยาว์ - *เป็นต้นไม้สำคัญในวัฒนธรรมประเพณีของอนุทวีปอินเดียและพื้นที่ใกล้เคียง บางครั้งเรียกผิดๆ ว่า Saraca indica | source: https://en.wikipedia.org/wiki/Saraca_asoca Saraca indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี และไดรับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Willem Jan Jacobus Oswald de Wilde (born 1936) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2310
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในภาคกลางและภาคตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยตะวันตก Ghats และ Deccan มีการเพาะปลูกในอินเดียจนถึงคาบสมุทรมลายู - ในประเทศไทยไทยพบทั่วทุกภาค พบขึ้นตามริมลำธารในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 900 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง9-12เมตร ไม่ผลัดใบ เปลือกต้นสีขี้เถ้าหรือน้ำตาลจาง เรือนยอดแผ่กว้างแตกกิ่งแขนงมากมาย ปลายกิ่งลู่ลงดิน ใบเป็นใบประกอบมี1-7คู่ ใบรูปไข่หรือรูปหอก ขนาดกว้าง 2.5-7 ซม.ยาว 7-11 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบมน ใบอ่อนสีขาวห้อยลงและจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดอกไม้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตั้งแต่ค่ำจนถึงรุ่งเช้า ออกเป็นช่อตามบริเวณปลายกิ่งกลีบรองดอกมี 4 กลีบ รูปไข่กลับแกมขอบขนาน สีเหลืองแสดถึงสีแดง กลีบดอกไม่มี เกสรเพศผู้ 7-8 อัน ผลเป็นฝักรูปขอบขนานถึงรูปหอก ตรง แข็ง คล้ายหนัง ยาว.6-25 ซม.กว้าง 2-6 ซม.มีช่อละ 1-2 ฝัก ส่วนมากมีเมล็ด 4-6 เมล็ด เมล็ดขนาด 3.7-4.3 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone: 10-12) อุณหภูมิที่เหมาะสม16 ถึง 32°C ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงลึกที่มีความเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลางและมีการระบายน้ำได้ดี การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากในฤดูร้อนให้น้ำอย่างทั่วถึง และน้ำปานกลางในฤดูฝนและฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3-4 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบ /จุดสีน้ำตาล การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลปรากฏบนพืช รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์--- บางครั้งพืชจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นสมุนไพร เครื่องเทศและใช้เป็นยา ใช้กิน--- ใบไม้ ดอกไม้ กินได้-ปรุงสุก มีกลิ่นหอมรสค่อนข้างเปรี้ยวกินเป็น potherb ผลไม้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องบดเคี้ยวแทนหมากพลู ใช้เป็นยา---สำหรับสตรี เปลือกเมล็ดพืชและดอกไม้ที่ใช้ใน Ayurveda และ Unani ระบบของยา Early Indian Materia Medica, 1500 AD.กล่าวถึงพืชเป็นยาบำรุงมดลูกที่ใช้สำหรับความผิดปกติของประจำเดือน ระดูขาวและตกเลือดภายใน ใช้เป็นยาระงับประสาทมดลูก - ในปากีสถานใช้สำหรับเลือดออกในมดลูกมากเกินไป และยังใช้สำหรับภาวะซึมเศร้า น้ำใบผสมกับเมล็ดยี่หร่าใช้แก้ปวดท้อง - เปลือกมีฤทธิ์ต้านการแท้ง ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ สารต้านอนุมูลอิสระ ยาสมานแผล ยาขับปัสสาวะ เลือดออกรุนแรง - ดอก และเมล็ดใช้เป็นยาขับปัสสาวะ - สารสกัดจากดอกมีประโยชน์ในการรักษาโรคริดสีดวงทวารและโรคบิด ดอกยังมีประโยชน์ในการรักษาโรคหิดในเด็กและโรคผิวหนังอื่นๆ - ใช้เป็นยาอื่น ๆ ใช้เป็นยาชูกำลัง ใช้สำหรับโรคไขข้อ, โรคผิวหนัง และโรคทางเดินปัสสาวะ ควรระวัง เมื่อใช้ยาในปริมาณมากหรือใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ท้องผูก ท้องอืดและลดความอยากอาหาร ปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อใช้ ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกกันทั่วไปเป็นไม้ประดับตามบ้าน ตามวัด ตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป - สามารถปลูกในกระถางเพื่อประดับเรือนกระจกและสวนฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในฤดูหนาวไม่ต่ำกว่า 14 °C อื่น ๆ--- ไม้สีน้ำตาลอมแดงมีความอ่อน เนื้อไม้ใช้สำหรับการก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ไม่ได้ใช้ในเชิงพาณิชย์ - ดอกไม้ให้สีย้อม ผลเป็นอาหารสัตว์ ความเขื่อ/พิธีกรรม---ต้นอโศกถือเป็นหนึ่งในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดในอินเดีย ทั้งในหมู่ชาวฮินดูและชาวพุทธ พบได้บ่อยในสวนหลวงและปลูกไว้ใกล้กับวัด มักใช้ในการประดับตกแต่งวัดและในพิธีทางศาสนา - มันเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นในอีกศิลปะอินเดียและตำนานที่มี Yakshi ถือสาขาของต้นไม้ Ashok ที่ออกดอก นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูบูชาใน Chaitra เดือนแรกของปฏิทินฮินดู - มักขึ้นริมน้ำตามป่า ถ้ากำลังกระหายน้ำหรือขาดน้ำในขณะที่กำลังเดินอยู่ในป่าถ้าพบต้นอโศกขึ้น อยู่ให้รีบเดินลงเขาทันทีไม่เกิน 15 นาที ก็จะพบแหล่งน้ำ ภัยคุกคาม---เนื่องจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Saraca asoca ถูกระบุว่า มีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ B1+2c สถานะการอนุรักษ์---LC - Vulnerable B1+2c - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.1998 source: CAMP Workshops on Medicinal Plants, India (January 1997). 1998. Saraca asoca. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T34623A9879360. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T34623A9879360.en. เข้าถึงเมื่อวันที่30 ธันวาคม 2566 ระยะเวลาดอกออก/ติดผล---ออกดอกและออกผลได้ตลอดทั้งปี พบมาก มกราคม- กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง - เมล็ดหากเก็บเกี่ยวเมื่อสุกและหว่านทันที ควรแช่น้ำ 12 ชั่วโมง จะงอกภายใน 4-8 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 26-28 °C และพร้อมปลูกภายใน 6 - 12 เดือน
|
62 โสกขาว/Cynometra grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cynometra grandiflora A.Gray (1854) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:489416-1#synonyms ---Maniltoa grandiflora (A.Gray) Scheff.(1876). This name is a synonym of Cynometra grandiflora ---Maniltoa amicorum A.C.Sm.(1959) ---Maniltoa brevipes (1950) ชื่อสามัญ---White Handkerchief, Handkerchief tree, Silk handkerchief tree, Dove tree. ชื่ออื่น---โสกขาว (ทั่วไป); [THAI: Sok khao.];[Indonesia: Pohon sapu tangan.] EPPO Code---MAWGR (Preferred name: Maniltoa grandiflora) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย, Indo-Malesia เขตกระจายพันธุ์---แปซิฟิก-ฟิจิ ตองกา, แคริเบียน- ตรินิแดด โตบาโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cynometra' มาจากคำภาษากรีกว่า "kyon" แปลว่าสุนัข และ "metron" แปลว่าการวัด ซึ่งหมายถึงฝักผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายหูสุนัข ; ฉายาเฉพาะ 'grandiflora' จากภาษาละตินใหม่ จาก grandis ( “ ใหญ่” ) + flōs ( “ ดอกไม้” , ก้านflōr- ) + -us (คำต่อท้ายเป็นคำคุณศัพท์; เพศหญิง -a) = “มีดอกไม้ขนาดใหญ่” Cynometra grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยAsa Grey (ค.ศ. 1810–1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2397 - *ในช่วงเวลาของการจำแนกประเภทนี้ ชื่อสายพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับจาก WFO (วางเป็นชื่อที่ยอมรับของอนุกรมวิธาน) คำอธิบายและข้อมูลอนุกรมวิธานอื่นๆ สามารถพบได้ใน World Flora Online, id: wfo-0000192887 source: https://wfoplantlist.org/taxon/wfo-0000192887-2023-12?page=1
ที่อยู่อาศัย---ถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซียและนิวกินี จากภูมิภาค ฟิจิ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตองกา พบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 600 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-20 เมตร ใบประกอบมี 1-3 คู่ รูปขอบขนานสองข้างใบย่อยไม่เท่ากัน ตอนเป็นใบอ่อนจะมีสีชมพูขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและเขียวมากขึ้นตามลำดับแก่อ่อน เกิดจากการผลิของตาใบพร้อมกัน ใบย่อยยาว 9-17 ซม.ดอก มีขนาดเล็กมากสีขาว ออกที่ปลายกิ่งหรือกิ่งข้าง มีใบประดับหุ้มหลายชั้นเกสรกลีบรองดอก 4 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ มีขนาดไม่เท่ากัน เล็กมาก สีขาว เกสรเพศผู้ 20-60 อันอัดติดกันแน่นที่ฐาน ฝักตรงและหนา ยาวประมาณ 3 ซม.มีเมล็ด 1- 2เมล็ด มีดอกสองสี คืออย่างชนิดดอกสีขาว และดอกสีชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone: 9-11) ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน ดินอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุความชื้นสม่ำเสมอ ระบายน้ำได้ดี pH ของดิน 5.6 ถึง 6.0 (เป็นกรด) 6.1 ถึง 6.5 (มีความเป็นกรดอ่อน) - สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อให้เกิดก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้ในพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียง การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ควรรดน้ำลึกสัปดาห์ละครั้ง และควรปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำแต่ละครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่เป็นประจำในช่วงฤดูปลูก สามารถใช้ปุ๋ยที่สมดุลได้ทุก 2-3 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานศัตรูพืชและโรค อาจอ่อนแอต่อรากเน่าได้หากมีน้ำมากเกินไป รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้ไม้ ใช้เป็นยา---เนื้อไม้เปลือกและใบเป็นยาสำหรับรักษาโรคทางเดินอาหารผิดปกติ ในผลไม้มีวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายดังนั้นจะไม่ป่วยง่าย การดื่มน้ำผลไม้นี้เป็นประจำจะทำให้ผิวกระชับขึ้นมีสุขภาพดีและหลีกเลี่ยงการแก่ก่อนวัยเช่นริ้วรอยบนใบหน้าและผิวเหี่ยวย่น ใช้ปลูกประดับ---ใช้เป็นต้นไม้ดูดซับมลพิษ พืชนี้มีส่วนช่วยลดมลพิษเป็นเหมือนเครื่องฟอกอากาศทำให้สภาพแวดล้อมดีและสุขภาพดีขึ้น - การวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าโสกขาวสามารถดูดซับมลพิษซึ่งมาจากอากาศน้ำและดิน พืชชนิดนี้สามารถดูดซับประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งเป็นพิษ สารพิษนี้ไม่มีกลิ่นและดูดซึมได้ง่ายในกระแสเลือดมากกว่าออกซิเจน ก๊าซนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากควันยานยนต์หรือการเผาขยะ ผลข้างเคียงของคาร์บอนมอนอกไซด์มีมากมายเช่นความเหนื่อยล้าปวดหัวปัญหาการมองเห็นปัญหาการหายใจ ปวด ปวดอาเจียน การประสานงานของเส้นประสาทบกพร่อง ความจำลดลงและเกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลหรือสีแดงน้ำตาลบางครั้งมีความมันวาวสีทอง เป็นไม้ที่ใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไป เช่น เฟอร์นิเจอร์, ประตู, พื้น - - ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่านอย่างดี ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
63 โสกเขา/Saraca declinata
[sar-AK-a] [dek-lin-AY-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca declinata ( Jack) Miq.(1855) ชื่อพ้อง--- Has 17 Synonyms. ---Jonesia declinata Jack.(1822) ---Saraca cauliflora Baker.(1878) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:517891-1#synonyms ชื่อสามัญ---Red Saraca, Red Asoka, Kahuruan, Bakis, Sorrowless tree ชื่ออื่น---กาแป๊ะบาซะ, กาแป๊ะบูเก๊ะ, บูกอเลา (มาเลย์-ยะลา); เข็มแดง (หนองคาย); ชุมแสงควน (ยะลา); โดละ (มาเลย์-นราธิวาส); ตะบือกะ (มาเลย์-ปัตตานี); โรก (กาญจนบุรี); สมโสก (นครราชสีมา, ตราด); สาย (สตูล); โสกเขา (ภาคใต้); โสกดอน (ตรัง) ;[CHINESE: Wu you hua, Chuí zhī wú yōu shù, Chuí zhī táo];[MALAYSIA: Bakis, Balanut, Dulanut ,Selungapid (Sabah); Gapis Daun Kecil, Tudung Periuk.];[THAI: Ka-pae-ba-sa, Ka-pae-bu-ke, bu-ko-lao (Malay-Yala); Khem daeng (Nong Khai); Chumsaeng khuan (Yala); do-la (Malay-Narathiwat); Ta-bue-ka (Malay-Pattani); Rok (Kanchanaburi); Som sok (Nakhon Ratchasima, Trat); Sai (Satun); Sok khao (Peninsular); Sok don (Trang).];[VIETNAMESE: Thô, Cây thô]. EPPO Code--- SBRCA (Preferred name: Saraca declinata) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE). ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: บังคลาเทศ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Saraca' ชื่อสกุล 'Saraca' ที่มาของชื่อสกุลนั้นไม่แน่นอนส่วนใหญ่น่าจะมาจากชื่อท้องถิ่น ; ฉายาเฉพาะ 'declinata' จากภาษาละติน กริยาแฝงที่สมบูรณ์แบบของ dēclīnō = หันเห, เบี่ยงเบน Saraca declinata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ , เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2498
ที่อยู่อาศัย---เกิดขึ้นที่พม่า (ทางตะวันออกของแม่น้ำอิราวดี) ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน บอร์เนียว สุมาตรา ชวา และหมู่เกาะซุนดาน้อย เกิดขึ้นในป่าดิบชื้น ป่าปฐมภูมิ ป่าพรุมักเกิดขึ้นตามริมแม่น้ำ ริมลำธารเล็กๆ ที่ระดับความสูงต่ำ (0 - 900 เมตร) - ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามริมลำธารหรือที่ลาดชันในป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ต้นสูงได้ถึง 10-30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10 - 60 ซม.มีเปลือกสีเทาเป็นร่อง เปลือกด้านในสีส้มแดง เปลือกไม้ถูกปกคลุมไปด้วย lenticels ทรงกลมจำนวนมาก (โครงสร้างที่เป็นไม้ก๊อกที่ช่วยให้ออกซิเจนผ่านเข้าไปในลำต้น) แตกกิ่งก้านสาขาไม่เป็นระเบียบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ รูปทรงกระบอก ปลายกิ่งห้อยย้อยลู่ลง ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ปลายคู่ (paripinnate) ยาว 8-30 ซม มีใบย่อย 3-7 คู่ กว้าง 2-8 ซม. ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเป็นคลื่น ใบเกลี้ยง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างสีอ่อนกว่า ใบอ่อนสีม่วง เส้นแขนงใบข้างละ 5 - 7 เส้นก้านใบย่อยยาว 0.3-1 ซม.ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายกิ่งยาว15-30ซม. ใบประดับขนาดเล็กติดทน ไม่มีกลีบดอก ก้านดอกยาว 2-3 ซม. ฐานดอกยาว 1-3 ซม. กลีบเลี้ยงรูปไข่หรือไข่กลับ ยาว 0.5-1.5 ซม. สีแดงหรือชมพู เกสรเพศผู้ 3-5 อัน รังไข่มีขนตามขอบ ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกยาว 10-30 ซม.ปลายโค้ง มีจะงอยเป็นติ่งยาวประมาณ 1 ซม.ก้านยาว 1.5-2 ซม.ฝักในตอนแรกจะมีสีชมพูแดงสดใส แต่เปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเข้ม ผลแห้งแตก มี 6-8 เมล็ด - Saraca declinata (Red Saraca) ดูคล้ายกับ Saraca indica (Ashoka Tree) มาก ดอกไม้ทั้งสองดอกเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงสดเมื่อเวลาผ่านไป โดยมีตาสีม่วงหรือสีแดงเข้ม ความแตกต่างหลักที่มองเห็นได้ระหว่างต้นไม้ทั้งสองคือที่ระดับดอก ใน Saraca declinata มีเกสรเพศผู้ 5 ถึง 6 อัน (ส่วนเพศผู้ของดอก) ในขณะที่ Saraca indica มีเกสรเพศผู้ 7 ถึง 8 อัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone: 10a-10b) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้นและมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในวงศ์ Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น จึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ค้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3-4 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบ /จุดสีน้ำตาล การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลปรากฏบนพืช รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ บางครั้งใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้กิน--- ดอกไม้ใช้ปรุงเป็นซุปและเมล็ดใช้กินได้ ใช้เป็นไม้ประดับ--- ใช้ปลูกประดับจัดสวน พุ่มสวยดอกสวยช่วงการออกดอกนาน จำนวนดอกมาก ออกดอกพร้อมกันทั้งต้น ปลูกตามอาคารบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ อื่น ๆ--- ไม้ที่ได้จะเป็นไม้ขนาดเล็กและใช้เพื่อทำเครื่องใช้ขนาดเล็กเท่านั้น บางครั้งมันถูกใช้สำหรับการทำด้ามจับ (มีด) parang ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Saraca declinata ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2020. Saraca declinata. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T170271164A170271166. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-2.RLTS.T170271164A170271166.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 01 มกราคม 2567 ระยะออกดอก/ติดผล--- มกราคม - เมษายน/พฤษภาคม - สิงหาคม - ในบางพื้นที่ พืชสามารถออกดอกและออกผลได้ตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง - เมล็ดหากเก็บเกี่ยวเมื่อสุกและหว่านทันที ควรแช่น้ำ 12 ชั่วโมง จะงอกภายใน 3 สัปดาห์ และพร้อมปลูกภายใน 6 - 12 เดือน
|
|
64 ศรียะลา/Saraca thaipingensis
[sar-AK-a] [tay-ping-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Saraca thaipingensis Cantley ex Prain (1897) ชื่อพ้อง---No synonyms are recoeded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:517910-1 ชื่อสามัญ---Yellow Saraca, Yellow Asoka, Orange saraca. ชื่ออื่น---ศรียะลา, โสกเหลือง (กรุงเทพฯ); อโศกเหลือง, อโศกใหญ่ (ภาคใต้); [MALAYSIA: Gapis, Talan, Gapis Golak, Gapis Batan, Gapis Batang];[PORTUGUESE-Brazil: Sáraca-tangerina];[THAI: Sri yala, Sok lueang (Bangkok); Asok lueang, Asok yai (Peninsular).]. EPPO Code---SBRTA (Preferred name: Saraca thaipingensis) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE). ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย; มาเลเซีย; พม่า; กัมพูชา; ประเทศไทย; เวียตนาม; ออสตราเลเซัย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Saraca' ที่มาของชื่อสกุลนั้นไม่แน่นอนส่วนใหญ่น่าจะมาจากชื่อท้องถิ่น; ฉายาของสายพันธุ์ 'thaipingensis' หมายถึงเมืองTaiping ในมาเลเซีย ซึ่งอาจเป็นสถานที่ที่มีการอธิบายพืชชนิดนี้เป็นครั้งแรก Saraca thaipingensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Cantley (1847–1888) เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวนเขตร้อน การเกษตร และการป่าไม้ จากอดีต Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2440 ที่อยู่อาศัย---พรรณไม้พื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในอินโดนีเซีย (ชวา), มาเลเซีย, พม่า, ไทย, เวียตนาม, ปาปัวนิวกินี (กลุ่มเกาะหลัก) เปิดตัวในบังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา ตรินิแดด-โตเบโก เติบโตในป่าชื้นตามแนวลำธารน้ำและแหล่งน้ำที่สูงถึงประมาณ 500 เมตร - ในประเทศไทยพบตามป่าดงดิบใกล้ริมน้ำทางภาคใต้ ปัจจุบันพบปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป - เป็นหนึ่งในต้นไม้ริมแม่น้ำที่มีลักษณะเฉพาะมากที่สุดในคาบสมุทรมาเลเซีย ซึ่งก่อให้เกิดคำว่า "Saraca streams" สำหรับแม่น้ำบนภูเขา เช่น Sungai Gombak
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 10-12 เมตร ใบอ่อนออกเป็นพวงที่ปลายยอดสีม่วงต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อใหญ่มองเผินๆเหมือนใบชมพู่ ช่อหนึ่งมีใบย่อย 4-8 คู่ ใบรูปขอบขนานหรือรูปหอก ขอบใบเรียบปลายใบแหลม เส้นกลางใบเด่นชัด ใบย่อยขนาดกว้าง 3-9 ซม.ยาว 7-32 ซม.เมื่อใบแก่จัดจะมีสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อนแล้วร่วงหล่นไปตามฤดูกาล ช่อดอกสีเหลืองอมส้ม ออกเป็นช่อกลมตามปลายกิ่งและลำต้น ขนาดช่อ 15-35 ซม.ช่อหนึ่งๆมีหลายดอก ก้านดอกยาวชูเด่นเห็นได้ชัด ในแต่ละช่อดอกย่อยจะบานไม่พร้อมกัน ดอกที่แก่จัดมีสีเข้มกว่าดอกที่อ่อน กลีบรองดอกมี 4 กลีบขนาดเท่ากัน เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวที่โคนกลีบ ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ยื่นยาวออกมาเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของดอก เกสรเพศผู้มี 3-6 อันแต่ส่วนมากพบมี 4 อัน กลีบรองกลีบดอกและเกสรเพศผู้จะร่วงหลุดไปเมื่อดอกโรย เหลือแต่ก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ที่โคนดอก จะมีช่วงดอกบานได้นานเนื่องจากมีช่อดอกจำนวนมากและทยอยบาน ส่งกลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน เนื่องจากดอกมีกลิ่นหอมและมีสีสันสวยงาม มักมีแมลงบินมาตอมกินน้ำหวานจากเกสรเสมอ บางดอกจะมีน้ำหวานไหลเยิ้มออกมา ผลเป็นฝักแบนยาวคล้ายกับฝักของต้นหางนกยูง สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ผิวเรียบเป็นมันขนาดฝักกว้างประมาณ 3.5-8 ซม.ยาว 15-40 ซม.เมื่อแก่แล้วแตกด้านข้าง มีเมล็ดสีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้เฉพาะในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone: 10a-11) ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ต้องการตำแหน่งที่กำบังจากลม ดินที่อุดมสมบูรณ์ และมีความชื้นสม่ำเสมอ มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในวงศ์ Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น จึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ค้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ถ้าได้รับความชื้นสูงช่อดอกจะใหญ่ขึ้น แต่อย่าให้น้ำมากเกินไปจนเปียกแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3-4 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบ (Leaf beetles) /จุดสีน้ำตาล (Brown spot): อาการmรที่คล้ายกันในพืชจากการรดน้ำมากเกินไป อาการเหล่านี้ได้แก่ การเจริญเติบโตไม่ดี ใบร่วง การร่วงหล่น และปลายหรือขอบใบสีน้ำตาล อาจทำให้พืชตายได้ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เป็นอาหาร ผลใช้รับประทาน ผลตำใส่น้ำพริก ใบประกอบอาหาร หัวเป็นอาหาร ใช้เป็นยา---ดอกไม้ใช้ในยาแผนโบราณ - การศึกษาล่าสุดได้นำไปสู่คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านจุลชีพที่น่าสนใจ สารสกัดจากดอกไม้ ใบและกิ่งไม้ มีศักยภาพในการแพทย์ ใช้ปลูกประดับ---ถูกจัดว่าเป็นไม้ยืนต้นท่ามกลางพรรณไม้เขตร้อนที่มีความสวยงามมากที่สุดเนื่องจากมีช่อดอกขนาดใหญ่และมีใบอ่อนสีม่วงที่สวยงาม การปลูกควรปลูกให้ห่างต้นไม้อื่นอย่างน้อย 6 เมตร ทรงพุ่มจะได้ไม่เบียดกัน ต้นที่ได้จากการตอนกิ่งจะออกดอกเร็วแต่ทรงพุ่มไม่ค่อยสวย สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดยะลา ประเทศไทย ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Saraca thaipingensis ถูกระบุอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.2020 source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2020. Saraca thaipingensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T170267704A170267706. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-2.RLTS.T170267704A170267706.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ระยะดอกออก--- ธันวาคม- มีนาคม, มกราคม- เมษายน - ในบางพื้นที่ พืชสามารถออกดอกและออกผลได้ตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง - เพาะเมล็ด ในดินทราย หรือเติมเพอร์ไลต์ โดยรักษาความชื้นไว้ที่อุณหภูมิ 26-28 °C
|
โสกสะปัน/ Brownea grandiceps [BROW-nee-uh] [GRAN-dee-keps]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Brownea grandiceps Jacq.(1798) ชื่อพ้อง---Has 9 synonyms.See all https://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000214090 ชื่อสามัญ---Rose of Venezuela, Rose-of-Venezuela, Rose of the jungle, Scarlet flame bean ชื่ออื่น--โสกสะปัน ;[BRAZIL: Rosa-da-montanha.];[FRENCH: Rose de Colombie, Rose du Venezuela.];[GERMAN: Rose von Venezuela.];[PORTUGUESE: Bráunia, Rosa-da-mata, Rosa-da-montanha, Rosa da Venezuela, Sol-da-Bolívia.];[SPANISH: Rosa de montaña, Rosa de monte, Palo de cruz.];[THAI: Sok sapan.]. EPPO Code---BWNGR (Preferred name: Brownea grandiceps) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE). ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล; โคลัมเบีย; เอกวาดอร์; เปรู; เวเนซุเอลา สาธารณรัฐโบลิเวีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Brownea' สกุลนี้ได้รับการยกย่องจากนักพฤกษศาสตร์ชาวไอริช Patrick Browne (ค.ศ. 1720-1790) ; ชื่อของสายพันธุ์ 'grandiceps' คือการรวมคำคุณศัพท์ภาษาละติน "grandis" = ใหญ่ และคำต่อท้าย "ceps" ซึ่งมาจากภาษาละติน "caput" = หัว โดยอ้างอิงถึงช่อดอกทรงกลม Brownea grandiceps เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph Freiherr von Jacquin (1727–1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้าน การแพทย์เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2332 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในโคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย และเวเนซุเอลา (Aragua, Carabobo, Federal District and Yaracuy) ซึ่งเติบโตในป่าของภูมิภาคอเมซอนที่ระดับความสูง 40 - 1,570 เมตร ปัจจุบันมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประดับในสวนเขตร้อน ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 6-8 เมตร ลำต้นสั้นตรงมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 ซม.ใบเป็นรูปใบแหลม เรียงสลับ ยาว 10-45 ซม. ใบห้อย มีรูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน 4 ถึง 16 คู่ ปลายแหลม มีสีเขียวอ่อน ยาว 6-15 ซม. และกว้าง 2-3 ซม. ใบอ่อนจับกันเป็นกลุ่มห้อย มีสีน้ำตาล ลายหินอ่อน สีชมพูม่วง และสีขาวแกมเขียว ช่อดอกห้อยอยู่ที่ปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ช่อหรือหัว เส้นผ่านศูนย์กลาง 20-25 ซม.มีดอกยาว 5-8 ซม.จำนวนมาก เรียงชิดกันอย่างเคร่งครัด ดอกเดี่ยวมีกลีบรูปไข่กลับ 5 กลีบ ยาวประมาณ 4 ซม. กว้าง 2 ซม. มีสีชมพูหรือแดงเข้ม โดยบานออกต่อเนื่องกันตั้งแต่วงแหวนรอบนอก ผลไม้เป็นฝักแบนสีน้ำตาลยาว 25 ซม. มีขนอ่อนหุ้มอยู่ และมีเมล็ดรูปไข่ 1-4 เมล็ด กว้างประมาณ 4 ซม. และหนา 1.2 ซม. มีสีเทา.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone: 10b-11) อุณหภูมิที่เหมาะสม16 ถึง 32°C มีข้อกำหนดอุณหภูมิขั้นต่ำ 13 °C อาจต้านทานอุณหภูมิที่พิเศษและค่อนข้างสั้นใกล้กับ 0 °C ตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงลึกที่มีความเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลางและมีการระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า แทบจะไม่สามารถสูงได้ถึง 150 ซม.ภายใน 2 ปีนับจากเมล็ด การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---การรดน้ำจะต้องมีปริมาณมากและสม่ำเสมอในฤดูร้อน และปานกลางในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3-4 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---Un known รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์---ต้นไม้มีการใช้งานจริงน้อยมาก แม้ว่าไม้สามารถนำมาใช้กับสินค้าคุณภาพต่ำได้ก็ตาม ใช้เป็นยา---ส่วนต่าง ๆ ของพืชถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายในการแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะเปลือกซึ่งมีสารห้ามเลือดอันทรงพลัง ใช้ปลูกประดับ---เป็นหนึ่งในไม้ประดับมากที่สุดเนื่องจากมีช่อดอกขนาดใหญ่ ถือเป็นต้นไม้ที่ออกดอกสวยงามที่สุดในทวีปอเมริกา นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่ต่าง ๆ ขึ้นได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้น้ำ อื่น ๆ---ไม้มีน้ำหนักเบา นุ่ม และไม่ทนทาน ไม่ค่อยได้ใช้แต่เหมาะกับกล่องไฟ ของเล่น และวัสดุบุผิว - ดอกไม้ผลิตน้ำหวานจำนวนมาก และเป็นที่สนใจของนกฮัมมิงเบิร์ดและผีเสื้อ ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Brownea grandiceps. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144259964A149005898. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144259964A149005898.en. Accessed on 31 December 2023. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144259964/149005898 - ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดพันธุ์นี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม ระยะเวลาดอกออก/ติดผล--- ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและตอนกิ่ง - การเพาะเมล็ด ต้องหยอดเมล็ดลงดินในระยะเวลาอันสั้น คือ 1-3 สัปดาห์หลังเก็บเกี่ยว เนื่องจากมีอายุในการงอกสั้น ในดินที่อุดมด้วยสารอินทรีย์โดยเติมทรายประมาณ 30% ที่อุณหภูมิ 22-24°C การงอกมักเกิดขึ้นภายใน 1-2 เดือน
|
|
65 อโศกอินเดีย/Polyalthia longifolia var. pendula
ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon longifolium (Sonn.) B.Xue & R.M.K. Saunders (2012) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. ---Basionym: Uvaria longifolia Sonn. (1782).See https://species.wikimedia.org/wiki/Monoon_longifolium ---Polyalthia longifolia (Sonn.) Benth. & Hook.f. ex Thwaites.(1864) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123022-1#synonyms ชื่อสามัญ---False Ashoka, False Asoka, Mast Tree, Indian Mast Tree, Weeping Mast Tree, Green Champa, Cemetery tree, Indian fir, Masquerade tree, Telegraph pole tree, Black berry lily. ชื่ออื่น---อโศกอินเดีย ; [ASSAMESE: Umboi (Debadaru).];[BENGALI: Debdaru.];[Chinese: Chang ye an luo, She-kan.];[FRENCH: Arbre mât, Arbre à mâture, Arbre-mât des Indes, Champa vert, Faux ashoka.];[INDIA: Mara illupai.];[INDONESIA: Glodogan tiang.];[KANNADA: Ubbina, Kambada mara.];[MALAYALAM: Hemapushpam.];[PHILIPPINES: Indian lanutan.];[SANSKRIT: Putrajiva.];[TAMIL: Vansulam, Nettilinkam.];[TELUGU: Devdaru.];[Thai: Asok India];[VIETNAM: Huyền diệp, Hoàng nam.]. EPPO Code---QLHLO (Preferred name: Monoon longifolium) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกาและประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Monoon' ; ฉายาของสายพันธุ์ 'longifolium' คือการรวมคำในภาษาละติน "longus, a, um" = ยาว และ "folium, i" = ใบไม้ โดยมีการอ้างอิงที่ชัดเจน Monoon longifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Pierre Sonnerat (1748–1814) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard MK Saunders (1964–) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดียตอนใต้และศรีลังกา เติบโตตามธรรมชาติ มีการแนะนำในสวนในประเทศเขตร้อนหลายแห่งทั่วโลก ใช้กันอย่างแพร่หลายในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียและหมู่เกาะแคริบเบียนของตรินิแดดและโตเบโก ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบทรงพุ่มเป็นรูปปิรามิดแคบ ๆ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร แตกกิ่งจำนวนมากปลายกิ่ง อ่อนห้อยลู่ลงขนานกับลำต้น เปลือกสีน้ำตาลเข้มอมดำ มีลายสีขาวบิดเวียนตามความยาวของลำต้นหรือกิ่ง เนื้อไม้เหนียวใบรูปหอกกว้าง 3.5-5 ซม.ยาว 18-26 ซม. ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง เหนียวเป็นมัน ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ออกเป็นกระจุก3-6 ดอก กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมยาว 3 – 4 มม.กลีบดอก 6 กลีบรูปดาว สีเขียวหรือสีครีม ก้านดอกยาว2-3ซม. ดอกเมื่อบานมีขนาด 3-3.5 ซม.ดอกบานอยู่นาน 3 สัปดาห์ ผลเป็นพวงมี 10-20 ผล รูปไข่ เริ่มแรกมีสีเขียว ต่อมาเป็นสีม่วงอมดำ ยาว 2-2.5 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,2-1,5 ซม.แต่ละผลมีเมล็ดรูปไข่สีซีด สีน้ำตาล ยาวประมาณ 2 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้นและเขตร้อนชื้น (USDA Zone 10a-11) ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) เจริญได้ดี บนดินเหนียว ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำดี ปรับให้เข้ากับดินได้หลากหลาย และทนทานต่อมลภาวะในเมือง ค่าดินมีความเป็นกรดปานกลาง pH 5.5- 7.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลางการบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ทนแล้ง; เหมาะสำหรับ xeriscaping หลังจากระยะแรกของการปลูก เมื่อต้องการ การรดน้ำปานกลางในช่วงฤดูแล้ง ไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาลำต้นหลักให้สูงตรงและมีกิ่งก้านสั้นและลู่ลง สามารถตัดแต่งต้นไม้เป็นรูปทรงต่างๆ และดูแลรักษาตามขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังหนอนเจาะลำต้น รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์ ---ใช้เป็นยา การศึกษาแสดงให้เห็นว่าต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา, ความดันโลหิตต่ำ, ยาระบาย, คุณสมบัติต้านการอักเสบ มีสรรพคุณทางยามากมาย - สารสกัดเมทานอลของใบเปลือกลำต้นและรากของพืชถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นยาลดไข้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้เป็นส่วนเสริมในการรักษาของโรคอื่น ๆ ในระบบการแพทย์แบบดั้งเดิมของอินเดียใช้เป็นยาแก้ไข้ รักษาโรคผิวหนัง ความดันโลหิตสูงและหนอนพยาธิ - เปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้ - ในไนจีเรียพืชใช้สำหรับโรคผิวหนัง สำหรับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ใช้ปลูกประดับ--- ไม้ต้นนี้ มักนิยมปลูกตามแนวรั้ว เป็นแนวกันลม กันเสียง กันฝุ่น เพราะความทึบและความสูงจะช่วยป้องกันได้ ใช้อื่น ๆ--- ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก ผลิตไม้สีเหลืองถึงสีเทาสีขาวน้ำหนักปานกลาง มีความต้านทานตามธรรมชาติต่อการเน่าและผุต่ำ เหมาะสำหรับการทำสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาเช่นไม้ขีดไฟและดินสอเท่านั้น แม้ว่ามันจะถูกใช้ทำเครื่องดนตรี เป็นกลอง ในการใช้งานแบบดั้งเดิม เปลือกชั้นในกล่าวกันว่าให้ผลผลิตไฟเบอร์ที่ดี ความเชื่อ/พิธีกรรม---ต้นไม้นี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ในอินเดียและศรีลังกา และปลูกไว้รอบๆ วัดและสถานที่ทางศาสนา ใบใช้เป็นเครื่องประดับในเทศกาลฮินดู ทำเป็นพวงหรีดและแขวนไว้ที่ประตู ระยะออกดอก/ออกผล---มีนาคม-พฤษภาคม - ระยะเวลาการออกดอกจะคงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยปกติจะใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ ขยายพันธุ์---การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง - เพาะเมล็ดลงในดินร่วนระบายน้ำที่มีความชื้นที่อุณหภูมิ 24-28 °C โดยมีระยะเวลาการงอกตั้งแต่ 2 ถึง 6 สัปดาห์
|
|
66 เสี้ยวป่า/Bauhinia saccocalyx
[BROW-nee-uh] [ˈSac-co-KA-liks]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia saccocalyx Pierre.(1899) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:481650-1#synonyms ---Pauletia saccocalyx (Pierre) A.Schmitz.(1977) ชื่อสามัญ --- Thai Orchid Tree ชื่ออื่น---คิงโค (นครราชสีมา); ชงโค (ทั่วไป); ส้มเสี้ยว (นครสวรรค์, อุดรธานี); ส้มเสี้ยวโพะ, เสี้ยวดอกขาว (เลย); เสี้ยวป่า (น่าน) ; [THAI: Khing kho, Chong kho.];[VIETNAM: Móng bò đài túi..]. EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - CAESALPINIODEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---ภูมิภาคอินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bauhinia' ตั้งชื่อตามพี่น้อง Bauhin (John และ Caspar Bauhin) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส-ฝรั่งเศส ; ฉายาของสายพันธุ์ 'saccocalyx' การรวมคำของภาษาละติน saccus = กระสอบ , กระเป๋า และ calyx = รูปแบบของกลีบเลี้ยง Bauhinia saccocalyx เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ ((Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2442
ที่อยู่อาศัย---กระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 100-800 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้พุ่มกึ่งเไม้ลื้อยขนาดเล็กไม่ผลัดใบหรือผลัดใบ สูง 4- 10 เมตร ลักษณะทรงต้นแตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งก้านเกลี้ยง ปลายกิ่งห้อยลง เรือนยอดกลมแน่นทึบ เปลือกนอกสีน้ำตาลเข้ม เปลือกแตกเป็นร่องลึกตามความยาวลำต้น ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กว้าง ยาว 6-10 ซม.ปลายใบเว้าลึกแยกเป็น 2 แฉก โคนใบตัดถึงรูปหัวใจ เนื้อใบคล้ายกระดาษ ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีอ่อนกว่า หูใบขนาดเล็ก ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกช่อแบบช่อแยกแขนงสั้นๆ ยาวได้ถึง 7 ซม.ออกที่ปลายยอด ช่อย่อยแบบช่อกระจะสั้น ดอกรูปไข่กลับแคบ ขนาด1-1.4 ซม. สีขาว ถึงสีชมพูอ่อน ดอกเพศผู้ที่ไม่เป็นหมัน มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ดอกเพศเมียจะมีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน คล้ายเส้นด้าย 10 อัน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นฝักแห้งแตกรูปดาบยาวประมาณ 7-14 ซม.เมื่อฝักแก่เต็มที่จะแตกออกเมล็ดมีลักษณะกลมแบน มี 3-5 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12–15 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone: 9-11) ไม่ทนต่อความเย็นจัด ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ทนร่มเงาได้ ต้องการตำแหน่งที่กำบังลม ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี pH 5.5 ถึง 6.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมอ ต้องการน้ำมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง หากน้ำน้อยหรือขาดน้ำในช่วงนี้อาจผลัดใบ การตัดแต่งกิ่ง---ต้องมีการตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดแต่งเมื่อสิ้นสุด การออกดอกออกผล การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือใส่ปุ๋ยอินทรีย์อเนกประสงค์ในฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อการโจมตีของไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยแป้ง/ รากเน่าก็สามารถเกิดขึ้นได้หากให้น้ำมากเกินไป หรือดินระบายน้ำได้ไม่ดี รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา เถาใช้เป็นยาฟอกโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ผื่นคัน ใบเสี้ยวป่า ใช้ผสมกับลำต้นกำแพงเจ็ดชั้น นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นยาฟอกโลหิต ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ปลูกเพื่อให้ร่มเงา ใช้ในการจัดสวนขนาดใหญ่ สวนสาธารณะ และสวนทั่วไป อื่น ๆ---ไม้ใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง เผาถ่าน ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน- พฤษภาคม/มิถุนายน - กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
67 ชงโคนา/Bauhinia racemosa
[baw-HIN-ee-uh] [ray-see-MO-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia racemosa Lam.(1785) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms. ---Bauhinia parviflora Vahl.(1794) ---Piliostigma racemosa (Lam.) Benth.(1852) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:481612-1#synonyms ชื่อสามัญ---Bidi leaf tree, Burmese Silk Orchid, Mountain Ebony. ชื่ออื่น---ส้มเสี้ยว, ชงโคขี้ไก่ ;[BENGALI: Banraji, Banraj];[HINDI: Katmauli.];[KANNADA: Achalu, Aapta, Mandara, Aralukadumandara.];[MALAYALAM: Kudambulimandaram, Arampali, Aathi, Arampaali, Malamandaram, Malayaththi, Malayathi, Kotapuli, Mandaram, Kutabuli.];[MARATHI: Sona, Apta.];[NEPALI: Tarul.];[PAKISTAN: Kachnar.];[SANSKRIT: Yugmapatra, Yamalapatrakah.];[TAMIL:Aatthi, Atti, Tataki, Atti, Archi.];[TELUGU:Tella Arecettu.];[THAI:Chong kho naa, Chong kho khikai.];[UNANI: Kachnaar]. EPPO Code--- BAURA (Preferred name: Bauhinia racemosa) ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE - CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bauhinia' ตั้งชื่อตามพี่น้อง Bauhin (John และ Caspar Bauhin) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส-ฝรั่งเศส ; ฉายาของสายพันธุ์ 'racemosa' = มีกระจุกดอกไม้อยู่ใน raceme เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม Bauhinia racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2328 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย ศรีลังกาและจีน แพร่กระจายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคกึ่งเขตร้อนและเขตร้อนของโลก ขึ้นประปรายในป่าเปิดกึ่งโล่งแจ้ง ป่าแห้งผลัดใบพบได้บ่อยบนเนินเขาที่แห้งแล้ง ในทุ่งหญ้าที่ระดับความสูง 1,500 เมตร - พบได้ทั่วไปทั่วอินเดีย ซึ่งเติบโตในเทือกเขาหิมาลัยตะวันตก ที่ระดับความสูง 1,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ---เป็นต้นไม้ขนาดเล็กผลัดใบสูงถึง 15 เมตร เรือนยอดกว้างและทึบลำต้นสีเทาเข้ม บิดงอ ใบรูปหัวใจปลายใบแยกเป็น2แฉกขนาด 4-10 ซม.โคนใบ ปลายใบเป็นพูกลมตื้น ใบแก่เหนียว เรียบเกลี้ยงหรือมีขนอ่อนๆบนเส้นใบด้านล่าง เส้นใบที่ฐาน 7-9 เส้น ดอกสีขาวออกเขียวหรือเหลืองอ่อนเป็นช่อเล็กๆยาว 12-20 ซม. ดอกตูมโค้งงอส่วนบนกว้างที่สุด กลีบดอกแคบ 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 10 อัน แยกเป็น 2 วง วงนอกยาวเป็น 2 เท่า เกสรเพศเมียสั้น ผลโค้งงอไม่แตก กว้าง 1.5-2.5 ซม.ยาว 8-25 ซม.เมล็ดรูปไข่. 10-20 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone: 8-10) ในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ อุณหภูมิร่มเงาสูงสุดจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ 38 - 48°C ค่าต่ำสุดสัมบูรณ์อยู่ระหว่าง (-1) - (+11°C) ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำถึง -6 ถึง -9 ℃ เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ทนต่อร่มเงาบางส่วน ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี pH 5.5 ถึง 6.5 (ค่า pH ของดินควรต่ำกว่า 7.5 เนื่องจากดินที่เป็นด่างมักส่งผลให้ใบเหลือง) อัตราการเจริญเติบโต พืชสามารถสูงได้ 4.5 เมตร ภายใน 3 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมอ ต้นไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ต้องรดน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือเมื่อรู้สึกว่าดินชั้นบนแห้ง รดน้ำอย่างทั่วถึงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งในฤดูร้อนหรือทุกๆ 4 ถึง 6 สัปดาห์ในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---มีการตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดแต่งเมื่อสิ้นสุด การออกดอกออกผล (ไม่ควรทำในช่วงปีแรกหลังปลูก) การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ ปุ๋ยจะประกอบด้วยสารอาหารหลักและธาตุอาหารรองส่วนใหญ่หรือทั้งหมดที่พืชต้องการ ศัตรูพืช/โรคพืช---จุดสีน้ำตาล (Brown spot) ใบไหม้เกรียม (Leaf scorch) การขาดธาตุอาหาร (Nutrient deficiencies) รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งของเส้นใย มีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้าง ใช้กิน---ใบอ่อนใช้ดองกินได้, เมล็ดกินได้ ชาวทมิฬ (ทมิฬนาฑู อินเดีย) ใบอ่อนใช้เป็นผักใบเขียว (กับข้าว) ใช้เป็นยา--- มีรายงานการใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืช ในยาพื้นบ้าน - ดอกไม้ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอกไม้ดอกตูมและใบไม้แห้งใช้รักษาโรคบิด - เปลือกและใบมีรสหวานฉุนใช้เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ฝาด แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้ โรคผิวหนัง โรคเลือด โรคบิด ท้องร่วง และใช้ยาต้มเปลือกเพื่อล้างแผล - เปลือกต้นใช้ในการอักเสบของตับ - เมล็ดเป็นยาชูกำลังและยาโป๊ว ใช้อื่น ๆ---ไม้สีน้ำตาลแดงมีรอยคล้ำไม่สม่ำเสมอ มีสีแดง เหนียวและแข็งแรงมาก และถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างสะพาน - ไม้เป็นเชื้อเพลิงที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ถูกใช้มาก - เปลือกเส้นใยใช้ทำเชือกได้ ส่วนที่เรียกว่า Aapta หรือ maloo bast ได้มาจากพืชซึ่งใช้สำหรับการผลิตเชือกอวน และเส้นใยอื่น ๆ - ใบนี้ใช้ในการผลิต Beedi (บุหรี่อินเดีย) ซึ่งเป็น Cigarillo (เป็นซิการ์ที่สั้นและแคบ) แบบบางของอินเดียและศรีลังกา ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในครอบครัว Maharashtrian (ชาวฮินดู) มันเป็นธรรมเนียมที่จะแลกเปลี่ยนใบของต้นไม้ Aapta ใน วันเทศกาล Dussehra - ในศาสนาฮินดูวันเทศกาล Dussehra เป็นการกระทำที่รู้จักกันในชื่อ การแลกเปลี่ยนทองคำ ชี้ไปที่ความสำคัญเป็นพิเศษของพืชในวันนั้น เป็นเหตุผลที่ต้นไม้มักถูกเรียกว่า Sonpatta (แปลตามตัวอักษร: ใบไม้สีทอง ) ระยะเวลาออกดอก ---กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม ขยายพันธุ์--- เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ - * เพาะเมล็ดพืช แช่ไว้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงในน้ำอุ่น จากนั้นจึงหว่านในแหล่งกำเนิดหรือในแปลงเพาะเมล็ดในเรือนเพาะชำ อัตราการงอกของเมล็ดอายุ 1 ปีสามารถอยู่ระหว่าง 58 - 95% ต้นอ่อนจะเติบโตอย่างรวดเร็วและสร้างรากแก้วที่มีความยาวได้ 60 ซม.ภายใน 2 เดือนหลังงอก พืชไม่ทนต่อการย้ายปลูกมากนักเว้นแต่จะย้ายในขณะที่ยังค่อนข้างเล็ก source: https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Bauhinia%20racemosa
|
68 แสมสาร/Senna garrettiana
[SEN-nuh] [ˈgar-ret-ee-AH-na]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Senna garrettiana (Craib) H.S.Irwin & Barneby. (1982) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:911339-1#synonyms ---Basionym: Cassia garrettiana Craib.(1912).See https://www.gbif.org/species/2958015 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---แสมสาร (ภาคกลาง), ไงซาน (เขมร-สุรินทร์), กราบัด, กะบัด (นครราชสีมา), ขี้เหล็กแพะ, ขี้เหล็กโคก (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กป่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคเหนือ), ขี้เหล็กสาร (นครราชสีมา, ปราจีนบุรี) ;[CAMBODIA: Angkanh.];[ENGLISH: Garrett's Senna, Garrett's Cassia.];[INDONESIA: Garesiana.];[JAPANESE: Same-sān, Kīrekku pā.];[LAOS: Khi lek.];[MALAYSIA: Bebusok.];[THAI: Samae san (Central); Ngai-san (Khmer-Surin); Kra-bat, ka-bat (Nakhon Ratchasima); Khi lek phae, Khi lek khok (Northern); Khi lek pa (Northeastern, Northern); Khi lek san (Nakhon Ratchasima, Prachin Buri);[VIETNAM: Muồng chét, Muồng, Mỏ hàn.] EPPO Code---SJNSS (Preferred name: Senna sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้: ศรีลังกา อินเดีย พม่า และอินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Senna' จากภาษาอาหรับ 'Sana' ซึ่งหมายถึงพืชที่มีใบและฝักมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ; ฉายาเฉพาะ 'garrettiana' ตั้งชื่อตาม Henry Burton Guest Garrett (1871–1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ (นักป่าไม้และนักสะสมพืช นักอนุรักษ์ กรมป่าไม้ จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย) Senna garrettiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) สกุลขี้เหล็ก (Senna)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Howard Samuel Irwin Jr.(1928 –2019)นักพฤกษศาสตร์และTaxonomistชาวอเมริกันและRupert Charles Barneby (1911 –2000)นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2525
ที่อยู่อาศัย---พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามบริเวณป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าที่ราบต่ำทั่วไป และป่าผลัดใบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร เป็นไม้ท้องถิ่นทางภาคเหนือของประเทศไทยขึ้นกระจายใน ภาคกลาง และภาคอื่นๆ ยกเว้นภาคใต้ ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15 เมตร เรือนยอดรูปกรวยคว่ำเปลือกนอกสีน้ำตาลเทาแตกเป็นร่อง กิ่งอ่อนมีขนประปราย ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวียน มีใบย่อย6-9คู่ ขนาดกว้างประมาณ 2-5 ซม.ยาว 5-9 ซม.รูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบแก่เกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ไม่มีต่อม หูใบหลุดร่วงง่าย ก้านใบย่อยยาว 2-5 มม.ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงประกอบออกที่ปลายกิ่ง ยาว 9-20 ซม. ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองสดใส ผลเป็นฝักแบนและมักบิดเป็นเกลียว รูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม. ยาว 15-20 ซม. เมล็ดมีประมาณ 20 เมล็ด สีน้ำตาล กว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 9 มม.เรียงตามขวาง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone: 9-11) อุณหภูมิที่เหมาะสม 15 - 38 ℃ ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งหลังฤดูออกดอกช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตใหม่และรูปแบบที่หนาแน่นยิ่งขึ้น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อแมลงและโรคพืช รู้จักอ้นตราย---Unknown ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นอาหารและยา ใช้กิน---ใช้เป็นอาหาร ใบอ่อนใช้กินสด ใช้เป็นยา--- สรรพคุณ แก่นมีรสขมเฝื่อน ผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ในตำรายา มีสารสำคัญที่มีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ จึงทำหน้าที่เป็นยาระบาย และพบเป็นส่วนประกอบในตำรับยาฟอกเลือดของสตรี เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ขับพยาธิ บำบัดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ใช้ใบเป็นยาบำบัดโรคงูสวัด ใข้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ใช้จัดสวนได้สวยงามเพราะทรงพุ่มค่อนข้างแคบเหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด ปลูกตามริมถนน ทนต่อมลพิษทางอากาศได้ดี ใช้อื่น ๆ---ไม้เหนียวแข็งและทนทานมาก ใช้ทำสิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์การเกษตร เปลือกมีแทนนินมาก สำคัญ---แสมสารเป็นต้นไม้ประจำจังหวัด กาฬสินธุ์ ประเทศไทย ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-ตุลาคม/ตุลาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์ --- เพาะเมล็ด เมล็ดแช่น้ำไว้ก่อน 3 ชั่วโมง ระยะเวลาการงอก 1 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน ที่อุณหภูมิ 21 ถึง 24°C
|
|
|
70 เสม็ดขาว/Melaleuca cajuputi
ชื่อวิทยาศาสตร์---Melaleuca cajuputi Powell.(1809) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Myrtus saligna J.F.Gmel.(1791) ---Melaleuca minor Smith.(1812) ---Melaleuca leucadendron (L.) L. var. minor (Smith) Duthie.(1878) ---Moer.See all The Plant Lis thttp://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-132782 ชื่อสามัญ---Cajuput oil Tree, Mild Wood, Paper Bark Tree, Swamp tea-tree, Punk tree. ชื่ออื่น---กือแล (มาเลย์-ปัตตานี); เสม็ด (ทั่วไป); เสม็ดขาว (ภาคตะวันออก); เหม็ด (ภาคใต้) ;[BRAZIL: Melalueca.];[CAMBODIA: Smach chanlos.];[CHINESE: Bai Gian Ceng.];[FRENCH: Cajuputier.];[GERMAN: Kajeputbaum.];[INDIA: Kaayaaputi.];[INDONESIA: Kayu Putih, Gelam (Sunda, Java); Ghelam (Madura); Waru Gelang, Inggolom (Batak); Kayu Gelang, Bru Galang, Waru Gelang (Sulawesi); Nggielak, Ngelak (Roti); lren, Sakelan (Piru); Irano (Amahai); Ai Kelane (Hila); Irono (Haruku); Ilano (Nusa Laut Saparuna); Elan (Buru).];[MALAYSIA: Kayu putih, Gelam, Nipis Kulit, Delek air (Malay).];[THAI: Samet (General); Samet khao (Eastern); Met (Peninsular); Kue-lae (Malay-Pattani).];[VIETNAM: Cây tràm, Chè dong tran, Chi Cay , Bach Thien Tang.]. EPPO Code--- MLACA (Preferred name: Melaleuca cajuputi) ชื่อวงศ์---MYRTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้:- พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Melaleuca มาจากภาษากรีก “melas”= สีดำ และ “leukos” = สีขาว ตามลักษณะเปลือกที่มีสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่; ชื่อสายพันธุ์ 'cajuputi' มาจากภาษามาเลย์ "kaju puthi" ซึ่งแปลว่า "ไม้สีขาว" Melaleuca cajuputi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกใน ครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Powell (1809–1887) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2352 มี4สายพันธุ์ย่อย (Subspecies):- -Melaleuca cajuputi subsp. cajuputi -Melaleuca cajuputi subsp. cumingiana (Turcz.) Barlow -Melaleuca cajuputi subsp. cumingiana Maton & Sm. ex R.Powell -Melaleuca cajuputi subsp. platyphylla Barlow
ที่อยู่อาศัยพบขึ้นในที่โล่งสะวันนา ตามพื้นที่พรุตามชายหาดใกล้ทะเล ที่ระดับความสูงไม่เกิน 150 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 5-25 เมตร ลักษณะ ลำต้นบิดงอ เปลือกสีขาวถึงน้ำตาลเทาเป็นแผ่นบางซ้อนกันเป็นปีก หนานุ่ม ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขนสีขาวมันวาวคล้ายไหมปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปใบหอกยาวประมาณ 5-12 ซม. และกว้างประมาณ 1-3-3 ซม ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนังก้านใบยาว 0.4-1 ซม.ดอกออกเป็นช่อเชิงลด ออกตามปลายกิ่ง ช่อดอกคล้ายแปรงล้างขวดยาว 4-10 ซม.ดอกย่อยขนาดเล็กสีขาวไม่มีก้านดอกออกเป็นกระจุก1-3ดอก ผลเป็นแคปซูลแบบแห้งแล้วแตกรูปถ้วยปลายปิด ขนาด 0.3-0.4 ซม.ผนังผลหนาแข็ง ผลแก่เต็มที่จะแตกที่ปลายผลเป็น 3 แฉก เมล็ดจำนวนมากเป็นเส้นเล็ก ๆรูปโค้งหรือเกือบตรง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้มีระบบรากที่กว้างขวางบางครั้งก็มีรากอากาศ พืชสามารถเติบโตได้และปรับให้เหมาะกับดินประเภทต่าง ๆ แม้แต่แอ่งน้ำและการระบายน้ำเล็กน้อย สภาวะที่เป็นกรดมากด้วยค่า pH 4 หรือน้อยกว่า แต่จะเติบโตได้ดีขึ้นในดินที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยค่า pH ที่สูงขึ้น การใช้ประโยชน์---ต้นไม้ได้รับการปลูกฝังมานานหลายศตวรรษส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียและเวียดนามสำหรับใบและกิ่งไม้ที่ใช้เป็นยาและเป็นแหล่งของน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีการซื้อขายระหว่างประเทศ -ใช้เป็นยาใบมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียต้านการอักเสบชาวพื้นเมืองออสเตรเลียใช้ใบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยใช้ไอระเหยที่สูดดมจากใบที่บดเพื่อรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ -; ในประเทศไทยใบใช้ทำชาสมุนไพร-; ในพม่าใช้รักษาโรคเกาต์ -; ในมาเลเซียใช้รักษาอาการจุกเสียดและอหิวาตกโรค -; ในอินโดนีเซียใช้รักษาอาการจุกเสียดโคลิค ตะคริว โรคผิวหนัง บาดแผลและความเจ็บปวดต่างๆ -; ในหลายส่วนของเอเชียน้ำมันที่ทำจากต้นไม้มีชื่อ cajuput เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ผลิตจากใบโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ ถูกใช้เป็นยาทาถูนวดและยาดม มีรายงานว่า เป็นยาระงับประสาทและผ่อนคลายและมีประโยชน์ในการรักษาพยาธิตัวกลมและการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ-; ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น้ำมันเป็นยาสามัญประจำบ้านโดย ใช้ภายในเพื่อรักษาอาการไอและหวัดจากตะคริวที่ท้อง, อาการจุกเสียดและหอบหืด ใช้ภายนอกเพื่อบรรเทาอาการของโรคประสาทและโรคไขข้อมักจะอยู่ในรูปแบบของขี้ผึ้งและยาทาถูนวดและเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันและอาการปวดหู น้ำมันยังมีประโยชน์ในการไล่แมลง ถูกใช้เพื่อปรุงรสอาหาร เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องสำอาง น้ำมัน Cajuput จัดอยู่ในประเภทไม่มีพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แม้ว่าการระคายเคืองผิวหนังอาจเกิดขึ้นที่ความเข้มข้นสูง ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับอาหารโดยองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา -ใช้เป็นไม้ประดับใช้ในการจัดสวน เป็นไม้ให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะ อาคาร ที่พักอาศัย -ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีชมพูอมเทาถึงน้ำตาล ไม้เนื้อแข็งหนักพอสมควรและทนทาน เหมาะสำหรับการก่อสร้างและพื้นทั่วไป เปลือกไม้ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุมุงหลังคา ใช้ในการก่อสร้างเรือรวมทั้งเป็นวัสดุกาวสำหรับเรือในอินโดนีเซีย ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน ได้ดี ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species (2019) ระยะออกดอก--- กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด
|
71 เสม็ดแดง/Syzygium antisepticum
[siz-ZY-gee-um] [ˈar-oh-MAT-ih-kum]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Syzygium antisepticum (Blume) Merr. & L.M.Perry.(1939) ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms. ---Basionym: Caryophyllus antisepticus Blume.(1828).See https://www.gbif.org/species/3183617 ---Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra (1973) ---Eugenia grata Wight (1841) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:601410-1#synonyms ชื่อสามัญ---Shore eugenia, Antiseptic Satin ash, Antiseptic Syzygium ชื่ออื่น---ผักเสม็ด, ผักเม็ก (นครราชสีมา); ไคร้เม็ด (เชียงใหม่); เม็ก (ปราจีนบุรี); เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช); เสม็ด (สกลนคร, สตูล); เสม็ดเขา, เสม็ดแดง (ตราด); เสม็ดชุน (ภาคกลาง); ยีมือแล (มลายู – ภาคใต้);[INDONESIA: Gelam buut, Ki tambaga, Pancal kidang; Aeba, Jambu hutan, Obah.(Borneo).];[MALAYSIA: Gelam tikus, Kelat gelam.];[PHILIPPINES: Mariig (Tagalog), Kalaum (Culion), Malaruhat (Laguna).]; [THAI: Mek (Prachin Buri); Met chun (Nakhon Si Thammarat); Samet (Sakon Nakhon, Satun); Samet khao, Samet daeng (Trat); Samet chun (Central); Khrai met (Chiang Mai); Yi-mue-lae (Malay-Peninsulra); Samet daeng (Chumphon); Wa na (Phangnga).];[Vietnamese: Trâm sẻ] EPPO Code---SYZAN (Preferred name: Syzygium antisepticum) ชื่อวงศ์---MYRTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Syzygium' มาจากคำภาษากรีก 'syzygos' อ้างอิงถึงใบคู่ตรงข้าม; ชื่อเฉพาะ 'antisepticum' มาจากคำภาษาละติน = น้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งหมายถึงคุณสมบัติทางยาของสปีชีส์นี้ Syzygium antisepticum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันและLily May Perry (1895-1992) นักพฤกษศาสตร์ชาวแคนาดา-อเมริกัน ในปี พ.ศ.2482
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในทะเลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในหมู่เกาะสุมาตรา ชวาและบอร์เนียวของหมู่เกาะซุนดาใหญ่) พบที่อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์, พม่า, ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ขึ้นตามป่าที่ลุ่มมักอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำหรือใกล้ชายฝั่ง ในป่าเต็งรังผสมชายฝั่งทะเลและป่าดิบเขา พบได้บนเนินเขาและสันเขาที่มีดินปนทราย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,800 เมตร - ในประเทศไทย พบขึ้นตามป่าธรรมชาติทุกภาคของประเทศไทย ที่ระดับความสูง 500 - 1,000 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ โดยทั่วไปสูงประมาณ 7 เมตร แต่อาจสูงได้ถึง 10-15 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 80 ซม.เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกสะเก็ดแผ่นบางๆ โคนต้นมักเป็นพูพอน กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ยาว 7-15 ซม ใบรูปหอก ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม แผ่นใบหนา เส้นแขนงใบ 6-12 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซม.ใบอ่อนสีน้ำตาลอมแดง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่มเล็กๆ ออกตามปลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อย 30-40 ดอกสีขาวถึงสีเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อนเชื่อมติดกับฐานรองดอกรูปกรวย กลีบดอก 5 กลีบ รูปช้อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก สีขาวปลายเหลืองอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1-1.5 ซม. ไร้ก้าน ไม่มีก้านดอกเทียม ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดี่ยว ทรงกลมแป้นเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-1 ซม.ปลายหรือก้นผลบุ๋ม รวมกันเป็นพวง ผลสุกเต็มที่สีขาว เมล็ดรูปทรงกลมแป้น สีน้ำตาลอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 11: above 4.5 °C) อุณหภูมิที่เหมาะสม 15 - 38 ℃ ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งหลังฤดูออกดอกช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตใหม่และรูปแบบที่ต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อแมลงและโรคพืช รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์--- มีการเก็บเกี่ยวต้นไม้จากป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ในท้องถิ่น เป็นอาหารและเป็นแหล่งของแทนนินและไม้ ใช้กิน---ในประเทศไทย ใบอ่อนสีแดง มีรสฝาดค่อนข้างเปรี้ยว นำมารับประทานเป็นผัก ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ ยำ ใช้กินกับขนมจีนหรือเป็นผักจิ้ม น้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาปรุงกับเครื่อง ปรุงต่างๆ ผลสุกมีรสชาดหวาน ฉํ่าน้ำ ใช้เป็นยา---พืชใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ ใบสดตำพอกแก้เคล็ดบวม - ในการแพทย์แผนไทย ใบอ่อน แก้ปวดเสียดในท้อง ท้องอืดแน่น ท้องเฟ้อ ใช้ผลมะกรูด หรือใบพลู รมควันใต้ใบเสม็ดพออุ่นๆ นาบท้องเด็กแก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อในเด็ก แก้ปวดท้องได้ดีมาก ใช้ปลูกประดับ---นิยมโยกย้ายขุดล้อมเปลี่ยนที่นำเข้ามาใช้ในงานจัดสวนขนาดใหญ่ ในสวนสาธารระ อาคารที่พักอาศัย ใช้อื่นๆ---ไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจงสำหรับไม้ของสายพันธุ์นี้ แต่เป็นของไม้ซุงกลุ่มหนึ่งที่เรียกรวมกันว่า 'kelat' - ลักษณะทั่วไปของไม้ kelat :-แก่นไม้มีสีน้ำตาลทอง น้ำตาลอมเทาหรือน้ำตาล มีประกายสีชมพูหรือม่วง เนื้อไม้แข็งใช้ในงานโครงสร้างได้แต่โดยปกติไม่ถือว่ามีมูลค่ามากนัก - เปลือกที่ให้สารแทนนินใช้ทำอวนจับปลาที่แข็งแรง - เปลือกให้สีย้อมสีน้ำตาลแดงหรือดำ สำหรับย้อมเสื้อผ้า พิธีกรรม/ความเชื่อ---*มีความเชื่อกันว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง คอยป้องกันภัยให้กับคนในบ้าน เชื่อกันว่าต้นเม็กเป็นที่สิงสถิตของรุกขเทวดา หรือเทพชั้นสูง จะล่วงเกินหรือลบหลู่ไม่ได้เด็ดขาด source: https://kaset.today/ ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/ พฤษภาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง - เมล็ดควรเนำมาพาะทันทีที่สุก
|
72 ศุภโชค/Pachira aquatica
[pak-EYE-ruh] [ˈa-KWA-tee-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pachira aquatica Aubl.(1775) ชื่อพ้อง ---Has 15 Synonyms. ---Bombax aquaticum (Aubl.) K.Schum.(1895) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:179762-2#synonyms ชื่อสามัญ---Malabar chestnut, Money Tree, French peanut, Guiana- chestnut, Provision tree, Saba nut, Water-chestnut ชื่ออื่น---ศุภโชค, นุ่นน้ำ(ทั่วไป); [BRAZIL:Cacao selvagem,Castanha das Guianas, Monguba]; [CHINESE:Fācáishù, Gua li.]; [COLOMBIA:Zapotolongo,Zapoton.];[CZECH: Bombakopsis vodni.];[FRENCH: Cacaoyer-Riviere, Châtaignier marron, Noisetier de la Guyane, Pachirier aquatique.];[GERMAN: Wasserkastanie, Wilder cacobaum, Wilder kakaobaum, Glückskastanie, Sumpf-Rasierpinselbaum.];[GUATEMALA: Pumpo.];[MEXICO: Apompo, Zapote bobi.];[PHILIPPINES: Castañas (Tag.).];[PORTUGUESE: Astanheirodo Maranhao, Cacau selvagem, Castanheira de agua, Castanheiro-da-guiana.];[SPANISH: Castaña de agua, Ceibon de agua, Palo de boya, Zapote bobo, Zapote de agua.];[THAI: Suppha chok, Noon nam (General).];[TRADE NAME: Money Plant, Money Tree.]. EPPO Code---PCJAQ (Preferred name: Pachira aquatica.) ชื่อวงศ์---BOMBACACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-บราซิล, โบลิเวีย, เปรู, เอกวาดอร์, โคลัมเบีย, เวเนซุเอลา, กายอานา; อเมริกากลาง - ปานามาไปยังเม็กซิโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pachira' มาจากภาษาเก่าที่พูดกันในภาษากายอานา และแปลได้คร่าวๆ ว่า 'ถั่วน้ำหวาน' ; ชื่อของสายพันธุ์คือคำภาษาละติน "aquatica" = น้ำโดยมีการอ้างอิงไปยังสถานที่ลุ่มซึ่งมักจะมีชีวิตอยู่ Pachira aquatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์นุ่น (Bombacaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Christian Fusée-Aublet (ค.ศ. 1720–1778) เภสัชกร นักพฤกษศาสตร์ และนักสำรวจชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2318 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน (โบลิเวีย เบลีซ บราซิล โคลัมเบีย คอสตาริกา เอกวาดอร์ เอลซัลวาดอร์ เฟรนช์กายอานา กัวเตมาลา กายอานา ฮอนดูรัส เม็กซิโก นิการากัว ปานามา เปรู ซูรินาม และเวเนซุเอลา) ซึ่งมีการเจริญเติบโต ในป่าอุดมสมบูรณ์บริเวณริมแม่น้ำ ทะเลสาบ และปากแม่น้ำ ที่ระดับความสูง 0-1,200 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนไม่ผลัดใบต้นสูงถึง 18-25 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลาง 30-90 ซม.เปลือกบางสีเขียวเป็นเวลานานจึงกลายเป็นสีเทา มีรอยแยกเล็กน้อยตามเส้นแนวตั้ง ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ใบย่อย 5-7 ใบ ขนาดไม่เท่ากันเรียงเวียนแน่นบริเวณปลายกิ่ง ยาวไม่เกิน 28 ซม.กว้าง 3-14 ซม.ดอกเดี่ยวสีขาวนวลอมเขียวเป็นดอกระเทย (hermaphrodite) มีกลีบดอก 5 กลีบม้วนงอยาวถึง 30 ซม.กว้าง1.5 ซม.หลุดร่วงง่าย ตรงกลางมีเกสรเพศผู้จำนวนมากยาว 8-15 ซม.ท่อนล่างสีขาวหรือเหลืองอ่อนส่วนด้านบนสีแดง ผลเป็นแคปซูลมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลมีเนื้อไม้หยาบ รูปไข่ ยาว 20-30 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-15 ซม. แก่แล้วแตก มีเมล็ด 10-25 เมล็ด เมล็ดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ปลูกในประเทศที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้นอุณหภูมิที่เหมาะสม 20-22°C ไม่ควรต่ำกว่า 14°C ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ (-2) ถึง (-3)°C แม้ว่าใบจะร่วงไป ต้องการแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน ไม่เฉพาะเจาะจงกับดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบดินร่วนลึกและอุดมสมบูรณ์ ทนทานต่อความแห้งแล้ง ต้นไม้เติบโตเร็วสามารถเข้าถึงความสูง 3.5 เมตรภายใน 2 ปีจากเมล็ด การรดน้ำ---ควรรดน้ำสม่ำเสมอในฤดูร้อน ใบพืชจะร่วงหล่นหากดินแห้ง และลดน้ำลงในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิที่ต่ำลงทำให้ใบเหลืองและร่วง และอาจเน่าเสียถึงตายได้ เนื่องจากความชื้นส่วนเกินในชั้นล่าง ในสถานการณ์เช่นนี้ควรหยุดการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย 3-4 ครั้งต่อปี ด้วยปุ๋ยคอกและป๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง ใช้ประโยชน์--- พืชมีการใช้อย่างกว้างขวางมีคุณค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมล็ดที่กินได้และอื่น ๆ, ยา, เส้นใย, สีย้อม, ไม้ ฯลฯ ใช้กิน---เมล็ดคั่วกินได้ ดิบหรือสุก รสชาติของเมล็ดดิบเหมือนถั่วลิสงเมื่อคั่วหรือทอดในน้ำมันมันมีรสชาติของเกาลัด รสชาดของเมล็ดคั่วเหมือนโกโก้ เมล็ดบดเป็นแป้งและใช้ทำขนมปัง เมล็ดคั่วบางครั้งใช้ทำเครื่องดื่ม ใบอ่อนและดอกไม้ - ปรุงและใช้เป็นผัก ใช้เป็นยา---เปลือกผลไม้ ใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ เมล็ดใช้เป็นยาชา ยาต้มเปลือกใช้ในการรักษาโรคโลหิตจางความดันโลหิตสูงและอ่อนเพลีย เปลือกไม้ใช้สำหรับรักษาอาการปวดท้องและปวดหัว ใช้ปลูกประดับ---ได้รับความนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย นิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายในวางไว้ในที่มีแสงสว่างมากทนได้ดีในร่มเงาบางส่วน ในส่วนภายนอกยังใช้เป็นไม้ประดับให้ร่มเงาตามถนน และเป็นไม้ประดับจัดสวน - ด้วยรูปร่างเฉพาะของลำต้น ขยายฐานเล็กน้อย และรากที่ผิวเผิน ทำให้นักสะสม caudiciforms ชื่นชอบ และมักทำเป็นบอนไซ ใช้อื่น ๆ---ไม้สีขาวมีน้ำหนักเบาเป็นเส้นนุ่ม มีความทนทานต่ำ ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ที่มีคุณภาพต่ำเช่นการทำกล่องและไม้ขีดไฟ เหมาะสำหรับ การผลิตกระดาษ, เปลือกไม้ให้สีย้อมสีเหลืองหรือสีแดง,ไฟเบอร์ได้มาจากเปลือกไม้ น้ำมันจากเมล็ด มีศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่ ผลไม้กระจายบนพื้นเพื่อขับไล่หมัดทราย พิธีกรรม/ความเชื่อ--- ต้นไม้ที่นำลำต้นมาถักเปียแล้วใส่กระถางที่ทำเป็นรูปเงินตำลึงจีน สีเงิน และสีทองให้เป็นของขวัญกัน ได้จากต้นที่เพาะเมล็ด ภาษาจีนเรียกว่า “เหยาเฉียนซู่” แปลว่า เรียกเงิน หรือ เขย่าเงิน ความนิยม เหล่านี้ได้เริ่มขึ้นในญี่ปุ่นและต่อมาก็เป็นที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับโชคลาภทางการเงินที่ดีและมักจะเห็นในธุรกิจบางครั้งก็มีริบบิ้นสีแดงหรือเครื่องประดับมงคลอื่น ๆ ที่แนบมา ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN Red List of Threatened Speciesในปี 2018 โดย Pachira Aquatica ถูกระบุอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Pachira aquatica. The IUCN Red Lis tof Threatened Species 2019 :e. T146783390A146783392. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T146783390A146783392.en. Accessed on 03 January 2024. ระยะออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ฃยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ เมล็ดใช้เวลาการงอก 8-10 วัน - ดอกไม้ผลิตครั้งแรกเมื่อพืชมีอายุ 4-5 ปีจากการปลูกด้วยเมล็ด - การติดผลจะเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณปีที่ 5 จากการปลูกด้วยเมล็ด
|
73 หูกระจง/Terminalia ivorensis
[ter-min-NAY-lee-uh] [ˈi-vo-ˈren-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia ivorensis A.Chev.(1909) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:171174-1 ชื่อสามัญ---Black Afara, Ivory Coast almond, Blackbark, Shinglewood ชื่ออื่น--- หูกระจง, หูกวางแคระ (กรุงเทพฯ) ; [BENIN: Egboinebi.];[CAMEROON: Lidia.]; [FRENCH: Framiré.];[GHANA: Emeri.]; [NIGERIA: Black afara, Idogbo, Sdigbo.]; [SIERRA LEONE: Baji, Bassi.];[SWEDISH: Framiré.]; [THAI: Hu kra chong, Hu kwang khrae (Bangkok).]; [WEST AFRICA: Basi bundo.]; [TRADE NAME: Baji, Black afara, Emeri, Framiré, Idigbo, Lidia, Sdigbo.]. EPPO Code---TEMIV (Preferred name: Terminalia ivorensis.) ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตการกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันตก แถบเส้นศูนย์สูตรประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Terminalia' คำคุณศัพท์ภาษาละติน =ปลายทาง ; ฉายาของสายพันธุ์ 'ivorensis' = ของ, จากหรือเกี่ยวข้องกับ Côte d'Ivoire หรือชาว Ivorian Terminalia ivorensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอก ในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย Auguste Jean Baptiste Chevalier (1873 –1956) นักพฤกษศาสตร์และTaxonomistชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2452 ที่อยู่อาศัย---ถิ่นที่อยู่แคเมอรูน; โกตดิวัวร์; กานา; กินี; ไลบีเรีย; ไนจีเรีย; เซียร์ราลีโอนพบได้ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ สูง 15-46 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2 - 4.75 เมตร ต้นไม้สร้างรากแก้วที่ดีโดยรองรับรากด้านข้างอันทรงพลัง 6 - 8 อัน มีฐานของระบบรากที่แพร่หลายและค่อนข้างตื้น ทรงพุ่มแผ่เป็นชั้นๆ หนาทึบ แตกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น เมื่อต้นโตเต็มที่ปลายกิ่งจะลู่ลง เปลือกต้นสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่อง ตามแนวยาว สีน้ำตาลอมเหลืองและมีรอยด่างขาวทั่วทั้งลำต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ที่ปลายกิ่ง รูปไข่กลับ กว้าง 1 -1.5ซม. ยาว 1.5-3 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบแคบ เว้า และมีต่อม 1 คู่ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและเหนียว สีเขียวเรียบเป็นมัน ใบอ่อนสีน้ำตาลอมเขียว ก้านใบยาวประมาณ 0.4 ซม.ดอก สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแท่ง โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกสมบูรณ์เพศอยู่บริเวณโคนช่อ เกสรเพศผู้ 10 อัน ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว รูปไข่หรือรูปรีป้อมและแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 ซม. ยาว 3-7 ซม. สีเขียว เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียวมีเนื้อ และชั้นหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็งและเหนียว เมล็ดรูปรี สีน้ำตาล ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 20 - 33°C ไม่ทนต่อความเย็นจัด ต้องใช้ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ทนต่อร่มเงาได้ปานกลาง ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินลูกรัง ดินเนื้อดี ดินทรายและดินภูเขาไฟ ต้องการ pH ในช่วง 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4.5 - 7.5 ไวต่อน้ำขังแต่สามารถทนต่อน้ำท่วมในช่วงเวลาสั้น ๆ การเจริญเติบโตของความสูงจะรวดเร็วที่สุดในช่วง 10 ปีแรกของอายุของต้นไม้ และลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น ในช่องว่างขนาดกลางถึงใหญ่ในป่า ต้นไม้เล็กอาจมีความสูง 17 เมตร โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 ซม. เพียง 8 ปีหลังงอก ต้นไม้มีอายุยืนยาวโดยธรรมชาติ เมื่อแก่แล้ว แก่นไม้จะทรุดโทรม กลวง หรือเปราะ การเพาะปลูกควรให้แน่ใจว่าการตัดโค่นเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม การหมุนเวียนที่ใช้ในสถานที่ที่ดีในแอฟริกาคือ 40 ปี การรดน้ำ---แม้ว่าต้นไม้จะทนแล้งได้เมื่อปลูกแล้ว แต่ก็ต้องรดน้ำเป็นประจำ ในช่วงการเจริญเติบโตระยะแรก การตัดแต่งกิ่ง---ควรทำการตัดแต่งกิ่ง เพื่อ กำจัด กิ่ง ที่ตายหรือเป็นโรคออก และเพื่อจัดรูปร่างต้นไม้เมื่อโตขึ้น เวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งกิ่งคือช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงที่ต้นไม้อ่อนแอต่อการติดเชื้อน้อยกว่า การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อแมลงศัตรูพืชเช่น Apat monachus (หนอนเจาะดำ) จะเจาะเข้าไปในส่วนต่างๆของลำต้น ทำให้หักและสามารถฆ่าต้นไม้ได้ ; ปลวก (Isoptera spp.) ซึ่งสามารถทำลายไม้ได้/เชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคที่อาจทำให้เน่าเปื่อยได้ การตรวจสอบและบำรุงรักษาต้นไม้เป็นประจำสามารถช่วยป้องกันความเสียหายที่สำคัญได้ ต้นไม้อาจประสบกับสภาวะที่มีน้ำขัง ซึ่งอาจทำให้รากเน่าได้ รู้จักอ้นตราย---ฝุ่นจากไม้เลื่อยอาจทำให้ผิวหนังหรือทางเดินหายใจระคายเคือง - พบว่าไม้มีซาโปนินซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในผู้ที่ทำงานกับมัน การใช้ประโยชน์---หนึ่งในไม้หลักของแอฟริกาตะวันตกมันถูกเก็บเกี่ยวอย่างกว้างขวางจากป่าและได้รับการแนะนำให้รู้จักกับประเทศเขตร้อนอื่นๆเปลือกไม้ถูกเก็บ จากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและสีย้อม ในถิ่นกำเนิดมักใช้ปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจ ปลูกไว้ตัดขายเนื้อไม้ ใช้เป็นยา---ยาต้มเปลือกใช้สำหรับการรักษาบาดแผล แผลริดสีดวงทวาร เปลือกไม้ที่เป็นผงลูบไปทั่วบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและไขข้ออักเสบเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ยางไม้ที่ได้จากใบอ่อนนำมาเป็นยาต้ม ใช้เพื่อรักษาอาการตกขาวและโรคไต ใช้ปลูกประดับ---เป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามแตกกิ่งเป็นชั้น ๆ ปลูกประดับสวน อาคาร ให้ร่มเงาริมถนนลานจอดรถ หูกระจงเป็นไม้ผลัดใบ แต่เมื่อนำไปปลูกลงดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และสม่ำเสมอใบแทบจะไม่ร่วงเลย แต่ถ้าขาดน้ำแล้วจะผลัดใบ เก็บกวาดใบไม่หวาดไม่ไหวเป็นที่อิดหนาระอากันอยู่ตอนนี้ เป็นไม้ใหญ่โตเร็ว มีระบบรากแก้วที่มีรากรองรับด้านข้างได้ 6-8 ราก นอกจากนี้ยังมีฐานของระบบรากที่แผ่กระจายและค่อนข้างตื้น จึงแผ่บารมีไปทุกทิศ การปลูกจึงต้องอยู่ในตำแหน่ที่ห่างจากตัวอาคารและทางเท้า วนเกษตรใช้---เป็นสายพันธุ์บุกเบิก สามารถสร้างเป็นอาณานิคมที่ดีของพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้าง ใช้อื่นๆ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาลอมชมพูอ่อน ลักษณะคล้ายกับไม้โอ๊ค เป็นไม้อเนกประสงค์ทั่วไปที่มีคุณค่าสำหรับงานก่อสร้าง งานไม้, เฟอร์นิเจอร์ชั้นดี เหมาะสำหรับพื้น, ตกแต่งภายใน ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในประเทศกานาสำหรับทำหลังคาซึ่งกล่าวกันว่ามีอายุ 15 - 20 ปี - ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและมีมูลค่าสูงในการทำถ่าน - สีย้อมสีเหลืองสามารถหาได้จากไม้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเปลือกไม้ - สีน้ำตาลแดงและสีย้อมสีดำหาได้ หากใช้โคลนที่อุดมด้วยธาตุเหล็กหรือเกลือของเหล็ก เป็นสารกันเสีย ใช้สำหรับย้อมผ้าและเส้นใยสำหรับงานตระกร้า เปลญวน ฯลฯ รู้จักอันตราย---ฝุ่นจากไม้แปรรูปอาจทำให้ผิวหนังหรือทางเดินหายใจระคายเคือง ไม้ถูกพบว่ามีซาโปนินซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในคนที่ทำงานกับมัน ภัยคุกคาม---เนื่องจากพืชถูกคุกคามโดยการสูญเสียที่อยู่อาศัยและการฟื้นฟูที่ไม่ดี การเอารัดเอาเปรียบสำหรับไม้โดยทั่วไปอยู่ในระดับปานกลาง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Terminalia ivorensis ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ A1cd สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE A1cd - ver 2.3 - IUCN. Red List of Threatened Species. (1998) source: Hawthorne, W. 1998. Terminalia ivorensis. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T33062A9754250. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T33062A9754250.en. Accessed on 03 January 2024. เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33062/9754250 - ความพยายามในการเติบโตของพื้นที่เพาะปลูกมักล้มเหลวเนื่องจากการตายบ่อยครั้ง ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง
|
74 พี้จั่น/Millettia brandisiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Millettia brandisiana Kurz.(1873) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:507295-1#synonyms ---Phaseoloides brandisianum (Kurz) Kuntze.(1891) ---Millettia laotica Gagnep.(1913) ---Millettia venusta Craib.(1927) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) (also called Brandis' Millettia) ชื่ออื่น---กระพี้จั่น, จั่น (ทั่วไป), ปี๊จั่น,พี้จั่น (ภาคเหนือ);[THAI: Kra phi chan, Chan (General); Pi chan, Phi chan (Northern).];[TRADE NAME: Thit pagan.]. EPPO Code---MIJSS (Preferred name: Millettia sp.) ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้: บังคลาเทศ พม่า ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Millettia' ตั้งชื่อตาม Charles Millet (1792–1873) นักสะสมพืชที่ร่วมงานกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 18 ; ฉายาเฉพาะของสายพันธุ์ 'brandisiana' ตั้งชื่อตาม Sir Dietrich Brandis KCIE FRS (31 March 1824 – 28 May 1907) เป็นนักพฤกษศาสตร์และนักวิชาการด้านป่าไม้ ชาวเยอรมัน - อังกฤษ Millettia brandisiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)วงศ์ย่อย ประดู่ (Leguminosae-Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz(1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2416
ที่อยู่อาศัย---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน บังคลาเทศ พม่า ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือ, ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 8-20 เมตรทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ โคนเป็นพูพอนเล็กน้อย เปลือกต้นหยาบสีเทาเข้มหรือสีน้ำตาลเทาปนดำเปลือกชั้นในสีแดงแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆตามส่วนต่างๆเกลี้ยงไม่มีขนใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อยเรียงตัวเป็นคู่ๆ 7--21 ใบ รูปรีแกมขอบขนาน โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ขนาดใบกว้าง1-3ซม.ยาว5-7ซม.ท้องใบสีเขียวเข้ม แผ่นใบสีจางกว่า ใบอ่อนสีส้มอมน้ำตาล ดอกเป็นช่อออกตามกิ่งข้างหรืออาจออกพร้อมใบที่แตกใหม่ยาว 7-22 ซม. แตกแขนง ค่อนข้างโปร่ง เมื่อยังอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองประปราย แต่ละช่อมีดอกจำนวนมาก ก้านดอกยาว 2-3 มม. กลีบเลี้ยงสีม่วงดำ ติดกันคล้ายรูประฆัง ยาวประมาณ 5 มม. ส่วนบนแยกเป็นกลีบรูปสามเหลี่ยม 5 กลีบ กลีบดอกสีม่วงหรือม่วงอมชมพู ยาว 0.8-1.1 ซม. มีขนาดและรูปทรงแตกต่างกัน เกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านชูอับเรณู 9 อันติดกันเป็นหลอดยาว ส่วนอีก 1 อันแยกเป็นอิสระ รังไข่แบนยาว มีขนสีขาวทั่วไป ผลเป็นฝักแห้งแล้วแตกขนาดยาว5-7.5ซม.แบนปลายโค้งและทู่ฐานสอบเข้าหากัน ผิวเกลี้ยงและแข็งเมล็ดแบน 1-3 เมล็ด สีน้ำตาลดำขนาด 0.8-1 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) เหมาะที่สุดกับดินเหนียวหรือดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี โดยมี pH เป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อน ๆอัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอ้นตราย---Unknown ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นพืชสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา ปลูกประดับให้ร่มเงา ใช้กิน--- ยอดอ่อน ใบอ่อนกินเป็นผัก ใช้เป็นยา--- รสฝาดมัน มีสรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ ใช้ปลูกประดับ--- นิยมปลูกตามบ้านเรือนและสวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงาและเป็นไม้ประดับดอกสวยงาม ใช้อื่น ๆ--- เนื้อไม้ใช้ทำเยื่อกระดาษ ด้ามเครื่องมือ ของเล่นเด็ก และทำดอกไม้ประดิษฐ์ และยังสามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น วงกบประตู หน้าต่าง ฝา บันได ทำฟืน ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์ --- เพาะเมล็ด ปักชำราก หรือแยกลำต้นที่เกิดใหม่
|
75 ชิงชัน/Dalbergia oliveri
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dalbergia oliveri Gamble ex Prain.(1897) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:490372-1/images ชื่อสามัญ---Black Wood, Rose Wood, Burma Rosewood, Burma Tulipwood, Pinkwood, Tamalan Tree ชื่ออื่น---ชิงชัน, เค็ดแดง(ทั่วไป);[CAMBODIA: Neang Nuon (Central Khmer).];[ITALIAN: Palissandro d'Asia, Palissandro di Birmania.];[JAPANESE: Techigaishitan.];[LAOS: Mai Kham Phii, Mai Kor Phee, Pa Dong Daeng.];[MYANMAR: Tamalan.];[RUSSIAN: Dal'bergiia Olivera.];[THAI: Ching Chan, Khet daeng (General).];[VIETNAM: Cẩm lai, Trắc lai];[TRADE NAME: Burmese rosewood, Laos rosewood, Asian rosewood.] EPPO Code---DAGOL (Preferred name: Dalbergia oliveri.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Dalbergia ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Carl Gustav Dahlberg (1753-1775)และพี่ชายNils E. Dahlberg (1730-1820) ; ฉายาเฉพาะ 'oliveri' ตั้งชื่อตาม Antoine Olivier (1756 - 1814) นักสะสมชาวฝรั่งเศสบนภูเขา Elwend Dalbergia oliveri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Sykes Gamble (1847–1925) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Sir David Prain (1857 –1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2440 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศ อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย กระจายไปในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ในป่าหลากหลายประเภท ทั้งป่าปฐมภูมิและป่าทุติยภูมิ ป่าดิบ ป่ากึ่งไม่ผลัดใบ และป่ากึ่งผลัดใบ และมักพบตามลำธาร ที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร - ในประเทศไทย พบขึ้นเกือบทั่วทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทั่วไป ที่ระดับความสูง 100-775 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลัดใบสูง 15-25 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ความสูงอกมากกว่า 60 ซม.ลักษณะทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลมกว้างและโปร่ง เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาค่อนข้างหนาแตกเป็นสะเก็ด และหลุดออกเป็นชิ้นเล็กๆ เปลือกชั้นในสีเหลือง แก่นไม้สีแดงแก่ เมื่อถากทิ้งไว้เนื้อไม้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ขนาด 15-30 ซม.มีใบย่อยเรียงสลับ 5-7 (10) คู่ ขนาดของใบย่อย 3-8 x 1.3 ซม. ใบย่อยรูปใบหอกผิวใบเกลี้ยง ใบอ่อนสีชมพูปนแดงหรือสีแดงมีขนคล้ายไหม ช่อดอกแบบช่อเชิงประกอบ ยาว 10-15 ซม.ดอกย่อยแบบดอกถั่ว ดอกตูมสีม่วงแดงเมื่อบานม่วงปนชมพูหรือขาว ผล เป็นฝักแคบและแหลมทั้งสองด้าน ขนาด 9-14 x 2.5-4 ซม.ส่วนที่หุ้มเมล็ดหนา แข็งมีลักษณะคล้ายกระเปาะ ผิวเรียบตรงกระเปาะนูนเด่นเห็นได้ชัด เมล็ดรูปไต สีน้ำตาลออกแดง แข็ง มี 1-3 เมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---(USDA Zone:10-12) ต้องการแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ชอบดินอุดมสมบูรณ์และดินร่วนชื้น ความต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ทนต่อสภาพแห้งแล้ง มีอายุยาวนาน 60- 100 ปี อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ - แม้ว่าหลายชนิดในวงศ์ Fabaceae มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน กล่าวกันว่าสายพันธุ์นี้ไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศได้ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุกครั้งที่ดินเริ่มแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากจนทำให้ดินเปียกแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวัง มอดรูเข็ม (Pin-hole borer beetles หรือ Ambrosia beetles) รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์--- เป็นไม้เนื้อแข็งที่ใช้ในการก่อสร้าง เนื้อไม้สีตั้งแต่ม่วงอ่อนถึงม่วงแก่ มีเส้นแรกสีดำ เนื้อละเอียดปานกลาง แข็งเหนียว มีความทนทานมาก ตกแต่งง่ายชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือนพานท้ายปืน เครื่องดนตรีเช่น ขลุ่ย ซอ จะเข้ ลูกระนาด กลองโทน รำมะนา พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน---*ปัจจุบันมีต้น Dalbergia Oliveri หนึ่งต้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นต้นไม้มรดกในสิงคโปร์ สามารถพบได้ที่สวนสาธารณะ Fort Canning Park หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นไม้เหล่านี้ โปรดไปที่ ทะเบียนมรดกต้นไม้ (The Heritage Tree Register.) https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/2/8/2837 ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามโดยการแสวงหาผลประโยชน์จากไม้มากเกินไป ภัยคุกคามนี้เกิดขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 1990) และส่งผลให้จำนวนประชากรชนิดนี้ลดลงอย่างมากทั่วโลก กิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Dalbergia Oliveri ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งภายใต้เกณฑ์ A2cd+3cd+4cd (ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต) สถานะการอนุรักษ์---CR- CRITICALLY ENDANGERED A2cd+3cd+4cd-ver3.1-IUCN Red List of Threatened Species.(2020) source: Barstow, M., Boshier, D., Bountithiponh, C., Changtragoon, S., Gaisberger, H., Hartvig, I., Hung, H., Jalonen, R., Kanchanarak, T., Mackay, J., Ping, H., Thammavong, B., Theilade, I., Tran, T., Win, P. & Zheng, Y. 2022. Dalbergia oliveri. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: e.T215341339A2813403. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-1.RLTS.T215341339A2813403.en. Accessed on 04 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/215341339/2813403 - มีแนวปฏิบัติและนโยบายการอนุรักษ์ระดับประเทศสำหรับสายพันธุ์ที่ได้รับการสนับสนุนในระดับที่แตกต่างกัน - ในประเทศกัมพูชา การเก็บเกี่ยวพันธุ์ไม้หายากถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งรวมถึง D. Oliveri (EIA 2012) นอกจากนี้ ยังมีการห้ามการแปรรูป การใช้ และการส่งออกสายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2013 อย่างไรก็ตาม ยังคงทราบเส้นทางการค้าที่ผิดกฎหมายสำหรับสายพันธุ์ในประเทศ (Winfield et al. 2016) - ในปี พ.ศ. 2551 สปป. ลาวสั่งห้ามการตัดไม้และในปี พ.ศ. 2554 ห้ามส่งออกพันธุ์ไม้ดังกล่าว นอกจากนี้ ภายใต้ พ.ศ. 2550 กฎหมายป่าไม้ควรได้รับการส่งเสริมเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ไม้จากต้นไม้ในป่าซึ่งรวมถึงการสำรวจและการวางแผนการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ที่ถูกคุกคาม (Winfield et al. 2016) - ในประเทศไทย สายพันธุ์ดังกล่าวเป็นไม้หวงห้ามโดยเฉพาะ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา ได้มีการห้ามตัดไม้ตัวอย่างป่าธรรมชาติ (Winfield et al. 2016) ในประเทศไทย สัตว์ชนิดนี้ยังคงอยู่ในพื้นที่คุ้มครอง (CoP16 Prop 60 2013) - ในเวียดนาม การใช้สายพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น (รวมถึงการเพาะพันธุ์และการขยายพันธุ์เทียม) และการเก็บเกี่ยวเชิงพาณิชย์ของสายพันธุ์นั้นถูกห้ามในปี 2014 (EIA 2012) ประเทศผ่านการห้ามตัดไม้เริ่มแรกในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งได้รับการขยายในปี พ.ศ. 2549 ให้รวมท่อนไม้และไม้แปรรูปจากป่าธรรมชาติ ไม่รวมพื้นที่เพาะปลูก ประเทศยังได้ให้สัตยาบัน CITES และริเริ่ม EU FLEGHT VPA (EIA 2018) แต่ถึงแม้ในระหว่างปี 2016-17 ก็ยังมีโควตาเพื่อส่งเสริมการค้าไม้ข้ามพรมแดนระหว่างเวียดนามและกัมพูชาโดยมีพื้นที่คุ้มครองที่กำหนดเป้าหมายสำหรับการเก็บเกี่ยวไม้ดังกล่าว ( รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม 2560) EIA 2017 ยังพบว่าบันทึกการนำเข้าไม้ในเวียดนามนั้นต่ำกว่าประเทศที่ส่งออกไปยังเวียดนามมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสและกีดกันกิจกรรมการตัดไม้ที่ผิดกฎหมายในเวียดนาม - ในเมียนมาร์ ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้ 'สงวน' ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องได้รับอนุญาตอย่างชัดเจนจากกระทรวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและป่าไม้ (MOECAF) เพื่อเก็บเกี่ยวสายพันธุ์นี้ (Kyaw 2014) - สายพันธุ์นี้อยู่ใน CITES ภาคผนวก II พร้อมด้วย Dalbergia สายพันธุ์อื่นๆ ทั้งหมด (ตั้งแต่ปี 2016) สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการประกาศในการนำเข้าและส่งออกการค้าใน Dalbergia Oliveri เพื่อบันทึกและใบอนุญาตที่ถูกต้องที่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกถือครองซึ่งทำหน้าที่เป็นการจำกัดการค้า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการค้าพันธุ์อย่างผิดกฎหมาย โดยมีช่องโหว่และการติดสินบนทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังมีความยากลำบากในการระบุสายพันธุ์ Dalbergia บางชนิด ณ จุดส่งออกเนื่องจากความคล้ายคลึงกันในแก่นไม้ของสกุล ดังนั้นบุคคลบางคนอาจถูกประกาศผิดว่าเป็นสายพันธุ์ที่ถูกคุกคามน้อยกว่า เป็นเพราะกิจกรรมที่คล้ายกันซึ่งมักจะบังคับใช้กฎหมายระดับชาติเพื่อคุ้มครองสายพันธุ์ได้ยาก ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หรือแยกต้นที่เกิดใหม่l - *เช่นเดียวกับหลายสายพันธุ์ในตระกูล Fabaceae เมื่อพวกมันถูกทำให้แห้งเพื่อเก็บรักษา เมล็ดของสายพันธุ์นี้อาจได้รับประโยชน์จากการทำให้เป็นแผลก่อนหว่านเพื่อเร่งการงอก โดยปกติสามารถทำได้โดยการเทน้ำเกือบเดือดจำนวนเล็กน้อยลงบนเมล็ด (ระวังอย่าให้สุก!) แล้วแช่ไว้ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้พวกมันควรจะดูดซับความชื้นและบวมแล้ว - - - - หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้ทำการกรีดเปลือกเมล็ดอย่างระมัดระวัง(อย่าให้ตัวอ่อนเสียหาย)และแช่ไว้อีก12ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด source: https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Dalbergia+oliveri
|
76 พะยูง/Dalbergia cochinchinensis
[dal-BERG-ee-uh] [ko-chin-chin-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dalbergia cochinchinensis Pierre.1898 ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:490142-1#synonyms ---Amerimnon cambodianum Pierre (1898) ---Amerimnon cochinchinense Pierre (1898) ---Amerimnon fuscum Pierre (1898) ---Dalbergia cambodiana Pierre (1898) ---Dalbergia cochinchinensis Laness. (1886) ---Dalbergia fusca var. enneandra S.Q.Zou & J.H.Liu (1984) ชื่อสามัญ--- Siamese Rosewood, Vietnamese Rosewood, Thailand rosewood, Cambodian Rosewood, Tracwood ชื่ออื่น---กระยง, กระยุง (เขมร-สุรินทร์); ขะยุง (อุบลราชธานี); แดงจีน (ปราจีนบุรี); ประดู่ตม, ประดู่น้ำ (จันทบุรี); ประดู่ลาย (ชลบุรี); ประดู่เสน (ตราด); พะยูง (ทั่วไป); พะยูงไหม (สระบุรี); หัวลีเมาะ (จีน) ;[CAMBODIA: Kranhung; Kra Nhoung (Central Khmer).];[CHINESE: Hong suan zhi, Suān zhī mù, Jiao zhi huang tan.];[FRENCH: Palissandre de Siam.];[ITALIAN: Palissandro del Siam, Palissandro della Thailandia.];[JAPANESE: Keranji, Tai rozuuddo, Torakku uddo.];[LAOS: Kayung, Kha Nhoung.];[THAI: Kra-yong, Kra-yung (Khmer-Surin); Khayung (Ubon Ratchathani); Daeng chin (Prachin Buri); Pradu tom, Pradu nam (Chanthaburi); Pradu lai (Chon Buri); Pradu sen (Trat); Phayung (General); Phayung mai (Saraburi).];[VIETNAM: Trắc, Cẩm lai nam bộ, Trac bong, Cam lai nam, Glau ca, Ka rac, Ka nhong.]. EPPO Code---DAGCO (Preferred name: Dalbergia cochinchinensis) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เขตการกระจายพันธุ์---ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียตนาม ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dalbergia' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Carl Gustav Dahlberg (1753-1775) และ พี่ชาย Nils E.Dahlberg (1730-1820) ; ฉายาของสายพันธุ์ 'cochinchinensis' หมายถึง Cochinchina (ชื่อเก่าของเวียดนามตอนใต้) เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเวียดนาม - ชื่อสามัญ "Thailand rosewood" หมายถึงกลิ่นหอมคล้ายดอกกุหลาบที่ผลิตจากไม้หลังจากเลื่อยแล้ว Dalbergia cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2441 ที่อยู่อาศัย---พบในภูมิภาคอินโดจีนมีถิ่นกำเนิดในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในป่าเปิดและป่ากึ่งผลัดใบบางครั้งพบในพื้นที่ไม่ถูกรบกวน ที่ระดับความสูง 0 - 700 เมตร ส่วนใหญ่จะเน้นที่ระดับความสูง 400 - 500 เมตร - ในประเทศไทยพบ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเป็นส่วนมาก ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบทั่วไปในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-300 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง สูง 15-30 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 60 ซม.เปลือกต้นสีเทาเรียบ ลอกเป็นแผ่นบางๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน แก่นสีแดงอมม่วงถึงสีเเลือดหมูเข้ม มีริ้วสีดำ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมยาวค่อนข้างโปร่ง ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบย่อย7-9ใบรูปไข่หรือใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่า ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด ยาว10-20ซม.ดอกรูปดอกถั่วสีขาวนวลมีกลิ่นหอม ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบนและบอบบางกว้างประมาณ 1.2ซม.ยาวประมาณ 4-6ซม. เกลี้ยง ตรง แห้งแล้วไม่แตก เมล็ดรูปไตสีน้ำตาลเข้ม มี1-4เมล็ด ผิวเมล็ดค่อนข้างมัน มีขนาดกว้างประมาณ 4 มม. ยาวประมาณ 7มม.
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในป่าเขตร้อนที่ลุ่ม(USDA Zone:10-12) อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 20 - 32°C และอุณหภูมิต่ำสุดสัมบูรณ์ 10°C ต้องการแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ต้นไม้อายุน้อยกว่านั้นสามารถทนต่อร่มเงาได้ ประสบความสำเร็จในสภาพดินส่วนใหญ่ ชอบดินเหนียวทรายลึกและดินปูน ทนต่อสภาพแห้งแล้ง อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ -สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนที่รากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุกครั้งที่ดินเริ่มแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากจนทำให้ดินเปียกแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 3 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรูพืชหรือโรคพืชที่สำคัญ ระวัง มอดรูเข็ม (Pin-hole borer beetles หรือ Ambrosia beetles) รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ให้ผลผลิตสูงและน่าดึงดูดมากสำหรับเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม ในเชิงพาณิชย์จากป่า ใช้เป็นยา---ตำรับยาพื้นบ้านอีสาน ประเทศไทย จะใช้เปลือกต้นหรือแก่นพะยูง นำมาผสมกับแก่นสนสามใบ แก่นขี้เหล็ก และแก่นแสมสาร ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้มะเร็ง เปลือกนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้เป็นยาอมรักษาโรคปากเปื่อย ยางสดใช้เป็นยาทาปาก รักษาโรคปากเปื่อย ยางสดใช้ทาแก้เท้าเปื่อย - *สารประกอบที่แยกได้จากลำต้นมีศักยภาพในการรักษาโรคที่ขึ้นกับแอนโดรเจน (Pathak et al. 1997) เช่น มะเร็งต่อมลูหมาก source: https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/2/8/2835 วนเกษตรใช้---เป็นพืชตรึงไนโตรเจนเหมาะสำหรับใช้ปรับปรุงดิน ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีแดงหรือเกือบดำมีเนื้อละเอียด ไม้มีน้ำหนักมากและทนทานใช้งานง่าย ทนทานต่อแมลง ที่น่าดึงดูดใจด้วยเนื้อไม้ ที่โดดเด่นสร้างลวดลายที่สวยงามเมื่อถูกตัด ไม้ที่ถูกตัดจะปล่อยกลิ่นหอมเหมือนกุหลาบ ใช้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง งานแกะสลักและงานฝีมือ ใช้ทำเกวียน ทำหน้าไม้ คันธนู กรุผนังสวยงามใช้ทำ เครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย กลองโทน รำมะนา ลูกระนาด ใช้เป็นถ่านคุณภาพดี พิธีกรรม/ความเชื่อ---ในประเทศไทย ต้นพะยูงถือเป็นไม้มงคล เชื่อว่าบ้านใดปลูก จะทำให้บุคคลในบ้านมีแต่ความเจริญ ฐานะดีขึ้น ช่วยไม่ให้ชีวิตตกต่ำ การปลูกควรปลูกในวันเสาร์ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ - คนไทยโบราณจัดต้นพะยูงอยู่ในหนึ่งไม้มงคล 9 ชนิด ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร หรือก่อฐานประดิษฐ์ถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ พิธียกเสาเอก - คนไทยไม่ใช้ประโยชน์จากไม้พะยูงมากเท่าใดนักเป็นเพราะไม้ชนิดนี้มีราคาสูงมากบวกกับคนไทยมีความเชื่อบางอย่าง ที่เชื่อว่าไม้พะยูงเป็นของสูง ผู้ที่มีบารมีไม่ถึงไม่สมควรเอามาใช้ เพราะจะมีปัญหาภายหลัง (ยกเว้นเอามาทำเป็นหิ้งพระ) ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงไม่นิยมนำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน บันไดบ้าน และเตียงนอน ใช้เพียงแต่ทำรั้วบ้านเท่านั้น สำคัญ---ต้นพะยูงเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดหนองบัวลำภู ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นไม้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปประกอบกับการถูกทำลายที่อยู่อาศัยได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี2020 ถูกระบุอยู่ในรายชื่อสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งภายใต้เกณฑ์ A2cd+4cd สถานะการอนุรักษ์---CR- CRITICALLY ENDANGERED A2cd+3cd+4cd-ver3.1-IUCN Red List of Threatened Species.(2020) source: Barstow, M., Boshier, D., Bountithiponh, C., Changtragoon, S., Gaisberger, H., Hartvig, I., Hung, H., Jalonen, R., Kanchanarak, T., Mackay, J., Ping, H., Thammavong, B., Theilade, I., Tran, T., Win, P. & Zheng, Y. 2022. Dalbergia cochinchinensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: e.T215342548A2822125. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-1.RLTS.T215342548A2822125.en. Accessed on 04 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/215342548/2822125 - มีแนวปฏิบัติและนโยบายการอนุรักษ์ระดับประเทศสำหรับสายพันธุ์ที่ได้รับการสนับสนุนในระดับที่แตกต่างกัน - ในประเทศกัมพูชาชนิดพันธุ์นี้ถูกกำหนดให้เป็นพันธุ์ที่มีความสำคัญในการอนุรักษ์และคุ้มครองโดยกฎหมายป่าไม้กัมพูชาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 (CTSP 2004) มีการห้ามการแปรรูป การใช้ และการส่งออกสายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2013 นอกจากนี้ เครือข่ายพื้นที่อนุรักษ์ยังได้รับการคุ้มครองโดยปฏิญญารัฐมนตรี เพื่อรักษาความแปรผันทางพันธุกรรมภายในสายพันธุ์ พื้นที่อนุรักษ์อาจทำหน้าที่เป็นแหล่งเมล็ดพันธุ์ในอนาคตสำหรับโครงการปลูกทดแทนและการเพาะปลูกในอนาคต โครงการฟื้นฟูสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นที่ชุมชนขุนเรียม เสียมราฐ ซึ่งเป็นที่ ที่ต้นไม้ใหญ่ตามธรรมชาติได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างเคร่งครัด ทดลองปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำ Kbal Chay จังหวัดสีหนุ เมื่อปี 2547 สวนผลไม้แบบต่อกิ่ง (0.45 เฮกตาร์) ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยเกษตรกรในจังหวัดโพธิสัตว์เพื่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ (ด้วยการสนับสนุนด้านเทคนิคและการเงินจาก UK Darwin Initiative) - ในปี พ.ศ. 2551 สปป. ลาวสั่งห้ามการตัดไม้ของ D. cochinchinesis และในปี พ.ศ. 2554 ห้ามการส่งออกไม้จากสายพันธุ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ภายใต้กฎหมายป่าไม้ของ สปป. ลาว พ.ศ. 2550 ควรมีความพยายามเพื่อเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ไม้จากต้นไม้ป่า ซึ่งรวมถึงการสำรวจและการวางแผนการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ที่ถูกคุกคาม (Winfield et al. 2016) ล่าสุด รัฐบาลลาวกำลังดำเนินการเพิ่มเติมเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้ดังกล่าวในกฎหมายป่าไม้ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2562 (GoL 2019) และได้ระบุชนิดพันธุ์ไม้ต้องห้ามไว้ใน Tree List I ของพันธุ์ไม้ต้องห้าม (MAF 2021) - ในประเทศไทย สายพันธุ์ดังกล่าวเป็นไม้หวงห้ามโดยเฉพาะ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา ได้มีการห้ามตัดไม้สำหรับตัวอย่างป่าธรรมชาติ (Winfield et al. 2016) ในประเทศไทย ชนิดนี้ยังคงอยู่ในพื้นที่คุ้มครอง (CoP16 Prop 60 2013) - ในเวียดนาม การใช้สายพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น (รวมถึงการเพาะพันธุ์และการขยายพันธุ์เทียม) การเก็บเกี่ยวเชิงพาณิชย์ถูกห้ามในปี 2014 (EIA 2012) ประเทศผ่านการห้ามตัดไม้เริ่มแรกในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งได้ขยายออกไปในปี พ.ศ. 2549 ให้รวมท่อนไม้และไม้แปรรูปจากป่าธรรมชาติ ไม่รวมพื้นที่เพาะปลูก ประเทศยังได้ให้สัตยาบัน CITES และริเริ่ม EU FLEGHT VPA (EIA 2018) แต่ถึงแม้ในระหว่างปี 2559-60 ก็ยังมีโควตาเพื่อส่งเสริมการค้าไม้ข้ามพรมแดนระหว่างเวียดนามและกัมพูชาโดยมีพื้นที่คุ้มครอง (ในกัมพูชา) ที่กำหนดเป้าหมายสำหรับการเก็บเกี่ยว ของไม้ดังกล่าว (EIA 2017) EIA 2017 ยังพบว่าบันทึกการนำเข้าไม้ในเวียดนามนั้นต่ำกว่าประเทศที่ส่งออกไปยังเวียดนามมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสและกีดกันกิจกรรมการตัดไม้ที่ผิดกฎหมายในเวียดนาม - สายพันธุ์นี้อยู่ใน CITES ภาคผนวก II พร้อมกับพันธุ์ Dalbergia อื่นๆ ทั้งหมด สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการประกาศในการนำเข้าและส่งออกการค้าใน Dalbergia cochinchinensis เพื่อบันทึกและใบอนุญาตที่ถูกต้องที่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกที่ทำหน้าที่เป็นผู้จำกัดการค้าถือไว้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องยากที่จะระบุสายพันธุ์ Dalbergia บางชนิด ณ จุดส่งออก เนื่องจากไม้พะยูงที่ผลิตDalbergia spp. มีความคล้ายคลึงกันในแก่นไม้ ดังนั้น บ่อยครั้งที่ไม้ชนิดนี้จึงถูกตราสัญลักษณ์ผิดว่าเป็นไม้ที่มีคุณค่าน้อยกว่าในเอกสารศุลกากรและการส่งออก กฎหมายระดับชาติเพื่อปกป้องสายพันธุ์ได้รับผลกระทบจากการประกาศผิดนี้ ทำให้กฎหมายคุ้มครองยากต่อการนำไปปฏิบัติ ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/กรกฎาคม-กันยายน ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด หรือแยกต้นที่เกิดใหม่ ตอนกิ่ง ปักชำ
|
77 บุหงาส่าหรี/Cithrarexylum spinosum.
[sith-uh-REKS-il-um] [spy-NO-sum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Citharexylum spinosum L.(1753 ) ชื่อพ้อง ---Has 37 Synonyms ---Citharexylum cinereum L. (1763), nom. superfl. ---Citharexylum fruticosum L. (1759), nom. superfl.- ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:319143-2#synonyms ชื่อสามัญ---Florida Fiddlewood, Jamaican fiddlewood, Spiny Fiddlewood, Fiddlewood, Lady chancellor tree, Susanna Berry, Savannah Berry. ชื่ออื่น--บุหงาแต่งงาน,บุหงาส่าหรี,บุหงาบาหลี; ราชาวดี (กรุงเทพฯ) ;[AFRIKAANS: Lierboom.];[CHINESE: Tíqín mù.];[FIJI: Masese.];[MALAYALAM: Parijatham.];[MALAYSIA: Pokok Mayang Sari, Bunga mayang sari, Benang sari, Bunga sari, Bunga harum sundal malam.];[SPANISH: Guitarrero, Pendola.];[THAI: Bu nga taengngan, Bu nga sari, Rachawadi (Bangkok).];[VIETNAM: Cầm mộc.] EPPO Code---CIKQU (Preferred name: Citharexylum spinosum.) ชื่อวงศ์---VERBENACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-เวเนซุเอลา,กายอาน่า;อเมริกากลาง-ปานามา;แคริบเบียน-ตรินิแดดไปยังคิวบาและบาฮามาส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Citharexylum มาจากภาษากรีก “kithra” ชื่อเครื่องดนตรีกรีกโบราณ คล้ายพิณ และ “xylon” = ไม้ หมายถึงไม้ที่ใช้ทำเครื่องดนตรี : ชื่อสายพันธุ์ 'spinosum' = หนาม การอ้างอิงขาดไป เพราะต้นไม้ไม่ทีหนามเลย; ชื่อสามัญ fiddlewood หมายถึงการใช้ไม้ของต้นไม้ ที่ทำกระดานเสียงสำหรับเครื่องดนตรี ไม้นี้มักใช้ทำเครื่องสาย แต่ไม่ใช่ไวโอลิน แม้ว่าชื่อจะสื่อถึงก็ตาม Citharexylum spinosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาสหรัฐอเมริกา, แคริบเบียน ,กายอานา ,ซูรินาเมและเวเนซุเอลา เติบโตบนสันเขาป่าโดยเฉพาะบนที่ราบชายฝั่งของ Guyanas ที่อยู่อาศัยแห้งโดยทั่วไปที่ระดับความสูงต่ำกว่า 500 เมตร พื้นที่ชายฝั่งภูเขาหินปูน ภูเขาที่แห้งแล้งและเชิงเขาชื้นที่ระดับความสูงไม่เกิน 900 เมตร - ในซิมบับเว แอฟริกา ที่ระดับความสูงถึง 1,520 เมตร
ลักษณะ---บุหงาบาหลี หรือ บุหงาส่าหรี เป็นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อนขนาดกลางกึ่งผลัดใบ สูงประมาณ 4-7 เมตร และอาจถึง 15 เมตรถ้าปลูกไว้นานๆ มีลำต้นเปลาตรงแตกแขนงได้ดีจนถึงระดับพื้นดินพุ่มใบหนา แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกลำต้นและใบมีกลิ่นเหม็นเขียว เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ขนานกันไปตามข้อต้น ใบค่อนข้างแข็งกระด้าง ใบมนรีรูปหอก เรียบเกลี้ยง เส้นกลางใบหนาแข็ง ขอบใบทั้งสองด้านมักพับเข้าหากัน ก้านใบสีส้ม ขนาดของใบกว้าง 5-8 ซม.ยาว10-15 ซม. ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ดอกมีขนาดเล็กสีขาวออกเป็นพวงห้อยลงมา ดอกพวงหนึ่งๆประกอบด้วย ก้านดอกยาวประมาณ 15 ซม. ในก้านดอกก้านหนึ่งๆจะออกดอกเรียงสลับกันไปจากโคนก้านดอกจนถึงปลายเป็นจำนวน มากมาย ดอกเหล่านี้จะบานไล่กันตั้งแต่โคนช่อไปจนถึงปลายสุด ใช้เวลา 8-10 วัน ดอกในช่อหนึ่งๆจึงจะบานได้หมด ดอกไม้มี 5 กลีบ ขนาดดอกประมาณ1ซม. และในพวงหนึ่งๆจะมีพวงดอกเป็นกระจุกตั้งแต่ 8-15 พวง พวงดอกบุหงามีกลิ่นหอมแรงมาก ผลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6 ซม.สีส้มแดงเมื่อสุกสีดำ มีเล็ด 2 เมล็ดล้อมรอบด้วยเนื้อ ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชชนิดนี้จะเติบโตในสภาพอากาศต่อไปนี้: เขตอบอุ่น, กึ่งเขตร้อน, เขตร้อน (USDA Zone 9a-11) ต้องการแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ชอบดินที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ pH ของดินได้ตั้งแต่ 5 - 8 ความทนทานต่อเกลือปานกลาง เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย อัตราการเจริญเติบโตของพืชเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ในฤดูแล้งให้รดน้ำบ่อยขึ้น พืชจะปรับตัวให้ใบร่วงในฤดูแล้งหากได้น้ำน้อยเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดให้ได้ความสูงที่ต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยเอนกประสงค์ที่ดี ในฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---ทุกส่วนของพืชเป็นพิษหากกินเข้าไป การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร ยาและแหล่งของไม้คุณภาพดี ไม้มีค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำเครื่องดนตรี และ มักปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้กิน--- ผลดิบกินได้มีรสหวานแต่มนุษย์มักไม่ค่อยกิน ใช้เป็นยา --- ทุกส่วนของพืชใช้ในการแพทย์แผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ รวมถึงโรคหอบหืดและโรคไขข้อ ในทะเลแคริบเบียน ใช้รักษาแผลและช่วยในการย่อยอาหาร - มีสรรพคุณทางยาเป็นยากล่อมประสาท antispasmodic และทางเดินอาหาร ; ยาต้มกิ่งอ่อนใช้ในการรักษาดงเด็ก ; ยาต้มจากเปลือกใช้สำหรับรักษาโรคหวัด ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ได้รับความนิยมในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ใช้ตกแต่งจัดสวนตามอาคาร บ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ สามารถปลูกใกล้ทะเล ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือแดง เนื้อไม้มีความแน่นและแข็งมาก ใช้สำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องดนตรี เช่นกีต้าร์และยังใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไปเช่น หน้าต่าง, ประตู, คาน ฯลฯ ไม้มีประโยชน์สำหรับเสารั้วและโครงสร้างหยาบอื่น ๆ ที่ต้องการความต้านทานต่อปลวกและการผุ ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Citharexylum spinosum ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2018) source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Citharexylum spinosum. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T60330342A145352146. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T60330342A145352146.en. Accessed on 05 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/60330342/145352146 - ชนิดนี้ได้รับการประเมิน ว่าไม่ถูกคุกคามโดย Miller et al. (2013). ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---ตลอดปี การขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ปักชำและตอนกิ่ง (งอกรากเร็ว)
|
78 เกษมณี/Melia azedarach
ชื่อวิทยาศาสตร์---Melia azedarach L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 66 Synonyms ---Azedarach speciosa Raf.(1817) ---Azedarach commelinii Medik.(1782) ---Melia cochinchinensis M.Roem.(1846) ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:578949-1#synonyms ชื่อสามัญ---Persian Lilac, Bastard cedar, White cedar, China berry tree, Bead-tree, Cape lilac, Syringa berrytree, Indian lilac, Philippine neem tree, Texas umbrella tree. ชื่ออื่น---เกรียน, เฮี่ยน (ภาคเหนือ); เคี่ยน, เลี่ยน, เลี่ยนใบใหญ่ (ภาคกลาง) ;[AFRIKAANS: Maksering.];[ASSAMESE: Ghora Neem,Ghora-neem,Thamaga.];[BENGALI: Bakarjam.];[BANGLADESH: Goda neem.];[CHINESE: Lian, Ku lian, Lian shu, Zi hua shu, Sen shu, Chuan lian zi, Jin ling zi];[FIJI: Masese.];[FRENCH: Arbre à chapelets, Azedarach, Lilas des Antilles, Lilas des Indes.];[GERMAN: Chinesischer Holunder, Indischer Zedrachbaum, Paternosterbaum, Persischer Flieder, Zedarachbaum.];[HINDI: Bakain, Bakānā nīmba, Drek];[INDONESIAN: Marambung (Sumatra), Mindi, Gringging (Java).];[ITALIAN: Albero dei paternostri.];[JAPANESE: Sendan.];[KANNADA: Bevu.];[KHMER: Dâk'hiën, Sadau khmaôch.];[KOREAN: Meol gu seul na mu.];[LAOS: H'ienx, Kadau s'a:ngz.];[MALAYALAM: Malaveppu.];[MALAY: Mindi kecil.];[NEPALI: Bakena, Bakaina, Bakaino.];[NETHERLANDS: Galbessen, Paternosterboom.]; [PHILIPPINES : Bagaluñga, Balagañgo, Paraiso];[PORTUGUESE: Agrião, Amargoseira, Amargoseira-bastarda, Amargoseira-dos-himaláias, Azedaraque, Azufeifo, Conteira, Falso-sicómoro, Lilás-das-índias, Mélia-dos-himaláias, Sicómoro-bastardo, Arvore-dos-rosários, Arvore-santa.];[SANSKRIT: Dreka, Maha nimba, Ramyaka];[SINGAPORE: Mindi kechil.];[SPANISH: Arbol de cuentas, Arbol de los rosarios, Agriaz, Agrión, Arbol del para, Cinamono, Fruto del paraíso, Jacinta, Mirabobo, Paraíso, Zedrak.];[SWEDISH: Zedrak.];[TAMIL: Kattu Vembhu, Malaivembu.];[TELUGU: Turka Vepa, Kali-yapa.];[THAI: Krian, Hian (Northern); Khian, Lian, Lian bai yai (Central).];[TURKISH: Tesbih ağacı, Tespih ağacı.];[VIETNAMESE: Cây xoan, Sâ dông]. EPPO Code---MEIAZ (Preferred name: Melia azedarach.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์ ---จีนตอนกลางและตอนใต้,ปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, ภูฏาน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลียตะวันออก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสามัญนั้นได้มาจากภาษากรีกคำว่า melia - manna ash ซึ่งหมายถึงความคล้ายคลึงของใบไม้กับ Fraxinus ornus ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'azedarach' มาจากเปอร์เซีย 'azad-darakht' หมายถึง 'ต้นไม้สูงส่ง' ประเภทนี้ได้รับการอธิบายอย่างเป็นทางการจากสายพันธุ์อินเดีย Melia azedarach เป็นสายพันธุ์ของพืชดอก ในครอบครัวมะฮอกกานี (Meliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย---การกระจายตัวตามธรรมชาติมีความไม่แน่นอน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียอาจมาจาก Baluchistan, (ปากีสถาน) และแคชเมียร์ (อินเดียและปากีสถาน) ( Troup, 1921 ; National Academy of Sciences, 1983 ) มีการกระจายอย่างกว้างขวางทั่วทั้งเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก มีการปลูกทั่วตะวันออกกลาง, เอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้, จีน, หมู่เกาะอินเดียตะวันตก, ทางใต้ของอเมริกา, เม็กซิโก, อาร์เจนตินาและบราซิล, ตะวันตกและแอฟริกาตะวันออก, ภูมิภาคแปซิฟิกรวมถึงปาปัวนิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอนและออสเตรเลีย พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นและที่ราบสูง ที่ระดับความสูง สูงสุด 2,700 เมตร ในเทือกเขาหิมาลัย
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดโปร่ง สูง 10-20 เมตร ต้นอายุน้อยเปลือกเสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลคล้ำเรียบและมีเส้นแนวตั้งสีเทา ต้นอายุมากเปลือกต้นจะแตกตามยาวและเป็นสะเก็ด ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) ยาว 30-90 ซม.ใบย่อย 2 ถึง 5 คู่ รูปไข่ถึงรูปไข่แกมรูปใบหอกยาว 4-8 ซม. ใบยอดเหนือช่อจะมีขนาดใบใหญ่กว่าใบอื่นๆในแผงเดียวกัน ขอบใบหยักฟันเลื่อย ใบอ่อนจะเห็นชัดเจน ดอกเป็นช่อสีม่วงอ่อนออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง เป็นช่อยาว 5-10 ซม.บานจากปลายมาหาโคนช่อ ดอกบานมีขนาด 2 ซม. เกสรเพศผู้เป็นสีม่วงเข้ม มีดอกดกมากและสวยงามสะพรั่งไปทั้งต้น ผลรูปไข่มีลักษณะเป็นรูปรียาวประมาณ 0.5 ถึง 1.5 ซม. เมื่อแก่สีเหลืองอ่อน มีเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9 -11) อุณหภูมิที่เหมาะสม 25°C – 35°C เข้าสู่สภาวะพักตัวเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยลดลงต่ำกว่า 20°C จะตายหากอุณหภูมิลดลงถึง (-5°C) ความชื้นระหว่าง 35 - 55% ตำแหน่งที่มีแแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงทุกวัน หรือในที่ร่มบางส่วน (มักต้องอาศัยขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่) ทนต่อสภาพการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างยากลำบาก รวมถึงดินตื้น ๆ ดินเค็มและด่างที่รุนแรง ดินที่ขาดธาตุอาหาร ชายขอบลาดชันและเต็มไปด้วยหิน และแม้แต่รอยแยกในหิน ชอบดินที่มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบดินที่เป็นกรดสูง เติบโตได้ดีในพื้นที่ชายฝั่งทะเล มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมาก อัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ในช่วงสองปีแรกหลังปลูก สามารถสูงได้ประมาณ 3 เมตร หลังจากที่ต้นไม้สูงถึง 7 เมตร การเจริญเติบโตจะช้าลง ปลูกง่ายมีการบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำในช่วงฤดูปลูกเพื่อให้ดินชุ่มชื้น ในฤดูแล้งรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ในฤดูหนาวงดการให้น้ำ การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งมีสองเป้าหมาย คือปรับปรุงรูปร่างของต้นไม้และกำจัดหน่อออก เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี ให้กำจัดกิ่งที่ตายหรือเป็นโรคออก และเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้จะไม่เติบโตมีรูปร่างที่ไม่เป็นระเบียบ ให้ตัดกิ่งก้านรองออกเมื่อต้นไม้ยังไม่โตเต็มที่ การใส่ปุ๋ย---ไม่มีข้อกำหนดปุ๋ยเฉพาะสำหรับการปลูก เศษใบไม้จากต้นไม้จะปรับระดับ pH ของดินเพื่อสร้างสภาวะที่เป็นด่างสำหรับการเจริญเติบโตที่ดี ใบเหลือง และใบด่างอาจเป็นสัญญาณว่าดินขาดธาตุอาหารที่จำเป็น เช่น ไนโตรเจน โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ดังนั้นจึงควรทดสอบดินว่ามีการขาดธาตุอาหารเสริมก่อนใส่ปุ๋ย - เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี สามารถใช้ปุ๋ยที่มีความสมดุลซึ่งปล่อยช้า ๆทุกฤดูใบไม้ผลิ เช่น ปุ๋ยที่มีค่า NPK อยู่ที่ 10-10-10 สามารถช่วยส่งเสริมให้ใบมีสุขภาพดี การออกดอกดก และผลมาก นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ปุ๋ยคอกในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินได้ ศัตรูพืช/โรคพืช--- ศัตรูพืชที่พบบ่อยที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อต้นไม้น้คือหนอนผีเสื้อมอดซีดาร์สีขาว ( Leptocneria reducta ) ตัวหนอนหนามสีน้ำตาลนี้สามารถทำลายต้นไม้นี้ได้อย่างรวดเร็วและทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก/ การให้น้ำมากเกินไปจนดินชื้นแฉะตลอดเวลาทำให้รากเน่าและทำให้เกิดการติดเชื้อราที่รากของต้นไม้ได้ รู้จักอันตราย--- ผลไม้มีพิษสูงต่อสัตว์เลือดอุ่น ผลไม้สุกมีพิษมากกว่าผลไม้ดิบสีเขียว ผลไม้เพียงไม่กี่ชิ้น สามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้กล้ามเนื้อกระตุกหรือแม้แต่เสียชีวิตในเด็ก -ทุกส่วนของพืชสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและตับและไตเสื่อมสภาพ ควรใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การดูแลของผู้ปฏิบัติที่มีคุณสมบัติเหมาะสม - ผลไม้มีสารเหนียวเหนอะหนะที่อาจทำให้เกิดความเลอะเทอะบนทางเท้าได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอยู่ด้วย เนื้อที่ลื่นสามารถทำให้ทางเดินลื่นและเพิ่มความเสี่ยงในการลื่นไถลได้ ใช้ประโยชน์---เป็นต้นไม้ที่เนื้อไม้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งด้วย ต้นไม้ที่มีความสำคัญมากสำหรับคนในท้องถิ่น สำหรับคุณสมบัติที่มีประโยชน์มากมายเหล่านี้ ใช้กิน---ใบปรุงสุก มีรสขมใช้เป็นสมุนไพร Pot herb ใช้เป็นยา---ในยา Unani ในประเทศอาหรับและยาอายุรเวทในอินเดียใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, ยาแก้ปวด, ต้านการอักเสบ, ขับปัสสาวะ, ยาระบาย, ยาแก้ไข้, และลดความดันโลหิต - น้ำใบเป็นยาแก้พยาธิ, ยาแก้ท้องเฟ้อ, ยาขับปัสสาวะ - ยาต้มเป็นยาสมานแผลในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาโรคท้องร่วง - ดอกไม้และใบไม้ถูกนำไปใช้เป็นยาพอกในการรักษาโรคประสาทและปวดศีรษะ ใช้ปลูกประดับ--- ใช้ในสวนทั่วไปในงานภูมิทัศน์ ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา มักจะปลูกเป็นต้นไม้ริมถนนและไม้ประดับแม้ว่ามันจะมีข้อเสียของการทิ้งดอกทิ้งใบจำนวนมาก สามารถปลูกใกล้ทะเล วนเกษตร---ถูกปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ใช้อื่น ๆ---ไม้ที่มีลักษณะคล้ายมะฮอกกานี แก่นไม้มีสีแดงถึงน้ำตาลออกแดง มีความมันวาวสดใส มีกลิ่นเหมือนชะมด ไม้มีความแข็งปานกลางค่อนข้างเปราะค่อนข้างทนทาน ง่ายต่อการทำงาน ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์ ผลิตอุปกรณ์การเกษตร ไม้อัดกล่องเสาเครื่องมือจับ ถูกใช้ในการทำตู้และในการก่อสร้างเพราะมีความต้านทานต่อปลวก - สีย้อมสีแดงนั้นได้มาจากเปลือกไม้ เส้นใยที่ได้จากเปลือกจะใช้ในการทำเชือก - สารสกัดจากน้ำและแอลกอฮอล์ของใบและเมล็ด ใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืช ไร และไส้เดือนฝอย - ผลไม้ใช้เป็นแหล่งของผงหมัดและยาฆ่าแมลง ใบขับไล่ยุงและแมลงอื่น ๆ - เมล็ดหอมทำลูกปัดในอุดมคติและใช้ในการทำสร้อยคอและลูกประคำ ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2017 Melia azedarach ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2017) Barstow, M. 2018. Melia azedarach. The IUCN Red List of Threatened Species 2018: e.T61801956A61801958. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2018-1.RLTS.T61801956A61801958.en. Accessed on 05 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/61801956/61801958 - ชนิดนี้รายงานจาก การรวบรวม นอกแหล่งกำเนิด อย่างน้อย 135 รายการ (BGCI Plant Search 2017) และมีแนวโน้มที่จะพบในพื้นที่คุ้มครองตลอดช่วงของมัน - สายพันธุ์นี้ไม่ถือว่าถูกคุกคามภายในประเทศจีน (Ministry of Environmental Protection and the Chinese Academy of Sciences 2014) - ในนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ประเทศออสเตรเลีย ชนิดนี้ถือเป็นชนิดที่มีความกังวลน้อยที่สุดภายใต้พระราชบัญญัติอุทยานและการอนุรักษ์สัตว์ป่า ระยะเวลาออกดอก--- กุมภาพันธ์-มีนาคม ก่อนออกดอกจะทิ้งใบหมด แล้วเริ่มผลิใบพร้อมๆกับออกช่อดอก ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
|
79 จัน-อิน/Diospyros decandra
[dy-oh-SPY-ros] [dek-AN-druh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Diospyros decandra Lour.(1790). ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:322304-1#synonyms ---Diospyros packmannii C.B.Clarke.(1882) ชื่อสามัญ---Gold apple ชื่ออื่น---จัน,จันโอ,จันขาว,จันลูกหอม,อิน ;[CAMBODIA: Chān (Khmer).];[CHINESE: Huáng shì.];[JAPANESE: Kabairokurogaki.];[THAI: Chan- In, Chan khao, Chan luk hom, In, Chan.]; [VIETNAM: Cây thị, Thị, Trái thị, Hoàng phê, Thị muộn, Thị thập hùng, Mác chăng (Tày).]. EPPO Code---DOSDE (Preferred name: Diospyros decandra) ชื่อวงศ์---EBENACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - เวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย พม่า นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Diospyros' ชื่อของสกุลคือการผสมระหว่างคำคุณศัพท์ภาษากรีก “διός” (diós) = พระเจ้า และคำนามสำคัญ “πυρός” (pyrós) = ข้าวสาลี ในความหมายกว้างๆ ก็คือ 'อาหารศักดิ์สิทธิ์ ;ฉายาเฉพาะ 'decandra' จากภาษาละติน แปลว่า"มีเกสรสิบตัว" Diospyros decandra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เดียวกับมะพลับและมะเกลือ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333 มี 3 ความหลากหลาย (Varieties) source: https://www.gbif.org/species/4070543 - Diospyros decandra var. decandra - Diospyros decandra var. laosiana Lecomte - Diospyros decandra var. tigrina Lecomte ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในเวียดนาม, กัมพูชา, ลาว,ไทย ,พม่า - เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศไทย พบขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ
ลักษณะ ---เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ ขนาดความสูงโดยประมาณ10-20 เมตร ทรงต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลอมดำเรือนยอดเป็นพุ่มกลม หรือรูปกระสวยต่ำ หนาทึบ ยอดอ่อนมีขน ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนานหรือรูปวงรีกว้าง2.5-3ซม.ยาว7-10ซม. โคนใบมนหรือสอบแคบ ปลายใบสอบทู่ ขอบใบเรียบ เนื้อใบบาง ใบอ่อนจะมีขนสีแดงคลุมดอกเล็กขาวหรือเหลือง เป็นดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) ดอกเพศผู้เป็นช่อ ช่อหนึ่งประมาณ 3 ดอก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโทสีขาวนวล ดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยวลักษณะคล้ายกันกับดอกเพศผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ผลอินจันจะมีอยู่สองแบบคือ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแป้นเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-6 ซม. และมีกลิ่นหอมแรง ไม่มีเมล็ดหรือมีเมล็ดลีบ ผลมีรอยบุ๋มตรงกลาง รสฝาดหวาน มีกลิ่นหอม จะเรียกว่า ลูกจัน ส่วนผลที่มีลักษณะของผลเป็นรูปกลมและมีเมล็ด 2-3 เมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม มีรสฝาดหวาน จะเรียกว่า ลูกอิน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปรับตัวเพื่อปลูกในพื้นที่ภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือในที่ร่มที่มีแสงน้อย (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงไม่ใช่แสงแดดโดยตรงบางชั่วโมงต่อวัน) บนดินประเภทต่างๆ ที่มีการระบายน้ำดี มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย ต้นไม้อาจมีอายุ 50 - 75 ปี การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมขนาดและรูปทรงปีละ 1 ครั้งหลังการออกดอกและผลเสร็จสิ้น กิ่งที่ตายเสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียมสูง (K) หลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง /ใบจุดอาจเกิดขึ้นได้ รู้จักอ้นตราย---Unknown ใช้ประโยชน์---ต้นไม้นี้เก็บเกี่ยวจากป่าและปลูกในและรอบๆ หมู่บ้านเพื่อให้ได้ผลไม้ที่กินได้ ซึ่งมีขายในตลาดท้องถิ่น ต้นไม้ยังผลิตไม้คุณภาพสูงและมีประโยชน์ทางยาหลายชนิด ใช้กิน---ผลไม้ ดิบ สุก เนื้อนุ่มและหวานหอม แต่มีความฝาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สุกเต็มที่ ต้องคลึงให้ช้ำก่อนรสฝาดจึงจะหายไป นิยมกินเป็นผลไม้สด หรือนำไปแปรรูปเป็นของหวาน ในเวียตนามนิยมมาก ใช้เป็นยา---มีการใช้รากใบและผลไม้เป็นยาที่หลากหลาย จากงานศึกษาวิจัยผลไม้ในไทยพบว่า น้ำผลไม้ไทยจากลูกอินจัน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง แก้ลม แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ดีพิการ ขับพยาธิ บำรุงเลือดลม บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงประสาท - ในเวียตนาม ใช้ผลแห้งเผาเป็นถ่านทาผงถ่านบนผิวหนังแก้โรคงูสวัด เปลือกรากใช้รักษาอาการอาเจียน อาการคัน ตัวหนอน ฝี แผลไหม้ และการเคลื่อนไหวของลำไส้ - ในประเทศกัมพูชา ผลไม้ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับและใช้เป็นยาเพื่อรักษาประจำเดือน ปลูกเป็นไม้ประดับ--- เป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมชลอไม้ใหญ่ ปัจจุบันนี้จัดเป็นไม้หวงห้าม เพราะหายากและใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย - มันเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในเวียดนามซึ่งปลูกในเขตเมืองและอยู่ใกล้กับวัด ใช้อื่น ๆ--- ไม้เป็นสีขาวมีเสี้ยนสีดำจำนวนมากและบางครั้งก็มีแก่นสีดำ พื้นผิวนั้นเรียบเนียนและมีความหนาแน่นสูงโดยเฉพาะในแก่นไม้ ความหนาแน่นของมันทำให้ยากต่อการทำงาน แต่จะได้พื้นผิวที่สวยงามภายใต้เครื่องมือที่คม เป็นไม้เนื้อแข็งยอดเยี่ยม เนื้อไม้ใช้กลั่นเป็นน้ำมันหอม ใช้ผสมทำเครื่องหอม เครื่องสำอางต่างๆ ทำน้ำอบไทย สำคัญ--- ต้นจันอิน เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ประเทศไทย - เป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในประเทศเวียดนามและกัมพูชา (ชื่อท้องถิ่นว่า Chann Tree) ซึ่งปลูกในเขตเมืองและใกล้กับวัดต่างๆ ต้นไม้ที่เป็นมรดกของเมือง Hue เรียกว่า "cây thị" ในภาษาเวียดนามและได้ปรากฏในนิทานพื้นบ้านเวียดนาม เช่น The Story of Tam และ Cam ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด โดยทั่วไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ Diospyros มีอายุสั้นมาก ดังนั้นควรหว่านโดยเร็วที่สุด ควรเอาเนื้อออกเนื่องจากมีสารยับยั้งการงอก - ก่อนการเพาะ แช่เมล็ดไว้ในน้ำที่เปลี่ยนใหม่ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ใส่ในดินร่วนอินทรีย์ที่ระบายน้ำได้ รักษาความชื้นอย่างต่อเนื่องที่อุณหภูมิ 24-28 °C โดยมีเวลางอก 2-5 สัปดาห์ - อาจขยายพันธุ์ได้โดยการปักชำและตอนกิ่ง
|
80 จิกสวน/Barringtonia racemosa
[bar-ring-TOH-nee-uh] [ray-see-MO-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia racemosa (L.) Spreng.(1826) ชื่อพ้อง ---Has 47 Synonyms ---Basionym: Eugenia racemosa L.(1753).See https://www.gbif.org/species/3082727 ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:155081-3#synonyms ชื่อสามัญ---Brackwater mangrove, Cassowary-pine, China-pine, Common putat, Cornbeefwood, Derbyshire-pine, Fish-poison-tree, Freshwater mangrove, Hippo apple, Mangobark, Mango-pine, Powderpuff-tree, Small-leaved Barringtonia,Wild guava, ชื่ออื่น---จิกบ้าน, จิกสวน (กรุงเทพฯ); ปูตะ (มาเลย์-นราธิวาส);[AFRIKAANS: Poeierkwasboom.];[BRUNEI: Putat aying.];[BURMESE: Kye-bin, Kyi.];[CHINESE: Shuǐ jiā dōng, Xì yè qípán jiǎo shù, Yu rui.];[CZECH: Hrnečníkovité.];[FRENCH: Bonnet d'évêque , Manondro.];[INDONESIA: Butan darat, Butun darat, Penggung, Putat sungal.];[ISIZULU: Ibhoqo, Iboqo, Umululuka..];[JAPANESE: Sawafuji, Moukaruna.];[LAOS: Som pawng.];[MALAYSIA: Putat ayam, putat kampong (Peninsular); Putat ayer (Sabah); Putat padi, Putat kampung, Putat darat, Putat kedul.];[PAPUA NEW GUINEA: Paopao.];[PHILIPPINES: Putat, Putad, (Tag.); Kutkut-timbalong (Sul.); Tuba-tuba (C. Bis.).];[PORTUGUESE: Massinhana.];[RUSSIAN: Barringtoniia kistevidnaia.];[SANSKRIT: Samudraphala.];[SWAHILI: Mtomondo.];[THAI: Chik ban, Chik suan (Bangkok).];[VIETNAMESE: Lộc vừng hoa chùm, Chiếc chùm.]. EPPO Code---BGTRA (Preferred name: Barringtonia racemosa.) ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตการกระจายพันธุ์---แอฟริกา มาดากัสการ์ เซเชลส์ เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Barringtonia' ได้รับเกียรติจาก Daines Barrington (1727-1800) นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ; ฉายาเฉพาะ 'racemosa' 0kd4kKk]t9bo = ดอกไม้ที่เติบโตใน racemes หมายถึงดอกอยู่ในช่อดอกยาว (ช่อดอกยาวเรียบง่ายมีดอกตามก้าน) ดอกอายุน้อยที่สุดอยู่ที่ปลายและดอกแก่ลดลงมาเรื่อยๆ Barringtonia racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยา และนักพฤกษศาสตร์ ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบัน โดย Kurt Sprengel (1766–1833) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2369 ที่อยู่อาศัย---มีการกระจาย เริ่มตั้งแต่ชายฝั่งตะวันออกของประเทศโมซัมบิก และควาซูลู-นาทาล (แอฟริกาใต้) จนถึงมาดากัสการ์ ไปยัง ศรีลังกา, อินเดีย, พม่า, อินโดจีน, ตอนใต้ของจีน, ไต้หวัน, หมู่เกาะริวกิว, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ทั่วภูมิภาคเมเลเซียนไปยังไมโครนีเซีย (ตะวันออกไปยังฟิจิและซามัว) และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยทั่วไปพบในป่าฝนหลักและรองโดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำและที่ราบน้ำท่วมถึงตามลำธาร ขึ้นในบริเวณน้ำท่วมขัง ริมฝั่งแม่น้ำที่ไม่ห่างจากชายฝั่งทะเล และตามขอบป่าพรุ พบได้ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร - ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามชายป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น มักขึ้นใกล้แหล่งน้ำ - Barringtonia racemosa เป็นสกุล Barringtonia ชนิดเดียว ในแอฟริกาใต้
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบความสูงประมาณ 4-10 เมตร แม้ว่าบางครั้งอาจสูงได้ถึง 20 เมตรก็ตาม ทรงต้นแผ่กว้าง ลำต้นมักเป็นปุ่มปม เปลือกเรียบถึงแตกเป็นแผ่นสีเทาถึงสีน้ำตาลอมเทา เปลือกชั้นในสีน้ำตาลเรื่อถึงชมพู มีเส้นใยเหนียว ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง รูปรีแกมรูปหอกกลับ ขนาดกว้าง 5-15 ซม.ยาว 20-40 ซม. โคนใบเว้ารูปหัวใจ ขอบใบจักฟันเลื่อยถี่ ปลายใบเรียวแหลมหรือยาวคล้ายหาง ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบบางและเหนียวคล้ายแผ่นหนังดอก แบบช่อเชิงลดมีก้าน ออกตามปลายกิ่งบางครั้งออกตามกิ่ง ช่อดอกห้อยลงยาว 30-60 ซม.ดอกย่อยขนาดใหญ่สีชมพูหรือขาวอมชมพูมีกลิ่นหอมขนาดดอกบานประมาณ 5 ซม. กลีบดอก 4 กลีบสีชมพู เกสรเพศผู้สีขาวจำนวนมากเรียงซ้อนกันเป็นพู่ 5-6 ชั้น ก้านเกสรเพศเเมียสีชมพูเข้ม ดอกไม้ที่มีอายุมากกว่าจะขาดทั้งกลีบและเกสรเพศผู้ ผลแบบมีเมล็ดเดียวแข็ง รูปรีถึงรูปไข่ ขนาด 5-7 (-9) ซม. x 2-4 (-5.5) ซม. โคนสอบปลายผลสอบแล้วตัด มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ ผลแก่สีเขียวอมม่วงแดง ผลแห้งไม่แตกมี 1 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่ขนาด 2-4 ซม. x 1-1.5 ซม.*(เปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูงของผลไม้ไม่มีเมล็ด) https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Barringtonia+racemosa ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศร้อนชื้นและเขตกึ่งร้อนชื้น (USDA Zones 10-11) อุณหภูมิระหว่าง 20 ถึง 38°C ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ชอบดินเหนียวหนัก ดินร่วนหรือดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำได้ดี ค่อนข้างทนแล้งและทนทานต่อสภาพน้ำเค็มและไอเกลือ ส่วนใหญ่เติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก รดน้ำให้ลึกและทั่วถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเถาวัลย์หรือกิ่งก้านที่ตายแล้ว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์แบบเจือจางทุกเดือนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบ/ จุดสีน้ำตาล, โรคใบไหม้ รู้จักอันตราย---เมล็ดมีซาโปนินและมีพิษ รากทุบผลไม้และเปลือกไม้ล้วนใช้เป็นสารพิษกับปลา ผลไม้ ใช้ในการวางยาพิษหมูป่า ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้เอนกประสงค์เป็นการเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งวัสดุ ใช้เป็นอาหาร--- ยอดอ่อนและใบอ่อนกินดิบเป็นผัก เมล็ดมีกลิ่นหอม เมล็ดที่บดให้แป้งซึ่งทำเป็นเค้ก ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใบไม้ ผลไม้ เมล็ด - เปลือกต้นเป็นยาแก้ไข้ รักษาอีสุกอีใส รักษาโรคฝีไก่ และเป็นยาพอกเพื่อบรรเทาอาการคัน รากใช้ระบายความร้อน - เผ่าซูลูในแอฟริกาใต้ใช้ผลไม้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย ถูกนำมาใช้ภายนอกสำหรับอาการเจ็บคอและการปะทุของผิวหนัง - ในประเทศมาเลเซียใช้ใบแบบดั้งเดิม รักษาความดันโลหิตสูง การศึกษาได้แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็ง ใช้ปลูกประดับ--- เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาที่น่าประทับใจที่สุด เติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าการประดับสูง สามารถปลูกใกล้ทะเล ใช้อื่น ๆ--- แก่นไม้เป็นไม้สีน้ำตาลเหลืองอ่อนบางครั้งมีสีแดง ไม้มีน้ำหนักเบาอ่อนไม่ทนทาน ใช้สำหรับงานเบาที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมาก มันถูกใช้สำหรับการก่อสร้างชั่วคราว, สร้างบ้านในท้องถิ่น (เสาและคาน), กระดานปูพื้นทั่วไป เครื่องใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์การเกษตร, กล่องและลังและพาเลทไม้ เหมาะสำหรับการผลิตแผ่นไม้อัด ในภูมิภาคแปซิฟิกนั้นไม้ยังถูกใช้เพื่อการแกะสลักและกลึง - เปลือกของลำต้นและรากมีปริมาณแทนนินสูงและใช้ในการฟอกหนังในท้องถิ่น - น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง - เมล็ดใช้เป็นยาฆ่าแมลง เบื่่อปลา ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นไม้ชนิดนี้มีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในแอฟริกา เอเชีย และโอเชียเนีย มีประชากรจำนวนมากและพบได้ในป่าหลายประเภท มีการใช้ต้นไม้ในท้องถิ่นบ้างแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดการลดลงอย่างมาก ปัจจุบันสายพันธุ์นี้ไม่ถือว่ากำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2019 Barringtonia racemosa ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2020. Barringtonia racemosa. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T160298203A160301831. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-1.RLTS.T160298203A160301831.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/160298203/160301831 - โดยบันทึกจากคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด 30 รายการ (BGCI 2019) สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---มีถิ่นกำเนิดในสิงคโปร์ (ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) source: https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/2/7/2747 ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฎาคม/มิถุนายน-สิงหาคม การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ปักชำ, ตอนกิ่ง - ตัดแต่งกิ่งที่เก่าและใหม่ออกอย่างระมัดระวังเพื่อการขยายพันธุ์ การชุบฮอร์โมนเร่งรากจะช่วยสร้างต้นใหม่
|
81 จิกน้ำ/Barringtonia acutangula
[bar-ring-TOH-nee-uh] [a-kew-TAN-gu-luh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia acutangula (L.) Gaertn.(1790) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:591177-1#synonyms ---Basionym: Eugenia acutangula L.See https://www.gbif.org/species/3082835 ชื่อสามัญ---Indian oak, Stream barringtonia, Cut nut, Itchy tree, Fresh water mangrove, Mango-pine. ชื่ออื่น--- กระโดนทุ่ง, กระโดนน้ำ (หนองคาย); กระโดนสร้อย (พิษณุโลก); จิ๊ก (กรุงเทพฯ); จิกนา (ภาคใต้); จิกน้ำ (สตูล, ภาคกลาง); ตอง, ปุยสาย (ภาคเหนือ); ลำไพ่ (อุตรดิตถ์); [ASSAMESE: Hendol, Hinyol, Pani amra.];[BENGALI: Hijal.];[BURMESE: Kyeni, kyi.];[HINDI: Hijagal, Hijjal, Samundarphal.];[CANBODIA: Reangtuk (Central Khmer).];[KANNADA: Mavinkubia, Niruganigily, Dhatripala.];[LAOS: Ka don nam, Ka don noy.];[MALAYALAM: Arru peḻ, Attampu, Attupelu, Nir perzha.];[MALAYSIA: Jurai-jurai, Putat nasi.];[MARATHI: Ttiwar, Newar, Sathaphala, Samudraphala.];[PHILIPPINEES: Apaling, Kalambuaia, Latuba, Putad, Sako, Tuba (Tagalog).];[SANSKRIT: Dhatriphal, Abdhiphala, Ambudhiphala, Ambuja.];[TAMIL: Aram, Kadambu, Kadappai, Samudra pazham.];[TELUGU: Kurpal.];[THAI: Kradon thung, Kradon nam (Nong Khai); Kradon soi (Phitsanulok); Chik (Bangkok); Chik na (Peninsular); Chik nam (Central, Satun); Tong, pui sai (Northern); Lam phai (Uttaradit).];[VIETNAMESE: Lộc vừng, Ngọc nhị, Tam lang, Cây vừng, Chiếc, Mưng.]. EPPO Code---BGTAC (Preferred name: Barringtonia acutangula.) ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---อินเดีย อัฟกานิสถาน ปากีสถาน บังกลาเทศ พม่า ภูมิภาคมาเลเซีย นิวกินี ออสเตรเลียตอนบน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลBarringtoniaได้รับเกียรติจากDaines Barrington (1727-1800) นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ; ชื่อสายพันธุ์คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "acutus, a, um" = เฉียบพลัน, คมชัดและ "angulus" สาระสำคัญ = มุม, จุด, การอ้างอิงถึงผลไม้ที่มีส่วน tetragonal มักจะและมุมที่โดดเด่น Barringtonia acutangula เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยา และนักพฤกษศาสตร์ ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2333 ที่อยู่อาศัย---พบในภูมิภาคเอเชียใต้และอัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ ไปจนถึงทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก และทั่วไปในเขตร้อน ตามสถานที่เป็นแอ่งน้ำหรือชายฝั่ง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง12- 20 เมตร ตามธรรมชาติชอบขึ้นใกล้น้ำ เปลือก สีน้ำตาลเข้มหยาบ ใบเดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนานยาว 8- 14ซม. เรียงสลับ ดอกช่อแบบช่อกระจะ หรือช่อเชิงลด ห้อยลง ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบ ยาวได้ถึง45-60ซม.-1เมตร กลีบเลี้ยงสีเชียว 4 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอก 4 กลีบ ปลายกลีบม้วนออก กลีบดอกบิด ดอกร่วงง่าย ดอกสีชมพูหรือแดง บานกลางคืน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลรูปไข่ยาว3-4ซม.กว้าง1.5ซม.มีสันตามยาว4-8สัน ส่วนใหญ่มีเมล็ดเดียว เมล็ด รูปไข่ ยาว 1-4 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดส่องเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน)หรือแสงแดดส่องบางส่วน (แสงแดดโดยตรงประมาณ 3-6 ชั่วโมง) ชอบดินที่ชื้น แต่มีการระบายน้ำที่ดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก รดน้ำให้ลึกและทั่วถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเถาวัลย์หรือกิ่งก้านที่ตายแล้ว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์แบบเจือจางทุกเดือนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบแทะใบไม้และกลีบดอกทำให้เกิดรูกลมเล็กๆ กระจายไปทั่วพื้นผิว /การติดเชื้ออาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลหรือหย่อม ๆ ปรากฏบนต้นไม้, โรคใบไหม้จะทำให้ใบแห้งและเป็นสีน้ำตาลตั้งแต่ปลายใบ รู้จักอ้นตราย---เปลือกใช้สำหรับเบื่อปลา ทำให้มึนเมา - คนมักเรียกกันว่า "Itchy tree" แต่จริงๆ แล้วอาการคันนั้นมาจากขนของหนอนผีเสื้อกลางคืนสีเหลืองที่อาศัยอยู่ตามกิ่งก้าน ใช้ประโยชน์--- พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นยา และแหล่งวัสดุ ใช้เป็นอาหาร--- ใบอ่อน ยอดอ่อนกินเป็นผัก เช่น ในเวียดนาม ซึ่งรับประทานสดร่วมกับผักอื่น เนื้อสัตว์ และกุ้ง ใช้เป็นยา---*การวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับพืชชนิดนี้ได้รายงานการใช้ยาจำนวนมาก รวมทั้งต้านมะเร็ง (สารสกัดจากเมล็ดพืช) ยาปฏิชีวนะ การยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Helicobacter pylori ฤทธิ์ต้านจุลชีพ และฤทธิ์ต้านเชื้อรา source: https://www.gbif.org/species/165550712 - ในฟิลิปปินส์ใช้เปลือกยาต้มเป็นยาขับถ่าย - เปลือกไม้นำไปใช้กับบาดแผล - ใช้ในยาพื้นบ้านต่าง ๆ สำหรับปวดข้อ, ประจำเดือน, ปวดหน้าอก, อักเสบ, ท้องเสีย นอกจากนี้ในฐานะเป็นยาขับลม ขับเสมหะยาบำรุงกำลัง - ใช้สำหรับรักษาความอ่อนแอของน้ำเชื้อ ท้องเสียและโรคหนองใน - ในอินเดียมีการใช้รากและเปลือกไม้สำหรับแผล น้ำคั้นจากใบใช้แก้อาการท้องเสีย ในสินธุผลไม้ใช้แก้อาการไอหวัดและโรคหอบหืด - เมล็ดใช้เป็นยา แก้อาการจุกเสียดและการคลอดก่อนกำหนดนอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคตา - ในศรีลังกาใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย - ในบังคลาเทศใช้สำหรับอาการท้องเสีย บิด หลอดลมอักเสบ ปวดเอว น้ำเชื้ออ่อนแอ หนองใน - *หนังสือ 'The Useful Native Plants of Australia' เมื่อปี 1889 บันทึกว่า "ในอินเดีย สารสกัดหรือน้ำผลไม้ได้มาจากใบของต้นไม้ต้นนี้ ซึ่งเมื่อผสมกับน้ำมันแล้วจะใช้ในการปฏิบัติพื้นเมืองสำหรับการปะทุของผิวหนัง" เมล็ดที่บดเป็นผงและเตรียมสาคูและเนย ใช้แก้ท้องร่วง ผสมกับนม ทำให้อาเจียน (Treasury of Botany) source: https://www.gbif.org/species/165550712 ใช้ปลูกประดับ--- นิยมใช้ในงานจัดสวนสำหรับ ปลูกริมน้ำหรือใกล้ศาลาในสวน ช่อดอกสวยงาม ทนน้ำท่วมขัง เหมาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่ชื้นและร่มรื่น วนเกษตรใช้--- ต้นไม้ถูกปลูกเพื่อเป็นแนวกำบังลม ดอกไม้ผลิตน้ำหวานมากมายและดึงดูดผึ้งซึ่งผลิตน้ำผึ้งที่ดีจากมัน อื่น ๆ--- เปลือกไม้ เป็นแหล่งของแทนนิน แก่นไม้ มีสีชมพูอ่อนถึงแดงอมเทา หรือในบางกรณีเกือบขาว พื้นผิวมีความละเอียดปานกลาง ถึงละเอียด เนื้อไม้เป็นมันเงาและให้ความรู้สึกเรียบ ไม้มีน้ำหนักเบา และทนทานพอสมควร ใช้สำหรับการต่อเรือ, การก่อสร้างที่ดี, ครกตำข้าว, เกวียน ไม้กลายเป็นสีดำหากถูกฝังอยู่ในโคลน ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก สายพันธุ์นี้อาจตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามในท้องถิ่นเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าและการตัดไม้ในพื้นที่บางส่วน แต่กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสายพันธุ์ ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Barringtonia acutangula ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) source: Barstow, M. 2019. Barringtonia acutangula. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T61533369A61533372. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-1.RLTS.T61533369A61533372.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/61533369/61533372 - ชนิดนี้มีอยู่ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด ระยะเวลาออกดอก---พฤศจิกายน-มีนาคม ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ควรหว่านทันทีที่สุกในตำแหน่งที่มีแสงเต็มที่ ประมาณ 90% ของเมล็ดสดงอก และโดยการตอนกิ่ง
|
82 จิกทะเล/Baringtonia asiatica
[bar-ring-TOH-nee-uh] [a-see-AT-ee-kuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Baringtonia asiatica (L.) Kurz.(1875) ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms. ---Basionym: Mammea asiatica L.(1753).See https://www.gbif.org/species/3082920 ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:469061-1#synonyms ชื่อสามัญ --Asian barringtonia, Fish poison tree, Sea poison tree, Beach barringtonia, Box fruit. ชื่ออื่น--- จิกเล, โดนเล (ภาคใต้); อามุง (มาเลย์-นราธิวาส) ;[AUSTRALIA: Asian barringtonia, Barringtonia, Beach barringtonia.];[CHINESE: Bin yu rui, Mo pan jiao shu.];[DOMINICAN REPUBLIC: Arbol del seminario, Calmante, Coco de cofresi.];[FIJI: Vutu, Vutugaga, Vutu vala.];[FRENCH: Arbre à barrette, Bonnet de prêtre.];[HAWAIIAN: Hutu.];[HAITI: Birrete de arzobispo, Bonete de arzobispo.];[INDIA: Kyee-bin.];[INDONESIA: Butun, Bitung, Keben-keben];[JAPANESE: Goban no ashi.];[LESSER ANTILLES: Arbre a barrette, Bishop's cap, Bonnet de pretre, Bonnet d'eveque, Mitre's cap, Pain tree.];[MALAYSIA: Putat laut, Butong, Butun, Pertun, Putat ayer, Putat gajah.];[MYANMAR: Kyi-git.];[PAPUA NEW GUINEA: Maliou.];[PHILIPPINES: Bitung, Boton, Botong, Motong-botong];[PUERTO RICO: Almendrota, Bonete de arzobispo, Coco de mar, Mudilla.];[RUSSIAN: Barringtoniia aziatskaia.];[SPANISH: Arbol de muertos, Arzobispo, Barringtonia.];[TAIWAN: Tin du yu rui.];[THAI: Chik le, Chik tha lae];[USA/HAWAII: Fish poison tree, Putat laut, Sea putat.];[VIETNAMESE: Bang qua vuong, Bàngbí, Chiếcbàng.]. EPPO code---BGTAS (Barringtonia asiatica) ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุล'Barringtonia'ได้รับเกียรติจากDaines Barrington(1727-1800)นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ; ฉายาเฉพาะจากภาษาละติน 'asiatica' = โดยกำเนิดหรืออาศัยอยู่ในเอเชีย เขตการกระจายพันธุ์---ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกจากมาดากัสการ์ เอเชีย ออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก Baringtonia asiatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอก ในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2418 ที่อยู่อาศัย--- เป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากตั้งแต่ แทนซาเนียไปจนถึงมหาสมุทรอินเดียและไปจนถึงแปซิฟิก พบในอินเดีย ศรีลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น ภูมิภาคมาเลเซียรวมถึงฟิลิปปินส์ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงทางภาคเหนือของออสเตรเลีย และในหมู่เกาะโพลีนีเซีย ขึ้นทั่วไปตามชายฝั่งทะเลที่เป็นหาดหินหรือหาดทราย ในป่าชายเลนหรือหน้าผาที่ระดับความสูง 0-500 เมตร บทสรุปของการรุกราน---B. asiatica เป็นต้นไม้ที่แพร่หลายในพื้นที่ชายฝั่งทะเลในอินเดีย แอฟริกา เอเชีย เมลานีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก สปีชีส์นี้รวมอยู่ใน Global Compendium of Weeds ( Randall, 2012 ) และปัจจุบันมีการระบุว่าเป็นการรุกรานของสาธารณรัฐโดมินิกันเท่านั้น ( Kairo et al., 2003 ) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าB. asiaticaมีความสามารถในการกระจายตัวที่ดีเยี่ยม และผลของมันสามารถคงอยู่และลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหลายเดือน โอกาสในการเข้าถึงและตั้งอาณานิคมพื้นที่ชายฝั่งทะเลใหม่มีสูง
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางสูง 7-15 เมตร เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง แตกกิ่งขนาดใหญ่ระดับต่ำ ตามกิ่งมีรอยแผลใบกระจายทั่วไป เปลือกสีเทาคล้ำ ขรุขระถึงแตกเป็นร่องตามยาวในต้นแก่ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง แผ่นใบขนาดใหญ่รูปไข่กลับ กว้าง 10-25 ซม.ยาว 30-50 ซม.โคนใบแหลมหรือเป็นรูปติ่งหูตื้นๆ ขอบใบเรียบปลายใบกลม เนื้อใบอวบน้ำคล้ายแผ่นหนังนุ่ม ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่า ก้านใบอวบสั้น ดอก แบบช่อเชิงลดมีก้านออกตามปลายกิ่งช่อดอกสั้นตั้งตรง แต่ละช่อมีประมาณ 7 ดอก ดอกย่อยขนาดใหญ่สีขาว ดอกบานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7-10 ซม.กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนติดแน่นเป็นเนื้อเดียวกันในดอกตูม และเปิดออกเป็น 2 กลีบเมื่อบาน กลีบดอก 4 กลีบเรียงซ้อนเหลื่อมกันรูปรีโค้งออก เกสรผู้จำนวนมาก ผล แบบผลเมล็ดเดียวแข็งขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมฐานเว้า เส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15 ซม.ผิวสีเขียวเป็นมัน ปลายผลมีกลีบเลี้ยง 2 กลีบติดอยู่ เปลือกผลเป็นเส้นใยหนาคล้ายเปลือกมะพร้าว ผลแก่ไม่แตก ผิวสีน้ำตาลเป็นมัน เบาลอยน้ำได้ อธิบายถึงการแพร่กระจายของต้นไม้ได้กว้างมาก ต้นไม้ใหญ่ให้ผลผลิตประมาณ 500 - 2,000 ผลต่อปี ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่ง แสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นและระบายน้ำได้ดี ค่า pH 5.1 - 8.5 และทนต่อดินตื้นน้ำเค็มและขาดธาตุอาหาร พืชมีความอดทนต่อสภาวะน้ำเกลือและลมทะเล การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก รดน้ำให้ลึกและทั่วถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเถาวัลย์หรือกิ่งก้านที่ตายแล้ว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์แบบเจือจางทุกเดือนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงใบแทะใบไม้และกลีบดอกทำให้เกิดรูกลมเล็กๆ กระจายไปทั่วพื้นผิว /การติดเชื้ออาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลหรือหย่อม ๆ ปรากฏบนต้นไม้, โรคใบไหม้จะทำให้ใบแห้งและเป็นสีน้ำตาลตั้งแต่ปลายใบ รู้จักอันตราย--- ผลไม้เป็นพิษ ผลสดใช้สำหรับเบื่อปลา ชื่อสามัญหลายชนิดของสายพันธุ์นี้สะท้อนถึงการใช้พิษกับปลา นำเมล็ดมาบดเป็นผงเพื่อทำให้ปลาตกใจหรือฆ่าปลาเพื่อให้จับได้ง่าย ทำให้ปลาหายใจไม่ออกโดยไม่ส่งผลต่อเนื้อปลา การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บ จากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้ มักจะปลูกเป็นต้นไม้ที่ร่มรื่นตามถนนและถนนเลียบทะเล ใช้กิน--- ในอินโดจีน ผลไม้อ่อน ต้มเป็นเวลานานแล้วกินเป็นผัก (แม้จะใช้เป็นยาพิษปลาก็ตาม) ใช้เป็นยา---ในอายุรเวทใช้สำหรับแผลไฟลวก, ปวดท้อง, โรคไขข้อ, การติดเชื้อหนอน, ม้ามโตมาลาเรียและวัณโรค ในประเทศฟิลิปปินส์ใบมีการให้ความร้อนและนำไปใช้เป็นยาทาแก้ปวดท้อง - ใบสดใช้เป็นยาทาเพื่อรักษาโรคไขข้อ - ในซามัวใช้ในการรักษาแผลที่ผิวหนัง ผลไม้และเปลือกใช้ในการรักษาโรคคุดทะราด - เมล็ดใช้สำหรับกลาก เปลือกไม้ที่ใช้ในการรักษาวัณโรค - ในหมู่เกาะคุก เมล็ดบดผสมกับกะทิทาบนแผลไฟไหม้ - ในฟิจิ มีการใช้ยาต้มใบไม้เพื่อรักษาไส้เลื่อน ยาต้มเปลือกใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกและโรคลมชัก - ในการทดสอบวัสดุ ใบของสปีชีส์นี้ทำงานกับเนื้องอกบางชนิด ใช้ปลูกประดับ--- มักจะปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ร่มเงาไปตามถนน สามารถปลูกใกล้ทะเล ใช้อื่น ๆ--- ไม้สีเหลืองถึงแดงอ่อนและแตกง่าย ใช้สำหรับงานเบาแกะสลักและทำเฟอร์นิเจอร์ - เมล็ดรูปโคมไฟเรียกว่า Kinyav ใช้ในช่วงฤดูสงบในน้ำตื้นและน้ำลงสำหรับฆ่าปลา ปลาหมึกและอื่น ๆ ในการดำเนินการที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาเก็บเกี่ยวเมล็ดประมาณ 1–3 กิโลกรัมจะได้ ปลาประมาณ 10 - 20 กิโลกรัมต่อการเดินทาง วิธีการจับปลานี้เป็นที่นิยมในหมู่ชนเผ่า Car Nicobari จนกระทั่งเกิดสึนามิครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนของชนเผ่า จากการอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลในอดีตไปยังพื้นที่ภายใน ความเสียหายของแนวปะการัง และต้นไม้ Kinyav ดังนั้นความนิยมของวิธีการตกปลาแบบนี้ต่อวันจึงลดลง ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีสถานที่มากกว่า 100 แห่ง เป็นที่รู้จักจากประชากรย่อยมากกว่า 200 กลุ่ม แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับขนาดประชากร ภัยคุกคามที่สำคัญถูกคุกคามจากการตัดไม้และพายุไซโคลน ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Barringtonia asiatica ถูกระบุอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern -ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) source: Razafiniary, V. 2021. Barringtonia asiatica. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T31339A166509744. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T31339A166509744.en. Accessed on 07 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ source: https://www.iucnredlist.org/species/31339/166509744 - Barringtonia asiatica ได้รับการบันทึก ในพื้นที่คุ้มครอง Masoala และ Nosy Mangabe (มาดากัสการ์) นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองอื่นๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้ การอนุรักษ์นอกถิ่นที่อยู่ด้วยการขยายพันธุ์ตัวอย่างที่สวนพฤกษศาสตร์ 38 แห่งทั่วโลก (BGCI 2020) ระยะออกดอก/ติดผล--- ระหว่างเดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด การปักชำ ตอนกิ่ง - เมล็ดพันธุ์ ควรหว่านทันทีที่สุก ประมาณ 70% ของเมล็ดงอกใน 36 - 63 วัน -
|
83 จิกนมยาน/Barringtonia macrostachya
[bar-ring-TOH-nee-uh] [mak-ro-STAK-yuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Barringtonia macrostachya (Jack) Kurz.(1875) ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms ---Basionym: Careya macrostachya Jack.(1820).See https://www.gbif.org/species/3082792 ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:469115-1#synonyms ชื่อสามัญ---Large-Spiked Barringtonia, Red putat. ชื่ออื่น---จิกนมยาน (ทั่วไป), นมยาน (หนองคาย), จิกนม, จิกนุ่ม (นครศรีธรรมราช), จิก (ภาคใต้) ;[CHINESE: Leng guo yu rui, Suo guo yu rui.];[INDONESIA: Kayu putat, Tuwah dotan (Sumatra); Panga ha (Morotai).];[MALAYSIA: Putat bukit putih, putat gajah (Peninsular); Putat Hutan, Putat Putih, Putat Utan, Putattalang (Malay); Karuk (Iban); semuting (Sarawak).];[MYANMAR: Thay nya oo.];[PHILIPPINES: Apalang (Tagalog); Karakauat (Negrito); Ulam (Tagbanua).];[THAI: Chik nom yan, Nom yan, Chik nom , Chik num, Chik (Peninsular).];[VIETNAM: Tam lang, Chiếc chùm to.]. EPPO Code---BGTMA (Preferred name: Barringtonia macrostachya) ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Barringtonia' ได้รับเกียรติจาก Daines Barrington (1727-1800 ) นักกฎหมายและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ; ฉายาเฉพาะ 'macrostachya' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษากรีก แปลว่า"เข็มขนาดใหญ่" โดยอ้างอิงถึงช่อดอกที่มีรูปทรงแหลม Barringtonia macrostachya เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก(Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Jack)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2418 ที่อยู่อาศัย---มีการกระจายจากจีนตอนใต้ พม่า ไปยังประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตราบอร์เนียวเหนือสุลาเวสี,โมลุกกะและฟิลิปปินส์ พบได้ในป่าชั้นต้นและป่าชั้นรองบนเนินเขาตามแม่น้ำหรือในพื้นที่น้ำท่วมเป็นระยะ ๆ หรือเป็นแอ่งน้ำส่วนใหญ่อยู่บนทรายหรือดินร่วนจากระดับน้ำทะเลสูงถึง 700 (-1300) เมตร ลักษณะ---จิกนมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางไม่ผลัดใบสูงประมาณ 3-8 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-30 ซม.ตามลำต้นมีปุ่มปม แตกกิ่งจำนวนมาก เป็นพุ่มโปร่ง มีใบเฉพาะที่ปลายยอด ใบรูปใบหอก ขนาดของใบ กว้าง 15-2 0 ซม.ยาว 40-90 ซม. แผ่นใบหนา เส้นใบย่อยด้านบนเป็นร่องลึก ก้านใบมีขนาดยาว 2.5-10 ซม. ดอกออกเป็นช่อ ยาว 120-170 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมากถึง 150-250 ดอก เกสรเพศผู้ยาวสีชมพู ดอกบานเรียงจากโคนไปหาปลายช่อ ดอกย่อยทยอยบาน แต่ละช่อจึงบานอยู่หลายวัน กลิ่นหอมแรงในช่วงกลางคืนจนถึงช่วงสาย เมื่อแสงแดดแรงจัดและอากาศร้อน กลิ่นจะหายไป ผลรูปไข่มีสัน 4 สัน ผิวผลมีสีเขียวไม่เรียบ ปลายผลเป็นปุ่ม บริเวณปลายผลจะแคบกว่าส่วนของขั้วผลและมีเกสรเพศเมียติดอยู่ ขนาดของผล 5.5-9 x 2-4 ซม ผลแก่มีสีม่วงอมเขียว มีเพียง 1 เมล็ด รูปไข่ขนาด 3-4.5 x 1-2.5 ซม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดรำไร (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงไม่ใช่แสงแดดโดยตรง) ชอบอากาศเย็น ดินที่มีความชื้นสูง ระบายน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณริมตลิ่งหรือริมน้ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางถึงน้ำมาก การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยารักษาโรค ใช้เป็นยา---ราก ตากให้แห้ง บด เป็นผงใช้ทาแก้ขี้กลาก แก้ตาเจ็บ - ใบ ตากให้แห้ง ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรค แก้ปวดท้อง ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงา มีดอกหอม สวย ใช้ปลูกตามสวนสาธารณะ สวนขนาดใหญ่ และสวนทั่วไป ใช้อื่น ๆ---ไม่มีข้อมูล ระยะเวลาออกดอก---เมษายน-สิงหาคม การขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง - เพาะเมล็ด ควรหว่านได้ดีที่สุดทันทีที่สุก ประมาณ 40% ของเมล็ดงอกภายใน 9 - 22 เดือน
|
84 มะคังขาว/Tamilnadia uliginosa
[ta-mil-na-DEE-uh] [ew-li-gi-NO-suh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tamilnadia uliginosa (Retz.) Tirveng. & Sastre.(1979). ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. ---Basionym: Gardenia uliginosa Retz.(1781).See https://www.gbif.org/species/2891981 ---Catunaregam uliginosa (Retz.) Sivar.(1982) ---Randia uliginosa (Retz.) Poir.(1812) ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:767328-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Divine jasmine, Grey emetic nut, Tamilnadia. ชื่ออื่น---กระลำพุก มะคังขาว (ภาคกลาง ราชบุรี); ลุมพุก (ลพบุรี นครราชสีมา กาญจนบุรี); มอกน้ำข้าว มะข้าว (ภาคเหนือ); หนามแท่ง (ตาก); มะคัง (อุตรดิตถ์); ลุมปุ๊ก (ตะวันออกเฉียงเหนือ);[ASSAMESE: Bakhar begena, Bon-bengena.];[BENGALI: Kusum, Piralo.];[CAMBODIA: Kroam pouk (Central Khmer).];[HINDI: Pindara, Pindari, Pindaru.];[KANNADA: Doddakare, Kare.];[MALAYALAM: Malankara, Karei, Punnankara, Pindichakka.];[MARATHI: Pendari, Kalaphendra.];[SANSKRIT: Pindalu, Pinditaka];[TAMIL: Peru-n-karai, Wagatta, Kalikarai.];[TELUGU: Kuka-elka, Adavi manga.];[THAI: Kralam phuk, Talum phuk, Ma khang khao (Central, Southwestern); Mok nam khao, Ma khao (Northern); Ma khang (Uttaradit); Lup puk (Northeastern); Lum phuk (Lop Buri).]; EPPO code---1RUBF (Preferred name: Rubiaceae) ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ไทย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา และเวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tamilnadia' ตั้งตามชื่อรัฐ Tamil Nadu ในประเทศอินเดีย ; ฉายาเฉพาะ 'uliginosa' หมายถึงเติบโตในหนองน้ำ Tamilnadia uliginosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anders Jahan Retzius (1742–1821)นักไลเคน, แพทย์ชาวสวีเดนและและศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ที่ Lund Universityและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกา.และ Claude Henri Léon Sastre (เกิดปี 1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2522
ที่อยู่อาศัย---พบขึ้นกระจายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา ไทยและเวียดนาม พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณบริเวณใกล้น้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100 - 800 เมตร - ในประเทศไทย มักพบขึ้นตามริมน้ำ ตามป่าเปญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100 - 800 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 เมตร ผลัดใบ ตามต้นมีหนามแหลมยาว กิ่งยาวเป็นระยางค์ มักจะมีหนามออกตรงข้ามเป็นคู่ ๆ เปลือกสีน้ำตาลแดง หรือดำคล้ำ เป็นปมขรุขระ ใบเดี่ยว 5-18 x 2-8 ซม.รูปไข่กลับออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ตามบริเวณปลายกิ่ง เนื้อใบบาง เกลี้ยง มีหูใบ ก้านใบยาว 5-10 มม.ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบใกล้ปลายยอด กลีบเลี้ยงสีขาวมี 5 กลีบ โคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอมมีกลีบดอก 5 กลีบโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายกลีบดอกมน กลีบดอกค่อนข้างหนา หลอดกลีบยาวกว่ากลีบดอก ยอดเกสรเพศเมียมีน้ำเมือกค่อนข้างมาก เกสรตัวผู้มี 5 อัน อับเรณูสีเหลือง เกสรตัวเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีขาว ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก ปลายเกสรเพศเมียรูปถ้วย มีกลิ่นหอม เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 ซม.ก้านดอกยาว 1.5-3 ซม.ผลสดทรงกลมรีเนื้อแน่น แข็งผิวเรียบ กว้าง 2.5 ซม.ยาว 4- 6 ซม.เมื่อสุกเป็นสีเหลืองปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดรูปทรงกลมจำนวนมากเรียบสีเขียวฝังอยู่ในเนื้อ เมล็ดมักฝ่อ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตยน) ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนน้ำท่วมขัง อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางถึงมาก การตัดแต่งกิ่ง---สามารถปรับรูปทรง และตัดแต่งกิ่งได้ง่าย การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนาม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ปลูกประดับให้ร่มเงาดอกไม้มีกลิ่นหอม นำมาใชัจัดสวน และใช้ชื่อทางการค้าไม้ประดับในประเทศไทย เรียกว่า "ระฆังเงิน" หรือ "พุดระฆังเงิน" สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในที่ใกล้น้ำได้ ใช้กิน---ผลไม้ที่ขายในตลาดสามารถรับประทาน ต้ม หรือคั่วได้ ในอินเดีย ผลไม้ต้มในน้ำแล้วผสมกับเกลือและพริก (Deccan) ผลไม้สีเขียวใช้กิน (อุตตรประเทศ เขตบารัมปูร์: ดอกก็กินด้วย.) ใช้เป็นยา---ใช้เป็นสมุนไพร แก่นไม้ ต้มรวมกับมะคังแดง บำรุงกำลัง รากและผลใช้แก้โรคบิด - ในตำรับยาอายุรเวท ใช้สารสกัดจากผลไม้ดิบ แก้โรคท้องร่วงและโรคบิด ใบต้มใช้รักษาอาการจามต่อเนื่องได้ ผลไม้ต้มผสมกับน้ำตาล กินก่อนรุ่งสางเพื่อรักษาไมเกรน ใช้ผลไม้ผงกับน้ำผึ้งต่อต้านพยาธิในลำไส้รบกวน น้ำผลไม้ใช้ทาภายนอกแก้โรคไขข้อ - *การศึกษาทางวิทยาศาสตร์รายงานว่าพืชมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญ ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอาการท้องร่วง ยาต้านจุลชีพ ต้านการอักเสบ ต้านเบาหวาน ต้านมะเร็ง และต้านโรคลมชัก source: https://link.springer.com/article/10.1007/s40011-022-01386-8 - ใช้น้ำผลไม้เป็นประจำเพื่อขจัดรังแค และเหา อื่นๆ--- เนื้อไม้สีขาวปนน้ำตาลอ่อน ละเอียด สม่ำเสมอมาก ไม้ใช้ทำด้ามเครื่องมือต่างๆ ทำกระสวยใช้สำหรับกลึง และแกะสลักได้ดี - ใช้ผลมะคังขาวทุบให้แตกใช้เป็นส่วนผสมของสีย้อมผ้าทำให้สีติดทนนาน - นิยมนำไม้มาแกะสลักหรือใช้เป็นของใช้ในครัวเรือนต่างๆ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---ออกดอกช่วงต้นฤดูร้อนหรือตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
85 ต้นมั่งมี, เฉียงพร้านางแอ/Carallia brachiata
[kar-uh-LEE-uh] [brak-ee-AY-tuh]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Carallia brachiata (Lour.) Merr.(1919 ) ชื่อพ้อง---Has 48 Synonyms ---Basionym: Diatoma brachiata Lour.(1790).See https://www.gbif.org/species/3873929 ---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:719554-1#synonyms ชื่อสามัญ---Freshwater Mangrove, Corkwood, Corky Bark, Billabong Tree, Caralla Wood. ชื่ออื่น---กวางล่าม้า (ชอง-ตราด); กูมุย (เขมร-สุรินทร์); แก็ก (ลำปาง); ขิงพร้า, เขียงพร้า (ประจวบคีรีขันธ์, ตราด); เขียงพร้านางแอ (ชุมพร); คอแห้ง (ภาคใต้); เฉียงพร้า (สุรินทร์); เฉียงพร้านางแอ, ต่อใส้ (ภาคกลาง); ตะแบง (สุรินทร์); นกข่อ (เชียงใหม่); บงคด (แพร่); บงมัง (ปราจีนบุรี, อุดรธานี); ม่วงมัง (ปราจีนบุรี); ร่มคมขวาน (กรุงเทพฯ); วงคด (ลำปาง); ส้มป้อง (เชียงใหม่); สันพร้านางแอ (ภาคกลาง); สีฟัน (ภาคใต้); สีฟันนางแอ (ภาคเหนือ); หมักมัง (ปราจีนบุรี); องคต (ลำปาง); โองนั่ง (อุตรดิตถ์); ต้นมั่งมี (ชื่อการค้า);[ASSAMESE: Kathal boula,Kanthekera, Mahithekera, Daini-jan];[BENGALI: Kierpa.]; [BURMESE: Maniauga.];[CAMBODIA: Dom-trameng, Tromeng, Tromoung, Beng sa- kraham (Khmer).];[CHINESE: Ngo shen muk, Nik nga tsai, Zhú jié shù.];[KANNADA: Andipunar ,Andamuria,];[LAOS: Bong nang, Halay.];[MADAGASCAR: Amparimamy, Farimamy (Malagasy).];[MALAYSIA: Gandang, Ganding, Janggut Keli, Kesinga, Mesinga, Merpoi, Mersinga, Merpuing, Tengkawa, Kesinga, Meransi, Sisek puyu.];[MALAYALAM: Varrungu, Vankana, Vankana /Kara Kandal.];[Mangrove Seen On Land].];[MARATHI: Panasi.];[NEPALI: Kathe kera.];[PHILIPPINES: Anosep, Bakawan gubat, Bakhaw bukid, Malabakhaw, Sigiran (Tagalog).];[SINGAPORE: .];[TAMIL: Andimiriam.];[THAI: Kwang-la-ma (Chong-Trat); Ku-mui (Khmer-Surin); Khing phra, Khiang phra (Prachuap Khiri Khan, Trat); Khiang phra nang ae (Chumphon); Kho haeng (Peninsular); Chiang phra (Surin); Chiang phra nang ae, To sai, San phra nang ae (Central); Ta baeng (Surin); Nok kho (Chiang Mai); Bong khot (Phrae); Bong mang (Prachin Buri, Udon Thani); Muang mang (Prachin Buri); Nom khom khwan (Bangkok); Wong khot (Lampang); Som pong (Chiang Mai); Si fan (Peninsular); Si fan nang ae (Northern); Mak mang (Prachin Buri); Ong khot , Kaek (Lampang); Ong nang (Uttaradit); [THAI trade name; Mang mee.]. EPPO Code---KRLSS (Preferred name: Carallia sp.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Carallia มาจากชื่อพื้นเมืองที่ใช้เรียกไม้ต้นนี้ในภาษาเตลูกู ในอินเดีย “karalii”; ชื่อเฉพาะ 'brachiata' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน“ brachiatus, a, um” = แตกแขนงเป็นมุมฉากหรือคล้ายแขน หมายถึง การแตกแขนงของหน่อที่ออกดอก Carallia brachiata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2462 ที่อยู่อาศัย---พบในมาดากัสการ์ ศรีลังกา อินเดีย พม่า เวียตนาม ไทย จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ พบตั้งแต่มาเลเซียถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะโซโลมอน เติบโตในป่าดิบชื้นที่ลุ่มในศรีลังกาและมาดากัสการ์ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตร - ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบแล้งป่าดิบชื้น ป่าพรุ ในทุกภาคของประเทศตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูง 1,000 เมตร ลักษณะ---เฉียงพร้านางแอเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ มีขนาดสูงได้ถึง30-35 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 - 70 ซม. ลำต้นเปลาตรง ทรงพุ่มแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลครีม หรือน้ำตาลออกแดง ผิวเปลือกค่อนข้างเรียบ มีรูอากาศมาก ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามในแนวระนาบ รูปรีหรือรูปไข่กลับกว้าง 3-10 ซม.ยาว 6-15 ซม. ขอบใบเรียบมีซี่ประปราย ใบแก่เหนียว ด้านบนสีเขียวสดเป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเหลืองมีจุดสีเข้มกระจาย ดอก สีขาวหรือเขียวอมเหลืองอ่อนออกเป็นช่อกระจุกซ้อนตามกิ่ง ช่อยาว2-4ซม.ดอกมีขนาดเล็ก มี 5-8 กลีบ ไม่มีก้านดอก ผลกลมสีส้มอมแดงอ่อนถึงม่วงอมแดงเข้ม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7 ซม.เนื้อบางสีส้มห่อหุ้ม มีเมล็ดแข็งสีดำ มี 1-5 เม็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืขในเขตร้อน กึ่งเขตร้อน ต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าจะเจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นไม้ที่มีอายุน้อยกว่าจะทนต่อร่มเงาได้ดีกว่าและไม่ชอบแสงแดดมากเกินไป สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทราย ทนต่อดินเปียกและน้ำขัง การเจริญเติบโตเบื้องต้นของต้นอ่อนจะเติบโตช้า โดยต้นกล้าจะเติบโตได้สูงเพียง 35 ซม. หลังจากผ่านไป 2 ปี และสูงถึง 2.5 เมตรหลังจากผ่านไป 5 ปี อย่างไรก็ตาม ต้นกล้าของพันธุ์ไม้ประดับแบบเรียงเป็นแนวอาจสูงได้ถึง 60 ซม. ใน 10 เดือน การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำให้ลึกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งเป็นเวลานาน ในฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยขึ้น ต้นอ่อนหรือต้นปลูกใหม่ไวต่อความแห้งแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งบ่อย ตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมขนาดและรูปทรงปีละ 1 ครั้งหลังการออกดอกและผลเสร็จสิ้น กิ่งที่ตายเสียหายหรือเป็นโรคสามารถทำได้ตลอดเวลา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์--- ใช้กินได้ ผลสุก มีรสเปรี้ยวอมหวาน ใช้เป็นยา---ใบและเปลือกไม้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์ท้องถิ่นเพื่อรักษาพิษติดเชื้อและคัน เปลือกใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ระงับความร้อน แก้ไข้กล่อมเสมหะและโลหิต และยังแก้พิษร้อนภายในร่างกายแต่จะทำให้กระหายน้ำบ้าง - เปลือกต้นที่ถูกบดจะใช้ถูทากับร่างกายในการรักษาโรคไข้ทรพิษ วนเกษตร---พืชที่เติบโตในประเทศจีนได้รับการพบว่าค่อนข้างทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษมาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ในการปลูกป่าและฟื้นฟูโครงการบนที่ดินเสื่อมโทรมและมีมลพิษมาก ใช้เป็นไม้ประดับ---เหมาะสำหรับปลูกในสวนสาธารณะ สวนขนาดใหญ่ และสวนทั่วไป *พันธุ์ไม้ประดับได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับการปลูกริมถนนและใกล้กับอาคารโดยเฉพาะ source: https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Carallia+brachiata ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาลแดง ไม้มีน้ำหนักปานกลาง แข็งแรง ทนทานในที่ร่มมีหลังคา อยู่ในสภาพกลางแจ้งมีความทนระดับต่ำ เนื้อไม้มีลายสวยงามแต่แต่งยาก ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายใน พื้นไม้ปาร์เก้ เครื่องดนตรี มีค่าพลังงานสูงให้ไม้ฟืนและถ่านไม้คุณภาพดี พิธีกรรม/ความเชื่อ---คนไทยเชื่อว่าเป็นต้นไม้เสริมมงคล เมื่อปลูกแล้วจะช่วยเสริมบารมีและนำความมั่งมีด้านการเงินมาให้ ระยะเวลาออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์ สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---มีถิ่นกำเนิดในสิงคโปร์ (Vulnerable (VU) source: https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/2/7/2781 การขยายพันธุ์ ---ปักชำกิ่ง, เพาะเมล็ด - เมล็ดพันธุ์มีอายุจำกัด ควรหว่านทันทีที่สุก หว่านสด รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 24-26 °C ระยะเวลางอกประมาณ 1-3 เดือน อัตราการงอกของเมล็ด 45 - 100% - ต้นกล้าอาจถูกเก็บไว้ในเรือนเพาะชำเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะย้ายลงตำแหน่งถาวร - ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีและสืบพันธุ์ได้อย่างอิสระจากหน่อราก (root suckers)
|
สกุล Santisukia ได้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยลงตีพิมพ์ในวารสาร Kew Bull 47 : 436.1992 เพื่อเป็นเกียรติแก่ ศาสตราจารย์.ดร. ธวัชชัย สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญพันธุ์ไม้ไทย ที่เป็นผู้ศึกษาพืชวงศ์แค และค้นพบพืชชนิดใหม่นี้
86 กาญจนิการ์/Santisukia pagettii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Santisukia pagettii (Craib.) Brummitt.(1992.) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:969248-1#synonyms ---Basionym: Radermachera pagetii Craib.(1922).See https://www.gbif.org/species/4091153 ---Barnettia pagetii (Craib) Santisuk.(1962). ชื่อสามัญ---None (Not recorded.) ชื่ออื่น---กาญจนิการ์, แคกาญจนิการ์, แคขาว(กรุงเทพฯ); ลั่นทมเขา (กาญจนบุรี); [THAI: Kan cha ni ka, Khae khao, Lan thom khao.] ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตการกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Santisukia ตั้งเป็นเกียรติแก่ศาสตราจารย์ ดร. ธวัชชัย สันติสุขนักพฤกษศาสตร์ชาวไทย ; ชื่อสปีชีส์ 'pagettii' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Richard Paget Murray (1842–1908) นักพฤกษศาสตร์, นักกีฏวิทยา และนักบวชชาวอังกฤษ ผู้เก็บตัวอย่างครั้งแรกจากกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. 2445 Santisukia pagettii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Richard Kenneth Brummitt (1937–2013) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2445 ที่อยู่อาศัย---พืชถิ่นเดียวของประเทศไทยพบเฉพาะภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นบนเขาหินปูนที่แห้งแล้ง หรือใกล้ชายทะเล ขึ้นกระจายตั้งแต่จังหวัดอุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ พบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 50-200 เมตร ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 5-12 เมตรไม่ผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ยาว 17-35 ซม.มีใบย่อย 6-10 คู่ รูปไข่แกมรูปหอกโคนใบมนกลมหรือเบี้ยว ขอบใบเกือบเรียบ ปลายใบแหลม ช่อดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงออกตามปลายกิ่ง ยาว 15-30 ซม. มีดอกย่อยสีขาวจำนวนมาก โคนกลีบหลอดเรียวยาว 4-5 ซม.ขอบกลีบหยักเว้าและย่น เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 5-6ซม.ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาว 10-16 ซม.ติดฝักจำนวนมากเมื่อแห้งแล้วแตก เมล็ดแบนและมีปีกบางๆ เมล็ดรวมปีกขนาดยาวประมาณ 2.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ชอบดินร่วนการระบายน้ำดี เจริญเติบโตค่อนข้างช้า การรดน้ำ---Unknown การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown รู้จักอ้นตราย---None known ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเหมาะปลูกประดับลงแปลงกลางแจ้ง ควรเลือกปลูกบนเนินสูงให้อยู่รวมกันเป็นแปลงหรือปลูกเดี่ยว แต่ไม่ควร ปลูกร่วมกับพรรณไม้อื่นที่ต้องการดินแฉะหรือต้องรดน้ำมากเพราะจะไม่ออกดอกหากมีช่วงแล้งยาวนานจะทิ้งใบและออกดอกพร้อมกันทั้งต้น สำคัญ---เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือพืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm สถานภาพ---เป็นพืชหายาก (rare plant) *[พืชหายาก (rare plants) คือ พืชชนิดที่มีประชากรขนาดเล็กซึ่งยังไม่อยู่ในสถานภาพใกล้จะสูญพันธุ์ (endangered) แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ พืชหายากเป็นพืชที่เราทราบจำนวนประชากรที่มีอยู่ตามแหล่งต่างๆ และส่วนใหญ่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ระยะออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์ การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
87 มะค่าโมง/Afzelia xylocarpa
[af-ZEL-ee-uh] [zy-lo-KAR-puh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib.(1912) ชื่อพ้อง ---Has 6 Synonyms ---Basionym: Pahudia xylocarpa Kurz.(1877).See https://www.gbif.org/species/5358297/metrics ---Afzelia cochinchinensis (Pierre) J.Léonard.(1950) ---Pahudia cochinchinensis Pierre.(1899) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:473084-1#synonyms ชื่อสามัญ---Makha Tree, Afzelia wood, Cambodia Beng Tree, Black rosewood, Pod mahogany ชื่ออื่น--- เขง (เขมร-สุรินทร์); บิง (ชอง-จันทบุรี); เบง (เขมร-สุรินทร์); ปิ้น (ชาวบน-นครราชสีมา); มะค่าโมง (ภาคกลาง); มะค่าหลวง, มะค่าหัวคำ (ภาคเหนือ); มะค่าใหญ่ (ภาคกลาง) ;[CHINESE: Mian qie.];[CAMBODIA: Beng, Kheng (Khmer).];[LAOS: Kha, Te kha.];[THAI: Kheng, beng (Khmer-Surin); Bing (Chong-Chanthaburi); Pin (Chaobon-Nakhon Ratchasima); Ma kha luang, Ma kha hua kham (Northern); Ma Kha Mong, Ma kha yai (Central).];[VIETNAMESE: Gõ đỏ.]. EPPO code---AFZCO (Preferred name: Afzelia cochinchinensis) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตการกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Afzelia' ตั้งตาม Adam Afzelius (1750-1873) นายแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ; ฉายาเฉพาะ 'xylocarpa' หมายถึงผลไซลอยด์ (xyloid) ของสายพันธุ์นี้ Afzelia xylocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2455 ที่อยู่อาศัย---พบในพม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ตามป่าทึบและในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างป่าดิบแล้งและป่าเต็งรังเปิด ในป่าเบญจพรรณหรือป่าดิบแล้งบนดินเหนียวหรือดินลูกรังที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100 - 600 เมตร - ในประเทศไทย ต้นมะค่าโมงเป็นองค์ประกอบ 1 ใน 5 ของไม้เบญจพรรณ พบขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเป็นส่วนมาก ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบทั่วไป
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่กึ่งผลัดใบสูงประมาณ 10-30 เมตร เรือนยอดกว้าง ลำต้นอ้วนสั้นเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 100-200 ซม.กิ่งมักแตกสาขาออก ใกล้ๆโคนต้น เปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือชมพูปนน้ำตาล ผิวค่อนข้างขรุขระและมักมีปุ่มปม แตกเป็นสะเก็ด มีรูระบายอากาศกระจัดกระจาย กิ่งอ่อนมีขนคลุมบางๆ ใบ ประกอบแบบขนนกแบบปลายใบคู่ มีใบย่อย 3-5 คู่ ออกตรงข้าม รูปมนรีปลายป้านหรือมีติ่งเล็กๆ ฐานใบกลม ยอดอ่อนมีขนเล็กน้อย ใบแก่เรียบเกลี้ยง บางครั้งด้านล่างใบจะมีนวลเล็กน้อย ดอก ขนาด 2.5-3.5 ซม.เป็นดอกช่อแบบช่อแยกแขนงออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 4 กลีบสีเขียวสด กลีบดอก1กลีบ สีเขียวออกแดงหรือแดงปนชมพู ผล เป็นฝักแบบ เวลาแก่จะแตกออกเป็นสองซีก ขนาดกว้าง 7-9 ซม.ยาว 12-20 ซม.ผิวหนาและแข็งสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ แตกเป็น 2 ซีกมีเมล็ด 2-4 เมล็ด สีดำมีเนื้อสีส้มหุ้มที่ปลายด้านหนึ่ง มีเยื่อบางกั้นตามขวาง ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น อุณหภูมิอยู่ในช่วง 20 - 39°C ทนได้ถึง 43°C มันจะไม่ดีหากอุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 10°C มะค่าโมงเป็นไม้กลางแจ้งชอบแสงแดดต่อเนื่อง (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ต้นอ่อนชอบร่มเงา แต่จะทนร่มเงาได้มากขึ้นเมื่อโตขึ้น ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี เจริญเติบโตได้ดีบนพื้นราบที่มีการระบายน้ำดี หรือบนเนินเขาที่มีดินร่วนลึกระบายน้ำดี บนดินร่วนปนทราย ดินเหนียวหรือดินลูกรัง ที่มีค่า pH เป็นกลาง - สปีชีส์นี้ มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพ กับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อน บนรากและตรึงไนโตรเจน ในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ การรดน้ำ---ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย ต้นมะค่าที่ให้น้ำมากเกินไปอาจจะเริ่มมีใบเตือนสีเหลืองร่วงหล่น และเหี่ยวเฉา และดูไม่แข็งแรง การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาร้ายแรง/น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่า รู้จักอ้นตราย---None known การใช้ประโยชน์--- นิยมปลูกตามบ้านเรือน ริมถนน สวนสาธารณะเพื่อความร่มรื่น การใช้สอยด้านอื่นๆและประโยชน์ทางด้านสมุนไพร ต้นไม้มีค่าสูงสำหรับไม้ ถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางจากป่าในอดีต ปัจจุบันมีอยู่ในนปริมาณน้อย เนื่องจากความขาดแคลนของต้นไม้ ทำให้ราคาสูงมาก ในสวนทางตอนใต้ของจีนถูกปลูกเพื่อใช้เป็นยาและ ปลูกในขนาดเล็กเพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ ใช้กิน---เนื้อในเมล็ดอ่อนกินได้ ใช้เป็นยา---พืชถูกใช้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันและโรคตา เปลือกมีรสฝาด ใช้ในการแพทย์พื้นบ้าน วนเกษตร---ใช้ปลูกเพื่อปรับปรุงสภาพดินด้วยการตรึงไนโตรเจนและการร่วงหล่นของใบไม้ ใช้อื่น ๆ--- เนื้อไม้คุณภาพดีมาก แก่นไม้สีน้ำตาลอมเหลืองอ่อนถึงเหลืองแก่ ไม้มีน้ำหนักมากแข็ง มีความหนาแน่นเนื้อละเอียดและทนทานมีมูลค่าสูงโดยเฉพาะในประเทศไทยเนื้อไม้สวยงามเป็นที่นิยม โดยเฉพาะเนื้อไม้บริเวณโคน และปุ่มมะค่า มีราคาสูง มีค่ามากจนขายเป็นกิโลกรัม ถูกนำมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆใช้ประโยชน์ในงานก่อสร้าง สำหรับไม้กลมเสาอาคาร ใช้เป็นไม้แปรรูป ทำเครื่องเรือน, เครื่องไม้อุตสาหกรรมและเครื่องใช้ในบ้าน, งานแกะสลักไม้, เฟอร์นิเจอร์ - เปลือกต้นมีสารแทนนิน ให้น้ำฝาดในการย้อมได้ ภัยคุกคาม---เนื่องจากการแสวงหาผลประโยชน์และการสูญเสียที่อยู่อาศัยในระดับสูง ต้นไม้ใหญ่จึงหายาก ล่าสุดได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 1998 Afzelia xylocarpa ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ A1cd สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED A1cd - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.(1998) source: Nghia, N.H. 1998. Afzelia xylocarpa. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T32811A9731140. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T32811A9731140.en. Accessed on 09 January 2024. ระยะเวลาออกดอก--- กุมภาพันธ์-มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกต้นที่เกิดใหม่ - เมล็ดโดยทั่วไป ความสามารถในการงอก 1 - 2 ปีเมื่อเก็บเมล็ดในอุณหภูมิต่ำ - เมล็ดงอกได้ง่ายและรวดเร็วหลังจากแช่น้ำข้ามคืน โดยหว่านแบบบางที่อุณหภูมิ 25 ถึง 30°C
|
88 เลือดแรด/Knema globularia
[Knema] [glob-yoo-LAR-ee-uh]
ภาพประกอบ---สวนสวรส: สถานที่ สวนพฤกษศาสตร์ (ภาคกลาง) พุแค จ.สระบุรี 2559 ชื่อวิทยาศาสตร์---Knema globularia (Lam.) Warb.(1897) ชื่อพ้อง--- Has 15 Synonyms ---Basionym: Myristica globularia Lam.(1778) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:585864-1#synonyms ชื่อสามัญ---Wild Nutmeg, Small-Leaved Nutmeg, Seashore nutmeg. ชื่ออื่น---เลือดแรด (สระบุรี); เลือดม้า (นครศรีธรรมราช,นราธิวาส); เหมือดคน (พิจิตร); กระเบาเลือด (พิษณุโลก); กระฮั้น (สตูล); กาฮั้น (ชุมพร); ชิงชอง (ระยอง); ตีนตัง (อุดรธานี); ตูโมะยอ (มาเลย์,นราธิวาส); มะเลือด (นครพนม); ลาหัน (สงขลา); สมิงคำราม (พิจิตร,พิษณุโลก); สีซวง (ฉะเชิงเทรา); หัน, หันลัด (ภาคใต้);[CAMBOFIA: Sa a krabei (Central Khmer).];[CHINESE: Xiao ye hong guang shu.];[INDONESIA: Dara-dara (Iava), Ki Mokla (Sunda); Lan Thereu Pote (Madura).];[MALAYSIA: Chendarah Padi, Penarahan Padi.];[THAI: Lueat raet (Saraburi); Lueat ma (Nakhon Si Thammarat, Narathiwat); Mueat khon (Phichit); Krabao lueat (Phitsanulok); Krahan (Satun); Kahan (Chumphon); Chingchong (Rayong); Tin tang (Udon Thani); Thu-mo-yo (Malay-Narathiwat); Ma lueat (Nakhon Phanom); La han (Songkhla); Saming kham ram (Phichit, Phitsanulok); Si suang (Chachoengsao); Han, Han lat (Peninsular).];[VIETNAMESE: Máu chó, Máu chó cầu, Máu chó lá nhỏ.]. EPPO Code---KEMGL (Preferred name: Knema globularia.) ชื่อวงศ์---MYRISTICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Knema' จากภาษากรีก kneme (เข่า) หมายถึง คล้ายส่วนที่ยื่นออกมาส่วนล่างของลำต้น; ฉายาเฉพาะ 'globularia' มาจากภาษาละติน globosus แปลว่า ทรงกลม เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย Knema globularia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จันทน์เทศ (Myristicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Otto Warburg (1859–1938)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2340
ที่อยู่อาศัย---พบได้ในพม่า (ตอนกลาง และตอนเหนือ), จีน (ยูนนาน), ลาว, กัมพูชา, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย (สุมาตรา, ชวาตะวันตก), สิงคโปร์, เกิดขึ้นในในป่าดิบชื้น ป่าปฐมภูมิและป่าทุติยภูมิริมฝั่งแม่น้ำในป่าเขาที่ระดับความสูง 150-1,200 เมตร - ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคพบตามป่าดิบชื้นตามที่ลุ่ม ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นเติบโตได้เฉลี่ย 4-5 เมตร แต่สามารถเติบโตได้สูงถึง 24 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 30 - 35 ซม.ทรงต้นเป็นรูปทรงสูงค่อนเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นเป็นสะเก็ด สีเทาเข้มหรือสีน้ำตาล เปลือกด้านในเป็นสีชมพู ที่ยอดอ่อนใบอ่อนและช่อดอกมีสะเก็ดเป็นขุยสีน้ำตาล ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม.ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปใบหอกหรือใบหอกแกมขอบขนาน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 3-4 ซ.ม. ยาว10-15 ซ.ม. ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน สีใบด้านล่างอ่อนกว่า เนื้อใบบางใบไม่แตกง่ายเมื่อแห้ง ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อสั้นๆขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนแกมน้ำตาล ด้านในดอกสีม่วงแดง ดอกเพศผู้ (2-)6-9 กระจุกบนก้านช่อดอก 3-8 มม. ก้าน 4-11 มม. ดอกตูมทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 มม. มีขน ช่อดอกเพศเมีย 0.5-1 ซม.ดอกเพศเมียรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 4 มม.ก้านผล 3-10 มม ผลสดรูปกลมรี ผล 1-5 ผล ขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 ซม.ยาวประมาณ 1.5-2 ซม.มีสันนูนตามความยาวของผล ผิวเปลือกมีขนสั้นสีน้ำตาลสนิม ผลอ่อนสีเขียวผลแก่เปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อผลสุกจะแตกออกเป็น 2 ซีก เนื้อในผลชั้นในเป็นสีขาวและมียางใส ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดเป็นสีดำเกลี้ยงปกคลุมไปด้วยเยื่อสีแดงหุ้มอยู่ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้ในที่ราบลุ่มเขตร้อนชื้น ตำแหน่งแสงแดดเต็ม ดินร่วนชื้นอุดมสมบูรณ์ อัตราการเจริญเติบโตของพืชช้า การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---Bactrocera dorsalis (แมลงวันผลไม้ตะวันออก): เป็นแมลงศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายอย่างมากแก่ผักและผลไม้ในประเทศไทย รู้จักอันตราย---เมล็ดมีสารทำให้เบื่อเมา ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้เป็นน้ำมัน ไม้และใช้เป็นยารักษาโรค ใช้เป็นยา---ตำรายาไทยจะใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและหิด เปลือกใช้ดองกับเหล้าเป็นยาชูกำลัง ใช้อื่นๆ---เนื้อไม้ใช้สำหรับการก่อสร้างภายในอาคารใช้ ทำจันทันในบ้าน - เมล็ดมีไขมันประมาณ 27% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม ทำเป็นสบู่ยา - ผลเป็นอาหารของสัตว์ป่า ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2019 Knema globularia ถูกระบุอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) source: Oldfield, S. 2020. Knema globularia. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T34546A149815153. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-1.RLTS.T34546A149815153.en. Accessed on 09 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/34546/149815153 - ได้รับการบันทึกว่าสูญพันธุ์ในสิงคโปร์ (Ng & Wee 1994) แต่ถูกค้นพบอีกครั้งที่นั่น และปัจจุบันถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง - ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุดสำหรับประเทศจีน (MEPC CAS 2013) ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ /มกราคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด - เมล็ดแห้งง่าย สูญเสียการงอกอย่างรวดเร็ว และเก็บไว้ไม่ได้ หว่านได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่ร่มรำไรในแปลงเพาะกล้า - การงอกมักจะค่อนข้างเร็วโดยเมล็ดของสปีชีส์ส่วนใหญ่จะแตกหน่อภายใน 2 - 17 สัปดาห์ ปลูกต้นอ่อนไว้ในที่ร่ม โดยปลูกในตำแหน่งถาวรเมื่อมีขนาดใหญ่พอ
|
89 มะค่าแต้/Sindora siamensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sindora siamensis Teijsm.ex Miq.(1867) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:518609-1#synonyms ---Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain.(1897) ชื่อสามัญ---Siamese Sindora, Sepeti, Ma kha num, Makha-Tae, Siamensis Wood. ชื่ออื่น---กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง); กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา); ก่อเก๊าะ, ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์); แต้ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะค่าแต้ (ทั่วไป); มะค่าหนาม (ภาคกลาง, ภาคเหนือ); มะค่าหยุม (ภาคเหนือ) ;[CAMBODIA: K kaoh (Central Khmer).];[CHINESE: Thai You Nan.];[INDONESIA: Kayu Sindur.];[THAI: Kro-kot (Khmer-Phratabong); Kok-ko (Chaobon-Nakhon Ratchasima); Ko-ko, ka-ko (Khmer-Surin); Tae (Northeastern); Ma kha tae (General); Ma kha num (Central, Northern); Ma kha yum (Northern).];[VIETNAM: Gụ mật, Go Mat.]. EPPO Code---SIQSI (Preferred name: Sindora siamensis) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - CAESALPINIOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตการกระจายพันธุ์---ลาว กัมพูชา ไทย เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Sindora' มาจากชื่อภาษาถิ่นพื้นเมืองของสุมาตรา “sindor” ที่ใช้เรียกพืชในสกุลนี้หลายชนิด ; ฉายาเฉพาะ 'siamensis' หมายถึง ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ Sindora siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae, Detarioideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ จากอดีต Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2410 นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2410 Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:518609-1#synonyms Includes 2 Accepted Infraspecifics - Sindora siamensis var. maritima (Pierre) K.Larsen & S.S.Larsen.(1980) - Sindora siamensis var. siamensis *อย่างไรก็ตามสันนิษฐานว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในระดับประเทศในคาบสมุทรมาเลเซีย (Choo and Ngo 2020) Sindora siamensis var. maritima พบ ได้น้อยกว่า Sindora siamensis var siamensis และมีการจำกัดการจำหน่ายในประเทศไทยและกัมพูชามากขึ้น และยังไม่ได้รับรายงานจากคาบสมุทรมาเลเซีย source: https://en.wikipedia.org/wiki/Sindora_siamensis ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชา สปป. ลาว ไทย เวียดนาม และคาบสมุทรมาเลเซีย ซึ่งสามารถพบได้ ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 500 เมตร - ในประเทศไทยสามารถพบทุกภาคได้ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร - นอกจากนี้ยังพบเห็นบ่อยครั้งในป่าชายหาดของประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม พบได้ยากในพื้นที่ภาคใต้สุดของประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงขอบเขตภาคใต้ของเทือกเขาปัจจุบัน
ลักษณะ ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบหรือกึ่งไม่ผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลางความสูง 6 - 10 เมตร แม้จะสูงได้ถึง 35 เมตรหรือมากกว่านั้นก็ตาม เส้นผ่านศูนย์กลาง 80-100 ซม.ลำต้นอ้วนสั้น กิ่งก้านใหญ่แผ่กว้าง เรือนยอดกลม เปลือกต้นสีเทาคล้ำหรือน้ำตาลปนดำ มีรอยแตกเล็กน้อยและหลุดหลุดลอกเมื่อต้นแก่ เปลือกชั้นในสีชมพูเป็นเยื่อใย เรือนยอดแผ่เป็นรูปเจดีย์ต่ำหรือเป็นพุ่มแบกว้างคล้ายรูปร่ม ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับ ยาว 15-25 ซม.ใบย่อย 3-4 คู่ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายใบมนและหยักเว้าตื้น โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียวสีเขียวหม่น ผิวด้านบนมีขนหยาบเล็กๆ ด้านล่างมีขนละเอียดสั้นๆ ดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งและซอกใบยาว 10-20 ซม.ดอกขนาด 0.5-0.7 ซม.สีแดงอมเหลือง กลีบเลี้ยงหนา 4 กลีบมีขนสีน้ำตาลทองหนาแน่น และมีหนามอ่อนสั้นๆประปรายด้านนอก ผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลมคล้ายตลับผิวของฝักมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ขนาดผลเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 ซม.สีเขียวแก่ ฝักแก่แตกอ้าออกมีเมล็ดแข็งสีดำอยู่ข้างใน 1-3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตป่าฝนเขตร้อน ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินลึก ดินปนทรายและดินร่วนปนสีเทาเหมาะที่สุดสำหรับสายพันธุ์นี้ เติบโตได้ในดินที่ขาดธาตุอาหารและเป็นหิน ดินต้องมีการระบายน้ำได้ดี - แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางในปริมาณพอเหมาะ สามารถรดน้ำได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown รู้จักอันตราย---เมล็ดมีสารทำให้เบื่อเมา ห้ามนำมารับประทาน ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ให้ผลผลิตไม้ที่มีค่าและมักจะเก็บเกี่ยวจากป่า ให้แทนนิน เรซินและอาหารสำหรับใช้ในท้องถิ่น การใช้สอยด้านอื่นๆและประโยชน์ทางด้านสมุนไพร ใช้เป็นอาหาร---เมล็ดคั่ว ใช้ในการทำเครื่องดื่มชาและเป็นส่วนหนึ่งของขนม ผลใช้เคี้ยวกับหมากพลู หรือแทนหมากพลู ใช้เป็นยา--- ยาพื้นบ้านในประทศไทยใช้ เปลือกต้น แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก อาการสำคัญคือ เบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) ผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นยางนา เปลือกต้นหนามหัน และรากถั่วแปบช้าง ต้มน้ำดื่ม แก้อีสุกอีใส - น้ำมันไม้ (เรซิ่น) ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังได้ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---นิยมปลูกตามบ้านเรือน ริมถนน สวนสาธารณะ เพื่อให้ความร่มเย็นร่มรื่น ใช้อื่น ๆ ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดงมีลายสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ค่อนข้างหยาบแข็งแรง ทนทานทนมอดปลวกได้ดี แต่ไสกบตกแต่งยาก พัฒนารูปลักษณ์ที่สวยงามเมื่อใช้เป็นเวลานาน ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี ทำพื้นแผ่นกระดาน เสาก่อสร้าง งานโครง เฟอร์นิเจอร์ ต่อเรือ ฯลฯ สำคัญ---ต้นมะค่าแต้เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดสุรินทร์ เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย พิธีกรรม/ ความเชื่อ---ในประเทศไทย เชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นมะค่าแต้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ทั้งหน้าที่การงาน และ ชีวิตครอบครัวไม่มีอุปสรรคใด ๆ ภัยคุกคาม---เนื่องจากภัยคุกคามหลักต่อสายพันธุ์นี้คือการแผ้วถางพื้นที่ลุ่มและป่าเต็งรังแห้งเพื่อการตัดไม้ เกษตรกรรม และการพัฒนา นี่เป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องที่ทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยลดลงอย่างต่อเนื่องและมีความเสี่ยงต่อสายพันธุ์ ล่าสุดได้รับการประเมินให้อยู่ใน บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2020 ถูกระบุอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2020) source: Choo, L.M. 2021. Sindora siamensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T33242A2835471. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T33242A2835471.en. Accessed on 10 January 2024. การดำเนินการอนุรักษ์ source: https://www.iucnredlist.org/species/33242/2835471 - ชนิดนี้พบได้ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด 10 รายการ (BCGI 2020) - *หนึ่งในท้องที่ทางตะวันออกของกัมพูชาคือ เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่า Keo Seima - ตัวอย่างต้นไม้ขนาดใหญ่และตัวอย่างการปลูกทดแทนสามารถพบได้ในอุทยานแห่งชาติ Cát Tiên ในเวียดนาม source: https://en.wikipedia.org/wiki/Sindora_siamensis ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/ กรกฎาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด และแยกต้นที่เกิดใหม่
|
|
Late update 4/9/2023 - 9/9/2023 -10/10/2023-9/1/2024
|
อ้างอิง, แหล่งที่มา
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ (2539) ด่านสุทธาการพิมพ์ ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp อ้างอิง, แหล่งที่มา ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ ---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/ ---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/ ---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are ---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku ---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm ---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm ---https://whatflower.net/about/ ---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ > ---https://gd.eppo.int/search ---http://www.worldfloraonline.org ---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/ ---https://www.cabidigitallibrary.org/ ---การออกเสียงสะกดชื่อละตินโดย Dave’s Botanary REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species: ---Plants Database -Names, synonymy and distribution-The Garden.org Plants Database. https://garden.org/plants/ ---Global Plant Initiative-Digitized type specimens, descriptions and use ----หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html ---Tropicos- Nomenclature, literature, distribution and collections-Tropicos - Home. www.tropicos.org/ ---GBIF-Global Biodiversity Information Facility-Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ ---IPNI- International Plant Names Index- The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ ---EOL-Descriptions, photos, distribution and literature-Global access to knowledge about life on Earth. Encyclopedia of Life eol.org/ ---PROTA- Uses-The Plant Resources of Tropical Africa.https://books.google.co.th/ ---Prelude-Medicinal uses-Prelude Medicinal Plants Database. http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google- Images-Images
รวบรวมเรียบเรียง: Tipvipa..V รูปภาพ : ทิพพ์วิภา วิรัชติ บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา-เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Up date---9/1/2024
|
|
|
If you're looking for precise and efficient concrete estimating services, Remote Estimation is the go-to resource. Specializing in accurate estimates, we help contractors, architects, and project managers save both time and money on projects of any scale. Our team brings expertise and precision to every estimate, ensuring you have reliable data to support your project's planning and budgeting needs. With Remote Estimation, you can confidently make informed decisions and keep your project on track from start to finish.
https://remoteestimation.us/service/concrete-takeoff-and-estimating-service/
Trial slots, even a small investment can be played. There is free credit given out every day. · Free credit given out to players every day. Pay attention to spinning with little capital.!✨ ⭐️
สล็อต
สล็อต เครดิตฟรี
สล็อตออนไลน์
สล็อต 66
สล็อต เว็บตรง
The depth of exploration and insightful analysis provided here is truly commendable. Sons of Anarchy Vest It's evident that a lot of thought and effort went into crafting this content, and I'm grateful for the wealth of information it offers. This topic has sparked my curiosity and left me eager to learn more.
Your insights are truly valuable and have provided me with a fresh perspective on the topic. I appreciate the effort you\'ve put into sharing your thoughts and experiences. Keep up the great work! Cleveland Browns Salute To Service Hoodie
Direct website slots, genuine licensed online casinos High standards, easy to make profits, save time · A complete center for all types of gambling games. Complete in one place · Strict security system, 100% safe.
PG SLOT
สล็อต PG
สล็อต
สล็อต เว็บตรง
ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและมีความสำคัญในโลกธรรมชาติ เขาเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ เด่นออกมาเป็นอัญมณีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม ไม้ใหญ่ยืนต้นสามารถเป็นที่อยู่ของสัตว์เล็กๆ และพืชน้อยที่อาศัยอยู่ในร่มเงาของเขา รวมถึงการเป็นที่อยู่แห่งชีวิตและการจัดเก็บความชื้นในป่าธรรมชาติด้วย
การมองหาความคิดเห็นในต้นไม้ใหญ่ยืนต้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความสงบและความสมดุลของธรรมชาติ การเยือนชมต้นไม้ใหญ่นั้นช่วยให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและความเล็กน้อยของเราเอง นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการรับรู้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพบเจอรอบตัวของต้นไม้ใหญ่นั้น ดังนั้นการรักษาและปกป้องต้นไม้ใหญ่ยืนต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาสมดุลของอุตสาหกรรมและธรรมชาติในระยะยาว
แสดงถึงความยาวนานและความแข็งแกร่งของชีวิต ไม้ใหญ่ยืนต้นมักจะมีอายุที่สูงมากและเคยผ่านการเจริญเติบโตข้างในธรรมชาติในช่วงเวลาที่ยาวนานมาก่อนที่เราจะมีอยู่ ด้วยความทนทานและการรับมือกับสภาวะทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม้ใหญ่ยืนต้นจึงเป็นแม่แบบที่สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มีความเชื่อที่กันมานานว่าต้นไม้ใหญ่ยืนต้นมีความเป็น sacredness และเป็นที่ยึดถือเป็นที่บูชาในศาสนาหลายๆ แนวคิด ซึ่งส่งผลให้การปกป้องและรักษาต้นไม้ใหญ่นั้นมีความหมายทางวิญญาณอีกด้วย
ในสังคมมนุษย์ เรามักใช้ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสัญลักษณ์ของความคงทน ความสู้รบ และความหนาแน่นที่สามารถยืดยาวออกไปได้ ไม้ใหญ่ยืนต้นเชื่อถือว่าเป็นผู้เหล่านึงที่เคยเห็นและไปรับรู้เหตุการณ์หลายๆ อย่างตลอดชีวิตของเขา ดังนั้น การมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นการได้รับคำเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการเดินทางของชีวิตและการเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรค
โดยรวมแล้ว ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสิ่งที่มีความหมายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสัญลักษณ์ที่สร้างความรู้สึกและความคิดเห็นที่หลากหลายในคนจำนวนมาก
นอกจากความยาวนานและความแข็งแกร่งของชีวิตที่สะท้อนในต้นไม้ใหญ่ยืนต้น เรายังสามารถเห็นการเชื่อมโยงที่มีอยู่ระหว่างต้นไม้แต่ละต้นกับสังคมและมนุษย์อีกด้วย การใช้ไม้ในการสร้างเรือน อาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ เป็นตัวอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ที่เรามีกับต้นไม้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นในพื้นที่เขตเมืองและการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองเป็นการดูแลและอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นมีบทบาทสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาความสมดุลของอากาศ และเป็นแหล่งที่มาของวัสดุประกอบอย่างไม้ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กระดาษ PG SLOT ไม้เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน
ด้วยทุกคุณค่าที่ถูกกล่าวถึง ไม้ใหญ่ยืนต้นจึงนับเป็นส่วนสำคัญที่สร้างเครื่องหมายและความหมายที่หลากหลายในโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชิงศาสนา วัฒนธรรม การอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือความคิดเห็นทางสังคม PGSLOT ไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นองค์กรณ์ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเรากับโลกรอบตัวอย่างสร้างสรรค์และหลากหลาย
A well written post, I simply passed this to a https://putrapandawa.com/ workfellow who was doing some analysis on this. And I actually bought the dinner because I found it for him.
When I was searching for the one right article to read. This one just popped up on the page read it and doing it again such an amazing post. Shop Drawings Services, MEP Shop Drawings Services, CAD Drafting Services
Amazing just Amazing you wrote this article extra ordinary I'll share this with my friends and will check this website again to read. Primavera Scheduling Services, Construction Management Services
Great Article by the way loved the points author mentioned thankyou for sharing a post like this. Electrical Estimator Electrical Estimating Outsourcing
As physical educators, we should prioritise building meaningful relationships with our students and providing a good learning environment for every child and adolescent that enters our gym. All kids should feel welcomed, safe, and capable of succeeding in PE. Those things don't just happen; they're the result of deliberate, purposeful activity of online course help. Joy is crucial for meaningful physical education experiences, and early meaningful PE experiences have a key role in lifelong participation in physical exercise. With the demands of grading, timetables, and everything else that instructors must handle, it is easy to lose sight of the importance of ensuring that our children enjoy PE.
I'm glad to read your article and get to know new things, you can also read our post on which we have mentioned the few benefits of having Construction Estimating Services, Electrical Estimating Services, Quantity Takeoff Services and Lumber Takeoff.
I really loved this post and expect a follow back from your side.
Backlinks are links from a page on one website to another. This is important to us and you are giving us a chance and opportunity to help each other. We are hoping to have the same goal for the future of ours. ole777
Covid pandemic changed human lifestyle and Covid also facilitate to the employee, work from home!!!. Now many companies found remote or home base teams. All online work is controlled from home, especially content writing. Articles or content writing from home is very easy to handle. buy dissertation online